ตอนที่ 7 ผู้หญิงทั้งสี่ ( ภาคที่หนึ่ง ) วันจันทร์ของการทำงานเป็นวันแรกของสัปดาห์ที่เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเป็นวันที่แสนจะยุ่งในเรื่องการการทำงาน เพราะถือเป็นวันเริ่มต้นของสัปดาห์ที่งานสะสมรอคอยการสะสางจากวันหยุด โรงงานอุตสาหกรรมที่ผมทำงานอยู่เป็นโรงงานประเภทเครื่องจักรทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และมีพนักงานเปลี่ยนกะมาคุมคุมเครื่องจักร ไม่เว้นแม้กระทั้งวันเสาร์อาทิตย์ หากมีงานที่เป็นปัญหาที่นอกเหนือจากความสามารถของช่างเทคนิคที่จะตัดสินใจได้ในวันเสาร์อาทิตย์ ในวันจันทร์ วิศวกรโรงงานแต่ละคนก็หัวฟูที่จะมาหาสาเหตุและป้องกันการทำงานไม่ให้เกิดการล้มเหลวซ้ำ และถ้าหากเกิดเหตุการณ์ซ้ำวิศวกรต้องคิดหาวิธีที่สามารถให้ช่างเทคนิคแก้ปัญหาได้ในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องพึ่งวิศวกร ซึ่งช่วงเช้าของวันจันทร์ ผมคิดว่าไม่เพียงแต่โรงงานที่ผมทำงานอยู่ที่เดียวที่ยุ่งจนหัวฟู หลายองค์กรคงไม่ต่างจากองค์กรผม มิหนำซ้ำอาจจะยุ่งจนหัวกระเซิงด้วยซ้ำ ในตอนบ่ายขณะที่ผมนั่งอยู่โต๊ะห้องทำงานส่วนตัว หรือจะเรียกว่าคอกทำงานก็ได้ เพราะถึงแม้จะเป็นห้องส่วนตัวแต่มันก็เล็กซะเหลือเกิน ผมกำลังผ่อนคลายหลังจากเคลียร์งานในตอนเช้าน้องเสมียนประจำแผนกก็เคาะประตูพร้อมเดินเข้ามากับจดหมายฉบับหนึ่ง ผมรู้สึกแปลกที่ได้รับจดหมายส่งมาที่บริษัทเพราะปกติหากเป็นจดหมายส่วนตัวน้อยคนนักที่จะส่งมาที่บริษัท และจดหมายนั้นเป็นจดหมายส่วยตัวเขียนด้วยลายมือที่เรียบร้อย เมื่อผมเห็นลายมือนั้นผมรู้สึกคุ้นๆ และเมื่อเปิดจดหมาย ผมถึงรู้ว่าเป็นจดหมายของ น้องกุ้ง อดีตเพื่อนร่วมงานในโรงงานนั้นเอง น้องกุ้ง เป็นหนึ่งในผู้หญิงสี่คนในชีวิตที่ทำให้ผมรู้ว่าเกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก คนแรกที่ผมรู้ถึงความลำบากนั้น คือคนไกลชิดตัวผมที่สุดนั้นคือ แม่ ของผมนั้นเองตอนผมย้ายโรงเรียนจากการเรียนประถมศึกษามาเป็นมัธยมต้น โรงเรียนมัธยมต้นเป็นโรงเรียนที่ผมใช้เส้นทางสัญจรต้องผ่านตลาดทุกวัน ตอนนั้นผมอายุ 14 ขวบ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วนานมาเกือบยี่สิบปีแต่ความทรงจำนั้นไม่ได้เลือนไปจากความทรงจำเลย มันยังชัดอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ วันหนึ่งขณะรับประทานอาหารเย็นผมบ่นขึ้นว่า ต้มข่าไก่เหรอครับวันนี้ ไก่อีกแล้ว! สองวันก่อนก็พึ่งกินไก่นึ่ง พ่อของผมมองหน้าผม แต่ไม่พูดอะไร แต่แม่ผมพูดกับผมว่า เหรอจ้ะ แม่ลืมไปว่าเราพึ่งกินไก่ไป เออ พล .....แม่มีเรื่องอยากให้ลูกช่วย มีอะไรเหรอครับแม่ ผมตอบเสียงร่าเริงแจ่มใส นึกจิตนาการผมตอนอายุ 14 ปีเด็กต่างจังหวัดบ้านนอกที่หน้าตาแก้มยุ้ยแดงๆ ไร้พิษสง ไม่เหมือนปัจจุบันที่เป็นเกย์เทอร์โบ รอบจัดความเร็วรอบสูงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล พิมก็ไปเรียนที่มหาลัยขอนแก่นแล้ว พัฒน์ก็ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ พลก็เป็นลูกที่โตที่สุดในบ้านตอนนี้ แพรวก็พึ่งจะเข้า ป.1 แม่ก็หวังให้พลจะช่วยแม่บ้าง แม่เกริ่นถึงพี่สาวและพี่ชายของผม ซึ่งขณะนั้นได้ไปใช้ชีวิตรับผิดชอบตัวเองนอกบ้านแล้ว มีเรื่องอะไรเหรอแม่ เสียงถามของผมยังเป็นเสียงเด็กชายน่ารักยังไม่เสียงแตกทุ้มเหมือนปัจจุบัน ต่อไปนี้แม่จะให้เงินพล รับผิดชอบการไปจ่ายตลาดในตอนเย็นทุกวัน ลูกคิดว่าลูกจะทำได้ไหม หมายความว่า พลอยากกินอะไรก็ซื้อมาทำได้เหรอแม่ ผมดีใจจนออกนอกหน้า เพราะจะได้เป็นคนกำหนดเมนูอาหารเองในแต่ละวัน ไม่ต้องฝืนในสิ่งที่แม่ทำให้กินโดยไม่เคยถามลูกๆเลยว่าอยากกินอะไร แม่ของผมยิ้ม แล้วบอกว่า ใช่สิจ้ะ อยากกินอะไรก็ซื้อมาให้แม่ทำให้ทาน แต่พลต้องนึก ถึง พ่อ แม่ และก็แพรวด้วยว่าจะกินกับข้าวที่พลซื้อมาได้หรือเปล่า น้องยังเด็ก 8 ขวบเอง กินอาหารรสจัดยังไม่เก่งนะ ต้องคิดด้วย ผมรู้สึกดีใจในสิ่งที่แม่บอกผมอย่างสุดๆ มันเหมือนเสียงสวรรค์ ที่บอกว่า ต่อไปนี้ เรากำหนดชีวิตตัวเองได้ เราสามารถกำหนดว่าวันนี้ ครอบครัวเราจะได้กินอะไรแน่นอน ต่อไปนี้อาหารที่จะซื้อเข้าบ้าน ต้องเป็นอาหารโปรดปราณของผมเท่านั้น ผมกระหยิ่มในใจ ผมเติบโตมาในบ้านที่มีวงจรชีวิตที่อาจจะต่างจากบ้านคนอื่น คือ นอกจากคุณพ่อและคุณแม่จะเป็นครูทั้งคู่แล้ว คุณแม่ยังเป็นคนที่ดูแลภายในบ้านอย่างไม่มีที่ติ บ้านของเราจะหา คนมาช่วยงาน ก็ต่อเมื่อ แม่ผมทำไม่ไหว เช่นในกรณีที่แม่ผมคลอดน้องสาวมาได้ ในสามปีแรกก่อนที่น้องแพรวจะเข้าโรงเรียนอนุบาลเราก็มีคนมาช่วยงานบ้าน หลายบ้านอาจจะเรียกตำแหน่งนี้ว่าคนใช้ แต่ที่บ้านผมแม่ไม่เคยอนุญาตให้ใครในบ้านเรียกคนมาช่วยงานว่าคนใช้ เพราะแม่บอกลูกทุกคนเสมอว่า เค้าไม่ใช่คนมารับใช้เรา เค้าคือคนที่มาทำงานช่วยที่บ้านเรา แม่จะให้เรียกคนที่มาช่วยงานบ้านเหมือนเค้าเป็นญาติของครอบครัวเสมอ เหมือนสมัยที่มีคนมาช่วยดูแลตอนน้องสาวผม เมื่อครั้งยังแบเบาะคนมาช่วยงานบ้านคือ พี่แก้ว แม่ไม่เคยให้ใครใช้พี่แก้วได้นอกจากแม่เอง แม่บอกว่า อย่าใช้เค้า ถ้าอยากให้เค้าทำให้ ให้ขอร้องให้ช่วยเช่น พี่แก้วครับช่วยรีดเสื้อตัวนี้ให้ผมด้วยนะครับผมอยากใส่ตัวนี้ แม่สอนให้ลูกทุกคนพูดเพราะๆ และไม่ให้ดูถูกคน และแม่ก็แสดงเป็นตัวอย่างให้ลูกๆเห็นจริงๆ แม่ไม่เคยรังเกียจคนที่มาช่วยงานแม่ แม่ปฏิบัติต่อพี่แก้วเสมือนพี่แก้วเป็นสมาชิกในครอบครัว หากแม่ซื้อขนมมาฝากลูก พี่แก้วก็จะได้กินเช่นกัน โดยได้กินเทียบเท่าลูก ไม่ใช่ได้รับของที่เหลือจากลูก ลูกแท้ๆมีแค่สี่คน แต่แม่จะซื้อขนมมา 7 ห่อเสมอ ของพ่อ ของแม่ ลูกสี่คน และของพี่แก้ว แม่จะมีคำสั่งเด็ดขาดให้พี่แก้วมากินข้าวพร้อมพวกเราทุกครั้ง จะไม่ให้พี่แก้วกินทีหลัง เราทุกคนกินข้าวพร้อมกัน เมื่ออยู่ตามลำพัง แม่จะสอนลูกๆว่าที่พี่แก้วมาช่วยงานบ้านของเราเพราะพี่แก้วไม่มีทางเลือก ถ้าพี่แก้วมีการมีงานที่ดีกว่านี้ทำพี่แก้วก็จะไปเพราะฉะนั้นให้ลูกๆพยายามทำงานบ้านให้ได้ด้วยตัวเอง และอย่าดูถูกคน เพราะที่เค้ามาทำงานบ้านช่วย เค้าไม่มีทางเลือก เค้ามีค่าความเป็นคนเทียบเท่าเรา มีความรู้สึก เศร้า เสียใจ และน้อยใจ เหมือนเราทุกคน แม่ให้เรานึกอยู่เสมอว่า หากมีคนมาเรียกจิกหัวใช้เรา เราจะรู้สึกอย่างไร แน่นอนไม่มีใครชอบหรอกที่ให้ใครจะมาดูถูกค่าความเป็นคนของเรา ผมมาสำนึกว่าด้วยการอบรมสั่งสอนจากการกระทำของแม่นี้เอง ลูกๆทุกคนจึงมองโลกแบบไม่เคยดูถูกคนอื่น หนำซ้ำ เราจะรู้สึกแย่และไม่ชอบ หากใครมาพูดดูถูกเกี่ยวกับเรื่องคนจน คนด้อยโอกาสหรือเรียกคนมาช่วยงานที่บ้านว่า คนใช้ เมื่อน้องสาวผมโตไปโรงเรียนได้ พี่แก้วก็ต้องจากเราไปเพราะที่บ้านต้องการความช่วยเหลือในเรื่องการเลี้ยงเด็กเท่านั้น ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเมื่อครั้งผมยังไม่มีน้องสาวคือ นอกจากแม่จะมีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ กลับมาบ้านแม่ก็เป็นแม่บ้านดูแลเรื่องทั้งหมดในบ้านไม่ให้ขาดตกบกพร่อง วิถีชีวิตของครอบครัวเราจะเป็นแบบแผนดังนี้ครับ เมื่อแม่ทำงานที่โรงเรียนเสร็จ แม่จะต้องไปจ่ายตลาด ทุกเย็นเพื่อนำกับมาทำอาหารเย็น แม่ผมเป็นคนต่อต้านอาหารสำเร็จรูปที่เค้าใส่ถุงขายในตลาดเป็นอันมาก อาหารที่คนทำขาย ถ้าเค้าไม่คิดว่าทำให้คนในครอบครัวทาน เค้าก็ทำไปเรื่อยไม่เลือกของที่ดีที่สุดหรอก เป็นเหตุผลเดิมๆที่แม่บอก หากลูกถามว่าทำไม่เราไม่ซื้อกับข้าวถุงกลับบ้าน ง่ายจะตาย กลับบ้านก็แกะถุงกินได้เลยไม่ต้องเสียเวลาปรุงเอง.... ทุกวัน เมื่อแม่ทำอาหารเย็นเสร็จ แม่จะแบ่งไว้สองส่วนคือ ส่วนที่หนึ่งจะเป็นสำรับสำหรับอาหารเย็นในวันนั้น และส่วนที่สองคือเอาไว้อุ่นรับประทานเป็นอาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ นั้นหมายถึง อาหารเช้าของบ้านผม คืออาหารเย็นของเมื่อวานเสมอ ส่วนมื้อกลางวันแม่จะให้ลูกๆ ไปซื้อกินที่โรงเรียน และมื้อเย็นกลับมาบ้าน ก็จะเจอวัตถุดิบที่แม่จ่ายตลาดมา เตรียมอาหารสำหรับวันต่อๆไป วนเวียนอย่างนี้อย่างมีระบบ เมื่อแม่มอบหมายให้ผมไปจ่ายตลาดแทนแม่เพราะตลาดเป็นทางผ่านที่ผมเดินมาจากโรงเรียนทุกวันผมลิงโลดในใน นึกจินตนาการไปไกลว่า ต่อไปนี้ เราจะมีของโปรดกินทุกวัน ผมยิ้มในใจคนเดียวในวันที่ผมได้รับหมอบหมายให้ไปตลาด แม่ให้เงินผมไปจ่ายตลาดทุกวันๆละ 200 บาท และแม่บอกว่า พยายามควบคุมไม่ควรเกิน 150 บาท แต่หากเกินก็ไม่เป็นไร แม่อยากให้ผมหัดใช้จ่ายเงิน แม่บอกผมว่า ไม่ใช่ ได้ 200 ก็จะจ่ายหมดทั้ง 200 ผมจะต้องรู้จักควบคุมและประหยัด ในสมัยปี พ.ศ. 2532 เงิน 200 สำหรับการจ่ายตลาดในต่างจังหวัดถือว่าเป็นเงินที่หาซื้อของกินตามใจชอบได้สบายๆ เพราะตอนนั้น หมูแค่ราคากิโลกรัมละ 60 บาทเอง ปลาช่อนนา ขนาดย่อมก็ 3 ตัว 10 บาท ซึ่งถูกมากๆเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่เปลี่ยนไปในสมัยปัจจุบัน ท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า อาหารในสัปดาห์แรกจะเป็นอย่างไร แน่นอน ซี่โครงหมูทอดกระเทียม แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ราดหน้า ปลานิลทอดกระเทียม ผัดวุ้นเส้นไข่เค็ม ลาบหมู ต้มส้มไก่ยอดมะขาม สัปดาห์แรกสำหรับความรับผิดชอบของผมผ่านฉลุยไปอย่างหายห่วง สัปดาห์ที่สอง ผมก็ไปตลาดเช่นเคย เมนูอาหารสำหรับสัปดาห์ที่สองยังคงเป็นสัปดาห์ที่สนุกในการจ่ายตลาดสำหรับผม แต่ก็ไม่สนุกเท่ากับสัปดาห์แรกเพราะผมต้องคิดหาอาหารที่ไม่อยากให้ซ้ำกับสัปดาห์แรก ขาหมูต้มผักกาดดอง แกงอ่อมผักรวม ต้มฟักไก่มะนาวดอง ต้มยำปลาหมึก กะหล่ำผัดกุ้งและยำวุ้นเส้น และแล้วก็มาถึงสัปดาห์ที่สาม ตลาดต่างจังหวัดก็ไม่ใช่ว่าจะกว้างเหมือนตลาดในเมืองใหญ่ๆ เมื่อผมเดินเข้าไปก็เจอแผงทำกับข้าวถุงซึ่งผมต้องไม่ซื้ออยู่แล้ว เดินเข้าไปสักช่วงก็เจอแม่ค้าขายผัก เอ้า วันนี้จะเอาอะไรดีละ ผักก็กินแล้ว กะหล่ำก็ทำไปแล้ว แกงอ่อมผักรวมก็ทำไปแล้ว ถ้าจะซื้อผักบุ้งหรือถั่งงอกไปให้แม่ผัดแม่ผมก็จะหาว่าดูถูกฝีมือการทำอาหารแม่อีก โอ้ย เด็กวัยรุ่นกลุ้มใจ... เดินผ่านไปก่อนแล้วกันเผื่อคิดได้ เดินผ่านเจอแผงไก่สด ผมก็คิดในใจ ไก่ก็พึ่งต้มฟักไปอาทิตย์ก่อน... เดินต่อไปแล้วกัน เดินมาเจอแผงขายของทะเล กุ้งปลาหมึกก็กินไปแล้ว...หาอันใหม่ดีกว่า เดินไปสักพัก เจอแผงหมู หมูทอด หมูผักก็ทำแล้วนี่นา...เดินข้างหน้าก่อนดีกว่า เดินมาเจอแผงขายปลา ปลานี่ซื้อไปแม่ก็ต้องใช้ให้เราขอดเกล็ดทำอีกเหมือนคราวที่แล้วไม่ไหวเหม็นคาว... ไปข้างหน้าก่อน เดินมาเจอแผงของแห้งของดอง ผักกาดดองก็พึ่งต้มใส่ขาหมูคราวก่อน มะนาวดองก็พึ่งใส่ต้มฟัก... ไปข้างหน้าดีกว่า เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว อ้าว นี่เราวนกลับมาถึงแผงกับข้าวใส่ถุงแล้วเหรอเนี่ย แล้ววันนี้จะได้กับข้าวไปทำไหมหนอ... มันสมองอันน้อยนิดผมในตอนนั้นเริ่มเครียด ผมตัดสินใจใช้อาหารสิ้นคิดคือ ซื้อผักบุ้งไปให้แม่ผัด และเล็งถั่วงอกสำหรับวันพรุ่งนี้ เย็นวันต่อมา ผมเริ่มแบกความหนักอึ้งไว้บนหัว ไม่สนุกแล้วสำหรับการจ่ายตลาดซื้อของมาทำกับข้าวแต่ผมก็ทนเพราะรับปากแม่มาแล้วไม่อยากให้แม่ผิดหวัง ผมทำหน้าที่นั้นมาเกือบเดือนได้ แล้ววันหนึ่งขณะที่ยกอาหารมาขึ้นโต๊ะ ไก่ทอดเหรอ ว้า ! เมื่อสองวันก่อนก็แกงเผ็ดไก่.. เสียงน้องสาวตัวแสบของผมเจื้อยแจ้ว มันคลับคล้ายคลับคลากับตอนที่ผมบ่นเรื่องต้มข่าไก่ไม่มีผิด ความรู้สึกของผมตอนนั้นความดันสูงขึ้นหน้า มองน้องสาวตัวแสบแบบจะเลือดกินเนื้อแทนอาหารเย็นก่อนที่ผมจะเปิดศึกกับน้องสาวตัวแสบ แม่ก็พูดว่า พี่เค้าคงลืมว่าเราพึ่งกินไก่ไปมั้ง ไม่เป็นไรหรอก ไก่ทอดก็อร่อยจะตาย ผมได้สติว่าแม่กำลังจะสอนอะไรบางอย่างแก่ผม เมื่อแม่เข้าไปหยิบของในครัว พ่อผมรีบกระซิบ ทั้งผมและน้องสาว ต่อไปห้ามบ่นเรื่องกับข้าวเข้าใจไหม หมาพล หมาแพรว บุญแค่ไหนที่มีคนทำกับข้าวให้เรากินทุกมื้อ นั้นสิ ตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยเห็นพ่อติ หรือบ่นเรื่องการทำกับข้าวของแม่เลย แม่ยกมาบ่นโต๊ะ พ่อก็จะกินอย่างไม่มีเงื่อนไขผมพึ่งนึกได้ตามที่พ่อพูดเมื้อกี้ว่า บุญแค่ไหนจริงๆที่มีคนทำกับข้าวให้เรากินเมื่อทานอาหารวันนั้นเสร็จ ขณะที่ผมช่วยแม่ล้างจาน ผมบอกกับแม่ว่า แม่ครับ พลขอโทษ ต่อไปผมจะไม่ติเรื่องกับข้าวแม่อีกแล้ว พลรู้แล้วว่ามันปวดหัวแค่ไหนว่าแต่ละวันจะทำอะไรให้คนในบ้านกินและต้องถูกใจทุกคนด้วย แม่ยิ้ม...แล้วบอกว่า ทุกคนมีข้อผิดพลาด ต่อไปแม่ก็จะถามว่าลูกๆอยากกินอะไรก่อนจะไปตลาดเหมือนกัน เด็กชายวันสิบสี่ยิ้มให้แม่จนแก้มยุ้ย ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไปจ่ายตลาดเอง ยกเว้นแม่ติดธุระ ผมก็ทำหน้าที่ไปจ่ายตลาดแทนแม่เสมอ ตั้งแต่นั้นมา เมื่อแม่ถามผมว่า พล ลูกอยากกินอะไรเย็นนี้ คำตอบที่ได้จากปากผมตั้งแต่นั้นมาคือ ตามใจแม่ครับ คนเรามีความลำบากหลายขึ้น แต่การที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องคิดว่าจะทำอาหารอะไรให้สมาชิกในครอบครัวในแต่ละวัน เป็นสิ่งที่ลำบากยิ่งนัก ความลำบากนี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสก็จริง แต่การแบกความลำบากที่คนคิดว่าน้อยนิด แต่ต้องแบกไว้ทุกวันๆ ผู้ชายเกย์อย่างผมยอมรับอย่างอับอายว่า ผมทนไม่ได้เท่ากับแม่ของผม หรือผู้หญิงที่ต้องเป็นแม่บ้านอีกค่อนโลกที่ต้องแบกปัญหาแต่ละวันว่า เย็นนี้จะทำกับข้าวอะไรดี มันคือความลำบากต่อเนื่องที่ผู้ชายบางคนไม่เคยรู้ ต้องขอบคุณคุณแม่ของผมที่ทำให้ผมมองเห็นความลำบากด้านหนึ่งของความเป็นผู้หญิง ผู้หญิงคนที่สองที่สามารถทำให้ผมรู้ว่าความลำบากที่ผู้หญิงมีอีกด้านคือ เพื่อนหญิงรหัสติดกับเมื่อมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นคือ อุ๊ เป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นเรื่องของฟ้าเบื้อบนที่สั่งลงมา ไม่มีใครให้คำตอบได้ ที่ อุ๊ และผม จะต้องมาเจอกันเพราะเราเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยที่เราสองคนมีชื่อจริงที่อักษรนำหน้าชื่อตัวเดียวกัน ทำให้เรามีรหัสประจำตัวนักศึกษาเรียงติดกัน ในการเรียนของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 1 ทางคณะได้จัดให้เราเรียนในวิชาต่างๆในชั้นเรียนเดียวกันตลอด ทำให้ผมและอุ๊ ต้องเจอกันทุกครั้งของชั่วโมงเรียนทุกวิชา ผมและ อุ๊เป็นเพื่อนที่เข้ากันได้ดี อุ๊ เป็นเด็กสาวที่มาจากจังหวัดลำปาง อุ๊เป็นสาวตากลมโตแป๋วนิสัยร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดีและมีความเป็น ผู้ยิ้ง ผู้หญิง อุ๊จะอาบน้ำสระผมให้ผมมีกลิ่นหอมอ่อนๆก่อนมาเรียนเสมอ เป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงาม จนทำให้ผมตั้งฉายาเรียกเธอให้สมกับความเป็นผู้หญิงนั้นว่า หญิงอุ๊ แต่ถึงแม้ หญิงอุ๊ จะมีความเป็นผู้ยิ้ง ผู้หญิงอยู่ในตัวสูง หญิงอุ๊ ก็เป็นผู้หญิงที่ปากตรงกับใจเป็นอย่างมาก ใจคิดอย่างไร หญิงอุ๊ก็คิดอย่างนั้น หญิงอุ๊ไม่ถนัดในงานใส่หน้ากากเข้าหากันหรือเสแสร้ง จึงทำให้หญิงอุ๊ เลือกที่จะขลุกอยู่กับชายทมิฬทั้ง 7 คนในกลุ่มผม อันได้แก่ ตัวผมเอง ตุลย์ กิม ทิว เต้ ไอ้ภูมิ และไอ้เอก ( หากผู้อ่านคนไหนมาใหม่หรือสงสัยว่าทำไม ผมเรียกสองคนหลังด้วยคำว่าไอ้ กรุณา ย้อนกลับไปอ่านสาเหตุในตอนที่ 1 ) มิตรภาพระหว่างเพื่อนมันก่อตัวจนสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่า เราตามกันไปเช่าอยู่หอพักนอกมหาวิทยาลัยกันโดยอยู่หอเดียวกัน ซึ่งเป็นหอพักรวมหญิงชาย โดยเช่าห้องทั้งหมด 4 ห้องติดกัน หญิงอุ๊ คเลือกแล้วว่าจะต้องมาผจญชีวิตกับทะโมนทั้ง 7 และหญิงอุ๊ก็ต้องเอาตัวรอดฝ่าชีวิตมรสุมของเหล่าเพื่อนผองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ครั้งหนึ่ง พวกเราแห่งกันไปกินข้าวเย็นที่หลังมหาวิทยาลัยแล้วหญิงอุ๊ก็ถามคำถามขึ้นมาลอยๆว่า นี่ถ้าเราจอบมีงานมีเงินเดือนกัน เงินเดือนๆแรก เคยคิดไหมว่าจะเอาไปทำอะไรกันบ้าง ขอไม่ตอบ เพราะเราไม่จบปีนี้ เราจบปีหน้าโน้น ผมบอกปัด เออ เราก็จบปีหน้า แย่วะ ต้องทำโปรเจ็คส่งใหม่ เลยกลายเป็นพี่เป้อเลย ตุลย์เสริม เพราะตุลย์ก็เข้าค่ายนักศึกษาที่จะกลายเป็น พี่เป้อ พี่เป้อ เรียกให้สั้นลงจากคำว่า พี่ซุปเปอร์ คนที่เป้นซุปเปอร์คือคนที่เรียนไม่จบภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์มีกำหนดให้เรียน 4 ปีจบ หากใครสอบตก ต้องซ่อม จะต้องเข้าเรียนปีที่5 ซึ่งนักศึกษาพวกนี้จะถูกรุ่นน้องเรียกว่า พี่เป้อ ทำไมวะ! อยากรู้ไปทำไม เสียงไอ้ภูมิถามห้วนๆกวนประสาทยิ่งนัก เอ๊ะ! ไอ้ภูมินี่ จะตอบหน่อยง่ายๆ ไม่ได้เลยรึไง หญิงอุ๊ ซึ่งเรียกชื่อมันว่าไอ้ ตามผมแต่ก็เห้นเป็นเรื่องปกติ เพราะมันสมควรแล้วที่มีคำนำหน้าว่า ไอ้ เราเดาว่า เธอจะเอาไปทำศัลยกรรมละสิ ไอ้ภูมิ เล่นมุขใส่หญิงอุ๊ เพราะ หญิงอุ๊ไม่ใช่คนขี้ริ้ว แต่ก็ไม่ใช่คนที่สวย แต่ก็น่ารักตามแบบฉบับของเธอ ต้าย ! ทำเป็นรู้ความคิดชั้นนะยะ หญิงอุ๊ตอบมุขไปทำหน้าเอียงอายเล่นกับมุขไอ้ภูมิ แต่....แทนที่เรื่องจะจบอยู่ตรงนั้นกลับมีเสียงไอ้เอกสอดขึ้นมา พร้อมกับทำหน้าเย้ยหยันหญิงอุ๊ว่า คิดให้ดีนะอุ๊...เราว่านะ...หน้าอย่างนี้....เออ.... แล้วไอ้เอกก็เอียงหน้าดูหน้าหญิงอุ๊ทำพินิจพิเคราะห์ มันต้องเก็บเงินหลายเดือนนะ สี่แสนจะเอาอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ พวกเราถึงกับฮาแตกฮาแตนกับมุขที่ไอ้เอกกัดหญิงอุ๊ คนที่ไม่ฮาด้วยก็คือคนที่โดนสบประมาท เธอจึงตอบไปด้วยไหวพริบที่ต้องฝึกปรือไว้ป้องกันตัวเอง หนอย! ไอ้เอก แล้วนี่แกเสียเงินไปสักปากถาวรที่ไหนมาล่ะยะ มันถึงได้กว้างและหมาได้ขนาดนี้ ได้ผลสมาชิกทั้งวง ได้ฮาแตกกันรอบสอง พร้อมๆที่ไอ้เอกเงียบไปถนัดตา เพราะถึงแม้ว่ามันจะหน้าตาหล่อเหลา แต่ปากมันกว้างจริง มันจึงไม่มีทางเถียงทัน หลังจากวันนั้นจนถึงทุกันนี้ ที่ต่างคนต่างทำงานเมื่อมีโอกาสเจอกัน อุ๊ก็จะโดนแซวว่า ว่าไงอุ๊ เก็บเงินถึงสี่แสนยัง ขณะเดียวกันไอ้เอกก็จะถูกทักว่า เค้ามีแต่ลบรอยสัก ปานแดง ปานดำ ปากที่โดนสักหมาถาวรนี่.... เค้าไม่มีลบปากหมาถาวรเหรอว่ะ หลังจากที่ไอ้เอก โดนหญิงอุ๊พูดจี้ใจดำเรื่องปากกว้างมันก็จะพูดปลอบใจตัวเองตลอดว่า ไม่เคยเห็นปากจูเลีย โรเบิร์ตเหรอ กว้างแต่หน้าจูบนะเว้ย ปากกูก็คงจะเป็นอย่างนั้น มันพูดเสร็จพวกเราก็ได้แต่ฟังตาปริบๆ ปล่อยให้มันคิดไป หากนั่นคือความสุขของมัน เรื่องความลำบากของอุ๊ ที่ผมรับรู้ เกิดขึ้นภายหลังที่ผมบอกกับอุ๊ว่าผมเป็นเกย์ อุ๊จึงกล้าที่จะเปิดเผยเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่ค่อยจะได้คุยกับใครบ่อยนัก โอ้ย ปวดท้องจัง อุ๊บ่นขึ้นที่ห้องสมุดคณะที่ที่เราอ่านหนังสือเตรียมตัวก่อนไปเรียนคาบเรียนต่อไปซึ่งมีการเรียนภายในไม่ถึง 10 นาทีข้างหน้า ปวดท้องแบบท้องเสียเหรอ ผมถาม หญิงอุ๊ส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่ใช่ กินอะไรแสลงมาเหรอ แต่มื้อเช้ามื้อเที่ยงเราสองคนก็กินเหมือนกันนี่หนา พล เธอเข้าเรียนเถอะเราคิดว่าจะไม่เรียนคาบนี้แล้ว ขอเรากลับไปที่หอก่อน อุ๊บอก เฮ้ย ! แล้วถ้าอาจารย์มี ควิส ( Quiz) ขึ้นมาอุ๊ก็แย่สิ เก็บคะแนนด้วยนะ ผมทักทวง เพราะควิส คือแบบทดสอบย่อยในชั้นเรียน และอาจารย์คาบต่อไปได้ชื่อว่าเข้มมากในเรื่องหากนักศึกษาไม่เข้าชั้นเรียนไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ไร้ความปราณี ไปเรียนเถอะ อดทนหน่อย ตอนเรียนไม่คิดถึงมันเดียวมันก็หายเองแหละ ถ้าท้องเสียก็ขออนุญาตออกมาห้องน้ำก็ได้นี่ เหลืออีกคาบเดียวนะวันนี้นะ ผมยืนยันจะให้อุ๊ไปเรียนให้ได้ เอ๊า! ไปก็ไป จริงของเธอ อุ๊ตอบ เราสองคนเข้าเรียนในวิชานั้น เรานั่งหน้าเรียน อุ๊ที่ร่าเริงมาตลอด วันนั้นหน้านิ่วมือข้างซ้ายวางบนตักมือขวากำปากกาจดตามที่อาจารย์บรรยาย สักครึ่งชั่วโมงผ่านไป หญิงอุ๊เริ่มหน้าซีดขึ้น มือที่กำปากกานั้นแน่นไม่ขยับเขียนตามคำบรรยาย ผมมองหน้าอุ๊แล้วกระซิบถามว่า ไหวมั้ย ไปห้องน้ำมั้ย อุ๊ส่ายหน้าแต่หน้าซีดลงไปเรื่อยๆ ปวดก็อย่าทนไปห้องน้ำเถอะท้องเสียไม่ควรกลั้นนะ ผมเซ้าซี้ ไม่เป็นไร ท้องไม่เสีย อุ๊ตอบพร้อมหายใจยาวเหมือนต้องการควบคุมความเจ็บปวด แล้วเป็นอะไรนะ ผมถามต่อ ยังไม่ทันที่อุ๊จะตอบก็มีเสียงดังมาแทรกว่า เธอสองคนมีเรื่องอะไรจะเล่าให้เพื่อนในชั้นฟังเหรอ เสียงอาจารย์ชายสุดเฮี้ยบถามเราสองคน ผมถึงกับสะดุ้งแล้วยิ้มแห้งๆ เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ ถ้าไม่มีก็ตั้งใจเรียน อาจารย์บอก พร้อมมองหน้าผมสองคนเชิงดุ ทำให้ผมไม่กล้าจะสบตากับหญิงอุ๊จนจบชั่วโมง แล้วการเรียนก็ดำเนินมาครบ ห้าสิบนาทีของเวลา หนึ่งคาบเรียน อาจารย์และเพื่อนๆต่างเดินออกจากห้องไป ผมก็ลุกตาม เหลือแต่อุ๊ที่เอามือกุมท้องตัวงอ เอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะ หายใจถี่ ผมตกใจ อุ๊ ปวดมากเหรอ ไปรีบกลับหอกันดีกว่า ผมรู้สึกเป็นห่วงแล้วพูดแสดงความห่วงใยต่อ ปวดท้องไม่มีสาเหตุแบบนี้ น่ากลัวนะ ชั้นรู้ว่าปวดท้องเพราะอะไร อุ๊ตอบเสียงสั่น อ้าว ! แล้วทำไมไม่บอกล่ะว่าปวดเพราะอะไร จะให้ชั้นบอกว่าเป็นเมนส์ต่อหน้าผู้ชายสามสิบกว่าคนในชั้นเรียนนะเหรอ! อุ๊เสียงฉุนเฉียว ...................... ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูก พล....ช่วยพยุงชั้นกลับหอที คราวนี้ชั้นรู้สึกไม่ไหวจริงๆ ได้ ไปกันเถอะ ผมรีบเข้ามาประคองร่างอุ๊ อุ๊หน้าซีด พร้อมกับรวบรวมกำลังทั้งหมดลุกขึ้นเกาะที่บ่าผมไว้ โอ้ย! ผมอุบานเพราะอุ๊บีบที่บ่าผมแน่น ขอโทษ เจ็บเหรอ อุ๊ถามผม อือ ข้างในมดลูกชั้นเจ็บกว่าหลายเท่า เสียงอุ๊พูด และหน้าตาของอุ๊ที่ผมมองเห็น สื่อถึงความเจ็บปวดที่ไม่ได้แกล้งทำแต่อย่างใด และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จากคนที่สนิทว่า การปวดประจำเดือนมันเจ็บแค่ไหน ผมอาจจะเรียนมาก็จริงว่าผู้หญิงอาจมีการปวดท้องเมื่อปวดประจำเดือนแต่ครั้งนี้ ผมได้ซึบซับผ่านแรงบีบที่อุ๊ได้บีบที่บ่า ว่าอุ๊ปวดอย่างแสนสาหัส ผมพาอุ๊กลับมาที่หอพัก อุ๊ทรงลงที่เตียงนอน นอนขดตัวงอเหมือนกุ้งที่หดตัว ผมรู้สึกสงสารที่เพื่อนเจ็บแต่ผมไม่สามารถช่วยอะไรอุ๊ได้ อุ๊ให้ผมหยิบยาแก้ปวดให้พร้อมกับน้ำหนึ่งแก้ว เพื่อกินระงับความปวด เป็นยาที่เธอมีไว้ประจำห้องอยู่แล้ว จากนั้นผมให้อุ๊นอนพัก ผมบอกว่าเดี๋ยวผมจะซื้อข้าวเย็นมาทานด้วยกันที่ห้องเอง แล้วผมกำลังจะออกจากห้องของอุ๊ แต่แล้วก็ต้องหันหลังกลับเมื่อเสียงอุ๊เรียก พล อยู่เป็นเพื่อนชั้นจนกว่าชั้นจะหลับได้ไหม ได้สิ ผมบอก คนอื่นมันก็ไปเตะบอลกัน ที่ห้องเราก็อยู่คนเดียวอยู่แล้ว ผมยิ้มให้อุ๊ ปวดอย่างนี้ทุกเดือนเหรอ ผมถามด้วยความเป็นห่วง อื้อ อุ๊ตอบ ปวดแค่ไหนล่ะ อาการปวดมันเป็นแบบไหน ผมก็ดันอยากรู้อีก อยากรู้จริงๆเหรอ ผมพยักหน้าลงแทนคำตอบ จะบอกยังไงดีล่ะ คือ....เอาเป็นว่าเธอจินตนาการว่าเธอกินข้าวอิ่มจนอึดอัดท้องป่องขึ้นมา มันก็จะรู้สึกไม่สบายตัว ปวดแน่นไปหมด ขณะเดียวกันก็จะรู้สึกว่าเลือดมันไหลออกมาจากตัวตลอด คนที่อยู่ใกล้ตัวไม่รู้สึกหรอกนะ แต่คนที่เป็นเมนส์ก็จะรู้สึกเหม็นตัวเอง เหม็นเลือด ไอ้เลือดที่ไหลออกนี่มันจะทำให้เราหงุดหงิด พอปวดท้องมันก็จะทำให้ปวดหัว มันไม่สบายตัว รู้สึกท้องป่องและก็ปวดขึ้นๆ อยากให้ใครมาใกล้เลยมันมุดมัด รำคาญไปหมด ยาก็ช่วยบรรเทาไม่ได้ทำให้อาการหายปลิดทิ้งหรอก โชคดีที่สมัยนี้มีผ้าอนามัยใช้ หาซื้อง่ายนะ ชั้นเคยคิดเล่นๆคนสมัยก่อนต้องลำบากแน่ๆ ผมฟังสิ่งที่อุ๊อธิบาย พยามเข้าใจในความเจ็บปวดที่ผู้หญิงมีทุกเดือนๆ แต่ถึงจินตนาการไปผมก็ไม่มีมดลูกไม่มีรังไข่ คิดได้แค่ปวดท้องเพราะกินอิ่ม แต่อาการที่อุ๊อธิบายว่ามีเลือดไหลออกด้วยนี่ ทำเอาผมรู้สึกหวาดเสียวเลยทีเดียว เธอรู้ไหม สมมติว่าแต่ละเดือนเราได้เงินใช้จากพ่อแม่เท่ากัน ชั้นต้องเอาส่วนหนึ่งมาซื้อ ยกทรงในขณะที่พวกเธอก็มีแต่กางเกงใน แล้วรายจ่ายของชั้นก็เพิ่มขึ้นเพราะต้องสำรองจ่ายค่าผ้าอนามัยต่อเดือนเป็นร้อย หา! เป็นร้อยเชียวเหรอ ผมตกใจ เออสิ! ร้อยนี่ ขณะที่พวกเธอสามารถกินก๋วยเตี๋ยวได้ตั้งหลายชาม ส่วนชั้นต้องประหยัดเอาไว้กับค่าผ้าอนามัย เฮ้อ! คิดดูแล้วกัน ว่าความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหนสำหรับผู้หญิงกับผู้ชาย อุ๊ เปรียบเทียบอย่างมีเหตุผล ขณะผู้หญิงปวดท้องและต้องประหยัด ผู้ชายก็อิ่มท้อง และแน่นอนมื้อเย็นมื้อนี้ ผมจะหลีกเหลี่ยงก๋วยเตี๋ยวเพราะจินตนาการผมตอนนั้นมันมีทั้งเลือดสดและก๋วยเตี๋ยว แต่คนที่น่าสงสารที่สุดคงจะเป็นพ่อกับแม่ อุ๊พูดต่อ อย่างชั้นมีพี่น้องสามคนเป็นหญิงหมด พ่อแม่ต้องหาเงินมาซื้อของพวกนี้มาให้ลูกๆใช้ แถมใช้แล้วมาใช้อีกไม่ได้ด้วยนะ ใช้แล้วทิ้งอย่างเดียวแย่จริงๆ... เสียงอุ๊เริ่มเบาลงเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะยาแก้ปวดและได้ผ่อนคลาย ผมมองเห็นอุ๊หลับตาลง และหลับไป ผมนิ่งเงียบมองหน้าของอุ๊ เรื่องบางเรื่อง ธรรมชาติก็สร้างให้แค่ฝ่ายหนึ่งเข้าใจความเจ็บปวดของการมีประจำเดือน ถึงแม้ในขณะนาทีนี้ ผมก็ไม่รู้ว่ารสชาติความเจ็บนั้นเป็นอย่างไร ผมรู้แต่ว่า คงไม่มีใครอยากจะได้รับความเจ็บปวดหรอก ทุกคนอยากสบายๆ สำหรับผู้ชายแท้ หรือผู้ชายเกย์ อย่างผมที่แต่ละเดือนไม่ต้องคอยกังวลว่าจะต้องปวดท้องเพราะประจำเดือน เราโชคดีแค่ไหน เราควรแบ่งปันความโชคดีของเราโดยการเข้าใจเขาบ้าง ถ้าเค้าบ่นปวดท้อง ปวดหัว อยากอยู่บ้านคนเดียวไม่อยากไปไหน แม้ว่าเราอาจจะนัดเค้าไปดูหนัง ออกไปซื้อของ แล้วเค้าปฏิเสธเพราะเหตุผลปวดท้อง ทั้งหลายแหล่ จงอย่าเซ้าซี้ แต่คุณควรถามและแสดงความเป็นห่วง มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้าง ถ้ามันทำให้คุณจะได้รู้สึกดี ถึงแม้จะทำได้แค่คำพูดแค่นั้น เพราะเราทำอะไรได้ไม่ได้มากกว่านั้นจริงๆ และหากได้คำตอบจากผู้หญิงว่า คุณกลับไปก่อนเถอะ ก็จงน้อบรับในคำตอบนั้นให้เค้าได้อยู่คนเดียวในช่วงนั้นของผู้หญิง เพราะคงมีผู้หญิงเท่านั้นครับ ที่เข้าใจความลำบากที่มาเป็นประจำ...ทุกเดือน...ทุกเดือน ...............................(จบตอนที่ 7)............................
31 มกราคม 2549 11:57 น. - comment id 89322
อ่านแล้วแวะทักทายกันหน่อยเป็นกำลังใจกันให้บ้างนะครับ....
31 มกราคม 2549 12:16 น. - comment id 89324
จำได้ไม๊ เคยแวะมาทักทายคุณนะ ไม่ว่างมาก ๆ พอดีแวะมาเช็คงาน ผ่านมาดูบ้านกลอนหน่อย เจองานคุณ เพลินไปเลย ชอบงานคุณนะ รวมเล่มบอกด้วยจ้ะ ไปทำงานละ
31 มกราคม 2549 12:34 น. - comment id 89325
จำได้สิครับคุณพระจันทร์ ขอบคุณมากๆที่ให้กำลังใจ และรู้สึกดีมากๆ ที่คุณพระจันทร์บอกว่า อ่านเพลินไปเลย ทำให้รู้สึกมีกำลังใจมากมาย ส่วนเรื่องรวมเล่ม อยากรวมเหมือนกันครับ แต่ยังเขียนไม่เสร็จ ใครที่มีหนังสือเป็นของตัวเองแล้ว แนะนำด้วยครับ ว่าต้องทำแบบไหน อิอิ อยากออกเป้นหนังสือเหมือนกันครับ
31 มกราคม 2549 13:36 น. - comment id 89328
เมื่อเช้าเพิ่งแวะไปทวงที่ ตอน 6 ไม่นึกนะเนี้ยว่าจะได้อ่านวันนี้ด้วย ตอน 8 มาเร็วๆนะ อยากรู้แล้วล่ะว่าเรื่องจะเป็นไงต่อไป ขอบคุณอ่ะ
31 มกราคม 2549 14:52 น. - comment id 89329
ขอบคุณ คุณ ช้อบ ชอบ ที่เข้ามาทักทายกันนะครับ เดี่ญวจะเอาตอน 8 มา โพส ครับ ใจเย็นๆนะครับ
31 มกราคม 2549 18:27 น. - comment id 89340
งานเลิกแล้ว นั่งจิบเบียร์แก้เหนื่อย เลยแวะมาอีกรอบ อยากบอกว่า เขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองได้ดีค่ะ ลื่นเนียนดี เคยอ่านเรื่องที่เขียนเล่าเรื่องใกล้ตัวสนุก ๆ อย่างของวาณิชไม๊คะ อ่านสนุกนะ แต่พอนานไป เรื่องของตัวเองมันจะหมดค่ะ ไม่รู้จะเล่าอะไร ถ้าอยากเป็นนักเขียนจริง ๆ อย่างที่บอกในประวัติ (แอบไปดูมาแล้ว ชอบคาริลยิบรานเหมือนกัน) คงต้องแต่งเรื่องบ้าง สร้างตัวละคร วางพล็อตน่ะนะคะ บอกคุณตามทฤษฎีนะคะ ตัวเองก็เคยเขียนมา ได้ลงหนังสือบ้าง แต่ร้างไปนานเต็มที เวลาไม่ค่อยมีค่ะ สำหรับการเขียนบทละคร เคยเรียนกับครูช่าง น่าสนใจ แต่ขี้เกียจ เลยไม่ได้ลองจริงจังสักที ครูช่างแนะนำว่า ให้ลงมือเขียน ทำปกให้สวยงาม แล้วบุกเข้าไปเสนอตามผู้จัดเลย แต่เอาเข้าจริง ก็ยาก มันคงต้องใช้เส้นสายพอควร หรือเรื่องเราต้องดีจริง ๆ เวลาจะเริ่มเขียน ครูช่างให้คิดถึงเรื่องระยำที่เราเคยทำไว้สักเรื่อง เพื่อหาแก่นหรือ theme ของเรื่อง จากนั้นถามตัวเองว่าไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แล้วสร้างตัวละครตัวแรกจากบุคลิกของคน ๆ นั้น จะเกิดตัวละครเอกขึ้น มีสถานการณ์เข้ามา มีตัวละครตัวที่สองที่จะมีความขัดแย้งกับตัวละครเอก และ ตัวละครตัวที่สาม(อาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของก็ได้) คือตัวที่จะตัดสินว่า ตัวละครตัวแรกจะทำอย่างที่ต้องการสำเร็จไม๊ ตัวละครประกอบอื่น ๆ ที่เห็นในละคร ถ้าจัดเข้ากลุ่มแล้ว จะไม่พ้นสามตัวนี้ นี่อาจจะเข้าใจยาก ต้องมีตัวอย่างประกอบจะเข้าใจ ยาวไปแล้วมังคะ เอาเป็นว่าถ้าสนใจ คงต้องรอเวลามีการเปิดสอน หรือหาหนังสืออ่าน มีหนังสือดี ๆ ที่เคยอ่านเกี่ยวกับการเขียนบท ถ้าสนใจ จะไปค้นชื่อให้ (เมื่อว่างค่ะ) เป็นกำลังใจให้ยาวมากเลย ขอให้มีความสุขกับการเขียนค่ะ อ้อ สำหรับคาลิล ยิบราน ชอบตรงนี้ค่ะ \"ความรักไม่รู้จักคุณค่าของตัวเองจนกว่าจะถึงเวลาของการจากพราก\"
1 กุมภาพันธ์ 2549 17:23 น. - comment id 89355
มาชายังดีกว่าไม่มานะ ยังไงผมก็ได้อ่านละ ขอบคุณนะคับ แต่มาไวๆหน่อยนะ ผมรอนานอะ ชอบเรื่องคุณจริงๆ เป็นกำลังใจให้นะ