ส่งข่าวยังคนบ้านไกล.
Marc
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(02 09 05)มีหม้ายสาว(น้อย)ถึงห้าคน
คนที่อายุน้อยที่สุดเพิ่งจะยี่สิบ(รอบที่สาม)ต้นๆ
นอกนั้นก็ยี่สิบปลายๆ(สามรอบครึ่ง)
ไอ้เราก็เพิ่งเป็นหม้ายเลยอดตกปากรับคำไม่ได้
มาชวนให้ช่วยพาไปวัดญวนที่เมือง บอนวิล (Bonne ville) สร้างใหม่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเจนีวามากนัก
วัดสร้างบนที่ดินค่อนข้างกว้าง เป็นตึกสองชั้น
ชั้นบนท่านทำเป็นศาลาที่พระประธาน แบ่งด้านหลังไว้สำหรับงานธุระการ และที่พักสงฆ์ ส่วนชั้นล่างกั้นเป็นห้องๆ ใช้งานทั่วไป มีห้องอาหาร และที่พักแม่ชี และแขกที่ไปเยี่ยม
ทางวัดจัดนมัสการพระสารีริกธาตุ มีหลายองค์อย่างเช่น พระอานนท์ พระสารีบุตร
และของอาจาร์ยสายธิเบต ซึ่งเป็นเจ้าของสารีริกธาตุเหล่านี้ งานจัดสามวัน
กว่าจะไปแวะรับสาวๆเสร็จก็เที่ยงวันพอดี
เลยพากันแวะทานก๋วยเตี๋ยวที่ปารีสก่อนออกรถ
ขับไปตามทางด่วนที่กำหนดความเร็วไว้ที่ร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
ซึ่งก็ง่ายดีสำหรับการกำหนดว่าเราต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าไร
เพราะเราต้องเดินทางประมาณหกร้อยกิโลเมตร
บวกเวลาพักบนถนนอีกรวมแล้วกะไว้ที่หกชั่วโมงครึ่ง ออกจากปารีส
รถมุ่งทางทิศใต้ผ่านตอนกลางของประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา
ก่อนเลี้ยวแยกไปด้านทิศตะวันออกตรงไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ยิ่งเข้าเขตใกล้สวิสฯเข้าไปมากเท่าไร ยิ่งเป็นเขตแนวภูเขา
คงสาเหตุนี้ที่ทำให้ประเทศสวิสฯสามารถรักษาตัวเป็นกลางครั้งสงครามโลกครั้งที่สองได้
เพราะหากจะบุกเข้าประเทศเขาคงต้องบุกผ่านแนวภูเขาเหล่านี้
จำได้ว่าต้องรอดอุโมงไม่ต่ำกว่าสามครั้ง อุโมงนี้คงสร้างที่หลังสงคราม
รถวิ่งบนทางด่วนที่เป็นถนนเกาะข้างไหล่เขา และบางที่ก็เป็นถนนที่สร้างบนตอม้อ ที่มีฐานจากหลุบเขาข้างล่างขึ้นมาหลายร้อยเมตร
ทำให้เหมือนตัวเองกำลังขับเครื่องบินมากกว่าขับรถ(ความจริงก็ไม่เคยเป็นนักบินกับเขา)
มองเห็นหมู่บ้านในหลุบเขาข้างล่างหลังเล็กนิดเดียว และยังเห็นป้ายห้ามทิ้งสิ่งของออกนอกรถด้วย
ช่วงที่อยู่บนเขาสังเกตแล้ว จะเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงปศุสัตว์เสียส่วนมาก
อากาศก็ค่อนข้างเย็นกว่าปกติ บ้านเรือนแถวนี้จะเป็นหลังใหญ่ๆ
เขตนี้เคยมาช่วงฤดูหนาวจะเห็นปกคลุมด้วยหิมะ
ความจริงเมืองที่ตั้งวัดที่เราจะไปก็ไม่ห่างจาก มองบองซ์ (Mont blanc)ซึ่งเป็นยอดเขาที่สุดที่สุดของยุโรปไม่มากนัก ชื่อนี้เขาเอาไปเป็นชื่อสินค้าแบนด์เนมด้วย เรามาช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อนเลยไม่เห็นความแตกต่างเท่าไร เพียงแต่อากาศจะเย็นกว่าเท่านั้น
เราถึงวัดก็เย็นมากแล้ว ประมาณทุ่มครึ่งแต่ช่วงฤดูร้อนที่นี้กว่าพระอาทิตย์จะตกดิน ก็เกือบสามทุ่มเข้าไปโน้น เลยไม่รู้สึกว่าค่ำ เข้าไปไหว้พระสารีริกธาตุเสร็จ ซื้ออาหารเจที่ทางวัดจัดจำหน่ายกินก่อน จะขับรถไปเมือง อานมาส(ANMASSE) ซึ่งเป็นชายแดนฝรั่งเศส-สวิสฯ
เพราะมีคนที่ไปด้วยคนหนึ่งมีญาติเปิดร้านขายอาหารญี่ปุ่นที่นั้น เห็นดึกมากแล้วเลยไปหาเช่าโรงแรมเล็กๆนอน วันรุ่งขึ้นค่อนเปลี่ยนไปนอนโรงแรมใหญ่ข้างร้านอาหาร สดวกกว่ากันเยอะแต่ราคาก็ต่างกันเป็นเท่า อาศัยว่าเบียดกันในห้องใหญ่ ได้ลดจำนวนห้องลงหนึ่ง
เช้ามาก็ไปแวะวัดกันอีก ช่วงบ่ายเลยถือโอกาสข้ามไปเมืองเจนีวา
ไปปล่อยสาวๆไว้ที่ทะเลสาปให้พวกเธอเดินเล่นที่นั้น
ส่วนเราไปตระเวณหาเพื่อนที่ทำงานอยู่ ทำการฑูตถาวรไทยประจำองค์การสหะประชาชาติ
วนไปวนมากว่าจะเจอกันได้ก็เสียเวลาไปมาก เธอนัดไปเจอที่นั้น ซึ่งง่ายกว่าจะไปหาที่บ้านพัก เย็นนั้นกลับไปส่งสาวๆที่โรงแรมก่อนกลับไปที่เจนีวาอีก เพราะเพื่อนเตรียมห้องไว้ให้และนัดไปทานข้าวเย็นด้วยกัน กลับไปทีทำการฑูตถาวรไทยอีกครั้งก่อนจะขับรถตามกันไปบ้านพัก
ตื่นเช้ามาทานข้าวต้มเสร็จ ก็รีบกลับมาแวะสาวๆก่อนพาไปวัดอีกรอบ ก่อนเดินทางกลับ ขากลับวิ่งมาตามทางเดิมแต่คนละฝั่ง
และสังเกตุเห็นว่าทางที่ลอยอยู่บนฟ้านี้ มุงเข้าไปชนหน้าผา
ที่เจาะอุโมงให้ถนนรอดเข้าไป เลยดูเหมือนตัวเองเป็นผู้วิเศษเหาะบนอากาศ แล้วสามารถมุดผ่านภูเขาเข้าไปได้อีก
เร่งรถจนถึงปารีสก็จะหกโมงเย็น ส่งทุกคนเสร็จก็เหนื่อยน่าดู
เสร็จแล้วคืนนั้นยังต้องไปทำงานอยู่เฝ้าโรงแรมกะดึกอีก แต่ช่างมันเถอะ คงไม่ได้ไปทุกสุดสัปดาห์แน่