ีเสียงเพลงกล่อมเด็กแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ฟังดูไพเราะทว่ามันกลับแผ่วเบา มันเบาเสียจนถ้าเกิดอยากหายใจดังๆ ขึ้นมา อาจจะไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกเลย หญิงสาวนอนพลิกตัวไปมาอยู่ข้างซอกเตียง ข้างหน้าของเธอเป็นฝาผนังไม้ที่อบไปด้วยกลิ่นของไม้เก่าตรงระดับสายตานั้นมีรูขนาดเท่าหัวนิ้วโป้งอยู่รูหนึ่ง นานเป็นปีกว่าที่รูนี้จะเกิดขึ้นด้วยความพยายามของเธอเอง เธอใช้ปลายเล็บนิ้วชี้ค่อยๆ เจาะมันวันละนิดๆ แล้วเมื่อไม่นานมานี้เธอก็ทำสำเร็จ ถึงแม้ว่ารูนั้นจะไม่ใหญ่โตมากมาย แต่เธอก็มีความสุขอยู่กับมัน สุขที่ได้นอนมองลอดรูลงไปยังหน้าบ้านเพื่อรอการกลับมาของพ่อและแม่ วันนี้ก็อีกเช่นกัน เลยเที่ยงคืนมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว การรอคอยของเธอก็ยังไม่สิ้นสุด เธอยังไม่เห็นแสงไฟจากหน้ารถของทั้งสองสาดเข้ามาต้องรั้วบ้าน พวกงูและหมาดำยังนอนเฝ้าอยู่ตรงรั้วนั้น อาจจะยังไม่ถึงเวลา เธอคิดในใจ ครั้งหนึ่งเธอเคยรอการกลับมาของทั้งสองจนรุ่งเช้า แต่นั้นมันทำให้ร่างกายของเธอต้องจมอยู่ในห้วงฝันถึงสองวันเต็มๆ เธอไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีก เพราะยามใดที่เธอนอนกลางฝัน ฝูงงูและหมาดำที่อยู่ตรงรั้วหน้าบ้านจะคืบคานเข้ามาในความฝันของเธอ ราวกับว่ามันอยากมีส่วนร่วมกับเธอในความฝันอย่างนั้นแต่ยามใดที่การรอคอยของเธอยังไม่ถึงรุ่งเช้าความฝันของเธอจะเต็มไปด้วยดอกไม้ และเหล่าเด็กน้อยที่มีปีกสีขาวงามกลางแผ่นหลัง เด็กพวกนั้นจะพาเธอล่องลอยไปตามสถานที่ต่าง ๆ ตามที่เธออยากไป เธอรู้สึกมีความสุขกับความฝันเหล่านั้น และเธอเองก็พร้อมจะอยู่กับความฝันเหล่านั้นมากกว่า เธอยังรอคอยอีกหรือ เสียงเล็กๆ ถามขึ้นบนเตียง เธอชักสายตากลับมามองยังผู้ถาม ก่อนพยักหน้าให้ ฉันสงสารเธอ เด็กหญิงกล่าว ฉันนึกว่าเธอหลับไปแล้ว ฉันได้ยินเสียงกล่อมนั้น เปล่าหรอก ฉันโตเกินกว่าจะหลับด้วยเสียงกล่อม เด็กหญิงว่า เดี๋ยวพวกเขาก็คงจะมา หญิงสาวเอ่ยขึ้นแล้วหันกลับไปมองที่รูตามเดิม พวกนั้นมันจะเข้ามาทำร้ายฉันไหมนะ เธอหมายถึงพวกหมาและงูตรงรั้วหน้าบ้าน ไม่แน่ เด็กหญิงกล่าวน้ำเสียงจริงจัง นั้นหมายถึงถ้ามันอยากทำเธอจริงๆ ตั้งแต่ฉันโตขึ้นมาในบ้านหลังนี้ ฉันก็พึ่งเห็นพวกมันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง จริงๆ แล้วมันก็อยู่ของมันอย่างนั้นมาตั้งนานแล้วหละ เธอไม่ได้สังเกตมันเอง เด็กหญิงออกความเห็น อาจใช่...ฉันอาจเด็กเกินกว่าจะเห็นพวกมัน หญิงสาวหยุดคิดเพียงครู่ ถ้าฉันรู้ว่าฉันโตมาแล้วฉันจะต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพวกมัน ฉันไม่เอาดีกว่า เธอจะหนีได้หรือ เด็กหญิงถามเสียงสูง ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องเจอพวกมันอยู่วันยันค่ำ มันมีทั่วไปหมด พวกเขาปล่อยให้ฉันต้องอยู่กับมัน เธอกล่าวตัดพ้อ ฉันบอกให้เธอไปกับฉันแล้วไง ฉันไม่สามารถทำอย่างเธอได้ ฉันกลัวเกินกว่าที่จะล่องลอยไปไหนอย่างเธอ เพียงเธอตัดสินใจเท่านั้น เด็กหญิงกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบา แมงมุมลายตัวนั้นฉันเห็นมันซมซานเหลือทน... หญิงสาวหันหน้ามาทางเด็กหญิงทันทีแล้วตะคอกเสียงดัง ฉันไม่อยากได้ยินเพลงนี้ ทำไม เด็กหญิงถามน้ำเสียงราบเรียบ เธอก็รู้ เพลงมันก็ยังเป็นเพลงของมันอยู่วันยันค่ำ เธอเองที่เปลี่ยนค่าให้มันเป็นความทรงจำ เด็กหญิงกล่าวพลางคว้าผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่สีน้ำตาลที่บินวนเวียนอยู่ตรงหน้ามาไว้ในอุ้งมือ น้ำตาของหญิงสาวเริ่มไหล แต่มันนำมาซึ่งความเจ็บปวดที่ฉันได้รับจากมัน เธอหยุดสะอื้นไห้ น้ำตาของเธอหยดลงพื้นไม้ กลิ่นของเนื้อไม้ที่ได้สัมผัสกับน้ำตาของเธอโชยออกมา เธอรู้สึกถึงความหอมที่เจ็บปวด ฉันสงสารเธอที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะทำอะไรสักอย่าง เด็กหญิงว่าพลางขยี้ผีเสื้อในอุ้งมือแล้วโปรยออกไปตรงหน้า ฉันยอมรับ อาจเพราะเขากักขังฉันไว้นานเกินกว่าฉันจะทำอะไรได้ หญิงสาวพูดขึ้น สายตาจ้องอยู่ที่ร่างของผีเสื้อที่ลอยอยู่ตรงหน้าและตัวของมันกำลังเปลี่ยนสีหลากสี แม้กระทั้งเตียงใบนี้ เธอยังไม่กล้าที่จะนอนมัน เขาซื้อมาให้เธอแท้ๆ เด็กหญิงว่าพลางตบเบา ๆ บนเตียงที่เธอนั่งอยู่ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าพื้นที่ของฉันนั้นมีมากเกินไป เธอเลยลงมานอนที่ซอกเตียงอย่างนั้นหรือ อย่างที่เธอเห็น ฉันสามารถรู้พื้นที่อันจำกัดของฉัน และฉันสามารถเห็นพวกเขากลับมาได้ หญิงสาวว่าแล้วหันกลับไปมองที่รูอีกครั้ง บริเวณรั้วบ้านยังคงมืดสนิทเช่นเดิม หมาสีดำตัวใหญ่กำลังหยอกล้อกับงูสีเดียวกันอยู่ที่รั้วบ้าน มันอาจรู้ว่าเธอกำลังมองมันอยู่ พวกมันจึงพากันมองมาทางเธอเป็นจุดเดียว แม้ฉันจะมีเธออยู่ด้วย แต่ก็ใช่ว่าฉันจะหลับตาได้ลง ฉันร้องเพลงกล่อมเธอได้นะ...ถ้าเธอต้องการ หญิงสามถอนหายใจก่อนจะหันกลับมามองที่เด็กสาว เพลงเดิมของเธออีกสิ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากฟัง ถ้าฉันเป็นเธอ... เด็กหญิงพูดยังไม่ทันจบประโยคหญิงสาวก็พูดแทรกขึ้น ถ้าเธอเป็นฉัน...ไม่หรอกเราต่างกัน เธอเป็นเธอ ฉันเป็นฉัน เธอจะเอาความรู้สึกของเธอมาตัดสินความคิดของฉันได้อย่างไง เหมือนที่เธอไม่รู้หรอกว่า ฉันรู้สึกอย่างไรยามที่ได้ยินเพลงนั้น เพลงที่ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บ เจ็บที่เขาทำกับฉัน...เขาหลอกล่อฉันให้เคลิ้มหลับด้วยเพลงนี้ แล้วเขาก็ทำกับฉัน แม้เพียงครั้งสองครั้งก็ตาม น้ำตาของเธอที่พึ่งหยุดไหลเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ทั้งห้องเงียบสนิท เสียงเพลงกล่อมเด็กหายไปแล้ว เธอเองก็ไม่รู้ว่าเสียงนั้นหายไปตอนไหน แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอได้ยินเพียงอย่างเดียวคือเสียงลมหายใจของตัวเองที่ดังคล้ายเสียงร้องไห้จากภายใน ฉันขอโทษ... เด็กหญิงกล่าว ต่อแต่นี้ไปฉันจะไม่ร้องเพลงนี้ให้เธอได้ยินอีกแล้ว ถ้าฉันเข้มแข็งกว่านี้...ใช่ ถ้าฉันเข้มแข็งกว่านี้ ฉันอาจจะฟังมันได้โดยไม่มีอะไร หญิงสาวมองใบหน้าเด็กหญิงตรงข้ามที่หยาดน้ำตาของเธอกำลังไหล เธอไม่ผิดหรอก อย่าร้องไห้เลย ถ้าแม่เธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้น...เรื่องที่เขาทำกับเธอฉันว่ามันอาจมีอะไรๆ ที่ดีกว่านี้ เด็กหญิงกล่าว น้ำตาของเธอที่กำลังรินไหลถูกผีเสื้อเกาะและดูดกิน ราวกับว่ามันเป็นน้ำหวานจากกลีบเกสรดอกไม้ ไม่หรอก เธอเองก็รู้ว่าทั้งสองจะเป็นคู่รักกันก็ต่อหน้าฉันเท่านั้น แม่ฉันมีใครอื่นเธอน่าจะรู้ เด็กหญิงพยักหน้าเหมือนเข้าใจ พวกเขาจำกัดเธอเอาไว้ก็แต่เฉพาะความรู้สึกของเขาเท่านั้น เขาไม่รู้ถึงความรู้สึกของฉันสักนิด...แม่ทำกับฉันด้วยความต้องการของเขาส่วนพ่อ...พ่อทำกับฉันก็ด้วยความต้องการของเขาเช่นกัน ฉันไม่รู้ว่าถ้ามโนสำนึกของเขาที่กำลังทำกับฉันอยู่นั้นไม่ผุดขึ้นมาในตอนนั้น ฉันจะเป็นอย่างไร หญิงสาวกล่าวพลางคิดถึงคืนหนึ่ง คืนที่เพลงบทนั้นกล่อมเธอจนหลับใหล แล้วสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอ แม้ว่าเขาจะพยายามอีกครั้ง เธอกล่าวทว่าก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอจนเธอพูดออกมาไม่หมด ฉันอยากให้เธอไปกับฉัน เด็กหญิงพูดพลางมองหน้าเธอด้วยสายตาวิงวอน ฉันยังเป็นความหวังของเขาอยู่ มันสำคัญนักหรือถ้าเธอเกิดมาเพื่อเป็นความหวังให้ใครต่อใคร น้ำเสียงของเด็กหญิงดูจริงจัง อย่างน้อยๆ ก็เพื่อตัวฉันเอง เพื่อตัวเองจะได้พบกับความผิดหวัง และพาฅนอื่นพลาดหวัง เด็กหญิงถามเสียงกังวาน เธอจำวันนั้นได้ใช่ไหม วันที่เธอนำความผิดหวังมาสู่เขาทั้งสอง หญิงสาวพยักหน้ารับ เธอจำวันนั้นได้ดี มันฝังใจไม่ต่างกับวันแห่งบทเพลงอันเจ็บปวดนั้น... ทันทีที่พ่อแม่เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนตามที่ทั้งสองหวังได้ เสียงด่าทอดังอื้ออึงลั่นบ้าน เธอถูกกักบริเวณและถูกเคี้ยวเข็นให้เรียนพิเศษอยู่ตลอดทั้งปีเพื่อกลับไปสอบที่เดิมให้ได้ และตลอดระยะเวลาหนึ่งปีนั้น มันเหมือนเธอตกอยู่ในขุมนรกที่ถูกสายตาของทั้งสองจ้องมองด้วยเปลวเพลิง เธอรู้สึกถึงประกายความร้อนออกมาจากสายตาสองคู่นั้น และเธอรู้ว่าบ้านที่อยู่และเคยอบอุ่น มันกำลังจมลงอยู่ในทะเลแห่งลาวา และตั้งแต่วันนั้นเธอเริ่มเข้าใจทั้งสองมากขึ้น พร้อมๆ กับที่เธอได้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเปลี่ยนไป วันแห่งการมองเห็น...ฉันเรียกมันเช่นนั้น หญิงสาวกล่าว นั้นหละ...เป็นวันที่เธอเริ่มเห็นไอ้พวกที่เฝ้ารั้วบ้านของเธออยู่นั้น สำหรับฅนรุ่นเขาก็มีแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกได้เรียนสูงๆ มีงานดีๆ ทำ หญิงสาวพูดขึ้นพลางเหลือบตามองผ่านรูก่อนพูดต่อ และสำหรับฅนรุ่นฉันก็มีแต่ว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขาสมหวังในสิ่งที่พวกเขาหวังไว้กับฉัน นั้นหละคือสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ มันไม่ต่างกับสัตว์เลี้ยง เธอสรุป ทั้งห้องเงียบไปอีกครั้ง หญิงสาวมองแมงมุมสีดำตัวใหญ่ที่กำลังเดินไปมาอยู่บนเพดาน แล้วเธอก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบเสียเอง เรากำลังถูกตีกรอบด้วยกรอบที่เราสร้างขึ้น ก็ใช่... เด็กหญิงว่าพลางพยักหน้าน้อย ๆ ฉันอยากเป็นนก มันมีอิสระ ไม่ถูกตีกรอบ ไม่หรอก เธอเข้าใจผิด อย่างไร มันสามารบินไปไหนก็ได้ เธอย้อนถาม เธอมองไปบนท้องฟ้ายามเช้าสิ นกมันบินผ่านหัวเธอไปเพื่อออกหากิน แต่ทุกเย็นมันก็ต้องบินกลับมาทางเก่าเพื่อสู่รังของมันอยู่ดี อย่างนี้เธอว่ามันไม่มีกรอบ มันมีอิสระอย่างนั้นหรือ หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเราจะต้องทำอย่างไร ทางที่ดีเธอต้องไม่คิดว่าไม่มีกรอบอยู่ง่ายๆ เธอต้องไม่คิดถึงมันนั้นหละ เพราะเมื่อใดที่เธอคิดจะแหกกรอบ เธอก็ต้องหลงมาติดกรอบของตัวเธอเองอยู่ดี กรอบของเธอที่พยายามคิดจะไม่ตีกรอบของตัวเองนั้นหละ ฉันพอเข้าใจ... ฉันว่าเธอเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วนะ หญิงสาวพยักหน้า ตอนนี้เธอเลิกสนใจรูที่ฝาผนังแล้ว เด็กหญิงค่อยๆ ลุกขึ้น นกพิราบสีขาวบินออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเธอ แล้วบินไปเกาะที่ขอบหน้าต่าง มันมองลงไปที่รั้วหน้าบ้าน เพียงครู่มันก็บินลงไปโฉบงูสีดำเกาะติดเล็บของมันขึ้นมาแล้วบินลับหายไปในม่านแห่งราตรี เสียงหมาเห่าดังระงม หญิงสาวมองลอดรูลงไป เห็นมันกำลังแหงนคอพลางเห่าตามทิศที่นกพิราบบินไปเมื่อครู่ ฉันพร้อมที่จะไปกับเธอแล้วนะ หญิงสาวกล่าว ก่อนไปเธอร้องเพลงนั้นให้ฉันฟังอีกครั้งซิ เด็กหญิงพยักหน้ารับ ได้แมงมุมลายตัวนั้นฉันเห็นมันซมซานเหลือทน วันหนึ่งมันถูกฝนไหลลงจากบนหลังคา... เสียงเพลงที่ทั้งสองร้องดังขึ้นแข่งกับเสียงหมาที่เห่าอยู่รั้วหน้าบ้าน หญิงสาวและเด็กสาวจูงมือกันเดินไปที่ริมหน้าต่าง เธอพร้อมแล้วนะ เด็กหญิงหันมาถามหญิงสาว หญิงสาวพยักหน้ารับ ปากยังร้องเพลงท่อนเดิมอยู่ซ้ำๆ แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าออกนอกกรอบประตูไปพร้อมกับเด็กหญิงอย่างช้าๆ ร่างของทั้งสองลอยเด่นอยู่บนอากาศ หมาดำหันมามองที่ทั้งสองก่อนจะเห่าเสียงดังหนักกว่าเดิม แต่แล้วมันก็สะดุ้งเมื่อเสียงปืนดังแหวกอากาศขึ้นหนึ่งนัด แล้วเงียบไปพร้อมกับเสียงเพลง แมงมุมลายตัวนั้น ฉันเห็นมันซมซานเหลือทน วันหนึ่งมันถูกฝนไหลลงจากบนหลังคา..... เขียน ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ตีพิมพ์ครั้งแรก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จุดประกายวรรณกรรม ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๔๘
11 ตุลาคม 2548 04:04 น. - comment id 87202
... อืม ความรู้สึกที่เป็นอย่างหญิงสาวคนนี้นะคะ เราคิดว่าเข้าใจนะ บางครั้งความหวังดีของพ่อแม่ก็บีบคั้นลูกเกินไป สิ่งที่เค้าทำให้หรืออยากให้เราเป็นมันไม่ผิด พ่อแม่ก็รักลูกทุกคนละค่ะ อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ค่านิยมในสังคมก็ไปเป็นตัวบีบอีกด้านหนึ่ง ทีนี้ล่ะ...กลายเป็นว่ามาบีบเป็นสองแรงเลยค่ะ บัวว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อนนะคะ สำหรับความรู้สึกของคนเป็นลูก ยังไงก็ตามมันก็อยู่ที่เด็กด้วย ตัวเองก็เคยผ่านตรงนั้นมาเหมือนกัน แต่ทำยังไงที่จะไม่ให้เรารู้สึกว่าถูกบีบคั้น เพราะตัวเองไม่เคยคิดและรู้สึกอย่างหญิงสาวผู้เฝ้ารอยามค่ำคืนคนนั้นเลยนะคะ อาจจะคิดแค่ว่า ทำให้ดีที่สุด ไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ ใช่ว่าเราจะไม่เคยทำผิดพลาด เราก็มีพลาดเหมือนกัน เสียใจสิ เสียใจทั้งต่อตัวเอง แล้วทำให้คนที่รักเราเสียใจด้วย แต่เราผ่านมาได้เพราะอะไรน่ะเหรอคะ คิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อและแม่ต้องเข้าใจในตัวลูกค่ะ :) ... หญิงสาวผู้เฝ้ารอยามค่ำคืน รออะไรไม่รู้ละนะคะ แต่หญิงสาวคนที่พิมพ์อยู่นี่ รอว่า...เมื่อไหร่จะเช้าสักที 5555 ...