นิทาน...นาย นิทาน ตอน...ตะวันลับท้ายไร่ ชีวิตในช่วงเยาว์วัยที่ได้อาศัยอยู่ในไร่ห้วยนางทอง ที่เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพรที่บริสุทธิ์สดใส ในกลิ่นอายของธรรมชาติที่ข้าเองลืมมิได้นั้น มันช่างเป็นมนต์เสน่ห์ที่ติดตรึงตราในใจยิ่งนัก เริ่มจากยามเย็นที่เราได้เห็นตาวันค่อยๆคล้อยเอนต่ำลงลับเหลี่ยมเขาที่มองจากหลังห้างที่ข้าได้อาสัยหลับนอนในยามค่ำคืน มันช่างสวยเสียนี่กระไรหากวันนั้นข้ามีกล้องคงได้ถ่ายรูปเก็บไว้มากมายในทุกๆวินาทีที่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากแสงแดดที่ร้อนแรงจ้าแล้วค่อยๆอ่อนลงๆจางลงทีละนิดๆจากตาวันดวงเล็กๆที่แจ่มแจ้งด้วยแสงสูรย์จนมองเห็นเป็นดวงใหญ่สีส้มโตอยู่บนยอดเขาไรๆเห็นหมู่มวลแมกไม้ที่ขึ้นหนาแน่นบนยอดเขาไกลๆโน่น หากแต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถบันทึกไว้ได้ ทำได้แค่เพียงบันทึกด้วยกล้องสองตาที่มีอยู่แล้วเก็บข้อมูลเหล่านั้นใส่แผ่นซิปสมองไว้ รอวันและเวลาให้มานั่งนึกย้อนอดีตแต่ก่อนเก่า มาบรรยายผ่านตัวหนังสือเป็นเรื่องเล่าให้นึกถึงวันวานที่ผ่านมา ในเรื่องแห่งความทรงจำเมื่อครั้งอดีต แล้วมันจะได้อะไรเล่าจากความทรงจำนั้นๆ ไม่เลยไม่เคยคิดหวังอยากได้อะไรทั้งสิ้น เพียงแค่แอบคิดว่า หากเป็นไปได้เราอยากให้วันนี้ย้อนไปหาวันวานได้ แล้วเราจะเป็นสุขยิ่งนัก เราได้อยู่ใกล้ธรรมชาติที่แสนงดงาม ดื่มด่ำความบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติของโลกพลีมอบให้มวลมนุษย์ทุกผู้ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งชนแบ่งชั้นว่ายากดีมีจน ธรรมชาติพลีมอบให้เท่าเทียมกัน หากแต่มนุษย์ต่างหากเล่าที่แก่งแย่งกันเอง เอาเปรียบธรรมชาติ รุกรานข่มเหง ย่ำยี จนธรรมชาติทั้งหลายทั้งมวลไม่อาจทานน้ำมือของคนได้ ตาวันจะลับลาฟากฟ้า นกกาผกผินบินกลับรวงรัง ต่างส่งเสียงเซ็งแซ่บนต้นปูข้างห้างของข้า ข้าคิดในใจว่ามันคงพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่มันได้ออกไปพบมาในวันนี้กระมัง เสียงจักจั่นก็ร่ำร้อง หริ่งหรีดเรไร ต่างขับขานประสานเสียงเป็นบทเพลงที่ไม่สามารถหาฟังได้ง่ายๆ ใบตองกล้วยที่ปลูกไว้เป็นแนวเขตแดนแบ่งเนื้อที่ว่าใครเป็นเจ้าของนั้นสะบัดกวัดใบตามแรงลมปะทะเสียงสั่นพั่บๆพั่บๆชวนให้น่ากลัวยิ่งนัก เจ้าฝูงไก่ขันเรียกร้องพวกพ้องให้ขึ้นคืนคอนบนหลังคอกงัวบ้าง เข้าไปนอนในเล้าที่ทำไว้บ้าง บางตัวก็ขึ้นไปนอนบนกิ่งต้นปูที่ย้อยต่ำระย้าลงมา แสงตาวันลับขอบฟ้าเปลี่ยนจากเวลากลางวันเป็นกลางคืน เจ้านกเค้าตัวเขื่องที่หลับใหลในยามวันลืมตาตื่นขึ้นมาร้อง ฮูกๆอยู้บนต้นปูใหญ่ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงเวลาของนักล่ายามราตรีต้องออกหากินแล้ว หลังจากหลับใหลมาตลอดทั้งวัน ยิ่งดึกยิ่งเงียบยิ่งได้ยินเสียงแปลกๆแปร่งๆยิ่งนักยามอยู่ท่ามกลางป่าเขา มองออกไปไกลๆเห็นแสงตะเกียงรำไรๆจากห้างของเพื่อนไร่ที่ยังไม่หลับนอน บางคราก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกตะโกนดังกึกก้อง สอดแทรกเสียงแห่งราตรี เสียงยุงที่บินหวี่ๆจากตัวเดียวรวมกันหลายๆตัวจนเปลี่ยนเสียงเป็นดังกังวานไปทั่วรอบๆห้าง ยามนั่งกินข้าวต้องคอยปัดยุงไปกินไปท่ามกลางแสงตะเกียง มันช่างสุนทรีย์ยิ่งกว่าไปกินดินเนอร์ใต้แสงเทียนในโรงแรมหรูราคาแสนแพงเสียอีก พ่อแม่ลูกนั่งกินข้าวล้อมวงนั่งขัดตะหมาดปุ้มข้าวด้วยมือใส่ปาก กินอย่างเอร็ดอร่อย มีน้ำพริกถ้วยน้อย กับแกงส้มผักที่เก็บเอาปลายไร่ และต้มผักแกมอีกอย่างสองอย่าง กินข้าวอิ่มแล้วสิ่งที่ลืมไม่ได้คือไอ้เพื่อนยากที่มันนอนรออยู่ข้างล่างรอเศษข้าวปลาอาหารจากเราผู้เป็นนายนำลงไปขุนไปได้กินอิ่มให้อิ่มหนำตามประสาคนกะหมาที่อยู่ด้วยกันแบบชาวไร่ชาวนา กระนั้นมันก็ยินดียิ่งนักยามเราเอาหม้อข้าวหิ้วลงไปเทใส่รางให้มันได้กิน มันสะบัดหางร้องหงิงๆแลบลิ้นเลียปากวิ่งไปรอที่รางข้าวของมัน ใช่สิถึงแม้มันจะเป็นเพียงเศษอาหารที่เหลือจากเราผู้เป็นนายได้กินแล้วหากแต่มันผสมด้วยน้ำข้าวที่เลิศรส มันจึงชอบยิ่งนัก อย่างน้อยๆไอ้ขาวเพื่อนยากของข้ามันก็อ้วนหัวหลิม แม้มันจะไม่เคยชิมอาหารหมาเลิศรสอย่างหมาๆในปัจจุบันก็ตามที (โปรดติดตามตอน*น้ำข้าว*ได้ในตอนต่อไปขอรับกระผม) เศษทาน
29 ธันวาคม 2548 20:26 น. - comment id 88648
แหะๆๆก่อนอื่นต้องกราบขออภัยพี่น้องชาวบ้านกลอนไทยหลังนี้ด้วยนะขอรับ เมื่อก่อนผมเคยสัญญาไว้ว่าจะนำมาโพสต์ทุกสัปดาห์แต่อย่างว่าหละครับกระผมคนทำงาน มาขายแรงรับจ้างเขาไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร หวังว่าพี่น้องชาวบ้านกลอนไทยหลังนี้คงให้อภัยในมิตรไมตรีที่เคยให้กระผมก่อนหน้านี้ แต่ไม่รู้ว่ายังมีใครจำได้บ้างไหมเอ่ย จาก เศษทาน
29 ธันวาคม 2548 21:23 น. - comment id 88649
จำได้ค่ะ :)
30 ธันวาคม 2548 08:39 น. - comment id 88655
ทุกตัวอักษรซื่อใส จากบทเรียนแห่งความทรงจำงดงาม ในท่าม*วัยวัน..วัยเยาว์* ที่แสนใสบริสุทธิ์ พุดอ่านด้วย จิตวิญญาณสาวบ้านนา นาทีนี้ ที่น้ำตามารอเอ่อซึมพร้อมพลีพร่าง ด้วยหลงรัก ซาบซึ้ง ประทับใจ เข้าถึงชีวิตวิถีนานไร่ไพร ราวกับ ได้ตามติดขึ้นไปนั่งบนห้างนา รอดูตะวันลับฟ้า ได้ล้อมวงกินข้าวปลา ที่แสนน่าจะเอร็ดอร่อย แม้นมิใช่มาจากภัตตาคารหรู เพราะคือ *ธรรมดาชีวีชีวิต ที่แสนสนิทแนบด้วยไออุ่นแห่งความเรียบง่ายรักใคร่ ได้ชิดใกล้ปันแบ่งกัน ได้ อยู่กับธรรมชาติ ได้ใช้วันเวลาอย่างสงบสะอาด ไร้มลพิษแสงสีที่ยวนยีให้ ดวงใจเร่าร้อนลุ่มหลง มัวพะวงเพียงวัตถุ หากหารู้สัจจะธรรมไม่ว่า แท้แล้วหนา ความสุขนิรันดร์นั้น *สำคัญที่ใจ อยู่ที่ใจ ดั่งอัญมณีไพร* อยู่ที่ใครจะปักกวาด *บ้านภายใน* ให้สวยใสสะอาดสว่างสงบเพียงใด ก็จักพบค่าคำเกษมสุขค่ะ คนดี สาวนารักงามวิถีเช่นนี้มาก และ อยากฝากชีวิต ไว้ภายใต้เงื้อมเงาแห่งนาไร่ และหวัง สาวสาวชาวไทย คงมีโชคได้พบสุภาพบุรุษไพร หัวใจทองปองฝันสวรรค์บ้านนาบ้านไร่ มารับไปเป็นนางใจไพรเทพี ที่คงมีความสุขไปตราบชั่วนิจนิรันดรค่ะ สาวนาแค่ฝันเอาตามจินตนาการ ผ่านงานคุณทานก็สุขพอแล้วค่ะอิอิ
30 ธันวาคม 2548 08:42 น. - comment id 88656
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html หอมเอยหอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาหญ้านาง มองเห็นบัวสล้างลอยปริ่มริมบึง อยากจะเด็ดมาดอมหอมหน่อย ลองเอื้อมมือค่อยค่อย ก็เอื้อมไม่ถึง อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง แปลงได้จะบินไปคลึงเคล้าเจ้า บัวตูมบัวบาน หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน อวลระคนธ์หอมแก้มนงคราญ ขลุ่ยเป่าแผ่ว พริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า มนต์รักลูกทุ่งบ้านนา หวานแว่วแผ่วดังกังวาน โอ้เจ้าช่อนกยูง แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ...
30 ธันวาคม 2548 08:44 น. - comment id 88657
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4721.html ข้าวคอยเคียว..สาวบ้านนาคอยคน ได้ยินไหมพี่ เสียงนี้ คือสาวบ้านนา พร่ำเพรียกเรียกหา ตั้งตานับเวลารอคอย คอยเช้า คอยเย็น ไม่เห็นสักหน่อย ปีเคลื่อนเดือนคล้อย รักเอ๋ยจะลอยรักเอ๋ยจะลอยแรมไกล อีกเมื่อไรรักจะคืนรื่นรมย์ ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว รวงข้าวคอยเคียว น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว รวงข้าวคอยเคียว น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย