ในรั้วโรงเรียน : ปล่อยหลอก

..สายลมทะเล..

สำหรับนักเรียนทหารแล้ว หลังจากก้าวเท้าเข้ามาเหยียบแผ่นดินแห่งนี้ ระเบียบชีวิตของทุกคนจะถูกนำมาจัดระบบใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า บุคลิกเดิมของแต่ละคนจะถูกโยนกองทิ้งไว้หน้าโรงเรียน ต่างต้องมาเรียนรู้กันใหม่ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งปิดตาหลับ ทุกนาที ทุกก้าว ทุกมุมมอง ทุกสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทรับรู้ทั้งมวล ล้วนต้องผ่านการฝึก อากับกิริยาอาการ สีหน้าท่าทาง การแสดงความรู้สึก...กระทั่งหายใจ...ก็ต้องฝึก
นักเรียนทหารจะต้องควบคุมสติตัวเองได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในทุกๆ สภาพการณ์...นั่นคือจุดหมายปลายทางที่ถูกกำหนดไว้
ตีห้ายี่สิบเสียงแตรปลุกดังผ่านระบบกระจายเสียง นักเรียนเตรียมทหารปีหนึ่งผลุดลุกขึ้นจากเตียง เปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดพละ และเพียงเข็มวินาทีขยับหมุนได้ครึ่งรอบ กว่าครึ่งกองพันก็หลุดออกจากบันไดตึกพร้อมเข้าแถว ในขณะที่บางส่วนยังมือสั่นเก็บที่นอนหมอนผ้าห่มไม่เสร็จ รองเท้าถุงเท้าพละคว้ามาก่อน ค่อยหาทางใส่เอาทีหลัง...จะผิดข้างถูกข้าง ช่างมันเถอะ
 10 9 8  3 2 1 หมอบ! นอนหงาย ดันขึ้นมา
หอยทากคลานถึงเชียงใหม่แล้ว เมื่อไหร่จะจัดแถวเสร็จ ชักช้าอย่างนี้จะไปทำอะไรกิน เอ้า! ใช้มือดันดีดีไม่ชอบใช่มั๊ย หัวปัก มือกอดอก อย่าให้เห็นอู้ ไม่งั้นเจอเราแน่
...แม่ง หอยทากบ้านพ่.. หรือไงคลานไวขนาดนั้น ได้แต่คิดในใจ มองดูหน้าเพื่อนซ้ายขวาที่ตีลังกาหัวปักตาเหลือกอยู่ ก็คงคิดไม่ต่างกัน บรรดาสัตว์เลื้อยคลานสี่เท้าลักษณะคล้ายน้องชายจระเข้ออกมาวิ่งเพ่นพ่านกลาดเกลื่อนในความเงียบ ไม่มีแม้เสียงพึมพัม เพราะต่างรู้ดีว่า แม้แต่เสียงหายใจที่ฟืดฟาด ก็อาจทำให้ชีวิตเลวร้ายไปกว่านี้
เอ้า! อู้ๆ อย่างนี้ ไม่อยากวิ่งออกกำลังใช่มั๊ย 
นับหนึ่งถึงสองร้อยคนนึง
สิ้นเสียงสั่ง หลายคนรีบนับเสียงดังลั่น ก่อนจะยกให้คนที่เสียงดังที่สุดนับต่อไปจนจบ
A ถึง Z
ยังไม่มีปัญหา...ไม่ยาก
Z ถึง A
หลายคนทรุดไปแล้ว แต่ก็ยังมีต้นเสียงที่เตี๊ยมกันมาอย่างดีท่องไปได้จนจบด้วยความรวดเร็ว...พวกเราทิ้งร่างลงไปอย่างหมดแรง
ใครสั่งให้เอาลง ดันขึ้นมา แค่นี้อย่ามาทำสำออย ไอ้พวกลูกแหง่
...ไอ้คูเพื่อนซี้ทำหน้างงๆ แม่มันดำนาอยู่บ้านคงสำลักข้าวกับน้ำพริกเป็นแน่หากได้ยินประโยคนี้เข้า...
บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเห็นแย้งที่แตกต่างครอบคลุมพวกเราอยู่ทุกวี่วัน...เวลานอกรั้วพระรามสี่อาจผ่านไปเพียงสองอาทิตย์ แต่เวลาข้างในนรกอันเดือดระอุนั้น นานจนเต่าตายไปแล้วเกิดใหม่มาตายได้อีกหลายรอบ
เช้าแรกของอาทิตย์นี้ มีข่าวดีแว่วเข้าหูมาว่า อาทิตย์นี้จะเป็นอาทิตย์แรกที่ปล่อยกลับบ้าน ไม่ว่ามันจะเป็นข่าวลวงหรือไม่ กำลังใจที่แทบไม่เหลืออยู่ก็กลับมีขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม แรกๆ พวกเราต่างก็ไม่เชื่อ ยังสงสัยว่าเป็นแค่สถานการณ์ที่สร้างขึ้น แม้นายทหารปกครองจะออกมายืนยัน และปรามว่าอย่าหลงลำพอง เพราะจะมีแค่บางส่วนที่ไม่ทำความผิดเท่านั้นที่จะได้ออกไป...เราก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
จนกระทั่งวันพฤหัสไปเรียนที่ฝั่งกองการศึกษา อาจารย์ทุกคนต่างแสดงความยินดีกับการได้ปล่อยกลับบ้านครั้งแรก เราจึงมั่นใจว่าที่นายทหารปกครองพูด เป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นในเย็นวันศุกร์ที่ใกล้เข้ามา
สำหรับนักเรียนทหาร ฝั่งกองการศึกษาเป็นเสมือนที่พึ่งพิงทั้งกายและใจ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรที่คอยปกป้องเราจากบรรดารุ่นพี่ นักเรียนบังคับบัญชา และนายทหารปกครอง ที่ต่างเกรงใจอาจารย์ไม่เข้ามายุ่มย่ามกับพวกเรามากนัก อาจารย์ทุกคนก็เปรียบเหมือนพ่อพระแม่พระอันเป็นที่รักยิ่ง คำพูดทุกคำของท่านจึงเชื่อถือได้...ทุกคนจึงตั้งตารอคอยวันศุกร์และระมัดระวังตัวเองที่จะไม่ทำผิดในเรื่องใดใด
แสงตะวันยามเช้ารอคอยเราอยู่ข้างนอก...คืนนั้น ทุกคนหลับเหงื่อท่วมกายแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
อาทิตย์ยังไม่แตะขอบฟ้า เวลาเช้าของนักเรียนเตรียมทหารก็มาเยือนอีกครั้ง
หมอบ! เตรียมตัวตะกายตึก ... 50 ยก
สงสัยล่ะซิ ว่าท่ามันเป็นยังไงไอ้ตะกายตึกเนี่ย...ลองนึกภาพมนุษย์แมงมุมที่กำลังไต่ตึกระฟ้าในโปสเตอร์โฆษณา แขนสองข้างยึดผนังอาคาร ขาข้างหนึ่งเหยียดตรง อีกข้างงอออกทางข้าง หัวเข่าแทบชิดอก เพื่อยันตัวให้คืบคลานขึ้นไป ผิดก็แต่เราทำในแนวราบ และไม่มีการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า บางคนเรียกท่านี้ว่า ซาลามานเดอร์ พี่บางคนก็เรียกว่า ท่าแย้ แต่พวกเราคนปฏิบัติพร้อมใจที่จะเรียกมันว่า..ท่าเหี้ย..
ผมทำไปยิ้มไป ก็วันนี้จะได้กลับบ้านแล้วนี่ กำลังใจจึงท่วมท้น เรี่ยวแรงพญาควายที่เก็บซ่อนไว้ถูกนำมาใช้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ยิ้มหาสวรรค์วิมานอะไร มีความสุขมากใช่มั๊ย ลุก!
เสียงประกาศิตดังอยู่เหนือศีรษะข้างหน้าผม ผมทะลึ่งพรวดขึ้นยืนเท่ ก่อนจะทิ้งฮวบลงไปหมอบตามเสียงสั่ง หมอบ นอนหงาย ดันขึ้นมา ตะกายตึก 50 ยก
อ้อ! อย่าเพิ่งงง  นี่เป็นการประยุกต์ท่าลงโทษสองท่าเข้าด้วยกัน เพื่อให้มันพิสดารทุลักทุเลและทรมาณยิ่งขึ้น แม้ขาและแขนสองข้างของผมจะสั่นระริก ซึ่งไม่แน่ใจว่าคืออาการดีใจจนเนื้อเต้นที่จะได้กลับบ้านครั้งแรก หรือเป็นผลข้างเคียงจากท่าแบกโลกตะกายตึก แต่ผมก็มีความสุขกับการรอคอย
เย็นนั้นนักเรียนบังคับบัญชาดูจะใจดีเป็นพิเศษ ให้เราอาบน้ำนานกว่าปกติ พวกเราจึงได้ถูสบู่ตัวหอมกันถ้วนทั่ว...หนำซ้ำยังช่วยจัดโน่นจัดนี่ ดูแลความเรียบร้อยและความประณีตในการแต่งกายของพวกเราทีละคน เรียกว่าฉากนี้เล่นเอาซึ้งน้ำตาไหล
ชุดนักเรียนใหม่ถูกนำมาใส่สำหรับการปล่อยกลับบ้านครั้งแรก
เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว หัวเข็มขัดทอง คาดทับกางเกงขาสั้นสีดำ ถุงเท้าดำดึงสูงครึ่งน่อง ประกอบกับรองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำมัน ยิ่งคนใส่ตัวดำเพราะแดดเผา ผมสั้นกว่าหัวก้านไม้ขีด หน้าตาอมทุกข์ไว้ทั้งโลก ถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ด้วยมือซ้าย มือขวากำพอหลวมๆ ...กำนันชัดๆ
การตรวจเครื่องแต่งกายผ่านไปอย่างเรียบร้อย แถวกองพันนักเรียนใหม่ตั้งขบวนเดินผ่านตึกนอนไปหน้าประตูโรงเรียน พี่ๆ สองข้างตึกตะโกนแสดงความยินดี บ้างก็อวยพร ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพกลับมาปลอดภัย บ้างก็ขู่ว่าเข้ามาวันอาทิตย์เจอกันแน่...แต่เวลานั้น เราได้แต่ยิ้มในหน้าอย่างมีความสุข จะแสดงอาการลิงโลดมากกว่านั้น ก็เห็นจะโดนดีฐานยิ้มในแถวอีก
หน้าประตูโรงเรียน คนคุมแถวนำกล่าวปฏิญาณลาเสด็จปู่รัชกาลที่ห้า ทุกคนปฏิญาณอย่างเข้มแข็ง...เสียงดังสะเทือนไปทั่วถนนพระรามสี่ คนสองฟากถนนที่เดินผ่านสะดุ้งและหยุดยืนดู...เรานักเรียนใหม่กำลังจะกลับบ้านแล้ว
สิ้นเสียงคำปฏิญาณ นักเรียนบังคับบัญชาสั่งเลิกแถว ไม่ทันที่แถวจะแตกกระจายออก รถในราชการทหารวิ่งด้วยความเร็วสกัดขวางหน้าพวกเราไว้
นายทหารปกครองหน้าตาเคร่งเครียดเหงื่อซึมเต็มใบหน้า เปิดประตูออกมาพร้อมโทรโข่งสนามหนึ่งตัว ทั้งที่เสียงเขาปกติก็ดังปานฟ้าผ่า
เขาประกาศด้วยเสียงที่สะกดทุกคนนิ่งเป็นปลาตาย ไม่ใช่เพราะความดัง แต่เพราะข้อความนั้นต่างหาก
นักเรียนใหม่ทุกคนทราบ ขณะนี้เกิดความไม่สงบ รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน ให้ทหารทุกหน่วยเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เปลี่ยนรหัสฉุกเฉินเป็นสีส้ม คงกำลังในหน่วยร้อยเปอร์เซ็นต์...นักเรียนใหม่ ตั้งแถวกลับตึก
คนข้างนอกรั้วโรงเรียนทำหน้าเหรอหรา แต่ไม่บอกก็รู้ นี่มันมุขชัดๆ
แข้งขาเราอ่อนเปลี้ย เวลาที่สู้รอคอยมาตลอดทั้งอาทิตย์ปลิวหายเหมือนใบไม้แห้งที่หลุดจากกิ่ง น้ำตาหลายคนเริ่มไหลอาบหน้า
แถวทหารที่เศร้าสร้อยเดินซึมกะทือกลับตึกนอนอีกครั้ง พี่ๆ สองข้างตึกโห่และประชดเสียดสีให้เจ็บปวด ต่างไปจากตอนเดินออกเหมือนคนละคน จนเรายังสงสัยว่าใช่พี่ๆ กลุ่มเดิมหรือเปล่า...บ้างเห็นพวกเราเดินน้ำตานองหน้ามา ก็หัวเราะกันท้องแข็งดิ้นพราดๆ อยู่บนขอบระเบียง มิวายซ้ำเติมให้เจ็บใจยิ่งขึ้น...สารพัดถ้อยคำพรั่งพรูให้เจ็บแสบ...น้ำตาผมเริ่มซึมแล้ว
เย็นนั้นข้าวโรงเลี้ยงเหลือทิ้งจนหมายิ้ม ต่างกินกันไม่ลง...ก้อนแข็งๆ อุดตันอยู่เต็มลำคอ อัดอั้นเกินกว่าจะบรรยายความรู้สึกข้างในได้
อาทิตย์ที่ขมขื่นกลับมาอีกครั้ง
พวกเราลืมที่จะฝัน และไม่คิดฝากความหวังไว้กับสิ่งใดใดอีก				
comments powered by Disqus
  • ลูกทัพฟ้า

    14 พฤศจิกายน 2548 20:33 น. - comment id 87848

    เยี่ยมครับ
  • ว่าน

    29 พฤศจิกายน 2548 11:39 น. - comment id 88262

    น่าสงสารเนาะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน