ณ เส้นขอบฟ้า
ขุนเขายะเยือก
ณ เส้นขอบฟ้า ยามราตรีอันดึกสงัดเงียบจากเสียงสรรพสิ่ง ในความมืดที่ไม่เห็นแม้แต่ลายมือตัวเอง ไอแห่งความหนาวสะท้านไปทุกรูขุมขน ฉันเดินไปบนถนนสายช้างเผือกที่ทอดยาวไปไกลสุดตา ฉันแหวกผ่านความมืดไปได้สักพัก แสงสว่างจากดวงดาวเริ่มทอดแสงนำทางฉันไปเรื่อยๆ
ฉันพบที่พักรุ่งกินน้ำที่หลับใหลอยู่อย่างสงบในยามหลับใหลนั้นรุ่งกินน้ำไม่ได้มีเจ็ดสีอย่างที่ฉันเคยเห็น ยามที่รุ่งกินน้ำหลับใหลนั้นรุ่งกินน้ำมีสีขาว ฉันไม่อยากจะรบกวนรุ่งกินน้ำมากนักหรอก เพราะว่าฉันไม่ได้เห็นรุ่งกินน้ำบ่อยๆเหมือนตอนเป็นเด็ก สงสัยรุ่งกินน้ำคงจะเหนื่อยละมั่งเลยไม่ค่อยออกมาให้ฉันเห็น
ฉันเดินมาไกลมากแล้วรู้สึกหิวน้ำ ฉันเอามือของฉันวักน้ำจากก้อนเมฆขึ้นมากดื่มดับกระหาย แต่ก็ต้องบ้วนน้ำทิ้งไปเพราะน้ำนั้นมีสิ่งสกปรกอยู่มาก อีกทั่งรสชาติก็เปรี้ยวด้วย ฉันรู้สึกแสบแปรบๆที่ปาก ฉันสงสัยมากเพราะตอนเป็นเด็กฉันก็เคยดื่มน้ำฝนก็ดื่มได้แถมมีรสอร่อยด้วย ฉันเหนื่อยแล้วหละฉันมองดูทุกอย่างมันมีแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ฉันได้ยินเสียงใครร้องให้.....ฉันเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ เสียงนั้นใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา..... ... ฉันแปลกใจ พระจันทร์ร้องให้ พระจันทร์บอกฉันว่าพระจันทร์เหงามากเพราะทุกวันนี้พระจันทร์ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางท้องฟ้า เพราะว่าแสงไฟจากเมืองใหญ่ไปบดบังกีดกันไม่ให้พระจันทร์ได้ พบกับดวงดาว พระจันทร์ร้องไห้อยู่เดียวดายบนฟากฟ้า
ฉันเศร้าใจมากที่เห็นทุกๆอย่างเปลี่ยนไป และบางอย่างก็ค่อยๆหายไป โดยที่ฉันไม่เคยสังเกตเลย โอโซนก็มีช่องโหวมากมาย อากาศก็ร้อนขึ้นทุกที ฉันมองไปเบื้องล่างผู้คนกำลังเร่งรีบที่จะออกจากบ้านเพื่อไปเผชิญชีวิตบนแท่นคอนกรีต รถราขวักไขว่ไปหมดฉันเหนื่อยแล้วหละฉันอยากพักแล้ว แต่โลกพักไม่ได้ โลกพักไม่ได้ และโลกไม่เคยและไม่มีโอกาสที่จะได้พักเลย......
ฉันเห็นทุกอย่างพังพินาศลงแล้ว ทุกอย่างตายหมด โลกเหลือแต่ความว่างเปล่าไม่มีต้อไม่สีเขียว มีแต่ผืนดินที่แตกระแหง ซากศพเกลื่อนพื้น โลกกำลังจะตาย..................
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุก