.....ไพรลวง.....(ตอนที่2)
ธนา
.....หากหันกลับไปมองครองครัวแล้ว จะเห็นเป็นครั้งสุดท้ายดังการลาจาก แต่ครั้งนั้นเองเหมือนมีสิ่งดลในให้หันหลังกลับไปมองครอบครัวของตนเอง ที่มายืนส่งอยู่ประตูบ้าน และอะไรดลใจอีกไม่รู้ที่ทำให้ผาคำยกมือขึ้นโบกไปมา เหมือนทำท่าบายบาย ดังคนในปัจจุบัน.....
.....ผาคำรู้สึกตัวว่าพลาดไป จึงรีบหันหลังกลับรีบเดินลาลับไปจากสายตาคนในครอบครัวที่มาส่ง ไม่นานนัก ภาพหมู่บ้านก็เลือนหายไปจากสายตาเพราะความทึบของแมกไม้เงาบังหนาทึบบดบังเสียหมดสิ้น ผาคำดั้นด้นแบกสัมภาระอันหนักอึ้งอย่างเคยชินอย่างลูกไพรตั้งแต่กำเนิด รักษาความเร็วได้คงเส้นคงวาเสมอ เสมือนว่าเค้าเดินในถนนคอนกรีตใหญ่ในเมืองนั้นและ เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ ผาคำยึดเส้นทางเดินตามล่องลำธารเป็นหลัง นัยว่า สัตว์น้อยใหญ่มักไม่หากินในที่สูง เพราะในที่สูงมีแต่ความกันดาร หาน้ำก็ยากความอุดมสมบูรณ์ต่างๆมักจะอยู่ในล่องเข่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลำห้วยธารน้ำไหลตลอดปี ที่สัตว์ต้องให้กินเลี้ยงชีพ ตะวันเลยหัวไปนิดหน่อย ผาคำกะระยะเวลาที่เดินมา ไกลพอสมควรที่ห่างหมู่บ้าน เสียงนกการ้องเซ็งแซ่ระงมไพรขับกล่อมประสาไพรดงบงบอกความสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี.....
ตะวันเลยหัวแล้ว พักกินข้าวก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยติดรอยสัตว์ต่อ... ผาคำพูดกับตนเอง
.....ผาคำเริ่มปลงสัมภาระออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายไร้พันธนาการก็เกิดความเบาสบายตัว ผาคำเริ่มเดินสำรวจไปมารอบๆเป็นนัยเพื่อความปลอดภัยจากสัตว์มีพิษ เมื่อแน่ใจก็เริ่มรื้อของในย่ามล้วงเอาเนื้อแห้งออกมากับข้าวที่เมียรักนึ่งไว้ให้ห่อในใบตอบ ค่อยๆปั่นข้าวจิ้มเกลือปริเนื้อย่างอย่างกระเหม็ดกระแหม่เข้าปากเคี้ยวคุ้ยๆ สายตาก็มองดูตลิ่งตรงข้ามลำห้วย ผาคำสังเกตตลิ่งฝั่งตรงข้าม มีรูมากมาย แต่ละรูๆใหญ่เท่าไข่เป็นไข่ไก่ ปากรูก็มีใยขาวบางๆคลุมทุกรู ผาทองเห็นดังนั้นก็นึกยิ้มกับตนเองอย่างดีอกดีใจ ที่ได้อาหารเพิ่ม รูที่ว่าคือรู บึ้ง บึ้งเป็นแมงมุมป่าสายพันธ์ ทาลันทูร่า ของประเทศไทย สายพันเดียวที่มีขนาดใหญ่ มีนิสัยดุร้าย ลำตัวออกสีนำเงินอมดำ มีเขี้ยวใหญ่ มีพิษเอาไว้ล่าเหยื่อ ทางกลับกัน มันก็เป็นอาหารยามขาดแคลนแก้ขัดได้เช่นกัน พรานป่าทั่วไปมักทราบกันดี หลังจากกินพออิ่มแล้วจากข้าวกลางวันที่อร่อยหรือไม่อร่อยก็ต้องกิน ผาคำไม่บ่อยเวลาให้เสียเปล่า ลุกขึ้นกลอกน้ำในกระบอกไผ่ตงเข้าปากดับคาวหลังอาหาร แล้วเดินอาจๆ ข้ามห้วยซึ่งไม่กว่างมากนัก มีก้อนกินเกะกะให้ข้ามได้ไปทั่วบริเวณ ผาคำเริ่มใช้เทคนิคเก่าแก่ในการล่าบึ้งออกมาใช้ทันที ผาคำตัดลำอ้อมาหนึ่งลำแล้วลอกเปลือกออก ผาคำต้องใช้ความยาวของต้นอ้อให้เป็นประโยชน์ในครั้งนี้ ผาคำค่อยๆเขี่ยใยของบึ้งให้พ้นปากหลุมของมัน แล้วค่อยๆแหย่ลำอ้อข้อไปเบาๆ แล้วบิดไปมา เป็นในว่าแหย่มัน ไม่นาน สิ่งที่โดนแหย่ในหลุมก็ทนความลำคาญไม่ไหว ก็เริ่มไต่ออกมาหมายจะราวีผู้รุกราน พอมันออกมาจนสุดตัว ผาคำใช้ความชำนาญเฉพาะตัวกดมันไว้กับพืนดินทันทีหาไม้แข็งๆจัดการงัดเขี้ยวแข็งยาวโง้งทิ้ง เพียงเท่านี้ก็สินฤทธิ์แมงบึ้ง ไม่นาน ผาคำได้บึ้งกว่า 10 ตัว จัดการก่อกองไฟจากใยไม้ตากแห้งที่เตรียมมา แล้วใช้หินไฟตีประกายจุดไฟ ก็ไม่ยากเย็นอะไรนักสำหรับชาวป่าดงในการที่จะก่อไฟ เพราะทำทุกวันจนชำนาญดั่งคนปัจจุบันจุดไฟแช็ค ไฟติด ก็จัดการเผาบึ้งร่วม 10 ตัวจนสุกแล้วโรยด้วยเกลือห่อใบตองเก็บไว้เป็นอาหารมื้อต่อไป.....
.....ใช้เวลาชั่วหม้อข้าวเดือด ทุกอย่างก็เรียบร้อย ผาคำก็พร้อมที่จะเดินทางเสาะหารอยสัตว์ที่ตนเองหมายเนื้อเขากระดูกหวังเอาไปแลกของในเมืองใหญ่ต่อไป ผาคำต้องก้มๆเงือยๆตามริ่มตลิ่งที่ตนเองสงสัยหลายๆแห่ง แต่ก็ไร้ซึ่งแววรอยตีนสัตว์ จวบจนเวลาเข้าบ่ายจวบเย็นแล้ว ก็ยังไม่พบรอย.....
วันนี้มันขึด (ความหมายเหมือนว่า ไม่มีอะไรเป็นใจ) อาหยังนี่ ผาคำบ่นในลำคอเพราะทั้งวันไม่พบรอยเท่าสัตว์เลย
เห็นที่จะต้องเข้าไปลึกอีก... ผาคำตัดสินใจเดินหน้าไปตามลำห้วยต่อไป
.....จวบเวลาเข้าเย็นไปเรื่อยๆ และในที่สุดสิ่งที่ผาคำตามหาก็ปรากฏให้เห็นในสายตา โป่งดินเค็ม ปรากฏอยู่ในตอนลึกของป่า สภาพโป่งไม่เก่ามากนัก ยังมีแมลงจำพวกผีเสื้อสีสันสวยงามตอมไต่เต็มดาดาษไปหมด ผาคำไม่รอช้า รีบปลดปืนประจำกายออกมาเตรียมพร้อมกับแฝงเร้นตัวเองเข้าหลังต้นไม้ใหญ่ให้เร็วและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเจอโป่งดินเค็มในครั้งนี้ พรานป่าจะรู้ดีว่า ดั่งเจอขุมทองคำ เพราะดินที่มีสีเหลืองนวลๆนั้น มีรสชาติเค็มแต่เค็มไม่เท่าเกลือ และดินนี้เอง ที่เป็นแร่ธาตุที่สัตว์ต้องการเพื่อให้ระบบร่างกายของตนสมดุลและคงอยู่ได้ นานพอสมควรที่ผาคำจดๆจ้องๆหาสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาในทางปืน เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นว่าช่วงนี้ปลอด ทางเดียวที่จะล่าสัตว์ได้คือ สร้างห้างยิงสัตว์ คิดได้ดังนั้น ผาคำเริ่มลงมืออย่างชำนาญทันที ไม่นานห้างยิงสัตว์แบบชั่วคราวก็เสร็จก่อนแสงตะวันจะลาลับโลกไป ความสูงของห้างสูงกว่า 4 ช่วงคน สูงพอที่สัตว์จะไม่ได้กระสากลิ่นกายคน และปลอดภัยจากสัตว์ร้ายยามราตรี.....
.....ผาคำยัดข้าวปั้นก้อนสุดท้ายพร้อมกับบึ้งจี่(เผา)เข้าปากอย่างอร่อยกรอกน้ำในกระบอกตามเพื่อปลดความฝืดคอ เท่านี้ก็อิ่มสำหรับชาวป่าเขา ความหนาวเย็นเริ่มเข้ามาแทนที่เมื่อตะวันเริ่มจางห่างฟ้า แต่ทว่าร่างกายของพรานป่าซึ่งได้รับฝึกฝนมาเป็นอย่างดีด้วยประสบการณ์ป่าเขาอย่างผาคำ มักไม่มีปัญหาแต่ประการใด เพียงเสื้อหม้อฮ้อมเก่าๆผ้าขาวม้าปกหัวก็สู้ความหนาวได้แล้ว คืนแรกผ่านไปด้วยความหนาวเหน็บ ผาคำต้องต่อสู้กับความอ่อนล้าของร่างกายอย่างหนักเพื่อที่จะได้สิ่งที่ตนเองต้องการ แต่คืนนี้ เป็นการรอคอยที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีแม้นเสียงสัตว์เดิน ซึ่งมันก็เป็นธรรมดา เพราะสัตว์ยอมหากินไปทั่ว ไม่ได้อยู่ที่เดิม บางครั้งต้องเฝ้ารอกันเป็นอาทิตย์ก็มี ซึ่งเรื่องแบบนี้ ผาคำเข้าใจดีตามวิสัยพรานป่า ช่วงเช้าก็ต้องลงมาจากห้างจากคอน ออกมาให้ห่างจากโป่งสัตว์ ให้ห่างแต่ให้อยู่ในสายตา ขุดหลุม ก่อไฟหุงหาอาหารกินตามยถากรรมชาวไพร และใช้ช่วงเวลากลางวันนอนเอาแรง ทว่าการนอนก็ไม่อาจหลับสนิทได้ เพราะหูจะต้องฟังเสียงรอบๆข้างประสาทต้องไวอยู่เสมอๆ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเป็นอย่างมากแต่ก็อดทนรอ.....
.....ช่วงคืนที่สาม ผาคำรู้สึกว่าตนเองไม่ไหว จึงไปตัดเถาวัลย์ยาวพอประมาณน้ำขึ้นไปบนห้างบนคอนด้วย ครั้นตะวันเริ่มตกดิน จึงใช้เถาวัลย์นั้นมัดตนติดกับต้นไม่ไว้ กันเวลาเผลอหลับจะได้ไม่ตกลงมา ตะวันลับฟ้า การรอคอยในคืนที่ 3 อันทรมานและยาวนานก็เริ่มขึ้น แต่คือนี้ ผาคำมีอาการลืมตาแทบไม่ขึ้น ทนฝืนสังขารของตนเองไม่ไหว จึงปล่อยใจให้เข้าสู่ห้วงนิทรา ระหว่างเคลิ้มๆนั้น เอง..
พี่อ้าย............พี่อ้ายผาคำ........ เสียงแว้วๆ ราวกับลอยมาตามลมกระทบโสตผาคำเป็นช่วงๆ
.....ผาคำพยายามขยับเปลือกตา แต่ไม่ไหว มันทั้งหนักทั้งอ่อนแรงทุกที ขณะนั้นทุกอย่างดังความฝัน......
จบตอนที่ 2