คืนหนึ่งเดือนกุมภาฯ เสียงปลายสายดังเบา เบาจนผมต้องถามกลับไปว่ามันคืออะไร ซ้ำไปซ้ำมา แต่... คำตอบมันคือความว่างเปล่า และแล้วความเหงาและโดดเดียวกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากที่ผมได้ไล่มันออกไปจากชีวิตเมื่อ 3 เดือนก่อน แต่... เดือนนี้มันกลับมา มาพร้อมความช้ำบนความว่างเปล่าที่ผมมองไม่ค่อยจะเห็นนัก สายตาผมคงบอด บอดหลังจากเจอเธอคนนั้น คนที่เข้ามาเยียวยาและแก้ไขส่วนที่ผมทำหายไปเมื่ออดีตที่ผ่านมาอย่างดีเยี่ยม มันดีเลิศเสียจนไม่คิดว่าคืนนี้จะเป็นคืนแห่งความเจ็บทั้งๆ ที่ มันน่าจะเป็นคืนแห่งความรักอันหวานฉ่ำด้วยกรุ่นและอายที่แผ่ซ่านทั่วอณูผิวหนัง แต่ความร้อนบดบังจนทำให้เขื่อนที่กักเก็บน้ำมาชั่วนาตาปีมันเอ้อล้นรดกายที่ร้อนฉ่า ด้วยความเย็นความเหงาจากหางตา มันกลับเป็นคืนที่แย่ที่สุด สำหรับผู้ชายที่ "ร้องให้" มันคงแย่เต็มทีกับความอ่อนแอที่ไม่สามารถบอกให้ใครรู้เลยว่า "มันน่าอายแค่ไหน" บทสรุปมันคงใกล้จะจบเต็มทีหรือใกล้จะอวสานแล้วหรือไร สำหรับบทละครเรื่องนี้ มันคือละครขีวิตที่เกี่ยวก้อยด้วยการรอคอยมานับนานแสนนานกับการเดินบนรอยเท้าเดิมที่ไม่รู้เลย ว่า "วันนี้เราเดินผิดไปเสียถนัด" (หรือเปล่า) บางครั้งควรหลีกเลี่ยงการเดินบนทางสายเก่าที่ ไร้ความหวัง กำลังใจ หรือกายอันร้อนรุ่มด้วยพลังที่แฝงด้วยความ"รัก" แต่ถึงกระไรนั้น ความทยานอยากมันกลับเรียกร้องให้เดินบนทางสายเดิมสายนี้.. ลึกๆ ลงไปที่ๆ เรียกว่าสะดือของความรู้สึกทั้งหมด ที่คอยตอกย้ำ สั่งการว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ โดยควบคุมสมองที่สั่งการเพียงให้อย่างโน้นอย่างนี้ทำงานตามเวลาของมัน แต่ความรู้สึกมันคือตัวหลักที่สั่งให้เราทำอย่างนั้นอย่างนี้โดยไม่คำนึกว่ามันจะเป็นอย่างไร มันคืออยาก อยากที่จะทำ และอยากอะไรอีกมากมาย จนสมองสั่งการให้แขนขาและส่วนอื่นของร่างกายมันคล้อยตาม โดยหลีกเลี่ยงที่จะขัดคำสั่ง ลองมองดูสิว่า ถึงแม้จะปวดเพียงไร หรือเจ็บเพียงไร แค่นึกถึงใครคนหนึ่ง ขาทั่งสองพร้อมที่จะเดินไปหาอย่างไม่ลังเล แต่ที่สุดแล้วกลับโดยดุด่าว่ากล่าวเพราะทำอะไรที่งี่เง่าลงไป บางครั้งความรู้สึกลึกๆ ของแต่ละคนแล้วมันยาก ยากจนไม่เข้าใจ.... เวลาปล่อยให้ผมคิดมากเกินความจำเป็นเสียแล้ว เวลาคงลืมไปแล้วว่านิสัยผมเป็นยังไง หากผมยังกล้าพอที่จะยื่นอยู่ที่เดิม และหาก...ผมกล้าพอที่จะยอมรับมัน ผมไม่ยอมปล่อยเรื่องที่แล้วๆ มาล่วงเลยจนถึงเวลานี้ หากมันจะจบ ไม่ว่าจะเป็นยังไงต่อไป มันคือจบ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องอะไรอีก หรือ "ตายจากกันเลยดีมั้ย" "ดีสิ" ความคิดบ้าๆ ผมตะโกนออกมาดัง ดังจนบดบังความรู้สึกและคำพูดที่ว่างเปล่านั้นมันมีเสียงดังขึ้นมา ไม่ว่าจะดังมากขนาดไหน แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงนั้นแม้แต่น้อย... มันคอยตอกย้ำความคิดพิเลนๆ เกิดขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะผ่านไปเป็นเพียงเกมที่สนุกสุดๆ ยิ่งกว่าผี้ยาเสียอีก เลือดค่อยๆ ไหลย้อยอย่างไม่ขาดสาย มันหยดลงแหมะๆ หยดที่เดิมซ้ำๆ แดงเถือก รอยพาดยาวบนต้นแขนซ้ำไปซ้ำมาบวกกับเลือดที่ไหลไม่ขาดตอนมันก่อเรี่ยวแรงทั้งหมด ให้ฮึกเหิมเข้าไปเป็นเท่าตัว ตอนนี้มันไม่มีอะไรมาหยุดยั่งได้ มันล่อยลอยสุดจะจินตนาการ เพราะที่นั้นน้อยคนนักที่จะไปถึง บางคนก็ขาดใจไปเสียก่อน หรือบางคนก็ทนต่อความเรียกร้องของเสียงข้างๆ ไม่ไหวจนต้องกระโจนไปห้องน้ำและ "ล้างมันซะ" แล้วเอาสารพัดยามาใส่ๆ ใส่ให้มันหยุดน้ำสีแดงเข็มที่ค่อยๆ หลอมรวมกับน้ำใสในอ้างล้างหน้า มันแค่ใจปลาซิวที่ทำแบบนั้น แต่... สำหรับผมแล้วไม่ มันเป็นการเปิดทางที่ถูกปิดมานับแรมปี ให้เปิดอ้าออกพร้อมแขนที่คอยโอบกอดวันที่ใกล้จะก้าวข้ามไปในไม่ช้า... มันคงจะยุติในไม่ช้า แต่... มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น จนมาวันนี้มานั่งเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่ว่าทำไม "ทำไม" ต้องปิดทางที่ถูกสร้างขึ้นอย่างปราณีต ทางที่สวยงามกว่าทางเดิมๆ ที่เคยก้าวข้ามไป ทำไม แต่บางทีคำถามของผมอ่านมีใครคนหนึ่งตอบกลับมาก็เป็นได้ มันไกลสุดขอบฟ้า ใกล้เพียงเปิดตารับรู้ บางครั้งการเฝ้ามองดูคนอื่นเผชิญชีวิตบนโลกใบนี้ มันก็เป็นเรื่องที่น่าค้นหาสำหรับใครคนนั้นก็เป็นได้ ช่วยตอบผมหน่อยละกันว่า "ทำไม" การเดินทางไปยังดินแดนอันลี้ลับด้วยความลึกลับดำมืดสุดจะอธิบาย มันอาจเป็นส่วนที่ผมอยากเข้าไปใกล้เหมือนคืนนั้นก็เป็นได้ "ทำไม" ไม่ปลดปล่อยผมเหมือนกับปลดปล่อยตัวคุณเองบ้างนะ "ทำไม"
24 กุมภาพันธ์ 2549 16:33 น. - comment id 89755
ไม่รู้ดิอ่านแล้วว่าดีมากเลยคับ ผมไม่ค่อยเก่งในเรื่องวิจารณ์พวกบทประพันธ์เท่าไหร่ได้แต่อ่านแล้วใช้ความรู้สึกเขาถึงอารมณ์ของบทความ ผมว่าคุณใช้ภาษาอ่านแล้วเข้าใจมันโดนดีคับ อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงอารมณ์นั้นเลย ดีมากเลยคับ เขียนงานดีๆออกมาใหอ่านอีกนะคับ
27 กุมภาพันธ์ 2549 19:33 น. - comment id 89801
ขอบคุณที่ชมขอรับแล้วข้าพเจ้าจะพยายามต่อไป
25 สิงหาคม 2549 13:48 น. - comment id 92332
จะให้ตอบไงดีละ นายเท่านั้นแหละที่รู้คำตอบนั้นดี เพราะถ้ารู้ว่าเขาคนนั้นคือใคร คงจะหาคำตอบให้นายได้ แต่ที่แน่ ๆ ความรักที่นายผ่านมา มันมีอิทธิพลต่อนายมากสามารถทำให้นายมองไม่เห็นค่าของชีวิต มันยิ่งกว่าตาบอดเสียอีก แต่ก้อบรรยายความรู้สึกได้ดี แต่ขอเอาอีกอย่างหนึ่งว่า ขณะนายเขียนบทความนี้นายคงสับสนกับตัวเองอยู่แน่นอน