ทหารไม่ใช่น้ำตาล ที่โดนแดดโดนฝนแล้วจะละลาย ดูเหมือนจะเป็นประโยคอมตะและฮิตติดปากนักเรียนบังคับบัญชาและนายทหารปกครองตั้งแต่รุ่นหนึ่งถึงรุ่นปัจจุบัน ฝนจะตกแดดจะร้อน จะให้เลิกฝึกนั้น เป็นไปไม่ได้สำหรับนักเรียนนายเรืออากาศ หนทางเดียวที่จะไม่ต้องฝึก คือมีใบแพทย์จากคุณหมอมายืนยัน แต่ก็นั่นล่ะ คุณหมอก็สมกับเป็นหมอทหาร โอ้ย! ไม่เป็นไร แค่นี้ประเดี๋ยวก็หาย เอายาไปกินแล้วกัน มิวายจะทำตาออดอ้อน กระไอกระแอมจนแสบคอ คุณหมอก็หาได้สนมารยาห้าร้อยที่พวกเราอุตส่าห์ลงทุนแสดงไม่ เราก็เลยพร้อมใจกันให้ฉายาคุณหมอ...หมอไหวใจร้าย มันอาจฟังดูชวนรันทดสักหน่อย หากนูนจะบอกพวกคุณว่าที่นี่ก็ไม่ต่างไปจากที่ไหนๆ ที่คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ขณะที่การสอบเข้ามาต้องฝ่าฟันกับเด็กหนุ่มระดับหัวกะทิทั่วประเทศนับหมื่นคน เพียงเพื่อจะเป็นหนึ่งในร้อยที่ได้รับการคัดเลือก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สนามประลองแห่งนี้ จะกลายเป็นที่ลองวิชาของคนเก่งจากที่ต่างๆ ...แน่นอน แม้แต่พวกที่เตรียมตัวจะเอ็นทรานซ์เข้าแพทย์เข้าวิศวะมหาวิทยาลัยดังๆ ก็มาลองของที่นี่มากโขอยู่ 3-4 เตียงรอบตัวนูน เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของเพื่อนที่ร้อนวิชา ด้วยความรู้สึกว่ามาสอบเล่นๆ แล้วจับผลัดจับผลู พ่อว่าดี แม่ว่าใช่ ประกอบกับเพื่อนว่าเท่ สาวๆ ชอบ ก็เลยเข้ามาเรียนแบบตามน้ำ ทำตัวเป็นปลาตายไปเสียงั้น แต่โรงเรียนทหารไม่ใช่ที่ที่ปลาตายจะอยู่ได้หรอกนะครับ หากคุณไม่ได้มีใจให้มัน และกำลังใจคุณไม่ได้เข้มแข็งจริง ร้อยทั้งร้อยก็สู้ไม่ไหว สภาวะที่ถูกกดดันทั้งกายและใจจะบีบคั้นจนคุณต้องหาทางออก...และทางออกที่ง่ายที่สุดก็คือการลาออก ...ง่ายสำหรับคุณ แต่ไม่ง่ายสำหรับคนรอบข้าง พ่อ แม่ ญาติ เพื่อน และสังคม ล้วนไม่พร้อมที่จะเข้าใจยอมรับเหตุผลของคุณ ...พวกเขาเชื่อว่า นี่คือเส้นทางสู่ดวงดาว เส้นทางของฟ้าเจิดจรัส น้อยคนที่จะเปิดอกยอมรับการตัดสินใจของคุณโดยไม่ขื่นขม ...เพื่อนทั้งสามคนรอบข้างนูนก็เช่นกัน ชีวิตคุณหนูที่สุขสบาย ถูกตามใจจนเคยตัว เสวยสุขอยู่ในวิมานสิบล้านร้อยล้าน ฝ่าเท้าอันบางนุ่มเคยสัมผัสแต่พรมเปอร์เซียกระเบื้องหินอ่อนและพื้นรองเท้าที่แพงกว่าเครื่องแบบทหารทั้งชุดรวมกัน... ฝ่าเท้าเช่นนั้น ไหนเลยจะทนทานด้านหนาเหยียบย่ำไปบนหินกรวดและพงหนามของชีวิตนักเรียนทหารได้ ...ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้ หอมหวนยวนจิตไซร้ ไป่มี... ล้วนเป็นความจริงโดยแท้ .......................... ฮึกๆๆ เสียงสะอื้นเบาๆ ในความมืด ดังมาจากเตียงข้างๆ ร่างเล็กๆ ที่เป็นเงาตะคุ่มขดตัวสะท้อนความรู้สึกที่หวั่นไหวออกมาทางไหล่ที่โยนตัวขึ้นลง นูนอยากจะลุกขึ้นไปปลอบเพื่อนสักคำ แต่ทั้งแรงกายแรงใจของนูนก็หมดสิ้นไปแล้วเช่นกัน สิ่งเดียวที่ยึดนูนเอาไว้..ไม่ว่าความอัดอั้นจะมากมายแค่ไหน นูนก็จะไม่ยอมถอยหลัง...ความอ่อนแอในกายที่แข็งแกร่ง นูนขังมันไว้ด้วยภาพไอ้แดงวัวในคอกข้างบ้าน อย่างน้อยมันก็ย้ำเตือนนูนว่า...สุดสายตาของท้องนาที่ไอ้แดงไถมาทั่วทั้งย่าน ไม่เคยมีลูกชายบ้านไหนสอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยได้มาก่อน ...ลูกชายผู้ใหญ่บ้านเป็นคนแรก...เขารู้กันทั้งบาง นูนข่มตาหลับไปด้วยใจที่ขื่นขม ...ทิ้งเสียงสะอื้น ฮึกๆ ไว้ข้างหลัง ...เบาลง...เบาลง...จนกระทั่งหลับไป มาสะดุ้งตื่นอีกครั้งก็ตอนมีเสียงคนดิ้นตกเตียงกระแทกกับพื้นและฝาตู้ หันไปดูเจ้าของเสียงสะอื้น ก็เห็นยังนอนนิ่งอยู่ เสียงกระแทกดังมาจากฝั่งตรงข้ามข้างเตียงนูน เสียงอันดังทำให้เพื่อนที่อยู่หัวโรงนอนเปิดไฟดู ...ภาพไอ้ยักษ์ลูกนักธุรกิจใหญ่นอนดิ้นน้ำลายฟูมปากอยู่กับพื้น ...คราวที่แล้วมันซัดพาราเซตตามอนไปกว่า 40 เม็ด ...ไม่เป็นไร หามส่งโรงพยาบาลทัน ...คราวนี้คงกวาดสารพัดยาในตู้เข้าปาก เพื่อนๆ ต้องรีบวิ่งไปตามหัวหน้า และหามไอ้ยักษ์ส่งโรงพยาบาล ...เห็นหัวหน้าพูดกันว่า ถ้าคราวนี้มันรอดกลับมาได้ เห็นทีต้องเก็บผ้าก๊อซกับพลาสเตอร์ออกจากตู้ยา...กลัวคราวหน้าไอ้ยักษ์จะกินไม่เหลือ ภาพไอ้ยักษ์โดนพ่อกับคนขับรถช่วยกันลากเข้าโรงเรียนเมื่อเย็นวันอาทิตย์ท่ามกลางสายฝน ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ชีวิตเด็กบ้านนอกอย่างนูนไม่เข้าใจเลยว่า พ่อของเพื่อนที่พูดไทยไม่ชัด หน้าตาบอกยี่ห้อจีนแผ่นดินใหญ่นั้นยังต้องการอะไรอีก ความร่ำรวยที่เกินกว่าจะกินหมดในชาตินี้ ไม่เพียงพอจะซื้อความสุขให้กับลูกชายเพียงคนเดียวได้อีกหรือ...นูนไม่เข้าใจ และถ้านูนมีเงินร้อยล้านแบบเขา...นูนจะยังมาเรียนที่นี่ไหม... อยากรู้จริงๆ ว่า เงินจะทำให้เสียงปฏิญาณของนูนแหบลงหรือเปล่า...แต่เชื่อเถอะ ทั้งชาติ...นูนก็คงไม่รู้ ที่โรงพยาบาลพ่อกับแม่ไอ้ยักษ์ยอมรับความจริงได้แล้ว...ไม่มีสิ่งไหนจะสำคัญกว่าชีวิตของลูก ซึ่งนูนก็เชื่อว่าท้ายที่สุด พ่อแม่ทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้ ...ภาพไอ้ยักษ์นอนน้ำลายฟูมปากจึงเป็นภาพสุดท้ายที่นูนเห็นหน้ามันในรั้วโรงเรียน...มันลาออกไปเตรียมสอบเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และสิ้นสุดเส้นทางแห่งดวงดาวเพียงแค่นี้ (ดาวที่ว่าหมายถึงดาวมฤตยู) การเดินจากไปของเพื่อนข้างเตียง ที่คงทิ้งไว้แค่ที่นอนร้างนั้น ได้เพิ่มความรู้สึกว้าเหว่และซึมเศร้าให้กับเพื่อนเตียงถัดมา เพื่อนคนนี้ก็ไม่ต่างไปจากไอ้ยักษ์นัก มันพยายามหนีมาหลายครั้ง แต่ก็โดนพ่อซึ่งเป็นนายทหารข่าวกรอง แกะรอยไปลากกลับมาได้ทุกที ไม่ว่ามันจะพยายามรบเร้าให้จิตแพทย์ลงความเห็นว่ามันเป็นคนผิดปกติทางจิต คุณหมอก็ไม่เล่นด้วย...ท้ายที่สุด มันก็เลยเอาถุงเท้าผูกคอตายในห้องน้ำโรงพยาบาล ซึ่งนูนก็นึกภาพไม่ออกว่ามันจะผูกได้ยังไง...อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ตายสมใจ ผู้พันซึ่งพามันไปหาหมอเอะใจขึ้นมาและตามไปช่วยมันไว้ได้ (แต่แหล่งข่าวแจ้งว่า จริงๆ แล้ว มันสลบกลิ่นถุงเท้าก่อนจะผูกเสร็จ ซึ่งนี่นูนก็ไม่ทราบว่าจริงเท็จประการใด) หลังจากนั้นก็เกิดการหนีและวิ่งไล่จับกันในโรงพยาบาลระหว่างนักเรียนนายเรืออากาศกับท่านผู้พัน เป็นข่าวเอิกเกริกใหญ่โตร้อนถึงนายทหารผู้ใหญ่ต้องลงมานั่งจับเข่าคุย ...สุดท้าย เพื่อนนูนก็ได้ออกสมดังหวัง มันดีใจร้องไห้ใหญ่ ส่วนพ่อมันไม่รู้ดีใจหรือเปล่า แต่ก็เห็นตาแดงๆ ...เพื่อนที่กอดคอกันมาเดินจากพวกเราไปอีกคน ................................................................................ คืนนี้ไม่มีเสียงสะอื้นจากข้างเตียงนูน เมื่อตอนเย็นมันบอกนูนว่า ของในตู้กูทุกอย่าง มึงอยากได้อะไรก็เอาไปเลย กูยกให้ มันมองหน้านูน และก่อนที่นูนจะถาม มันก็ชิงพูดเสียก่อน บ้านกูรวย ความคิดแว่บแรกของนูนก็เลยถูกความริษยากลบสิ้น อุว่ะ บ้านกูก็นาหลายแปลง ได้แต่คิดในใจ กลัวมันจะว่าเด็กบ้านนอก ...สมัยนั้น ถ้าเพื่อนรู้ว่าที่บ้านมีนาล่ะอายตายเลย ...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเอาสมองส่วนไหนมาคิด ...แล้วคืนนั้นมันก็หายไป และไม่กลับมาอีก ต้นปีที่ผ่านมา นูนเจอมันอีกครั้ง มันทำงานที่วิทยุการบินหรือท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยนูนจำไม่ได้ แต่ก็ยังเกี่ยวข้องกับการบินและท้องฟ้าอยู่ มันบอกนูนว่า มันไม่เคยเสียใจที่ออกมาวันนั้น พ่อมันซึ่งเป็นนักรบเหรียญกล้าหาญไม่เคยว่ามันเลยสักคำ วันที่น้องชายคนเล็กของมันจบรับกระบี่จากโรงเรียนนายเรืออากาศ...เป็นวันที่มันมีความสุขที่สุด วันที่มันรับปริญญาเป็นยังไง วันที่น้องชายมันรับกระบี่ พ่อมันก็ทำตัวอย่างนั้น พ่อไม่เคยทำให้กูกับน้องรู้สึกอึดอัด กูรักพ่อ กูเลยดีใจมากที่น้องกูจบเรืออากาศ นูนยิ้ม ลูกชายคนเดียวอย่างนูน บางครั้งก็น้อยใจพ่ออยู่บ่อยๆ ใครว่าลูกคนเดียวจะไม่ถูกเปรียบเทียบ..นูนเถียง พ่อนูนคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยุติธรรม ...พ่อรักไอ้แดงมากกว่านูน...พ่อขลุกและใช้เวลาอยู่กับมันทั้งวัน...นูนไม่เข้าใจเลย กะอีแค่มันไถนาเก่งแค่เนี้ย ทำไมพ่อถึงรักมันนักหนา ...พ่อนะพ่อ นูนน้อยใจน่ะ
2 พฤศจิกายน 2548 00:13 น. - comment id 87576
เป็นหนังสือขายเลยหรือเปล่า สนุกดันะ
2 พฤศจิกายน 2548 14:53 น. - comment id 87593
ตั้งใจว่ากลางปีหน้าจะรวมเล่มครับ..ถ้าไม่ยุ่งจนแบ่งเวลาไม่ได้ รับรองว่าขายไม่แพง แค่อยากบอกเล่าเรื่องราวของนักเรียนทหาร.. ที่สำคัญ กลัวขายไม่ได้ ต้องวิ่งไล่แจกตามสะพานลอยนะครับ ฮ่า
2 พฤศจิกายน 2548 19:19 น. - comment id 87601
พี่สายลม ถ้าทำแจก ไล่แจกมะกรูด เล่มสิ แต่ถ้าจะกรุณา ก็หลายๆ เล่มก็ดีนะ เพราะมะกรูด จะเอาไปแจกเด็ก ๆ แถวถิ่นทุรกันดาร
11 พฤศจิกายน 2548 07:22 น. - comment id 87751
ถ้าทำเสร็จเมื่อไหร่อย่าลืมบอกกันนะ
14 พฤศจิกายน 2548 20:26 น. - comment id 87847
ถ้าทำเป็นเล่ม ผมคนนึงละที่สนใจ และผมเป็นคนนึงที่เคยร่วมการสอบเข้ารร.นายร้อย 4 เหล่า ผมจะไม่เคยลืม วันนั้นครับ ฝากเมล์ครับ msn ได้ นะsir_brave_korn@hotmail.com
23 พฤศจิกายน 2548 13:45 น. - comment id 88171
ไม่ทราบว่าคุณนูนอยู่ปีไหนแล้วคะ ใกล้จบรึยัง ถ้าจบแล้วทำหนังสือขายก็ดีนะคะ อยากอ่านอีกรู้สึกว่าอ่านแล้วมีความสุขดี นึกถึงตัวเอง...ฮ่า แล้วเรียน รร.นายร้อยนี่เขามีเวลาให้เล่น เนทด้วยเหรอ ถ้ามีเรื่องอะไรดีๆก็อย่าลืมแบ่งบันกันนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
25 พฤศจิกายน 2548 18:47 น. - comment id 88207
เจ้ามะกรูด แจกเด็กถิ่นทุรกันดารจริงนะ..งั้นเอาไปสิบเล่ม สำหรับลูกทัพฟ้า kul และผู้ที่สนใจคาดว่าได้อ่านฉบับรวมเล่มแน่นอนครับ ปรากริม นายนูนที่เป็นพระเอกในท้องเรื่อง เขาจบมาหลายปีแล้วครับ ส่วนตัวผมรับปากว่า มีเรื่องดีดี แล้วจะเขียนมาให้อ่านกันอีก
29 พฤศจิกายน 2548 11:45 น. - comment id 88263
ถ้ารวมเล่ม น้อง ๆ คงซื้อกันเยอะแหละ แบบพี่ไอพ่นไง