ตอนที่ 3 เราล้วนต่างอยู่เพื่ออะไร เมื่อผมเล่าเรื่องที่ผมอกหักให้เพื่อนฟังเสร็จ อาหารก็เริ่มจะหมดโต๊ะพอดี อาจเป็นเพราะทุกคนหิวหรืออาจเป็นเพราะบรรยากาศของเพื่อนฝูงกลับมาอีกครั้งจึงทำให้ทุกคนเจริญอาหารก็ได้ หลังจากที่ทุกคนเริ่มวางช้อนส้อมสำหรับมื้อนั้น ผมได้สั่งให้บริกรเคลียร์โต๊ะ เพื่อให้ทุกคนได้ดื่มและพูดคุยกันได้สะดวกยิ่งขึ้น ไอ้เอกได้สั่ง ยำแหนม มันฝรั่งทอด และผลไม้รวม มาเป็นของกับแกล้ม เรื่องอกหักของมึงนี่กูไม่เห็นมันจะเศร้าตรงไหนเลยว่ะ ไอ้ภูมิเปรยขึ้น แหมมึง เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ไอ้เศร้านะ...หลังอกหักใหม่ๆ มันไม่เศร้ามากหรอก มันเศร้าหลังจากนั้นต่างหาก พอหลังจากที่กูได้รู้ว่าโลกที่กูได้เหยียบเข้าไปหา...มันน่าค้นหาสำหรับเกย์ฝึกหัดอย่างกูในตอนนั้นมากแค่ไหน กูก็เริ่มใช้ชีวิตของกูอย่างคุ้มค่า มีเรื่องหนึ่งที่กูอยากจะขอบใจพี่ชัยยุทธด้วย ผมตอบมัน ขอบคุณ ?? ทั้งที่นายโดนนอกใจนะเหรอ ?? เต้ถามผมบ้าง นั่นสิ ! เราไม่เห็นว่าพลจะต้องไปขอบคุณเค้าตรงไหนเลย ทิวออกความเห็นบ้าง ต้องขอบคุณสิ อย่างน้อยเราก็ได้ประโยคเด็ดในการชวนหนุ่มไปกินข้าวด้วย โดยไม่ต้องชวนตรงๆ แค่บอกว่า....ผมอยากกินอาหารหลายๆอย่าง ว่าจะสั่งมาทั้งหมด แต่ผมคนกินคนเดียวไม่หมดแน่ ไม่ทราบว่าคุณว่างพอจะไปกินเป็นเพื่อนผมไหมครับ.... อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยว่ะ ถ้าเค้ามีใจให้อยากไปกับเราอยู่แล้ว.....เป็นอันเสร็จเราทุกราย ผมพูดจบพร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าอวดเล็กๆ ยังไม่ได้พูดอะไรต่อ ไอ้เอกก็สอดมาว่า มิน่า มีอยู่ช่วงหนึ่งมึงชอบไปกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลยที่แท้มึงก็..... ใช่ กูมีอะไรกับผู้ชายหลายคนในตอนนั้น แล้วไง?? กูไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน พี่ชัยยุทธเค้ามีของเค้าไปเรื่อยๆได้ ทำไมกูจะมีเรื่อยๆ ของกูบ้างไม่ได้งั้นเหรอ ผมตอบ นาย ก็เลยถือว่าการมีอะไรกับคนอื่น...ถือเป็นการ...แก้แค้นเค้างั้นเหรอ ??? ตุลย์ถามผม บอกตามตรง...ใช่ ! นายคิดดูในตอนนั้น กับการที่เราต้องอกหักแล้วต้องมาเจอเค้าที่สปอร์ตคลับเดิม เห็นการมีความสุขของเค้าทุกวันๆกับผู้ชายคนใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะที่จะผจญเรื่องแบบนั้น เราเลยคิดอยู่อย่างเดียว ในเมื่อเค้ามีความสุข แล้วทำไมเราจะมีความสุขด้วยตัวของเราเองบ้างไม่ได้ เค้ามีความสุขแค่ไหน...เราต้องมีความสุขมากกว่าเค้าให้ได้ แล้วมันคุ้มกันไหมว่ะ ตุลย์ถามผม ผมมองหน้าตุลย์ ยิ้มแล้วส่ายหน้า ตอบตามวุฒิภาวะของเราตอนนี้ เฮ้อ ! ไม่มีทางที่มันจะคุ้ม เราเสียหลักไปพักใหญ่ๆ เราเที่ยว เรามั่วผู้ชาย มันทำให้เราสนใจการเรียนน้อยลง เราเที่ยวกลางคืนมากขึ้นเที่ยวดึกตื่นไม่ทัน โดดเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน แล้วไงนะเหรอ เทอมนั้นเราได้เอฟเป็นของรางวัลมาสามตัว มันไม่คุ้มกันหรอกว่ะ กับคะยวยหลายอันที่ได้มาแลกกับเอฟสามตัว และที่แย่กว่านั้นพอติดเอฟก็ลงวิชาต่อไม่ได้ทำให้เราเรียนไม่จบภายในสี่ปี และที่แย่ของแย่กว่านั้นคือ การต้องตอบคำถามกับพ่อแม่ว่าทำไมถึงได้เอฟสามตัวในเทอมเดียวกัน นั้นล่ะมันเศร้ากว่าตอนอกหักอีก การอกหักตอนนั้น เราเกือบจะเอาตัวแทบไม่รอด....ดีที่เรามีพ่อแม่ช่วยไว้ แต่ชีวิตเราในวันนี้ก็เกือบต้องแลกด้วยชีวิตอีกหนึ่งชีวิตเหมือนกันนะ พูดจบผมก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ลุงพล เราขอถามลุงพลอะไรอีกอย่างได้ไหม กิมหันมาพูดกับผม หลายอย่างก็ได้กิม ผมตอบกวนๆ แล้วพ่อแม่ของลุงพลรู้ไหมว่า ลุงพลเป็น....เออ...... กิมเริ่มประเด็นแต่ก็ดูเกรงใจกับคำถามที่ได้เอ่ยออกมาถามผม เป็นเกย์นะเหรอ ? ผมแทรกคำถาม ใช่ กิมตอบ ไม่เป็นไรกิม..... พูดออกมาเถอะ คำว่า เกย์ น่ะ เราไม่มีปัญหากับคำๆนี้ หรอก พูดให้ชิน อีกหน่อย.... นายก็พูดคุยกับคนอื่นๆได้ว่า นายมีเพื่อนเป็นเกย์ ฝึกพูดให้คุ้นเคยซะ ผมพูดอย่างติดตลก นั่นสิ มึงบอกพวกกูแล้วนี่ แล้วที่บ้านมึงรู้หรือเปล่ามามึงเป็นเกย์ ไอ้ภูมิสอดขึ้นบ้าง อือหือ ไอ้ภูมิมึงนี่ช่างผสมโรงอยากรู้ทุกเรื่องเลยนะมึง เห็นไหมกิม ? ไอ้ภูมิมันยังพูดได้เต็มปากกับคำว่าเกย์ อย่างกะมันมีเพื่อนบ้านเป็นเกย์ ยังไงยังงั้นแนะ ผมแขวะ นี่ ไอ้พล ! แล้วตกลงที่บ้านมึงรู้เปล่าล่ะ ไอ้เอกถามผมบ้าง ผมนิ่งไปนิดหนึ่งในคำถามที่เพื่อนๆช่วยกันถาม ไม่รู้หรอก กูไม่ได้บอกพ่อแม่กูตรงๆ ผมตอบ อ้าว แล้วที่บ้านนายก็คิดว่านายเป็นผู้ชายปกติสิวะ ไอ้ตุลย์ออกความเห็น เป็นเกย์มันผิดปกติตรงไหนวะตุลย์ ?? เรามีอะไร ที่ทำเหมือนพวกนายไม่ได้บ้าง เราก็มีสองมือสองเท้า เท่ากับพวกนาย มีสมองสติปัญญาร่ำเรียนมาในคณะเดียวกับพวกนาย และก็ทำงานไม่เป็นภาระให้ใคร เราไม่เห็นว่าการเป็นเกย์อย่างเราจะผิดปกติตรงไหนนะ ผมตั้งคำถาม ทุกคนเงียบไปได้อึดใจแล้วก็มีเสียงทุ้มๆของเต้พูดขึ้นมาว่า นายเอากับผู้หญิงไม่ได้เหมือนพวกเรา เต้พูดออกมาเหมือนภาคภูมิใจ ผมมองไปที่เต้ ยิ้มและก็ตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ภาคภูมิใจไม่แพ้กันไปว่า น้อยๆหน่อยเต้ การเป็นเกย์ไม่แน่เสนอไปว่าจะเอากับผู้หญิงไม่ได้นะ อีกอย่างเราก็ไม่เคย พูดว่าเราไม่เคยเอาผู้หญิงนะ เอาประเด็นนี้ดีกว่า .... แล้วพวกนายเอากับผู้ชายได้อย่างเราหรือเปล่าล่ะ ทุกคนรีบส่ายหัวปฏิเสธกันใหญ่ ผมจึงทำตาลุกวาวเหมือนถือไพ่เหนือกว่า และก็พูดต่อว่า เห็นมั้ย เราถือว่าความสามารถเฉพาะตัวนี้ ถือว่าเจ๊ากัน และเสมอกัน เราถึงไม่คิดว่าการเป็นเกย์มันจะผิดปกติตรงไหน เซ็กส์ก็คือเซ็กส์ ถึงจุดสุดยอดได้เหมือนกัน ผิดกันแค่รสนิยม เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เออ! นายมันปกติ เราหมายถึงที่บ้านนายก็ไม่รู้.....แล้วคิดว่านายเป็นผู้ชายธรรมดาต่างหากเล่า ไอ้ผู้ชายมหัศจรรย์ ตุลย์อธิบายและดูหงุดหงิดเล็กๆกับคำพูดที่ผมประชดประชัน ผมรู้ว่าตุลย์ไม่ได้มีเจตนาต่อคำถามในเชิงดูหมิ่นหาว่าผมไม่ปกติ แค่ผมอยากจะย้ำให้ทุกคนรู้ว่าการเป็นเกย์ไม่ได้ผิดปกติ เพราะผมเป็นเกย์มาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่พึ่งโดนยุงที่เป็นเกย์กัดแล้วติดเชื้อจากยุง และไม่อยากให้พวกเพื่อนคิดว่าผมผิดปกติด้วยนั่นคือจุดสำคัญ แล้วทำไมพลไม่บอกกับพ่อกับแม่ล่ะ ทิวถามขึ้นบ้าง มันไม่เหมือนกันนะทิว คนเราต่างคนต่างก็เกิดกันคนละยุค คนละสมัยตอนแรกเราก็คิดว่ามันจะง่ายๆ แค่เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าพ่อกับแม่แล้วบอก .......พ่อครับ แม่ครับ ผมเป็นเกย์...... แต่เรามาคิดๆดูแล้วเรื่องบางเรื่องสำหรับบางคนก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้ทุกเรื่องนี่ ผมตอบคำถามทิว นี่ก็แสดงว่ามึงก็ยังหลอกโกหกพ่อแม่ไปวันๆนะสิ ไอ้ภูมิด่วนสรุป กูไม่บอกพ่อแม่กูตรงๆ ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่บอกทางอ้อมนี่หว่า ไอ้หนูสกปรกภูมิ !!! กูมาลองคิดๆดูนะเว้ย ถ้ากูเดินเข้าไปบอกพ่อกับแม่ว่า.......พ่อครับ แม่ครับ ผมทำผู้หญิงคนหนึ่งท้อง........ กูว่าพ่อแม่กูคงจะมีคำถามน้อยกว่าที่กูจะบอกว่า.......พ่อครับ แม่ครับ ผมมีเมียแล้ว แต่เมียผมเป็นผู้ชายครับ......ปัญหากับเรื่องหลังมันต้องมากเป็นทวีคูณแน่ๆ หรือไม่ก็บอกว่า พ่อครับ แม่ครับ ผมมีผัวแล้วครับ ไอ้เอก ก็กัดผมอีกจนได้ ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา ไอ้เชี่ยเอก ! เกินไปแล้วนะมึง ผมด่ามันแบบไม่จริงจังเพราะผมก็อดหัวเราะไปกับคำที่มันกัดผมไม่ได้ และก็พูดต่อไปว่า กูเคยบอกเค้าอ้อมๆ เหมือนกัน พอหลังจากกูทำตัวเละเทะได้คะยวยมาหลายอันพร้อมกับได้ เอฟมาสามตัวในเทอม ทำให้ลงวิชาต่อไปไม่ได้เพราะต้องผ่านวิชาพรีก่อน เสียเวลาไปปีหนึ่ง ทำให้กูจบช้าทีหลังพวกมึง ผมตอบ เฮ้ย ! เราก็จบช้า เราจบพร้อมนาย อย่าลืมสิวะ ตุลย์แย้ง ผมมองไปที่ตุลย์แล้วบอกว่า เออใช่ .....แต่ตอนที่กูจบช้ากูไม่ได้บอกทางบ้านเว้ย แล้ววันหนึ่งแม่กูก็โทรศัพท์มาร้องห่มร้องไห้ให้กลับบ้านด่วน พ่อกูหัวใจล้มเหลวอยู่ในห้องไอซียู เพราะได้รับจดหมายจากทางคณะแจ้งผลการเรียน และบอกว่ากูเรียนไม่จบ...... พ่อกูเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วถึงกับล้ม ความรู้สึกตอนนั้นทำให้กูรู้สึกว่ากูเป็นต้นเหตุให้พ่อกูต้องเข้าโรงพยาบาล กูไม่อยากนึกต่อเลยวะ ถ้าพ่อกูเป็นอะไรไป กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูจะทำอย่างไง เหมือนกูเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายทุกอย่าง.....และถ้าพ่อกูตายกูคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ๆ ถึงตรงนี้ ความทรงจำเก่าๆก็ได้ปรากฏเป็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น วันนั้นหลังจากที่ผมยกหูโทรศัพท์จากแม่ของผมแม่โทรมาบอกว่า พ่อหัวใจกำเริบ หลังจากที่ได้จดหมายจากมหาวิทยาลัยแจ้งผลการเรียนของผม ตอนนี้พ่อผมยังอยู่ที่ห้อง ไอซียู ผมนิ่งเงียบ........พร้อมกับอึ้งเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอเมื่อแม่ถามว่า เกิดอะไรขึ้นเหรอพล ? ทำไมการเรียนลูกถึงได้ตกขนาดนี้ เสียงแม่สั่นเครือ ผมรู้ว่าแม่กำลังร้องไห้อยู่ ผมจะตอบอย่างไรดีเหล่าจะบอกความจริงว่าผมเอาแต่เที่ยวเพราะต้องการประชดผู้ชายจนไม่ไปเรียนอย่างนั้นเหรอ...ผมทำไม่ได้ ผมจะรีบกลับบ้าน ไปหาพ่อกับแม่ครับ แล้วเราค่อยคุยกัน... นั้นคือคำตอบที่แม่ได้จากปากผม... ผมรีบกลับบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ผมเป็นเด็กจากจังหวัดอื่นที่มาเรียนที่มหาวิทยาวัยเชียงใหม่ ต้องอาศัยการเดินทางโดยใช้รถปรับอากาศ หัวใจผมกระวนกระวายไม่สามารถนอนหลับขณะเดินทางได้ ได้แต่ภาวนาอย่าให้เกิดเรื่องร้ายกับพ่อของผมเลย ช่วงเวลา 10 ชั่วโมงในการเดินทางคืนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม มันเหมือนกับว่าการเดินทางของเวลามันช้าลงกว่าที่มันควรจะเป็น เมื่อเดินทางมาถึงบ้านเกิด ผมตรงไปที่โรงพยาบาลทันที ถามประชาสัมพันธ์ ได้รับข่าวดีว่า พ่อของผมออกจากห้อง ไอซียู มาพักฟื้นที่ห้องพิเศษแล้ว คำพูดของเจ้าหน้าที่ที่แจ้งผมในตอนนั้นมันมีความหมายมาก เหมือนยกความกดดันออกจากบ่าได้หนึ่งก้อน แค่นี้ ก็ทำให้ผมโล่งใจไปขั้นหนึ่งแล้ว แต่เมื่อถึงหน้าห้องที่พ่อผมพักผมพบแม่ออกมายืนอยู่คนเดียวนอกห้อง น้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้มของแม่ แต่เมื่อแม่เห็นผม แม่ก็เอามือมาปาดน้ำตาออกจากแก้ม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่นั้นมันก็ทำให้ผมรับรู้ว่าแม่กำลังเป็นทุกข์ขนาดไหนทั้งเรื่องพ่อ บางทีที่หนักที่สุดก็คือ.....เรื่องของผม แต่ด้วยความเป็นแม่ที่ไม่ต้องการให้ลูกเห็นน้ำตาแม่จึงต้องทำตัวเข้มแข็ง สวัสดีครับแม่ ผมยกมือขึ้นไหว้แม่ เค้นเสียงให้ดูเหมือนปกติที่สุดทั้งๆที่ตอนนั้นน้ำตามันคงท่วมหัวใจผมไปแล้ว มาถึงแล้วเหรอลูก นั่งรถมาเหนื่อยมั้ย แม่ถามผมเสร็จ อาการที่แม่ต้องการเก็บทั้งหมดมันเหมือนเขื่อนที่แตกพังทลายออกมา แม่ร้องไห้กลั้นน้ำตาไม่ได้อีก แต่แม่ก็ยังพยายามควบคุมเสียงไม่ได้ดังเกินไปนัก เกิดอะไรขึ้นลูก มันเกิดอะไรขึ้น.... สายตาของแม่เต็มไปด้วยคำถามที่รอคำตอบจากผม ผมตัวแข็งทื่อ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอยากจะสารภาพความจริงว่าลูกคนนี้มันเลว มันทำให้แม่ผิดหวัง มันหลงผิดไปเพราะแค่อกหัก ถึงตอนนี้ ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต ไม่อยากเที่ยวประชดชีวิต จะไปเรียนทุกคาบ ทุกวิชา แต่ชีวิตไม่เหมือนในการ์ตูน ชีวิตจริงไม่มีไทม์แมชชีน เราต้องอยู่รับมือกับสิ่งที่เราก่อ ผมขอโทษครับแม่ ...... ผมพูดได้เท่านั้นจริงๆในตอนนั้น ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากสะอื้นไห้จนตัวสั่นเทา แต่ความเศร้าของผมมันคงเทียบไม่ได้กับความเศร้าที่แม่ผมแบกรับอยู่ขณะนี้ เป็นแม่เสียอีกที่เรียกสติผมกลับมา อย่าร้องไห้ลูก อย่าร้องไห้ เช็ดน้ำตาซะ เข้าไปดูพ่อก่อน พ่อรอลูกอยู่...อย่าให้พ่อเห็นน้ำตา แม่ใช้มือของแม่ปาดน้ำตาให้ผมพร้อมกับเข้ามากอดปลอบประโลม ครอบครัวเราไม่ได้กอดกันบ่อยนัก แต่การกอดครั้งนั้นทำให้รู้ว่า สิ่งที่ผมทำผิดพลาดที่สุดคือการทำร้ายจิตใจของพ่อและแม่ และสิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือ แม่มิได้ดุด่าและตบตีอย่างที่ผมต้องการอยากให้แม่ทำ หากแม่เงื้อมือขึ้นมาตบหน้าทำให้ผมเจ็บแม่ก็ทำได้ และผมก็ยินดีที่จะน้อมรับความเจ็บปวดที่แม่ตีลงมาเหมือนสมัยที่ผมยังเด็กเพราะความซุกซน แต่.......มือของแม่กลับเอามาปาดน้ำตาเรียกสติให้ผม ผมสงบจิตใจภายใต้อ้อมกอดแม่แม่ผมนิ่งแม่พูดขึ้นว่า ไป เข้าไปหาพ่อ คุยกับพ่อซะคุยดีๆนะ พ่อพึ่งฟื้นจากห้องไอซียู แม่จะให้ลูกคุยกับพ่อตามลำพังประสาพ่อลูก ครับแม่ ผมตอบ ผมหมุนลูกบิดและเปิดประตูเข้าไป พ่อผมกำลังนอนหลับอยู่ที่เตียง สายน้ำเกลือที่ต่อเข้าที่แขนของพ่อมันทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิม หากผมไม่เกิดเรื่องพ่อคงไม่ต้องมาเจ็บตัวขนาดเข้าห้องไอซียู หน้าพ่อที่หลับอยู่แดงก่ำ ผมคาดคะเนว่าความดันของพ่อคงสูงอยู่ น่าแปลกในตอนนั้นผมมองพ่ออย่างพินิจพิจารณา เมื่อก่อนตอนเด็กพ่อตัวใหญ่เคยอุ้มผมขี่คอ ในตอนนี้ พ่ออายุเยอะขึ้นตัวเล็กลง ไม่ใช่สิ พ่อตัวเท่าเดิม แต่ผมตัวโตขึ้น สูงขึ้น ผมค่อยๆเดินจนไปถึงข้างเตียง ไม่อยากปลุกให้พ่อตื่น ผมค่อยๆกราบลงไปที่ข้างเตียงแต่ไม่ให้โดนตัวพ่อเพราะเกรงจะเป็นการปลุกพ่อให้ตื่น แต่การกราบของผมคงไม่เบาพอ เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากการกราบ ผมก็เจอสายตาพ่อที่ลืมตาขึ้นมามองผมอยู่พอดี มาถึงแล้วเหรอ หมาพล เสียงพ่อเรียกผมว่าหมา มันไม่ใช่คำหยาบเลยแม้แต่นิดเดียว พ่อจะเรียกลูกทุกคนโดยมีคำว่า หมา นำหน้าชื่อเล่นเสมอ พี่สาวผมคือ หมาพิม พี่ชาย ของผมคือ หมาพัฒน์ น้องสาวของผมคือ หมาแพรว และตัวผมคือ หมาพล การเรียกลูกๆ ว่าหมานั้นหมายถึงพ่อของผมอารมณ์ยังดีอยู่ หากเรียกชื่อจริงเต็มๆโดยปราศจากคำว่า หมา นั้นต่างหาก หมายถึงคุณพ่อได้ถึงขีดสุดทางอารมณ์จนต้องคาดคะเนไว้ก่อนว่าจะต้องมีเรื่องแน่ๆ แต่นี่พ่อเรียกว่า หมาพล ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย พ่อเป็นไงบ้างครับ ผมถามอาการของพ่อ ซำบายดีอยู่ ยังหายใจรอลูกได้ พ่อผมตอบอย่างติดตลก ผมยิ้มกับคำตอบนั้นเสมือนผมตลกไปกับสิ่งที่พ่อพูด แต่มันไม่ตลกเลยในความรู้สึกผมตอนนั้น ผมจับมือพ่อแล้วบอกว่า ผมขอโทษครับพ่อที่เกิดเรื่องอย่างนี้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นละ บอกพ่อมาซิ พ่อช่วยได้ไหม มันเหลือบากกว่าแรงที่พ่อจะช่วยหรือเปล่า พ่อถามผมด้วยน้ำเสียห่วงใยที่ออกมาจากใจจริงๆ จนผมรู้สึกอาย สำนึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การสำนึกครั้งนี้ มันอาจจะดูสายไปเสียแล้ว ผม...ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดีครับพ่อ ผมพูดไม่ถูก เชื่อผมเถอะครับ ผมไม่กล้าจะร้องไห้ต่อหน้าพ่อเลยในชีวิตนี้แต่วันนั้นผมกลั้นน้ำตาของความรู้สึกผิด รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้แม้แต่น้อย ผมเงียบ ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรจริงๆ ลูกติดยาใช่ไหม พ่อผมถามผมด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ผมหัวเราะออกมาทั้งๆที่กำลังร้องไห้ต่อคำถามที่พ่อถามผม ผมรีบตอบทันที ไม่ครับพ่อ ผมไม่เคยคิดที่จะยุ่งกับเรื่องยาเลย งั้นก็เรื่องความรัก พ่อผมยังยิงคำถามต่อ ทำให้ผมอึ้ง แต่ผมก็พยักหน้าตอบรับ พ่อนิ่งต่อการตอบรับของผม ก่อนที่จะรู้สึกอึดอัดไปกว่านี้ ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดบางสิ่งบางอย่างต่อพ่อ แต่ก็ไม่ทันต่อคำพูดที่พ่อผมได้เอ่ยขึ้นมาก่อน ก็ยังดี...รู้หรือเปล่าว่าแม่ของลูกคิดมากนึกว่าลูกต้องติดยาแน่ๆ ไม่ครับ ไม่....แน่นอน! ผมยืนยันต่อคำตอบอีกครั้ง แล้วนี่ลูกจะเรียนจบไหม พ่อผมถามอีกครั้ง จบครับ จบแน่ แต่คงไม่ใช่ 4 ปีแล้วครับ ผมมองตาของพ่อ ผมรู้ว่าสายตานั้นคือสายตาที่ผิดหวังต่อคำตอบที่ผมมีให้ แต่มันก็เป็นความจริงที่สุดที่ผมต้องบอกออกไป ผมพลาดไปจริงๆครับพ่อ ผมไม่นึกว่ามันจะส่งผลถึงเพียงนี้ ผมมองหน้าพ่ออยู่ กุมมือพ่ออยู่ พ่อดูมีสีหน้าที่เหนื่อย พ่อถอนหายใจยาวแล้วพูดขึ้นว่า ชีวิตมันก็มีล้มมีลุก พ่อก็รู้.... เพียงแต่พ่อไม่ทันรับมือมันเท่านั้นเอง พ่ออาจจะคาดหวังเกินไป พ่อลืมไปว่าลูกโตแล้ว ลูกต้องเท่าทันชีวิต อาจเป็นความผิดของพ่อเองที่พ่อไม่ค่อยได้คุยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องการเรียน พ่อลืมไปว่าวัยหนุ่มมันมีเรื่องให้ผจญมากกว่าเรื่องการเรียน...ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อเอง เมื่อพ่อพูดจบ คำพูดพรั่งพรูก็ออกมาจากปากของผม ผมยอมไม่ได้ที่พ่อจะบอกว่าทั้งหมด มันเป็นความผิดของพ่อ ไม่จริงแม้แต่นิดเดียวครับพ่อ ผมผิดเองที่ผมไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พ่อกับแม่ฟัง ทั้งๆที่ลูกที่ดีควรปรึกษาพ่อแม่แต่ผมกลับปิดเงียบ รอจนเกิดปัญหา ผมมันบ้าที่มัวแต่เอาความรักมามีอิทธิพลเหนือเหตุผล เอาใครก็ไม่รู้ที่รู้จักมักจี่ไม่กี่เดือน มาทำให้ชีวิติพังตอนนี้ผมรู้แล้วครับ ว่าคนที่ผมควรจะรักและใส่ใจที่สุดคือพ่อกับแม่ พ่อกับแม่รักผมมาทั้งชีวิตของผม ตอนนี้ผมสำนึกแล้วครับ พ่อรู้ไหมครับ ว่าเมื่อคืนผมไม่ได้นอนมาตลอดทาง ผมเป็นห่วงพ่อมากครับ ผมยังเรียนไม่จบ ยังไม่ได้เลี้ยงพ่อแม่เลย ถ้าพ่อเป็นอะไรขึ้นมาผมจะทำยังไง...ผมผิดเองครับ ผมขอโทษ... น้ำตาผมไหลขณะที่พูดและมองไปที่พ่อ พ่อของผมมีหยดน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ มันยิ่งตอกย้ำว่าผมทำในสิ่งที่บาปมหันต์ที่ทำให้พ่อต้องเสียน้ำตาเพราะผม หมาพลเอ๊ย....ลูกนะเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่นก็ตรงที่ เมื่อรู้ว่าผิดก็ยอมรับสารภาพและขอโทษโดยดี ข้อดีข้อนี้ ขอให้อยู่กับลูกตลอดไป รู้ไหม การที่คนเราเปิดอกคุยกัน มันจะทำให้เรื่องต่างๆคลี่คลาย คนเรามักจะลืมไปว่าการทำเรื่องให้มันง่ายเข้าโดยการพูดคุยกันตรงๆจะให้ผลดีเสมอ พ่ออยากให้ลูกปรึกษาพ่อได้ทุกเรื่องรับปากกับพ่อสิ ว่าลูกจะเรียนให้จบ และหางานทำเป็นคนดีคนหนึ่งต่อไป คำพูดของพ่อทำให้ผมรู้สึกว่า พ่อของผมเป็นบุคคลที่เข้าใจและมีเหตุผลในการพูดคุยเสมอผมเลยถามต่อไปว่า พ่อต้องการอะไรที่ในชีวิตนี้ผมจะทำให้ได้บ้างครับ พ่อมองหน้าผมแล้วตอบว่า พ่ออยากให้ลูกเรียนให้จบ หางานทำให้ได้ พ่อกับแม่ต้องการแค่นี้แหละ ตอนนี้พ่อห่วงรวมทั้งแม่ของลูกก็ห่วงลูกมาก กลัวลูกจะเรียนไม่จบแล้วอนาคตลูกจะเป็นอย่างไรไม่รู้อีก รับปากกับพ่อสิ ว่าลูกจะตั้งใจเรียนขยันจนจบให้ได้ ไม่เกิน 5 ปี ผมตอบพ่ออย่างไม่ลังเลเลยว่า ผมรับปากครับพ่อ พ่อผมยิ้มกับคำตอบของผม ในตอนนั้นนอกจากเรื่องที่ผมรับปากกับพ่อแล้วผมอยากจะบอกความจริงว่าผมเป็นเกย์ ผมชอบผู้ชายให้พ่อรู้ซะเหลือเกิน แต่ด้วยสถานการณ์นั้นผมจึงไม่พูดตรงๆแล้วถามไปว่า พ่อครับถ้าผมเรียนจบมีงานทำ ชีวิตที่เหลือจากนั้นขอผมใช้ชีวิตและตัดสินใจเองได้ไหมครับ ? ผมถามคำถามเสร็จพ่อของผมหัวเราะ สมกับเป็นลูกของพ่อ ต้องต่อรองให้สมราคาเสมอรักษาผลประโยชน์ในวันข้างหน้า ต้องได้อย่างนี้สิ ถึงจะไม่โดนใครเอาเปรียบ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงลูก ถ้าลูกได้งานทำแล้ว ตอนนั้นลูกก็เป็นผู้ใหญ่ ปีกของลูกก็แข็งแรงพอที่จะโบยบินสู่พายุของโลกนี้ พ่อกับแม่คงต้องปล่อยลูกไปตามชีวิตที่ควรจะเป็นลูกก็เหมือนลูกธนูในมือพ่อกับแม่เมื่อยิงออกไปแล้ว ธนูคงไม่เลี้ยวกลับมาแน่ พ่อกับแม่แค่อยากให้ลูกธนูลูกนี้แข็งแรงพอที่จะใช้ยิง ชีวิตลูกคือชีวิตลูก พ่อกับแม่คงได้แค่มองอยู่ห่างๆ ผมยิ้มกับคำพูดของพ่อ ผมขอร้องพ่อต่อไปว่า พ่อครับ พ่อรับปากกับผมสิครับ ว่าพ่อจะไม่เป็นอะไรอีกพ่อจะต้องอยู่ดูความสำเร็จของลูกๆทุกคน อยู่จนกว่า แพรวจะรับปริญญา ผมอยากให้พ่ออยู่กับเราไปนานๆน้องสาวผมตอนนั้นแค่ ม.4 พ่อควรจะอยู่รอดูความสำเร็จของลูกๆทุกคน ผมจึงอ้างชื่อน้องให้พ่อแข็งแรงจนกว่าน้องสาวผมจะรับปริญญา ลูกรับปากกับพ่อได้ พ่อก็รับปากกับลูกได้สิ หายไวๆนะครับพ่อ ผมยิ้มให้พ่อและกุมมือพ่อแน่นเหมือนขอบคุณพ่อที่พ่อคุยกับผมด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ ถึงแม้ผมจะไม่ได้บอกเรื่องที่ผมเป็นเกย์ในตอนนั้น ถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้สึกผิดเลย เพราะสถานการณ์ตอนนั้นพ่อผมอ่อนแอมาก ถ้าผมพูดไปแล้วท่านรับไม่ได้จนช็อคแล้วหัวใจหยุดเต้นล่ะ อันนั้นแหละ บาปของจริง เรื่องบางเรื่องสำหรับคนบางคนอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเข้ามาเป็นตัวเสริมช่วยในความเข้าใจเรื่องจริงบางเรื่อง ถึงตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนพ่อผมได้อยู่จนเห็นน้องสาวผมได้รับปริญญา ผมรู้ว่าพ่อและแม่ผมมีเป้าหมายที่จะอยู่ พ่อและแม่อยู่เพื่อเห็นความสำเร็จของลูกๆและเป้าหมายของผมคือ อยู่เพื่อเห็นพ่อแม่ผมมีอายุยืนยาว หลายคนเมื่ออยู่ในวัยทำงานอาจเจอมรสุมชีวิต...ทำงานซ้ำๆซากๆ ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน หนี้สินท่วมตัวบางครั้งแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป...เกิดคำถามว่าชีวิตจะอยู่เพื่ออะไรในเมื่อมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจ........ แต่หากลองไตร่ตรองดูสักนิด เราจะรู้ว่ามีคนหลายคนที่อยากให้เราอยู่ต่อไป นั้นคือ คนที่รักเรา และที่สำคัญ เราควรอยู่ต่อไปเพื่อคนที่เรารัก อือหือ คมนะมึงกูละเชื่อมึงเลย ไอ้เอกให้ความเห็นต่อเรื่องที่ผมเล่า นั้นสิ จริงๆกูว่ามึงนะเจ้าเล่ห์ พ่อแม่มึงไม่ทันมึงหร้อก ไอ้พล ไอ้ภูมิเสริมทัพ อ้าวไอ้สองภูตินรกนี่ มาว่ากูอีก ถึงกูไม่บอกตอนนั้นนะ เวลาผ่านมาถึงตอนนี้ กูว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นะดูออกว่าลูกตัวเองเป็นแบบไหน รู้มั้ย กลับบ้านไปเยี่ยมครั้งล่าสุดพ่อแม่ผูกแขนให้กูอวยพรให้การงานราบรื่นมีเมียเร็วๆ พี่ชายกูก็แซวว่า ปานนี้ไม่มีแฟนมันจะเอาเหรอเมีย กลัวมันจะเอาผัวมากกว่า แม่กูตอบว่าไงรู้มั้ย แม่กูตอบว่า ยังไงก็ได้แม่รับได้หมดขอให้มีคนดูแลยามเจ็บไข้ก็พอ กูงี้อึ้งเลย ทำอะไรไม่ถูก แล้วพ่อมึงว่าไงไอ้ภูมิไม่ลดละ พ่อกูก็ยิ้มๆ ไม่ออกความเห็น แต่กูคิดว่าเค้ารู้แหละ พ่อกูนะฉลาดจะตาย เพียงแต่เค้าไม่พูดออกมาเท่านั้นเองผมตอบ ขอตัวแป็บนะ เราขอไปโทรหาพ่อกับแม่ก่อน ฟังเรื่องนายแล้วคิดถึงพ่อกับแม่ตงิดๆวะ ตุลย์เอ่ยปาก ไปด้วยดิ อยากโทรหาเหมือนกัน เต้ก็ลุกขึ้นบ้าง ไปด้วย ไปด้วย กิม ทิวและไอ้เอ้ แทบจะพูดพร้อมกัน กูไปห้องน้ำดีกว่า ไอ้ภูมิเอ่ยขึ้นแก้เขิน ผมรู้ว่ามันก็จะโทรหาพ่อกับแม่มันเหมือนกัน แต่มันเขินไม่กล้าบอกตรงๆ อย่าโทรในห้องน้ำนานนะไอ้ภูมิเสียงชักโครกห้องข้างๆจะกลบเสียงโทรศัพท์มึง ผมแซวไอ้ภูมิ ไอ้ภูมิยิ้มแห้งๆเหมือนโดนจับได้ ตอนนี้ทุกคนลุกจากโต๊ะหมดเหลือผมคนเดียว ไม่มีใครมารบกวนผมกดโทรศัพท์มือถือของผมบ้าง รอจนปลายสายรับผมจำเสียงได้ดี แม่ครับ ทานข้าวเย็นหรือยังครับ... ช่วยไม่ได้ ผมก็คิดถึงพ่อแม่ของผมเหมือนกันนี่นา ....................................จบตอนที่ 3 ..............................
21 มกราคม 2549 16:35 น. - comment id 89135
ชอบนะคุณอ่านเพลินเชียว เดี๋ยวจะกลับไปอ่านตอน 1 กับ 2
21 มกราคม 2549 20:56 น. - comment id 89138
ยังคงเป็นกำลังใจให้ค่ะ แม้นบางครั้งๆตรงบางคำพี่พุดจะอึ้งๆค่ะอิอิ แต่เป็นเรื่องราวที่ลื่นไหล และสอดแทรกบางสิ่งไว้แสนสวยงามค่ะ อย่างตอนจบ หรือมิตรภาพและ สำคัญคือ ทำให้พี่พุดได้สัมผัสโลกอีกโลก ที่คือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นค่ะ ด้วยรักและหวังจักรจนางาน แนวที่ยิ่งงดงามขึ้นๆนะคะ
21 มกราคม 2549 21:10 น. - comment id 89141
ลืมบอกไปค่ะว่า พี่พุดประทับใจ ฉากที่เล่าถึงพ่อแม่ และครอบครัวมากค่ะ น้ำตาซึมค่ะ รักนะคะ
23 มกราคม 2549 11:36 น. - comment id 89161
อยากอ่านต่อจัง เหมือนจะคล้ายๆชีวิตเราอ่ะ
24 มกราคม 2549 15:48 น. - comment id 89174
ขอบพระคุณที่สละเวลามาอ่านนิยายของผมนะครับ ทั้งคุณ พระจันทร์เศร้า พี่พุด ( นักอ่านขาประจำ) และคนผ่านมา หวังว่าจะติดตามอ่านตอนต่อๆไปนะครับ