เด็กชายปีกขาวกลางหุบเขาสายหมอก
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
๑.
เด็กชายนั่งซึมอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน ด้านหลังมีต้นไม้ขนาดสิบฅนโอบอยู่ต้นหนึ่ง มันสูงจนไม่เคยมีใครสักฅนมองเห็นยอดสุดของมัน อีกทั้งกลางหุบเขาเช่นนี้ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว แม้ยามเที่ยงวันดวงอาทิตย์จะสาดแสงแรงกล้าเพียงใดก็ไม่อาจสลายสายหมอกหนานี้ให้จางหายไปได้
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเหงาวังเวงเช่นนี้จะมีก็แต่สายลมขยับใบไม้ไหวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกับเด็กชาย
ตั้งแต่เขาถูกนำตัวมาอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีก่อนเขาก็ไม่เคยก้าวเท้าออกไปไหนเกินเขตบ้านเลย คำสั่งห้ามของพ่อแม่ถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์และเด็ดขาด เหมือนคาถามัดตรึงเขาให้อยู่แค่บริเวณเขตบ้านเท่านั้น บ่อยครั้งเขาเห็นเด็กวัยเดียวกันเดินผ่านหน้าบ้านเป็นกลุ่ม ใจนั้นอยากเข้าไปทักทายและวิ่งเล่นด้วย ทว่าเด็กเหล่านั้นกลับมีท่าทีที่ตื่นกลัวทุกครั้งเมื่อเดินผ่านหน้าบ้านเขา แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นกับอาการหวาดกลัวต่อเมื่อเด็กเหล่านั้นคล้อยหลังผ่านหน้าบ้านเขาไปแล้วนั่นล่ะ เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงก็จะกลับมาดังแทนที่
เด็กชายขยับตัวลุกขึ้น ปีกที่อยู่บนแผ่นหลังขยับไหวอย่างเชื่องช้า ยามเมื่อเขาหยุดเดินปีกจะค่อย ๆ หุบลง มีเพียงแต่ขนสีขาวบนปีกเท่านั้นที่พลิ้วไหวตาม
แรงลม เด็กชายรู้สึกรำคาญกับส่วนเกินที่งอกออกมาจากแผ่นหลังนี้ หลายครั้งที่เคยเอื้อมมือกระชากมันอย่างแรงหวังให้มันหลุดออกมา แต่ผลที่ได้ก็คือความ
เจ็บปวด เคยลองเกร็งตัวขยับมันแต่ก็ไม่ได้ผล มันจะขยับก็ต่อเมื่อเขาเดินเท่านั้น และทุกครั้งที่หลับไปเขามักจะฝันว่าตนเองบินล่องอยู่บนฟากฟ้าแต่พอลืมตาตื่นกลับพบว่าตนเองนอนดิ้นอยู่บนฟากไม้ในบ้านเท่านั้นเอง
พ่อพูดกับเขาน้อยครั้งแม่เสียอีกที่ดูจะสนใจเขามากกว่า แต่กระนั้นท่าทีของแม่ก็ยังดูห่างเหิน เขารู้ว่าแม่หวาดระแวงในสิ่งที่เขาเป็นส่วนพ่อนั้นหวาดระแวง
ทั้งตัวเขาและแม่
พ่อเที่ยวถามใครต่อใครที่เอาของมาแลกในหมู่บ้านว่าเคยพบเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ไหนมีปีกบ้าง พ่อปักใจเชื่อว่าแม่แอบมีชู้กับพวกนั้น ฅนที่พ่อถามปฏิเสธและหัวเราะลั่นหาว่าพ่อเริ่มเพี้ยน มนุษย์ที่ไหนจะมีปีก ถ้ามีจริงเขาก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างเรา ๆ หรอก ชายที่พ่อคุยด้วยบอกกับพ่อก่อนจากไป และนับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ถูกยกระดับให้อยู่เหนือฅนในหมู่บ้าน และยังได้ย้ายมาอยู่อย่างโดดเดียวไกลที่ชุมชนเช่นนี้อีกต่างหาก
ครั้งหนึ่งมีฅนในหมู่บ้านมาแอบซุ่มดูเขา เมื่อเขาหันไปเห็นชายฅนนั้นก็ตื่นกลัวและวิ่งหนีไปทางแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล แม่น้ำสายนี้เชี่ยวและลึกชายฅนนั้นกลัว
ว่าเขาจะตามไปจึงกระโจนลงสู่แม่น้ำ สุดท้ายสายน้ำก็กลืนชีวิตชายฅนนั้นไป ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างก็วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปต่าง ๆ นานาบ้างว่าเขาบินไล่
ให้ชายฅนนั้นกระโดดลงไปในแม่น้ำ บ้างว่าเขาใช้พลังวิเศษบังคับ แต่ทั้งหมดก็สรุปตรงกันว่า เขาเป็นฅนฆ่าชายฅนนั้นตาย ผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านจึงออกกฎ
ห้ามไม่ให้ใครเข้ามาในบริเวณบ้านของเขาอีกเด็ดขาดนอกจากพ่อแม่ของเขาเท่านั้นที่เอาอาหารมาส่งให้
๒.
และแล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ สายน้ำที่เคยไหลกลับหยุดนิ่งและไม่ไหลเอาดื้อ ๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมากผู้เฒ่าสั่งให้ทุกบ้านนำไก่มาบ้านละตัว ผู้เฒ่าจะฆ่าเพื่อทำพิธีขอขมาต่อดินฟ้าตามความเชื่อที่เคยปฏิบัติกันมานาน ชายหนุ่มที่ดำรงชีพด้วยการตัดไม้ในป่าไปแลกของต่างหมู่บ้านก็พากันมาช่วยสร้างแท่นบูชาไว้ตรงลานดินกลางหมู่บ้าน เมื่อสร้างแท่นบูชาเสร็จ ผู้เฒ่าก็เริ่มเชือดไก่ทุกวัน ๆวันละตัวจะหยุดฆ่าก็ต่อเมื่อสายน้ำกลับมาไหลอีกครั้งซึ่งหมายถึงฟ้าดินให้อภัยแล้วนั้นเอง
และนับตั้งแต่วันที่เริ่มทำพิธีขอขมาจนถึงบัดนี้ก็กินเวลาหลายเดือน สายน้ำก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาไหลอีก ผู้เฒ่าจึงเรียกประชุมทุกฅนในหมู่บ้านเมื่อไม่กี่วัน
ที่ผ่านมา
ข้าว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหมู่บ้านเราแน่ ๆ ผู้เฒ่ากล่าวเปิดประชุมด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
ฉันก็ว่า
ใช่ ๆ ฉันก็คิดเช่นนั้นแหละ
ไก่ในหมู่บ้านเราเกือบหมดแล้วนะผู้เฒ่า ยังไม่เห็นว่าสายน้ำจะกลับมาไหลเลย ชายหนุ่มที่สุดในกลุ่มพูด
แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะนี่เรามิต้องย้ายกันไปหาที่อยู่ใหม่หรือ หญิงวัยกลางฅนกล่าวด้วย น้ำเสียงเป็นกังวล
ฉันว่าย้ายก็ดีนะ เดี๋ยวนี้พวกเราต้องเดินไกลกว่าจะหาไม้ตัดได้ซักต้นหนึ่ง ชายฉกรรจ์สามสี่ฅนสนับสนุน
แต่ข้าว่าถ้ามีใครสังเกตจะเห็นว่ายังมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป.มันเปลี่ยนไปก่อนสายน้ำนั้นอีก ผู้เฒ่าหยุดครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนพูดต่อ ข้าไม่เคยเห็นฝนตก
มานานแล้วนะ
สิ้นเสียงของผู้เฒ่าก็มีเสียงขานรับ ใช่ ๆ ดังพร้อมกันขึ้น
หรือเป็นเพราะว่าเจ้าเด็กมีปีกนั่น หญิงสาวที่ยืนอุ้มลูกน้อยพูดขึ้น พร้อมกับเสียงขานรับ ใช่ ๆ ดังอื้ออึงกว่าเดิม
เจ้าเด็กฅนนั้นมันทำให้ฅนในหมู่บ้านเราตาย น้ำแล้งและฝนไม่ตก ใครฅนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
แล้วนี่เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ ผู้เฒ่าถามขึ้น ทุกฅนเงียบเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
๓.
เมื่อวานแม่เข้ามานั่งคุยกับเขานานกว่าปกติ ท่าทีที่เคยมีก็ไม่เหมือนเดิม มือที่เคยลูบหัวเขาก็มิได้เอื้อมมาลูบไล้อย่างเคย ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าพ่อที่ยืนอยู่นอกบ้านมองดูเขากับแม่อย่างระแวดระวัง ในมือของพ่อมีพร้าคมวาวถือมั่นอยู่ เขานั่งฟังแม่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
คงเข้าใจนะว่าหมู่บ้านเราตอนนี้เดือดร้อนมาก แม่พูดกับเขาก่อนลุกจากไป
เป็นความผิดของผมหรือที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เขาย้อนถามอย่างไม่สนใจเอาคำตอบ
สายลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างลูบไล้ขนสีขาวอย่างนุ่มนวล แม่ก้าวออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ตอบอะไร เขามองดูแผ่นหลังของฅนทั้งสองเดินลับหายไปท่ามกลางหมอกสีขาว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเด็กชายเฝ้าฝันอยู่อย่างเดียวคือการได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเด็กกลุ่มนั้น กลุ่มที่เดินผ่านหน้าบ้านเขาทุกวัน เขาอยากจะร่วมเป็น
ส่วนหนึ่งของเสียงหัวเราะอยากวิ่งเล่น และได้รับการยอมรับจากเพื่อนวัยเดียวกัน ทว่าสิ่งที่เขาเป็นนั้นมันเสมือนกำแพงสูงใหญ่ที่กีดกั้นและแยกเขาออกจากสังคม
ถึงตอนนี้เขาตัดสินใจจะฝ่าฝืนคำสั่งห้ามที่เคยมัดเขาไว้เพียงสักครั้งเท่านั้นที่เขาปรารถนาจะได้พูดคุยวิ่งเล่นและหัวเราะร่วมกับเด็กเหล่านั้นจะมีอะไรต้องเสียอีกหละในเมื่อคำพูดของแม่เมื่อวานนี้มันดูคลุมเครือจนไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า - - เขาคิดในใจ
๔.
เด็กชายนั่งหลบหลังต้นไม้ใหญ่เฝ้าคอยด้วยใจระทึก พยายามนิ่งให้มากที่สุดเพื่อปีกของเขาจะได้ไม่ขยับจนมีใครสังเกตเห็น เพียงไม่นานเขาได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังเดินใกล้เข้ามา แต่แล้วกลับแผ่วเบาลงเหมือนย่องเดิน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเด็กกลุ่มนั้นอยู่ไม่ไกลจากเขาเท่าใดนัก เด็กชายค่อย ๆ กลั้นหายใจนับหนึ่ง สอง สามเพียงครู่เดียวเขาก็กระโจนออกไปยืนขวางหน้าเด็กกลุ่มนั้น เด็กทั้งหมดเมื่อเห็นเขาต่างก็พากันยืนนิ่งตะลึงจนตาค้าง
แต่ไม่นานเด็ก ๆ ต่างก็ขยับเท้าเตรียมก้าวหนี และวินาทีนั้นนั่นเองเด็กชายตัดสินใจพูดออกไป ใครหนีฉัน.ฉันจะทำทำให้ตายเหมือนฅนที่ตายในสายน้ำได้ผล! เด็กทุกฅนต่างพากันยืนนิ่งกับที่ ใบหน้าของทุกฅนเต็มไปด้วยแววหวาดกลัว
เขาเดินเข้าไปหาเด็กชายร่างอ้วนแล้วถาม นายกลัวเราหรือ
ฉันเออฉันกลัว เด็กชายร่างอ้วนตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พลางก้มหน้าลงต่ำมือทั้งสองข้างสั่นเทา
ฉันด้วยฉันก็กลัว ฮือ เด็กหญิงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้นก่อนร้องสะอื้นออกมาเบา ๆ
เด็กชายรู้สึกเสียใจกับคำขู่ของเขาที่ทำให้ทุกฅนกลัว เขาเดินวนไปมารอบกลุ่มเด็ก ปีกของเขาขยับขึ้นลงอย่างช้า ๆ สายตาของเด็กทุกฅนค่อย ๆ เหลือบมอง
ไปยังปีกที่ขยับไหว
ทำไมพวกเธอถึงกลัวฉัน เด็กชายถามเสียงอ่อย
เพราะเธอฆ่าชายฅนนั้นตาย
เธอทำให้สายน้ำไม่ไหล
และเธอก็ทำให้ฝนไม่ตกด้วย
ใช่ ๆ..แล้วเธอก็มีปีกด้วย เธอไม่เหมือนพวกเรา
เด็กทุกฅนต่างชิงกันพูดถึงสิ่งที่ได้รับรู้มาเกี่ยวกับเขา เด็กชายยืนนิ่งก้มหน้าลงต่ำ ปีกที่แผ่นหลังค่อย ๆ หุบลง ฉันไม่ต้องการเกิดมาแบบนี้
แต่ก็เกิดมาแล้ว เด็กหญิงพูดขึ้นเสียงสะอื้นเริ่มแผ่วลง
ฉันไม่ได้ทำให้ชายฅนนั้นตายเมื่อกี้ฉันกลัวพวกเธอหนี ฉันจึงพูดขู่ไปอย่างนั้นเอง เด็กชายพยายามแก้ตัว
แต่แม่บอกว่าชายฅนนั้นเห็นเธอก่อนตาย
ใช่ฝนไม่ตกหลังจากเธอเกิด
สายน้ำนั่นด้วย มันเริ่มแห้งหลังจากเธอเกิด
ฉันไม่รู้พ่อห้ามไม่ให้ฉันออกไปไหน แล้วฉันจะทำมันได้อย่างไรล่ะ เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโห
ทำได้สิก็ก็เธอเป็นผู้วิเศษ เธอก็สามารถทำได้ เด็กหญิงร่างเล็กสุดพูด
เธอเชื่ออย่างนั้นหรือ เด็กชายถามพลางจ้องหน้าเด็กหญิงเขม็ง
ทุกฅนในหมู่บ้านพูดอย่างนั้น เด็กชายร่างอ้วนตอบแทน
ใช่พ่อแม่และผู้เฒ่าต่างก็บอกอย่างนั้น
เด็กชายนิ่งไปอีกครั้ง เด็กทุกฅนต่างคลายความหวาดกลัวลง แล้วจู่ ๆ เขาก็เอ่ยถาม พวกเธอว่าปีกของฉันสวยไหม
สวยฉันว่าสวย เด็กหญิงตอบตามที่ใจรู้สึก
เหมือนนก อีกฅนเสริม
ไม่เหมือนนกบินได้ แต่เขาบินไม่ได้! เด็กชายร่างอ้วนเถียง แต่แต่ฉันก็ว่าสวย
ทำไมเธอไม่ลองบินดูล่ะ เด็กหญิงถาม ใจหนึ่งก็อยากเอื้อมมือไปสัมผัสขนสีขาวบนปีกนั้นแต่อีกใจก็หวาดกลัว
เคยสิฉันเคยลองหลายครั้งแล้ว แต่ก็บินไม่ได้ เด็กชายตอบน้ำเสียงเศร้า ๆ
แปลกนะมันน่าจะพาเธอบินได้ และมันจะทำให้เธอดูเหมือนนกมากกว่านี้ด้วย เด็กร่างอ้วนออกความเห็น
พวกเธอว่าสวยฉันยกให้เอาไหม เด็กชายถามพลางคิดในใจว่าถ้าเกิดมีใครเอามันขึ้นมาจริง ๆ เขาจะถอดมันออกได้อย่างไร
ไม่เอาฉันไม่ต้องการ เด็กหญิงร่างเล็กพูดพร้อมกับสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น
มันจะทำให้ฉันต้องอยู่ฅนเดียวอย่างเธอ อีกฅนเสริม
ใช่ ๆ แล้วมันจะทำให้ฉันต้องถูกบูชาเหมือนไก่! เด็กชายร่างอ้วนพูด พลันนั้นเองสายตาของทุกคู่ก็หันมาจ้องที่ใบหน้าของเด็กร่างอ้วน
บูชา เด็กชายพูดซ้ำ ๆ กับตนเอง คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร มันเกี่ยวอะไรกับพิธีที่แม่จะให้เขาเข้าร่วมในอีกไม่กี่วันข้างหน้าด้วยไหมเขาเองก็ไม่ได้ถามอะไร
แม่มาก แล้วเด็กชายตัดสินใจถามออกไป บูชาคืออะไร
ฉันไม่รู้ เด็กชายร่างอ้วนตอบไม่เต็มเสียงนัก รู้แค่ว่าผู้เฒ่าจะเอาไก่มาเชือดคอแล้วจับมันห้อยหัวเพื่อให้เลือดมันไหลลงขอนไม้และพื้นดิน
ผู้เฒ่าทำอย่างนั้นกับไก่วันละตัว ๆ แม่บอกว่านั้นคือการบูชา และพ่อก็บอกว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วสายน้ำจะกลับมาไหลเช่นเดิม
อึ๊ยน่ากลัว เด็กหญิงว่าพลางชักสีหน้า
ใช่น่ากลัว เสียงเด็กทุกฅนพูดขึ้นเกือบพร้อมกัน
ปีกของเธอสีขาวสวย น่าเสียดายถ้ามันต้องเปื้อนเลือด! เด็กหญิงร่างเล็กสุดพูด
พ่อฉันบอกว่าเธอเกิดมาเพื่อจะถูกบูชามากกว่าเกิดมาเป็นฅนตัดไม้อย่างพ่อ
เธอน่าจะบินได้นะ เธอจะได้ไปอยู่ที่อื่นฝนจะได้ตก น้ำก็จะได้ไหล
แล้วเธอก็ไม่ต้องถูกบูชาเหมือนไก่ด้วย เด็กชายร่างอ้วนเสริม
เด็กชายเซถอยหลังเหมือนจะล้ม ปีกของเขาขยับขึ้นลงอย่างเร็ว สายลมที่เกิดจากการขยับปีกพัดหมอกสีขาวที่อยู่รอบตัวกระจายฟุ้งเป็นวงกว้างพลันภาพของ
ตนเองถูกเชือดคอแขวนบนแท่นบูชาก็วูบเข้ามาในหัวของเขา
๕.
เด็กชายกลับมานั่งบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านอีกครั้ง เด็กกลุ่มนั้นจากไปนานแล้วทิ้งไว้ก็แต่ภาพน่าหวาดกลัวปรากฏอยู่ในใจเขา - - ท้องฟ้ายามเย็นสาดแสง
ส่องเป็นสีแดง ประกายของแดดกระทบกับสายหมอกแลดูเป็นสีแดงอ่อน บัดนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยภาพของตนเองถูกแขวนอยู่บนแท่นบูชา มีดพร้าที่เขา
เห็นในมือของพ่อเมื่อวานค่อย ๆ กรีดลงบนคอเบา ๆ เลือดสีแดงสดไหลลงสู่คาง ผ่านจมูก คิ้ว หน้าผาก เส้นผม แล้วไหลสู่ขอนไม้ก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงสู่พื้นดิน เด็กชายสะบัดหัวสองสามครั้งหวังให้ภาพเหล่านั้นหลุดจากความนึกคิด แล้วรีบยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
เด็กชายหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ ในใจคิดว่าอยากจะให้ต้นไม้นี้ช่วยให้ตนบินได้ ถ้าเป็นไปได้จริงเขาจะได้บินไปอยู่ที่อื่น ไปให้พ้นจากเมือง ๆ นี้ พ้นจากการถูกบูชา และบางทีสายน้ำกับสายฝนอาจจะกลับมาไหลอย่างเดิมเหมือนที่ทุกฅนเชื่อก็ได้
๖.
เป็นเวลากว่าชั่วโมงแล้วที่เด็กชายปีนขึ้นไปตามกิ่งไม้ใหญ่ เขาหวังว่าจะไปให้ถึงปลายยอดสุดของมันที่ไม่เคยมีใครเห็นแต่บัดนี้ร่างกายเขารู้สึกอ่อนล้า
จนไม่อยากจะปีนต่อไปแล้ว เพียงแต่ความหวังอย่างเดียวว่าต้นไม้นี้จะช่วยให้เขาบินได้ก็ทำให้เขาอดทน แม้ว่าจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตาม
ยิ่งปีนสูงเท่าใดสายลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขนสีขาวบนปีกถูกแรงลมปะทะปลิวร่วงสู่เบื้องล่าง เด็กชายหยุดมองดูขนที่ร่วงลงไปอย่างเสียดาย แม้ว่ามันจะเป็น
ส่วนเกินที่งอกออกมาอย่างไร้ค่าและไร้ความหมายจนทำให้เขาต้องประสบกับสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ นานาก็ตามเขาก็รู้สึกเสียดายมันถึงตอนนี้เขาคิดได้แล้วว่ามันก็คือ
ส่วนหนึ่งของร่างกายที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เป็นส่วนเกินที่สวยงามและบริสุทธิ์ที่สุด บางทีมันอาจจะบริสุทธิ์กว่าสิ่งใดในหมู่บ้านนี้ก็ได้ - - เด็กชายคิด
ขนสีขาวปลิวล่องลอยกระทบกับม่านหมอกสีแดงอ่อนดูเป็นมันวาวระยับ พลันนั้นเองร่างของเด็กชายก็หลุดลอยจากต้นไม้ ปีกบนหลังกระพือเร็วและแรง ฉันบินได้แล้วหรือนี่! เด็กชายร้องบอกกับตนเองอย่างดีใจ พลางเอื้อมมือไปสัมผัสกับสายหมอกที่ชื้นเย็นรอบตัว เด็กชายมองไปยังที่ ๆเคยเป็นสายน้ำซึ่งบัด
นี้มันกลับแห้งแล้งเป็นทางยาวเหมือนเหวลึก ไม่ไกลนักมีภูเขาเล็กใหญ่ขึ้นสลับกันไป ทว่าบนภูเขาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่นั้นกลับไม่มีต้นไม้สักต้นจะมีก็แต่ภาพของการหักโค่นปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป เด็กชายค่อย ๆ หมุนตัวกลับ เห็นหมู่บ้านกระจุกตัวอยู่เป็นกลุ่มไม่ไกลจากบ้านเขาเท่าไรนัก แล้วข้าง ๆหมู่บ้านนั้นเองเขาเห็นลานดินกว้างที่ตรงกลางลานมีแท่งบูชาสีดำทะมึนตั้งอยู่ เด็กชายเห็นเด็กกลุ่มที่ได้พูดคุยกันเมื่อกลางวันวิ่งเล่นอยู่แถวลานดินนั้น เขาจึงโบกมือ และส่งยิ้มให้ ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเขาสักฅน - - เด็กชายก้มมองเบื้องล่างเห็นบ้านของตนเองอย่างชัดเจน มันตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางอ้อมกอดของสายหมอกสีแดงอ่อน
พลันนั้นเองเด็กชายเหมือนเห็นพื้นดินที่ตนเคยเหยียบย่ำเป็นประจำ เขาเห็นมันอย่างเด่นชัด มันชัดจนแทบจะสัมผัสมันได้ในอีกไม่กี่
วินาทีข้างหน้า!..
พิมพ์ครั้งแรกเนชั่นสุดสัปดาห์ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๗