ตอนที่ 1 เมื่อเพื่อนได้รู้จักกันรู้จักกันจริงๆ คำว่า เวลามักจะติดปีก มักจะจริงเสมอ เวลาผ่านไปได้อย่ารวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ 6 ปีแล้วที่ผม และเพื่อนๆต้องแยกย้ายกันไป ทำงานต่างสถานที่กัน หลายคนทำงานที่กรุงเทพฯ แต่ผมได้งานที่เชียงใหม่ หลังจากที่เราจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ วันนี้เป็นวันแรกที่เราสามารถนัดให้มาเจอพร้อมกันได้ เรานัดเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ผมมานั่งรอก่อนใครเพื่อน เพราะผมไม่อยากทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่มาสาย ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ค่อยได้เจอตัวกันบ่อยนัก แต่เราก็โทรศัพท์พูดคุยปรึกษาหารือกันเป็นประจำ ผมไม่เคยสงสัยในมิตรภาพที่เพื่อนๆมีต่อผมเลย นับ ตั้งแต่วันที่ผมได้เปิดเผยกับทุกคนในกลุ่มที่ผมสนิทด้วยว่าผมเป็น......เกย์ ผมเชื่อว่าเพื่อนรักของผมทุกคน ได้ก้าวข้าม ความแตกต่างในรสนิยมเรื่องเพศของผมไปแล้ว จึงเหลือแต่มิตรภาพที่เพื่อนพึ่งมีให้แก่เพื่อนจริงๆ เมื่อผมนึกถึงเรื่องนี้ที่ไร ภาพต่างๆในวันที่ผมบอกความลับที่ผมปกปิดไว้กับเพื่อนๆก็ย้อนขึ้นมาชัดเจนในความทรงจำของผมอดนึกถึงวันเก่าๆไม่ได้ ตอนนั้นผมได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เรื่องมันเกิดขึ้นคืนก่อนวันเปิดเรียนในชั้นปีที่ 4 ของการเรียนวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือของประเทศไทย ตอนปีหนึ่ง เรารู้จักคนมากมายหลายจังหวัด แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี คนเหล่านั้นก็จะเหลื่อไม่กี่คนที่เราสามารถเรียกได้ว่าเพื่อนสนิทได้อย่างไม่ขัดเขิน ผมก็เหมือนคนหลายๆคน รู้จักคนเยอะไว้ก่อน แล้วค่อยๆ เริ่มมีกลุ่มที่สนิทจริงๆไม่กี่คน ผมก็เป็นแบบนี้และครับ คงเหมือนกับคนทั่วไป เป็นชายเกย์ธรรมดาๆ สูง 172 เซนติเมตร เป็นคนหน้าตาใช้ได้ เหมือนที่คนต่างประเทศเรียก เดอะ บอย เนสท ดอร์ ( the boy next door ) ครับ คือไม่เด่น แต่ก็ไม่ด้อย ชีวิตก็คงไม่ต่างจากคนทั่วไป ที่มีเรื่องสนุกสนาน เรื่องเศร้า เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับตัวผม ในตอนนั้น ผมไม่ทราบว่าเกย์คนอื่นจะทำตัวอย่างไรบ้าง แต่สำหรับตัวผม ผมดูแลตัวเองครับ ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ รักความสะอาด ชอบความยุติธรรม ผมไม่เกลียดผู้หญิงครับ ตรงกันข้าม ผมชื่นชมพวกเธอครับ จริงๆแล้วผมเชื่อทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือ เกย์ อย่างผม เกิดมาเป็นพลังผลักดันให้โลกนี้หมุนต่อไป ผมเลือกเรียนวิศวกรรมเครื่องกลครับ เพราะคิดว่าเหมาะกับบุคลิกของผม ที่ชอบทดลอง ค้นหาคำตอบต่อคำถามที่เข้ามาในชีวิต ในกลุ่มเพื่อน ผมจะได้รับเกียรติให้ตัดสินปัญหา และตัดสินใจเมื่อเกิดกรณีพิพาทอยู่เสมอ อาจจะมีบ้างที่มีความเห็นไม่ตรงกันและไม่ฟังกัน แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ยกเหตุผลมาประกอบเสมอ ทุกคนก็เลยต้องฟังผมเสมอครับ แต่เพื่อนผมมีหลายภาควิชานะครับ ไม่ได้มีแค่ภาควิชาเครื่องกลอย่างเดียว เพื่อนที่สนิทก็มีดังนี้ครับ เต้ เต้ เป็นชายหน้า ตี๋ ที่ผิวออกจะคล้ำ ตัวสูงถึง 185 เซนติเมตร เต้ รอดพ้นจากการเป็นเกย์มาจากโรงเรียนมัธยมชายล้วนได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งๆที่บุคลิกอย่างเต้ เป็นบุคลิกที่เกย์ถวิลหา แถมหุ่นเต้ยังเป็นหุ่นนักกีฬา เป็นคนที่สุขุมนุ่มลึกค่อยพูดค่อยจา พูดมีหลักการ ตอนเรียนเต้เลือกเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็เหมาะสมดีเพราะเต้ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ เต้เคยบอกว่าเคยมีผิวขาวอมชมพู แต่ ที่เต้ผิวคล้ำเพราะชอบว่ายน้ำกลางแจ้งเป็นประจำ แม่ห้ามก็ไม่ฟัง ตะบี้ตะบันว่าย เลยทำให้ตัวดำ ตั้งแต่นั้นมาผิว เต้ก็ไม่กลับมาเป็นสีขาวอมชมพูอีกเลยทั้งๆที่มันก็พยายามใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่ง แล้ว ทุกวันนี้เต้ก็มีผิวสีคล้ำแบบสีน้ำผึ้งน่ามองยิ่งนัก ด้วยความที่เป็นคนใจเย็น ตัดสินใจช้า กว่าจะประมวลผลออกมาเป็นวลีได้ต้องรอฟังเสียงเต้นานมาก ผมก็เลยเรียกมันว่า ไอ้วัวเต้ ไอ้ภูมิ เพื่อนก็มีระดับการพูดคุยที่แตกต่างครับ บางพวกชอบพูดเพราะๆด้วย กรณีไอ้ภูมิ เป็นกรณีที่ยกเว้น ไอ้ภูมิเป็นคนที่พูดจาโผงผางกริยาทรามแต่จริงใจ ผมไม่ทราบว่ามันเป็นโรคจิตอะไรถึงพูดเพราะๆกับใครไม่เป็น ผมจึงต้องตอบสนองการพูดคุยกับมันด้วยภาษาระดับใกล้เคียงที่มันใช้ มันเรียนวิศวเครื่องกลเหมือนผม ไอ้ภูมิเป็นชายร่างเล็กหน้าใสชวนมอง สูงแค่ 163 เซนติเมตร หน้าตามันน่ารัก น่าเอ็นดู ผลเนื่องมาจากการจัดฟันสมัยตอนเป็นเด็กทำให้มันเป็นคนฟันสวย มีระเบียบยิ้มน่ามองคล้ายๆนักร้องวัยรุ่นค่ายยักษ์ใหญ่ แถมยังรูปร่างกะทัดรัด แต่สมส่วน โดยเฉพาะตอนที่มันใส่เสื้อกล้ามสีม่วงรัดรูปตัวนั้น หากมันใส่เสื้อกล้ามสีม่วงตัวนี้เมื่อไหร่ นั่นหมายความว่ามันไม่มีเสื้อผ้าเหลือที่จะใส่ เพราะมันไม่ยอมเอาส่งเสื้อผ้าไปซักสักที และเมื่อพวกเราเห็นมันใส่เสื้อม่วงตัวนี้ พวกเราก็จะรวมหัวเรียกมันว่าเป็นแต๋วครับ ไอ้ภูมิเป็นคนไม่ชอบซักกางเกงในด้วย มันใส่เสร็จ แล้วมันก็เอาไปทิ้งไว้ตะกร้านอกระเบียง ใส่จนครบทุกตัวจนไม่มีจะใส่มันก็ยังไม่ซักครับ มีวันหนึ่งขณะที่มันไปเรียนกับผม มันบอกกับผมว่า ไอ้ภูมิ : เฮ้ย ! ไอ้พล กูเจ็บไข่ว่ะ แม่ง ! ใส่ยีนส์ไม่ใส่กางเกงในนี่ทรมานว่ะ เจ็บชิบหาย ผม : มึงก็หัดซักกางเกงในสักทีสิวะ กองรวมกันอยู่นั้นแหละ มึงจะรอซักชาติหน้าเหรอวะ ไอ้ภูมิ : เออว่ะ สงสัยเรียนเสร็จวันนี้กูต้องซักแล้วว่ะ วันต่อมา ขณะที่ไปเรียน ไอ้ ภูมิ : อูย เจ็บไข่เว้ย ! ผม : อ้าว ?!?ใส่กางเกงในแล้วยังเจ็บอีกเหรอวะ ไอ้ ภูมิ : ใครบอกกูใส่ ! กูไม่ได้ใส่เว้ย ผม : ไหนบอกว่ามึงจะซักกางเกงในไง ไอ้ภูมิ : ขี้เกียจว่ะ ทนเจ็บหน่อยเดี๋ยวก็ชิน เจ็บแต่สะดวกว่ะ ไม่เสียเวลาใส่กางเกงในดี แล้วมันก็ผิวปากเข้าเรียน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูมันสิ ! ว่ามันหน้าด้านขนาดไหน ด้วยความสกปรกของมันผมจึงเรียกมันว่า ไอ้หนูสกปรกภูมิ กิม กิมเป็นเด็กสอบเทียบ อ่อนกว่าพวกผม สองปี กิมสูงประมาณ 165 เซนติเมตร กิมเป็นคนเรียบร้อยน่ารักนิสัยดี เลือกเรียน วิศวโยธา เพราะคิดว่าเรียบจบ พ่อคงจะวางแผนให้เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง บ้าน กิมรวยมาก แต่กิมไม่เคยอวดร่ำอวดรวย เป็นคนมัธยัสถ์ ผมมาทราบว่าบ้านกิมรวยเพราะครั้งหนึ่งตอนปีสองผมว่าจะกรอกใบสมัครขอทุนสำหรับนักเรียนเรียนดี กิมขอตามผมไปด้วย ผมถามว่าบ้านกิมทำงานอะไร กิม บอกว่าขายของเล็กๆน้อยๆ ผมถามต่อว่า ขายอะไรที่บอกว่าเล็กๆน้อยๆกิม ก็ตอบอย่างไม่เต็มเสียงว่า บ้านกิมขายรถเบนซ์ ผมได้แต่มองตากิมปริบๆ แล้วก็เลยบอกกิมให้ไปอยู่ห่างๆก่อนที่ผมจะกระทืบกิม ด้วยสาเหตุที่ว่าจะมาขอทุนแย่งคนอื่นกิม เป็นคนว่าง่าย แต่ถ้ามีใครมายุให้กิมโกรธ กิมจะเป็นคนโมโหร้ายมากทีเดียว ถึงขนาดต่อยเป็นต่อย แต่นานๆครั้งที่จะเห็นกิมโมโหสักที เพื่อนๆได้แต่ภาวนาอย่าให้กิมโกรธ เพราะมันร้ายจริงๆนอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมาแล้ว...... กิมมีเสียงหัวเราะที่แหลมครับ แหลมแบบว่าหัวเราะที น่าตกใจว่านี่ใช่เสียงของคนเพศชายหรือนี่ ถึงแม้กิมจะเป็นคนที่หม้อสาวมากที่สุดแต่ด้วยเสียงหัวเราะอันแสบแก้วหูผมก็ตั้งฉายาว่า เกย์กิมมันไม่เป็นเกย์ครับ อย่าสับสนมันก็แค่ฉายาเท่านั้น ทิว ทิวเป็นเด็กภาคใต้ มาจากจังหวัดปัตตานี ทิวสูง ประมาณ 170 เซนติเมตร รูปร่างท้วม เป็นคนขาวไม่เหมือนเด็กใต้เลยแถมมีผมสีอ่อน ไปทางลูกครึ่งอีก ผมจึงให้ฉายาว่า ฝรั่งทิว พูดก็ไม่มีทองแดง เพราะทิวดูเป็นคนสุภาพ ค่อยๆพูดและเป็นคนพูดน้อยที่สุดในกลุ่ม แต่อีกนั้นแหละด้วยความที่เป็นคนพูดน้อย ทุกคนในกลุ่มจึงให้ความเกรงใจ ไม่ลบลู่ลามปามทิวเลย บุคลิกอบอุ่นดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม เก่งคณิตศาสตร์และ แคลคูลัสมากแต่เลือกเรียนวิศวกรรมเครื่องกลเช่นเดียวกับผม และด้วยเหตุผลที่ผมเห็นด้วยคือ ง่ายต่อการหางาน และ เป็นที่ต้องการของตลาด ทิว เป็นคนที่มีมุมมองต่างจากเพื่อนเสมอ เช่นตอนพวกเราดูข่าว คนไปปีนต้นมะพร้าว เพื่อขโมยมะพร้าวแล้วโดนยิงตกลงมาตาย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันประมาณว่า ทำไมใจร้ายจังแค่ขโมยมะพร้าวก็ถึงขั้นต้องยิงเอาชีวิตเชียวเหรอ แต่ทิวก็หัวเราะด้วยเสียงอำมหิตเค้นอารมณ์ในเบื้องลึกของจิตใจขึ้นมาว่า หึ ๆๆๆ คนขี้ขโมยอย่างนั้นน่ะสมควรตาย ............................. พวกเราได้แต่เงียบและมองไปที่ทิวอย่างหวาดๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สิ่งของสิ่งไหนเป็นของทิวจะหาเจอเสมอ ทิวจะลืมของไว้ตรงไหนอย่างไร ลืมไว้กี่วัน ก็ไม่มีใครกล้าหยิบไปเลย เราทุกคนกลัวว่าถ้าหากทำให้ทิวไม่พอใจ กลัวทิวจะเอาพวกเราไปปลุกเสกเป็นหุ่นดินแล้วใช้เข็มทิ่มตรงหัวใจหรือไม่ทิวอาจเก็บความแค้นแล้วเอาปืนมาดักยิงพวกเราตอนพวกเรานอนหลับ บอกตรงๆพวกเรากลัวทิวมากครับ ตุลย์ ตุลย์ เป็นผู้ชายร่างใหญ่ อวบแต่ไม่อ้วนมาก อารมณ์ดี มีใจงามถึงแม้จะเป็นเสือยิ้มยากหน้าตาหนักไปทางโหด เพราะไว้หนวดเครา มีความ สูง 173 เซนติเมตร ตุลย์เป็นผู้ฟังที่ดีครับ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้เล่าที่ดีด้วยถึงแม้หน้าตาจะโหด แต่ตุลย์มีหัวใจเด็กที่น่ารักมาก ตุลย์เป็นชอบสะสมการ์ตูนญี่ปุ่นสำหรับเด็กทุกเรื่อง ไอ้มดแดงทุกวี อุลตร้าแมนมีครบทั้งคณะ มนุษย์ไฟฟ้าซุปเปอร์ฮีโร่ต่างๆ จะออกมา มีกี่เวอร์ชั่น ตุลย์กว้านซื้อมาเรียบ ขอให้บอกว่ามี หากไม่มีเงินตุลย์ก็จะขอจองไว้ก่อน เจ้าของร้านก็จะต้องจำยอมเพราะหน้าตุลย์โหด กลัวมันมาทุบร้านหากไม่ยอมให้มันจอง ครั้งหนึ่งผมไปเป็นเพื่อนตุลย์เพื่อซื้อหุ่นจำลองที่ออกใหม่ กำลังจะเดินเข้าร้าน ก็สวนกับ สองแม่ลูกซึ่งลูกเป็นเด็กอายุ คงยังไม่ถึงห้าขวบ ผมเห็นกับตาครับ คือว่า.......... เมื่อเด็กเงยหน้ามองตุลย์เด็กคนนั้นก็หยุดชะงักคล้ายๆ ช็อคไป แล้วก็ เริ่มร้องไห้แผดเสียงร้องกรี๊ด คล้ายๆกับว่าเจอสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต วิ่งไปหลบที่หลังแม่พร้อมกับชี้ไปที่หน้าของตุลย์ แม่ของเด็กมองหน้าตุลย์แล้วรีบอุ้มเด็กแล้ววิ่งออกไปในทันที ส่วนตุลย์เพื่อนรัก ก็ได้แต่ยืนแน่นิ่ง โถ.....เด็กคนนั้นจะรู้ไหมหนอว่าตัวละครสุดโปรดที่ตุลย์ชอบที่สุดคือ พาวเวอร์ พัพเกิร์ล แต่ตุลย์ก็เรียกสติขึ้นมาได้พร้อมกับสบถขึ้นมาว่า ไอ้เด็กเวร !!!! วันต่อมาตุลย์ก็โกนหนวดเคราทิ้ง ไม่มีทางที่จะไว้หนวดเคราอีกเลยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมเสียอีกนิสัยเสียและชอบซ้ำเติมเพื่อน ชอบเอาเรื่องนี้มาล้อมันอยู่บ่อยๆแถมยังเรียกมันว่า ไอ้หน้าสยองเด็ก ไอ้เอก ผมจัดไอ้เอก อยู่ใน สิ่งมีชีวิตหน้าเหมือนคนเช่นเดียวกับ ไอ้ภูมิครับ ต้องใช้ภาษาระดับเดียวกับมันถึงจะพูดคุยรู้เรื่อง ประเภทพูดเพราะมันคงจะตาย ต้องมึงมาพาโวย หากใครบอกกับผมว่าคำว่า แรด จะใช้ได้เฉพาะกับผู้หญิง ผมเห็นทีต้องเถียงครับ เพราะผมไม่รู้จะสรรหาคำไหมมาใช้กับมันได้ นอกจากคำว่า แรด ไอ้เอกมันแรดจริงๆครับนิสัยมันจะอยู่กับที่ไม่ได้ ต้องไปจีบสาว ต้องไปหลีหญิง ต้องไปกินข้าวโรงอาหารคณะมนุษย์ ที่ที่มีหญิงเดินผ่านเยอะๆ สมองมันคิดแต่เรื่องเซ็ก ครับ หากไม่ใช่เพื่อนสนิท แล้วแอบมาได้ยินตอนที่มันพูดอยู่กลับกลุ่มผม อาจคิดว่า น้ำต้องขึ้นสมองมันแน่ๆ ไอ้เอกสูง 180 เซนติเมตรครับ หน้าตาหล่อที่สุดในภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าขณะเดียวกัน ธรรมชาติก็สร้างสมดุลโดยให้มันปากเสียที่สุดในคณะด้วย คำว่าหล่อแต่ปากหมาที่เขาพูดกัน ไอ้เอกคือหนึ่งในจำนวนนั้นครับ ไอ้เอกเป็นลูกโทนจึงค่อยข้างเอาแต่ใจตัวเองสักหน่อย แต่ลึกๆมันเป็นคนขี้เหงาครับ เหงาง่ายมาก นี่เองกระมังครับ ที่ทำให้มันอยู่เฉยเงียบๆไม่ได้ต้องมีกิจกรรมทำตลอด ไอเดียแปลกๆก็เกิดจากไอ้เอกนี่แหละครับ นอกจากนั้นถ้าหากได้ยินมันนินทาผู้หญิงละก้อ อาจจะช็อกครับ ขนาดเกย์อย่างผมว่าปากจัดแล้ว เรื่องปากหมานี่เทียบมันไม่ติดจริงๆครับ พอนึกถึงเพื่อนสนิททุกคนความทรงจำต่างๆก็ยิ่งชัดขึ้น บ่อยครั้งครับ ที่ผมมักจะทวนความจำถึงเรื่องในวันนั้น วันที่ผมกับเพื่อนได้เปิดใจกัน.......... วันนั้นก่อนวันเปิดเทอมของชั้นปีที่ 4 หนึ่งวัน ขณะที่ผมและเพื่อนกำลังอยู่ในห้องทั้งหมด 7 คนซึ่งมี เต้ กิม ทิว ไอ้ภูมิ ไอ้เอก และตุลย์ ไอ้ภูมิ นั้นกำลังอ่านหนังสือการ์ตูนบนเตียง ตุลย์ และไอ้เอกมาชวนพวกผมไปกินข้าวกัน แต่ต้องรอให้เกมจบก่อน โดยที่ว่าใครจะมีคะแนนติดลบถึง หนึ่งพันก่อน คนนั้นจะแพ้และกลายเป็นหมูประจำเกม จึงถือว่าจบเกม ซึ่งคนที่ถือไพ่ก็จะมี กิม เต้ ทิว และผม ล้อมวงกันแล่นไพ่จับหมู เกมสุดโปรดของชาวนักศึกษาวิศวะ เมื่อ เต้ แจกไพ่เสร็จ ผมก็เอ่ยขึ้นว่า เราเป็นเกย์ว่ะ เพื่อน ผมไม่ทราบว่าอะไรมันสิงสู่ผม ทำให้ผมหลุดปากออกไปอย่างง่ายๆ ผมรู้อย่างเดียวว่าผมได้พูดออกไปแล้ว และกำลังเข้าสู่บรรยากาศที่ผมไม่ได้ตั้งตัวเช่นกัน แต่เมื่อพูดออกไป ผมก็พยายามเรียกสติ พร้อมกับนึกในใจ เอาล่ะ เดอะ โชว์ มัส โกส ออน ....................... เงียบ.... ไม่มีเสียตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น ถ้าใครได้ยินเสียงกลองรัวอยู่ตอนนั้น ไม่ใช่เสียงกลองครับ แต่เป็นเสียงเต้นของหัวใจผมเอง ผมไม่แน่ใจว่าพวกมันทั้งหมดจะได้ยินเหมือนกันหรือเปล่า หรือว่าพวกมันได้ยินแต่ทำเป็นไม่สนใจ แต่ที่แน่ๆทั้ง สามคนที่จับไพ่ขึ้นมาจัดแล้วชะงักไป ก่อนที่ความเงียบจะทำให้เกิดความอึดอัดมากไปกว่านี้ ผมจึงทำลายความเงียบด้วยการเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เราไม่รู้จะปิดต่อไปอีกทำไมแล้ว เราเหลือเวลาที่จะเรียนด้วยกัน แค่ 1 ปี ก่อนพวกเราจะจบและแยกย้ายไปคนละทิศละทางเราขอสารภาพว่าเราเป็นเกย์ว่ะ เมื่อผมพูดจบ ผมหวังว่าจะมีใครโต้ตอบผมบ้าง แต่ก็อีกเช่นเคย เหมือนทุกคนต้องคำสาปกลายเป็นหินแน่นิ่งไปซะเดี๋ยวนั้น ผมก็เลยสรุปพูดออกไปว่า พวกนายเลิกคบกับเราก็ได้นะ เราไม่ว่าอะไรพวกนายหรอก เราเข้าใจ ลุงพล พูดอะไรออกมาน่ะ ลืมไปเถอะ เราจะถือว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ลุงพลพูด กิม เรียกผมว่าลุงเสมอ ผมแค่เกิดก่อนมัน สองปี แต่มันก็เรียกผมลุงพล จนถึงบัดนี้ มันก็เรียกผมว่าลุง ผมก็ไม่รู้ที่มาอีกเช่นกันว่าทำไมมันถึงเรียกผมว่าอย่างนั้น แต่น้ำเสียงของกิมจับได้จากความรู้สึกได้เลยว่าจริงจังต่อเรื่องที่ผมบอกไป ทำไมล่ะกิม ? นายรับไม่ได้ที่เราเป็นเกย์เหรอ ถึงผมจะพยายามทำใจไปแล้วแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์โกรธที่กิมสวนมาอย่างนั้น ไอ้ที่ว่าเป็นเกย์นี่......มันเกย์แค่ไหนเหรอพล ??? เกย์แบบว่า เกย์มากจริงๆ หรือว่าเกย์แบบยังชอบผู้หญิงอยู่...แบบว่าเกย์กี่เปอร์เซ็นต์ ??? เต้ ทำเสียงนุ่ม ที่ดูจะสุขุมที่สุดในกลุ่มถามขึ้นมาบ้าง ร้อยเปอร์เซ็นต์เกย์ และเกย์ในที่นี้ คือเราชอบผู้ชาย ผมตอบออกไป ร้อยเปอร์เซ็นต์ อืม ดี ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดี ร้อยเปอร์เซ็นต์ อืม ดีนะ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เต้พูดวกไปวนมาเหมือนกับสติแตกหน่อยๆแต่ก็ยังรักษามาดสุขุมไว้ได้ ไอ้ภูมิที่นอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียงถึงกับวางหนังสือพร้อมกับพูดออกมากึ่งหัวเราะว่า เฮ้ย ! ไอ้พล มึงจะเอาเรื่องอะไรมาอำพวกกูอีกวะ แหม แค่ได้เล่นละครเวทีสองสามเรื่องมึงก็เอาวิชาแอคติ้ง มาสร้างเรื่องหลอกพวกกูนะมึง ยังไม่ทันได้หายใจผมก็สวนไปทันทีกับคำพูดของไอ้ภูมิ รับรู้ไว้ซะนะไอ้ภูมิ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเพศชายในวงการละครเวทีหรือโชว์บิสิเนสเป็นเกย์ ส่วนอีกสิบเปอร์เซ็นต์แบ่งเป็นอย่างละ ห้า พวกห้าแรกคือพวกที่มาหม้อสาว ห้าเปอร์เซ็นต์หลังคือพวกกำลังจะตัดสินใจเป็นเกย์ตามไอ้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์แรกดีหรือเปล่า คิดว่าคำตอบนี้คงทำให้ไอ้ภูมิรับรู้ว่าผมไม่ได้ล้อเล่นเพราะมันก็ช็อกไปพอสมควร ลุงพลแน่ใจได้ไงว่าเป็นเกย์ อะไรทำให้ลุงพลแน่ใจ ชอบทำไมผู้ชายด้วยกัน ชอบได้ยังไง เราไม่เข้าใจ กิมยังคงเหมือนไม่ยอมรับ และไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเป็น ผมรู้สึกโกรธมากที่กิมไม่ยอมรับผม แต่ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ผมนั้น เป็นเสมือนที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ในเรื่องการจีบผู้หญิงของกิม กิมมักจะถามผมเสมอเกี่ยวกับวิธีทำให้ผู้หญิงพอใจ การซื้อของขวัญให้ผู้หญิงที่กิมกำลังจีบ การเลือกการ์ด การเลือกร้านทานอาหารเมื่อมีการออกเดท และผมก็ไม่เคยทำให้กิมต้องผิดหวังในการเอาชนะใจสาวๆเลย ผมเลยเข้าใจว่ากิมกำลังรู้สึกสูญเสียคนที่ไว้ใจไป ผมจึงตอบกับกิมไปว่า กิม.... เราเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่จำความได้แล้วมั้ง เพียงแต่เราปฏิเสธตัวเองมาตลอด เราคิดว่าสักวันหนึ่งมันอาจจะหาย เมื่อเราโตขึ้น แต่ว่า....ดูสิ เราโตขึ้น และเราก็รู้ว่านี่ต่างหากที่เป็นตัวเรา นี่ต่างหากเป็นธรรมชาติของเรา.. ถึงตรงนี้ผมก็จุกขึ้นมาที่คอหอยเฉยๆแต่ก็พยายามพูดต่อไปว่า ...เราอาจจะปิดต่อไปก็ได้....แต่เราคิดว่ามันไม่แฟร์สำหรับพวกนายที่จะคบกับเราโดยไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเรามีตัวตนเป็นแบบไหน ..... มิน่า มึงถึงไม่ยอมเตะฟุตบอลกับพวกกูเลย กูเคยได้ยินมาว่าเกย์ไม่ชอบเล่นบอลที่แท้มันก็จริงเหรอว่ะ ไอ้เอกสวนคำถามออกมาสไตล์ปากหมาเหมือนเดิม เกย์อื่นกูไม่รู้ แต่เกย์อย่างกูไม่ชอบเตะว่ะ! ผมก็ตอบมันไปอย่างทันควัน ถึงว่า กูนะ ชวนมึงไปกินข้าวโรงอาหารคณะมนุษย์ที่ไร ก็ไม่อยากไปเป็นเพื่อนกูทุกที ที่แท้มึงก็ไม่ชอบผู้หญิงนี่เอง ไอ้เอกมันยังไม่หยุดวิจารณ์ โอ้แม่เจ้า !!....ในที่สุดมึงก็เข้าใจกูจนได้ทั้งๆที่กูก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด กูก็นึกว่ามึงพอจะอ่านกูออกบ้างมีสมองไม่เคยคิดเลยนะมึง ผมตอบประชดไป แล้วนาย เสือกมาบอกอะไรพวกเรา ตอนนี้วะ! เราแค่มาชวนไปทานข้าวเท่านั้นนะ เราไม่ได้เร่งอะไรนี่หว่า ก็เล่นเกมไปสิ แค่มาชวนทานข้าวไม่อยากรู้อะไรมากกว่านี้นะเว้ย.... บางครั้ง ตุลย์ก็ดูเปราะบางสวนทางกับหน้าตาโหดๆของมันจริง ตุลย์ยังพูดต่ออีกว่า มันมากเกินไปนะเว้ยไอ้พล...3 ปีมี่ผ่านมาเรารู้จักนายในฐานะผู้ชายอกสามศอก เป็นเพื่อนที่สนิท เป็นเพื่อนกินข้าว กินนอนด้วยกัน จู่ๆนายก็มาบอกว่านายชอบผู้ชายด้วยกันเอง เราปรับตามนายไม่ทันว่ะ นายมาเปลี่ยนตัวเองเอาเฉยๆวันนี้.... เราไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ มันง่ายเกินไปหรือเปล่าวะ! ที่จะมาเปลี่ยนกันง่ายๆแบบนี้ ผมอึ้งไปเหมือนกัน เพราะคิดตามที่ตุลย์พูด ผมคิด....คิด....และก็คิดว่าจะตอบยังไงกับตุลย์ดี ผมมองไปที่ตุลย์ มองไปที่ตาของตุลย์ รวบรวมความกล้า บอกออกไปว่า เราไม่ได้เปลี่ยนไปซักนิดเดียวเลยตุลย์ เราเป็นของเราอย่างนี้ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะกี่ปีที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่เราไม่ได้บอกใครถึงตัวจริงของเรา แต่ในวันนี้เรามีเพื่อนคือทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ เพื่อนที่นิสัยดีจนเราไม่สามารถปิดบังความจริงอีกต่อไป นายว่ามันจะยุติธรรมมั้ย ??? ถ้าคิดจะคบเพื่อนอย่างเพื่อนตาย แต่มีเรื่องต้องปิดบังเพื่อนตลอดเวลา..... ถึงตอนนี้ ก็มีน้ำตาเข้าจนได้ ไพ่เพ้ยไม่เป็นอันเล่นกันแล้ว เหมือนกำลังมีคดีความให้ตัดสินชีวิต อย่าหาว่าผมเป็นผู้ชายเกย์เจ้าน้ำตาเลย มันเหมือนเขื่อนที่ทะลาย เหมือนภูเขาไฟที่ได้ปะทุขึ้น เรากลัวมากนะเพื่อน..... กลัวที่ต้องเจ็บ ! เพราะเสียเพื่อนดีๆ อย่างพวกนายไป หากพวกนายได้รู้ความจริง แต่เราก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะเจ็บไปกว่ากัน.....ระหว่างความเจ็บที่ต้องเสียเพื่อนไปเพราะบอกความจริงกับพวกนายไปในวันนี้ .....กับความเจ็บที่ตนเองต้องแบกตลอดไปว่าเราหลอกเพื่อนอยู่ทุกวันว่าเป็นชายอกสามศอกอย่างที่พวกนายเข้าใจ แล้วมารู้ทีหลังว่าเราเป็นเกย์จากปากคนอื่น.........เราไม่รู้จริงๆ ว่าอันไหนมันจะเลวร้ายไปกว่ากัน.....เราไม่รู้จริงๆ.????..... ถึงตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว มันตื้อจุกที่คอ น้ำตาไหล พยายามไม่ฟูมฟายสะอึกสะอื้น ผมเช็ด น้ำตา แต่เหมือนคำกล่าวที่ว่า การร้องไห้ยิ่งพยายามซ่อนเร้น ยิ่งมองเห็นได้ง่าย ห้องทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง ได้ยินแต่เสียงอาการกลั้นสะอื้นของผม ผมไม่รู้ว่ามันเงียบไปนานแค่ไหน หลายวินาที หลายนาที หรือบางทีเป็นชั่วโมง....ผมไม่รู้จริงๆ.....ผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เจอหน้ากิมที่นั่งตรงข้าตำแหน่ง ของวงไพ่เลยบอกกับกิมไปว่า เราขอโทษนะกิม เราคงเป็นเพื่อนที่นายจะเรียกว่าลุงพลไม่ได้อีกแล้ว เราจะไม่โกรธนายแม้แต่นิดเดียว ถ้านายเลือกที่จะลืมไปว่าเคยคบกับเราเป็นเพื่อนคนเหนึ่ง...ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือนายว่าไง ทิว ? นายจะยังเห็นเราเป็นเพื่อนอีกไหมทิว ผมโบ้ยไปถามทิวบ้าง เพราะดูเหมือนทิวจะเงียบไม่มีปากมีเสียงแต่นี่คือสไตล์ของทิว ผู้ชายคนนี้มีแบบเดียวในโลก ผมถามไปโดยไม่คิดว่าทิวจะตอบเดี๋ยวนั้น แต่ทิวพูดขึ้นมาคนแรกว่า เวลาคนเราคบเพื่อนนี่ เราคบกันที่ไหนเหรอพล ? คบกันที่เงิน คบกันที่ความเก่งเหรอ เราไม่คิดแบบนั้นนะ เราคบพลเพราะพลเป็นคนที่ดีกับเพื่อนฝูงมาตลอด เราถือว่าพลเป็นเพื่อนเราเสมอ เราไม่กินปลาร้า แต่เราก็ไม่เคยเลิกคบพลทั้งๆที่พลชอบกินปลาร้า แล้วทำไม เราจะมีเพื่อนเป็นเกย์ที่ชอบผู้ชายไม่ได้ล่ะ อย่าคิดมากน่า ลุงพล แค่ขอให้เราปรับตัวสักหน่อย..เรายอมรับบางอย่างมันเร็วเกินไปมันต้องใช้เวลาสำหรับพวกเราบ้าง แต่ลุงพลก็คือลุงพลเราจะเรียกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนหรอก กิมเสริม กูว่า มึงต้องเปลี่ยนมาเรียกป้าพลว่ะ ไอ้กิม ไอ้ภูมิสอดขึ้น พลอยทำให้ทุกคนหัวเราะ ยอมรับว่าเป็นตลกที่ดูแคลนเพื่อนฝูงหน่อยๆ แต่ตอนนั้น ผมก็อดหัวเราะไปกับเพื่อนฝูงไม่ได้ ก่อนที่ผมจะอ้าปากด่ากลับ ไอ้ภูมิก็ชิงพูดออกมาก่อนว่า มึงจะน้ำตาแตกไปอีกนานไหมว่ะ ไอ้พล พอได้แล้วลูกผู้ชายเค้าไม่ร้องกันหรอกเว้ย ! อ้าว ? ไอ้ตุลย์ มึงก็เสือกร้องไห้อีกเหรอวะ ไอ้นี่ กูแค่น้ำตาซึมเฉยๆเว้ยไอ้ภูมิ เรื่องของกู เฮ้ย ! พล เราขอโทษว่ะ ตอนแรกเราไม่เข้าใจนายวะ แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว ตุลย์ ตอบ โถ......ตุลย์เพื่อนรัก มันเซ้นซิทีพ จริงๆครับไม่ได้แกล้งทำแต่อย่างใด มันยังคงเป็นมันคนเดิม ที่หน้าโหดแต่หัวใจขาวใสบริสุทธ์จริงๆครับ กูก็ขอโทษมึงด้วยวะ ไอ้พล ไม่ต้องคิดมากเลยมึงยังไงกูก็จะชวนมึงไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะมนุษย์เหมือนทุกครั้งนั้นแหละว้า ไอ้เอกพูด มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามันก็ยังเห็นผมเหมือนเดิม ได้เลย ไอ้เอก แต่ขออย่างนะเว้ย ไม่ต้องมาชวนกูเตะบอลอีกกูไม่ชอบ ผมบอกมัน เราก็ยังเป็นเพื่อนนายเหมือนเดิมแหละพล ถึงนายจะร้อยเปอร์เซ็นต์เกย์ก็เถอะ ว่าแต่ว่าพยายามมองสาวที่น่ารักหน่อยแล้วกัน เผื่อนายเปลี่ยนใจหันมาชอบผู้หญิงบ้าง ไอ้วัวเต้ก็ยังคิดช้าพูดช้าเหมือนเดิม แต่ถึงมันจะช้า มันก็ทำให้ผมดีใจที่เต้ยังพูดกับผมถึงแม้คำแนะนำของเต้ จะทำให้ผมรู้สึกขำ ขอบคุณมากเต้ที่แนะนำ แต่เราพยายามแล้วว่ะ พยายามมองผู้หญิงมาหลายปีแล้วด้วย ถึงขั้นลองมีอะไรกัน แต่เราก็รู้ตัวเองดี...ว่าเราเป็นแบบไหน ผมตอบ เฮ้ย! มึงเคยมีอะไรกับผู้หญิงแล้วเหรอว่ะ ร้ายนะมึงไอ้เชี่ยพล ต่อมเสือกของไอ้ภูมิยังทำงานได้ดี เลยทำให้ทุกคนมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว ก่อนที่เรื่องจะบานปลายมากกว่านี้ ผมก็ต้องเบรกความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนเอาไว้ แต่กูจะไม่เล่าให้มึงหรือคนอื่นฟังหรอกว่ะ ไอ้ภูมิ ! กูไม่ใช่คนกินในที่ลับแล้วมาไขในที่แจ้งเว้ย โห.....ได้ไงวะ ทุกคนแทบจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันด้วยความเสียดายที่ผมตัดบท ไพ่เพ้ยไม่ต้องเล่นกันแล้ว ไปกินข้าวกันดีกว่าปะ เราหิวแล้ว ตุลย์ผู้มีร่างหนากว่าคนอื่นคงหิวจริงเพราะมารอพวกเราทานข้าวนานแล้วเหมือนกันเอ่ยชวนขึ้น เห็นด้วยกับตุลย์ ไป เราก็หิวแล้ว ผมลุกขึ้น พร้อมกับจะเดินไปกอดคอกิมเหมือนที่ทำเป็นประจำ ดูว่ากิมจะแสดงอาการอย่างไร แต่กิมก็ทำเหมือนปกติ ผมจึงพูดกับกิมว่า เราขอร้องอย่างหนึ่งจริงๆนะกิม นายอย่าเรียกเราว่าป้าพล เหมือนที่ไอ้ภูมิมันแนะนำนะกิม เราขอร้อง เรารับไม่ได้ว่ะ พอผมพูดเสร็จทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะ แล้วก็ออกไปทานข้าวกัน มันเป็นข้าวมื้อแรกที่ผมได้กินในฐานะเกย์ ในฐานะตัวตนจริงของเพื่อนที่ควรมีให้กับเพื่อน และเพื่อนของผมก็ได้ร่วมโต๊ะกินข้าวกับเกย์อย่างเป็นทางการ และนั้น เป็นวันแรกที่เพื่อนผมรู้จักกัน....รู้จักกันจริงๆสักที ผมยิ้มให้กับตัวเองเมื่อผมนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งก่อน มาถึงนานแล้วเหรอพล ? เสียงที่ผมคุ้นเคยเรียกผมมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง เสียงของตุลย์นั้นเอง ........จบตอนที่ 1..........
19 มกราคม 2549 15:59 น. - comment id 89100
ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ นักอ่านทุกท่านด้วยนะครับ
19 มกราคม 2549 15:59 น. - comment id 89101
อ่านแล้ว อ่านแล้ว จ้อบ จ้อบ ดันจ้า
19 มกราคม 2549 16:20 น. - comment id 89102
พี่พุดค่ะ ละเมียดอ่านงานเปิดใจเรื่องนี้ อย่างตั้งใจมากค่ะ เขียนได้ดีมาก ราวเรื่องจริง และ ราวกับ มิ่งมิตรพี่พุดคนหนึ่ง กำลังนั่งลงตรงหน้า และ สารภาพความกับพี่พุดค่ะ และ... อาจจะดีที่ได้ฟังความจริง ดีกว่าทิ้งค้างคาให้สับสนทั้งเขาเรา และ ตราบจนกว่าเขาคนนั้นจะ ค้นหาตัวเองพบ จบด้วยการยอมรับธรรมชาติชีวิต ที่มิอาจจะบิดพลิ้วได้ และ การเป็นเกย์ก็เป็นคนย่อมมีกมล ละไมละเมียด ไม่เบียดเบียนผู้ใด และใจก็แสนสุข หากรู้รักรู้ใช้ชีวิต มิเห็นผิดที่ตรงไหนค่ะ พี่พุดจึงมา ฝากคำอาจจะถึงใครสักคน ใครคนนั้น ที่รวดร้าวในฝัน เพราะพยายามปิดบังความจริงค่ะ จึงหวังวิงวอน ให้ยอมเปิดใจดีกับใครสักคน ดีกว่าทนเก็บอัดไว้ณ..ภายใน ที่ไม่เห็นมีอะไรดีเลยค่ะ ด้วยรักเข้าใจค่ะ และ ศรัทธาชื่นชม ในงานงามนิยามคนที่กล้าเผชิญ ความจริง ที่เป็นสิ่งมิตายค่ะ
19 มกราคม 2549 16:57 น. - comment id 89105
ขอบคุณ คุณหงส์ระบำ และ พี่พุด มากๆที่เข้ามาให้กำลังใจ นึกว่าไม่มีใครอ่านแล้ว มีคนให้กำลังใจแบบนี้ พยายามเขียนต่อไปครับ อย่าลืม ติดตามตอนที 2 ตอนต่อไปนะครับ
31 พฤษภาคม 2550 18:33 น. - comment id 96406
สนุกดีหรอกนะมันดี ชอบมากคร๊าบ