ช่างหัวปาฏิหาริย์

นายฎี

เรื่อง: ช่างหัวปาฏิหาริย์
ผู้แต่ง: นายฎี {``-_-}{-``-}{-_-``}
เวลา 01.10 น. ภายนอกห้องเลขที่ 204
หลังเกิดเหตุ 1 ชั่วโมง 30 นาที 
หมวดประวิทย์เดินแหวกเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญู 3-4 คน มายืนอยู่หน้าห้องเกิดเหตุเลขที่ 204 ที่มีเจ้าหน้าที่สืบสวน 2 คนกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างใน 
"ผู้ตายชื่อนายพลสวัสดิ์ แสวงหาญกับนางสุนิสา แสวงหาญ ครับหมวด" 
"จากคำให้การ เมื่อเวลาประมาณ 23.40 น. ผู้อาศัยห้องข้าง ๆ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด จึงลงไปแจ้ง รปภ. ให้งัดประตูห้องเข้ามาดู ก็พบกับศพดังกล่าว สภาพศพฝ่ายหญิงถูกยิงด้วยปืนขนาด 9 มม. กระสุนทะลุศีรษะน่าจะเสียชีวิตทันที ส่วนฝ่ายชายใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงเข้าที่คอตัวเองเสียชีวิตในเวลาต่อมาครับ" 
ร้อยเวร เปิดเอกสารรายงานสภาพในที่เกิดเหตุให้เขาทราบ หมวดประวิทย์เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้องที่แดงฉานฉาบไปด้วยเลือด 
"คาดว่าฝ่ายสามีเป็นผู้ยิงภรรยาก่อนและฆ่าตัวเองตายตามครับ ปืนยังคาอยู่ที่มือ ส่วนภายในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้" นายตำรวจรายงานเสียงสั่น 
"แล้วเด็กเป็นอย่างไรบ้างล่ะ" หมวดประวิทย์ถามด้วยแววตาห่วงใย 
"เด็กทารกชื่อ เด็กชายสุรศักดิ์ แสวงหาญ อายุ 1 ปีเศษ ตอนนี้ถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจสภาพร่างกายครับ แต่เด็กไม่น่าจะเป็นอะไร" นายตำรวจสูดลมหายใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
"แต่หมวดครับ มันแปลก ๆ อยู่นะครับ" นายตำรวจเม้มปากทำหน้าสงสัยกับบางสิ่ง แล้วส่งเอกสารบางอย่างให้เขา 
"อะไรหรือผู้กอง" 
"ก็..." 
... 
เวลา 11.40 น. ภายในห้องเลขที่ 204 
ก่อนเกิดเหตุ 12 ชั่วโมง 
น้ำจากก๊อกทองเหลืองที่ปิดไม่สนิทหยดลงถังในจังหวะสม่ำเสมอ ตัดสลับกับเสียงเข็มนาฬิกาแขวนผนังภายในห้องด้านนอก พลสวัสดิ์ค่อย ๆ ลืมตาตื่นจากภวังค์เพื่อเผชิญกับโลกแห่งความจริง เขามองไปรอบ ๆ แต่ไม่ชัดนัก เพราะระหว่างม่านตาและอากาศ มีม่านน้ำบาง ๆ ฉาบไว้ทั้งสองข้าง ร่วมชั่วโมงแล้ว ที่เขาเข้ามานั่งร้องไห้ในห้องน้ำ 
เมื่อคืนเขาทะเลาะกับภรรยาถึงขั้นลงไม้ลงมือ ตื่นมาตอนเช้าก็ไม่พบเธอเสียแล้ว ช่วงนี้เขาทะเลาะกับเธอเป็นประจำด้วยสาเหตุเดิม ๆ คือเรื่องเงิน 
แรกเริ่มของปัญหาเกิดจากเมื่อปีที่แล้ว ฝ่ายบริหารบริษัทที่เขาเคยทำงานอยู่สืบทราบว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเงิน 10 ล้านบาท ค่าจัดซื้อระบบเครื่องปรับอากาศห้องเย็นโรงงาน ซึ่งมีเขาที่เป็นหัวหน้าฝ่ายดูแลโครงการพ่วงอยู่ด้วย เขากับพวกโดนสอบสวนอย่างหนัก และเมื่อหลักฐานปรากฏชัดขึ้น เขาจึงถูกเพิกถอนจากการเป็นพนักงาน
ปัญหามันไม่ได้จบแค่นั้น ทางบริษัทต้องการจะเอาเขาเข้าคุกให้ได้ เขาต้องกู้หนี้ยืมสินทั้งในและนอกระบบเพื่อวิ่งเต้นให้พ้นผิด นั่นยังไม่รวมถึงหนี้สินก่อนหน้าที่เขาไปสร้างไว้กับโต๊ะพนันบอล มันหนักหนาเกินกว่าจะแบกรับ เขาจึงพาภรรยาและลูกหนีออกมาหาห้องเช่าเล็ก ๆ นอกชานเมืองแห่งนี้ ทว่าเมื่อปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นและยังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาอื่น ๆ ก็แตกหน่อตามมาเรื่อย ๆ 
...
เมื่อทะเลาะกันทุกครั้ง เขาก็โทษตัวเองทุกครั้ง แต่คำขอโทษที่เอ่ยไปบ่อยครั้ง ไม่ได้ช่วยอะไร
"คุณพระคุณเจ้า ลูกผิดไปแล้ว ให้โอกาสลูกด้วยเถิด" เขานั่งกุมมือแนบอกหลับตาถามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หวังจะเห็นแสงสว่างของปาฏิหาริย์ดลบันดาลอะไรสักอย่าง ให้เขาพ้นทุกข์ หรืออย่างน้อย เมื่อลืมตาขึ้นมา เรื่องราวต่าง ๆ นี้ขอให้มันเป็นแค่ฝันร้าย 
เสียงร้องงอแงปลุกเขาตื่นจากภวังค์อีกครั้ง อนิจจา ไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ และไม่ใช่ฝัน เขาอ้อยอิ่งลุกขึ้นจากพื้นห้องน้ำ แนบหน้าเข้ากับผนังสีหม่น เงยหน้ามองแผ่นฝ้าทีบาร์แผ่นที่มีรอยมือเปื้อนอยู่ "มัน" จะยังอยู่บนหลังฝ้านี่หรือเปล่านะ "มัน" จะแก้ไขปัญหาได้จริงหรือ เจ้าปาฏิหาริย์สุดท้ายหลังเพดาน... เขาถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหาลูกในห้อง 
นั่น... เจ้าชายตัวน้อยในเปลสีชมพูอ่อนกำลังนอนร้องไห้จ้า เขาคุกเข่าตรงข้างเปล 
"หิวนมหรือลูก" เขาจ้องลูกน้อยพลางเช็ดน้ำตา แต่เจ้าหยดน้ำแห่งความท้อแท้กลับยิ่งเอ่อไหลและหยดลงตรงแก้มแดงของเด็กน้อย 
จากชีวิตสุขสบายมีครอบครัวที่อบอุ่น เพราะความเห็นแก่ได้ ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน เขาคิดถึงบ้านจัดสรรที่เคยอยู่ คิดถึงรถที่ขายไปเมื่อกลางปี คิดถึงตำแหน่งรองผู้จัดการ หากไม่มีเรื่องชั่วนี้ มันคงไม่หลุดลอยไปไหน เขาคิดถึงรูปธรรมทั้งหมดที่ไม่มีวันย้อนกลับ
"พ่อผิดไปแล้วลูก" เขาค่อย ๆ ป้ายหยดน้ำตาของเขาที่หยดลงแก้มของลูก มืออีกข้างดึงคอเสื้อมาเช็ดน้ำตาที่แก้มของตนแล้วลุกออกมาที่มุมห้องหยิบขวดนมเปิดฝากระป๋องนมผง
ข้าง ๆ กระติกน้ำร้อนไฟฟ้ามีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 ห่อวางอยู่ใกล้ ๆ มีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แนบอยู่ 
"หนิงไปสมัครงาน ทานอะไรบ้างนะคะ พี่ผอมลงมากรู้ไหม /หนิง" มือสั่นเทาค่อย ๆ หยิบกระดาษแผ่นน้อยมากำไว้ เธอยังมีกะใจเป็นห่วงเขาอีกหรือ ลมหายใจเข้าออกเริ่มฮึดฮัดผิดจังหวะ เขาอ้าปากรับอาการสะอื้นนั้น 
เธอยังคงเข้มแข็งเสมอ แม้โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจของเธอต้องทำให้เธอเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ ก็ตามที
เธอมักจะเป็นลมหากทำงานหนักหรือได้รับฝุ่นควัน แต่เธอก็ยังดึงดันจะออกไปหางานให้ได้ 
ทุก ๆ ครั้งที่มีปัญหาเช่นเวลาไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง เธอมักจะไปหาหยิบยืมมาจนได้ กลับเป็นเขาที่ไม่กล้าแม้แต่จะบากหน้าไปหาใคร เธอช่างต่างจากเขานัก
...
นาฬิกาบอกเวลา 12.00 น. เขาถือขวดนมที่เย็นได้ที่มาป้อนให้ไอ้หนูที่ยังคงนอนร้องไห้อยู่ในเปล พอจุกนมเข้าปาก เด็กน้อยก็ขยับแก้มแดงตุ่ยดูดน้ำนม เขาแกว่งเปลเบา ๆ 
"พ่อผิดไปแล้ว" ไม่รู้ว่าเขาเอ่ยคำนี้กับลูกและภรรยากี่ครั้งแล้ว 
เด็กน้อยหลับด้วยดวงหน้าปริ่มสุข น้ำตายังคงปริ่มอยู่ เขาล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เปลลูก ยกมือก่ายหน้าผาก ดวงตาทำองศากับเพดาน เหม่อลอยอย่างเลื่อนลอย แววตานั่นฉายแววท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่ต่างอะไรกับคนที่ยอมละทิ้งแล้ว... ชีวิต
... 
เวลา 16.00 น. หน้าโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
ก่อนเกิดเหตุ 7 ชั่วโมง 40 นาที 
แสงแดดยามบ่ายแก่ ๆ มิได้อ่อนลง มีเพียงร่มเงาของเสาไฟฟ้าเท่านั้นที่พอจะทำให้สุนิสาใช้บังกาย ลมอ่อน ๆ พัดควันพิษจากรถที่เนืองแน่นเต็มถนนจนหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีดำเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนต้องถอยกลับไปยืนชิดริมกำแพงเอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก เธอแหงนมองป้ายชื่อตัวโตของโรงพยาบาลที่เธอเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่ ก่อนจะกระเถิบร่างออกมายืนรอรถประจำทางอีกครั้ง อาการปวดหัวแล่นจี๊ดอีก 
เพราะเจ้าควันบ้านี่เอง ที่ทำให้เธอต้องเสียเวลาอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ตั้งนาน วันนี้เธอออกจากบ้านมาแต่เช้า เพื่อมาสมัครงานจากคำแนะนำของคุณป้าร้านขายของชำหน้าห้องเช่า 
หญิงสาวยืนยิ้มอยู่คนเดียว ในที่สุดเธอก็ได้งานทำ เธอโกหกพนักงานฝ่ายบุคคลว่าร่างกายของเธอเป็นปกติดี ไม่มีโรคประจำตัว โชคดีที่เขาไม่เอาใบรับรองแพทย์ เธอกรอกใบสมัครด้วยที่อยู่บ้านเก่าที่เพิ่งถูกยึดไป เพราะที่นั่นอยู่ใกล้กับโรงงานแห่งนี้ อย่างน้อยก็เพิ่มความมั่นใจ ว่าเธอจะได้งานทำแน่ 
แม้โรงงานแห่งนี้จะไกลจากห้องเช่าที่เธออยู่ถึงคนละฝั่งเมือง แต่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เธอคิดว่าไม่นานคงจะชินไปเอง แต่ที่น่าใจหายก็คือ นับจากนี้เธอคงจะไม่ได้อยู่กับลูกทั้งวันเหมือนก่อน 
เอาเถิด... สิ่งที่ทำนี้ก็เพราะเจ้าหนูน้อยทั้งหมด 
เธอนั่งลงตรงม้านั่งด้วยความอ่อนแรง ดวงตาจดจ้องป้ายรถประจำทางแต่ละคันด้วยแววตาที่มุ่งมั่น พยายามดึงกระโปรงลงเพื่อปกปิดรอยช้ำม่วงที่ขาของเธอ มันเป็นร่องรอยจากการทะเลาะกันเมื่อคืน ยังมองโลกในแง่ดีว่าอย่างน้อยใบหน้าของเธอก็ไม่มีรอยช้ำ ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้งานเป็นแน่ เธอถอนหายใจเมื่อนึกถึงสามีผู้ท้อแท้ จะอย่างไรเธอก็ยังอยากให้เขาสู้ เธอไม่เคยโกรธ หรือโทษอดีตอันเลวร้ายที่เขาก่อ แม้ดวงจันทร์หรือดาวดวงไหนจะมีผลต่อระดับน้ำทะเล ขอเพียงคลื่นยังคงหมั่นขยันกระทบฝั่งก็พอแล้ว 
เธอหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะกลับมาเป็นคนเดิมได้อีก เธอจะไม่ท้อถอยเด็ดขาด หากเธอสิ้นหวังอีกคน ครอบครัวจะเป็นอย่างไร ไม่อยากคิด 
เวลา 19.20 น. ร้านขายของชำหน้าปากทาง 
ก่อนเกิดเหตุ 4 ชั่วโมง 20 นาที 
"เป็นไงบ้างล่ะลูก ได้หรือเปล่า" หญิงชราท่าทางใจดี ยิ้มให้หญิงสาวที่หน้าตาของเธออิดโรยด้วยความคุ้นเคย 
"ได้จ้ะป้า เริ่มงานวันที่ 20 นี้ ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้ป้า หนูคงไม่รู้จะไปหางานที่ไหนแล้ว" เธอยิ้มแห้ง ๆ ตอบและไหว้หญิงชราด้วยความเคารพ 
"ดีแล้วละลูก" 
"ป้าคะ เอา มาม่าต้มยำ 4 ห่อ และก็นมตราหมีกระป๋องนึงค่ะ" เธอเขินอายเล็กน้อย หลายครั้งแล้วที่อาหารแต่ละมื้อคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เธอซื้อไปต้มกินกับข้าวสวย นี่เห็นจะเป็นหนทางเดียว ที่จะประหยัดได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับอาหารถุงละ 10 บาท ครั้นจะหาซื้อกับข้าวมาทำเอง ก็ต้องใช้เงินมาก และมันก็เก็บไว้ได้ไม่นาน เธอไม่มีตู้เย็น กะทะไฟฟ้าก็ไม่มี อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ค่อย ๆ หายไปทีละชิ้น เพื่อแปรสภาพมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านโดยเฉพาะค่านมลูก ที่ยังพอมีเหลือก็แต่หม้อหุงข้าว กระติกน้ำร้อน เตารีด และโทรทัศน์เครื่องเก่า ๆ เท่านั้น 
แต่เอาเถิด สำหรับอาหารแบบนี้ เธอยังมองโลกในแง่ดีว่า อย่างน้อย ซองของมันก็ยังส่งชิงโชคได้
หญิงสาวควานหากระเป๋าเงิน แต่ก็ไม่มี เธอไม่ได้ถือถุงเอกสารสมัครงานและกระเป๋าเงินไว้ตั้งนานแล้ว
"เดี๋ยวก่อนนะป้า หนูไม่รู้เอากระเป๋าไปลืมไว้ที่ไหน" เธอปริ่มจะร้องไห้ พยายามหลับตานึก 
หลังจากสมัครงานเสร็จ เธอกำลังจะกลับบ้านแต่ดันมาเป็นลมจนคนแถวนั้นพาไปโรงพยาบาล 
"หรือจะหายที่โรงพยาบาล" เธอยังจำได้ว่าตอนออกจากโรงงานมา เธอยังถือถุงเอกสารอยู่ 
"ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวค่อยเอามาให้ก็ได้" หญิงชราเอ่ยด้วยความเป็นห่วง 
"ค่ะ เดี๋ยวหนูเอาลงมาให้นะคะ" ใบหน้าที่ซีดของเธอยิ่งดูหมองเศร้า จนคุณป้าร้านขายของชำรู้สึกสงสาร
"ขอให้ทางโรงพยาบาลเก็บไว้ให้ด้วยเถิด" เธอรับของจากหญิงชราแล้วรีบเดินเข้ามาในตัวตึกขนาด 4 ชั้นซอมซ่อแห่งนี้ด้วยความร้อนรน อาการปวดหัวของเธอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เธอรู้ตัวดีว่าหากเป็นมากกว่านี้ เธอจะหายใจไม่ออก
เธอเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้น 2 เมื่อถึงหน้าห้อง เธอเคาะประตูด้วยความเหนื่อยล้า สักครู่ประตูก็เปิดออก พลสวัสดิ์ชะโงกหน้ามามองเธอด้วยแววตาประกายเศร้าขอบตาของเขาดำคล้ำ ดวงตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก 
เธอเบือนหน้าหนีและเดินเข้าไปยืนข้างเปลเพื่อดูลูกที่กำลังหลับอยู่โดยไม่พูดอะไร เธอยังคงจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ดี และเพื่อรอให้เขาพูดอะไรสักอย่างก่อน แล้วเธอจะได้บอกข่าวดีเรื่องงานให้เขารู้ 
"พี่ขอโทษ" เขาทรุดเข่าลงนั่งก้มหน้าร้องไห้จนไหล่สะท้าน ความโกรธเคืองของเธอจากเมื่อคืนที่ถูกเขาทำร้ายพลันหายไป 
ตลอดระยะเวลาเกือบปีที่ผ่านมานี่เป็นอีกครั้ง... ในหลาย ๆ ครั้งที่เธอเห็นเขาเป็นอย่างนี้ และจะเป็นหนักมาก ตอนที่เขาแอบไปกินเหล้าเมากลับมา เธอนั่งคุกเข่าวางของลงเอามือโน้มคอเขาเข้ามาแล้วลูบผมแผ่วเบา 
"ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรน้า" น้ำเสียงอ่อนโยนของเธอยิ่งทำให้เขาร้าวราน ช่างน่าละอายเหลือเกิน ที่เธอดีกับเขาได้ถึงเพียงนี้ เขาซบหน้าแนบไหล่เธอแล้วสะอื้นไห้ดั่งเด็กน้อย เธอสวมกอดและลูบไหล่เขาเบา ๆ และค่อย ๆ ผลักเขาออกเพื่อมองตา 
"อึ๊บ! ลุกขึ้น อย่าร้องไห้เลยนะคะ ไม่เป็นไรหรอก เข้มแข็งเข้าไว้นะคะ อย่าทำเหมือนเด็กสิ อายไอ้หนูมัน" เขานั่งก้มหน้าไม่พูดอะไร เธอต้องพยุงให้ลุกขึ้น 
"วันนี้หนิงเพลียมากเลย ทำตัวให้เหมือนปกติเถอะค่ะ เอาอย่างนี้ละกัน พี่พลช่วยเอาเงินในลิ้นชักลงไปจ่ายให้ร้านป้าข้างล่างก่อนนะคะ ขึ้นมาแล้วหนิงจะบอกข่าวดีให้ฟัง" ข่าวดีคือเรื่องงาน แต่ในเมื่อเขาเป็นอย่างนี้เธอคงไม่กล้าบอกเรื่องกระเป๋าเงินหาย
เขาปาดน้ำตาแหงนหน้ามองเธอ และพยักหน้า 
"นะคะ" เป็นน้ำเสียงที่สดใส แม้ข้างในจะตรงกันข้ามเขาลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบธนบัตรสีแดง 2 ใบสุดท้ายในลิ้นชักออกมา แล้วเดินก้มหน้าออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร 
อาการปวดหัวของเธอรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังฝืนก้มลงมองเจ้าหนูที่นอนหลับปุ๋ยในเปล สิ่งนี้แหละ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ให้เธอมีชีวิตและอยู่สู้ได้ทุกวันนี้ 
"จงเติบใหญ่และเป็นคนดีเถิดนะ ลูกแม่" เธอล้มตัวลงนอนตรงฟูกด้วยความเหนื่อยล้า หายใจระรวย หวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอาการปวดหัวจะทุเลาลง...
ไม่นานหญิงสาวก็หลับสนิท 
เวลา 23.30 น. ภายในห้องเลขที่ 204 
ก่อนเกิดเหตุ 10 นาที 
เขาผลักประตูเข้ามาอย่างแรงจนเธอสะดุ้งตื่น ทันทีที่ลมหายใจสูดเข้าจมูก เธอก็รับรู้ถึงกลิ่นเหล้า 
เขาเดินมาเปิดโทรทัศน์ ส่ายสายตามองเธอแว้บหนึ่งด้วยแววตาของคนไม่กลัวสิ่งใด แล้วหันกลับไปจ้องหน้าจอโทรทัศน์ เธอโมโหจนสุดจะทานทน 
"ทำไมต้องไปกินเหล้าด้วย" เธอลุกขึ้นตะคอกใส่ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ยังคงนั่งสะอึกจ้องมองรายการเกมส์โชว์ในโทรทัศน์ต่อไป 
เจ้าหนูในเปลตื่นขึ้นมาร้องไห้ทันที ความพยายาม ความอดทนของเธอมันไม่ได้ช่วยให้เขาดีขึ้น กลับกัน มันยิ่งทำให้เขาจมดิ่ง น้ำตาที่เก็บกลั้นมานานก็ไหลริน เขาหันมามองเธอด้วยใบหน้านิ่งงัน ผิดกับทุกครั้ง 
"ทำไมพี่พลทำกับหนิงอย่างนี้" เขายังคงไม่พูดอะไรออกมา แต่ลุกขึ้นยืน เดินโซเซเข้าห้องน้ำ เธอตามมายืนอยู่ตรงหน้าประตู 
"ออกมานะ พี่เอาเงินไปกินเหล้าทำไม" เธอทุบประตูโครมคราม 
เสียงเจ้าหนูร้องไห้จ้าปนกับเสียงเฮฮาของดาราตลกทั้ง 3 ในโทรทัศน์ บานประตูห้องน้ำแง้มออก สิ่งที่ยื่นโผล่พ้นประตูออกมาทำให้เธอชะงักงัน
ดวงตาแดงก่ำเขม็งเกร็งของเขาเหมือนกับปีศาจร้าย เธอผงะถอยหลังสะดุดขอบประตูล้มลง เธอไม่รู้ว่าเขาไปเอามันมาจากไหน ในมือของเขาคือปืน ที่ปากกระบอกของมันเล็งมาที่เธอ พร้อมลั่นไกได้ตลอดเวลา 
ที่แหละ ปาฏิหาริย์สุดท้ายที่เขาหาได้
"เราไปอยู่ด้วยกันอีกที่เถอะนะ" เป็นน้ำเสียงจริงจังของเขา
"พี่พลจะทำอะไร อย่านะ!!" เธอกระเถิบร่างที่เปียกโชกด้วยเหงื่อถอยไปจนชิดมุมห้อง เขาเดินโซเซเข้ามาใกล้ ๆ เธอพนมมือไหว้เขาอ้อนวอนด้วยความกลัว 
"พี่วางปืนลงเถอะนะ นะ... หนิงจะเชื่อพี่ทุกอย่าง หนิงได้งานทำแล้ว เดี๋ยวเราก็มีเงินไปใช้หนี้ ดะ... เดี๋ยวเราก็จะมีรถ เดี๋ยวเราก็รวยแล้ว พี่อย่าทำ..." เขาไม่ฟังสิ่งใด 
"เปรี้ยง!" 
ลำแสงสีเพลิงพาลูกกระสุนแล่นตัดอากาศ เจาะผ่านเนื้อทะลุกระโหลกหน้าผากผ่านสมองเจาะกระโหลกด้านหลังของหญิงสาว เลือดสด ๆ ผสมเศษเนื้อเศษสมองสาดกระจายเป็นสีแดงเหลืองเต็มผนังห้อง ปากของเธออ้าค้าง นัยน์ตาเหลือก มือของเธอกระตุกหงึก และแน่นิ่งไป 
เธอจะรู้ไหมว่า มันไม่ใช่แค่ดวงจันทร์หรือดาวดวงใด ที่มันมีผลต่อทะเลชีวิตเขา แต่มันคือพระอาทิตย์ที่จรัสจ้านี้เองที่มันแผดเผาน้ำทะเลจนแห้งผาก ทะเลไร้น้ำที่ไหนฤๅ จะมีคลื่นให้ซัดฝั่ง 
เขามองผ่านควันจากปลายปืน เห็นวินาทีสุดท้ายของชีวิตเธอด้วยความอาวรณ์ 
"เดี๋ยวพี่ตามไปนะ" เขาละสายตาจากเธอ เดินมาที่เปลจ้องมองหนูน้อยที่ยังคงนอนร้องไห้ หากการกระทำของเขาต้องตกนรกหมกไหม้ มันก็ยังดีกว่านรกในใจตอนนี้ เขาเล็งปลายกระบอกปืนไปที่เด็กน้อย หยดน้ำตาหยาดสุดท้ายของชีวิตไหลริน 
เด็กน้อยจับปลายกระบอกปืนด้วยความไร้เดียงสา เบะปากมองเขาด้วยดวงตาใสซื่อ 
"ป้อ" เขาเบิกตาโพลงสูดลมหายใจเข้า เอียงคอฉงน 
"ไอ้หนู ลูกพูดว่าอะไรนะ" มือที่ถือปืนอยู่ลดระดับลง ลูกน้อยเรียกเขาว่าพ่อเป็นครั้งแรก เขาหัวเราะดีใจปนสะอื้นแข่งกับลูก 
"หนิงดูสิ ลูกเรียกพ่อได้แล้ว" ดั่งคนบ้า เขาหันไปบอกร่างภรรยาที่มุมห้อง แต่... 
... 
เวลา 01.20 น. 
หลังเกิดเหตุ 1 ชั่วโมง 40 นาที 
"สภาพศพของฝ่ายหญิงนี่แปลก ๆ น่ะครับ เธอถูกยิงเข้าตรงกลางศีรษะจนทะลุ จากบาดแผลแล้วเธอน่าจะเสียชีวิตทันที" นายตำรวจสายตรวจมองแววตาที่จริงจังของหมวดประวิทย์ ที่กำลังฟังอย่างตั้งใจ 
"ว่าต่อสิผู้กอง" 
"จากรอยเลือดรวมทั้งรอยกระสุนตรงผนังห้อง เธอน่าจะเสียชีวิตตรงมุมห้องนี่" นายตำรวจกลืนน้ำลายลงคอ 
"แต่ไหงศพเธอกลับมานอนอยู่ข้าง ๆ เปลนี่ได้ก็ไม่ทราบครับ" เขาเดินมาชี้รอยกระสุนตรงผนังที่ฉาบไปด้วยสีแดงสด 
"ผู้กองกำลังจะบอกผมว่าศพนี่เดินได้และเดินมาตายตรงข้างเปลเหรอ" หมวดประวิทย์หัวเราะหึ 
... 
เวลา 23.40 น.
ณ เวลาและสถานที่เกิดเหตุ 
เสียงและภาพจากโทรทัศน์ตัดสลับกันระหว่างโฆษณาและรายการเกมส์โชว์ โดยมีพิธีกรใส่แว่นชื่อดังกับดาราตลกทั้ง 3 และแขกรับเชิญออกมายืนยิ้มให้กล้อง
...
เขาขนลุกเกรียว รอยเลือดและเศษสมองยังคงเปรอะอยู่เต็มผนัง แต่... ร่างของเธอหายไป 
ทันใดนั้นมือเย็น ๆ ของใครคนหนึ่งก็กุมมือที่ถือปืนของเขา 
"อย่าทำอะไรลูกนะ" เขาหันกลับมาด้วยความตกใจ "เธอ" ภรรยาของเขายืนอยู่ตรงหน้า เธอยังไม่ตาย เธอไม่เป็นอะไร เป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่ความจริง
เขามองใบหน้านิ่งเฉย มองรอยกระสุนที่หน้าผากของเธอ มองเลือดที่ไหลเปรอะเต็มหน้าผากและแก้ม นี่คือความฝัน นี่คือปาฏิหาริย์ คำอธิษฐานของเขาเมื่อตอนกลางวันคงเป็นจริงแล้วแน่ ๆ เขามองลูกสลับกับมองเธอที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเปลอย่างไม่เชื่อสายตา เขาปัดมือที่เย็นชืดของเธอออก ชักปืนกลับมาจ่อปลายกระบอกเข้าที่ปลายคางของตน มันเป็นความฝัน เดี๋ยวเขาก็ตื่นแล้ว อย่างนี้ละ ตื่นแน่...
"เปรี้ยง!" 
ความเจ็บปวดที่ไม่ใช่ฝันแล่นแปร๊บไปทั่วร่าง แสงจากจอโทรทัศน์ เปลี่ยนเป็นสีม่วง เขียว แดง สลับกัน และพลันวูบมืดสนิท เธออุ้มลูกยืนดูเขาตะเกียกตะกายด้วยความทรมานก่อนแน่นิ่งไป 
"พ่อผิด..." เป็นคำพูดสุดท้าย... 
เขาตายแล้ว... 
เธอกอดลูกไว้แน่น เลือดจากแผลที่หน้าผากไหลเปรอะเปลและผ้าอ้อมของลูก 
...
ไม่นานเด็กน้อยก็หลับในอ้อมกอด เธอวางลูกลงในเปลอีกครั้งอย่างแผ่วเบา 
"เป็นเด็กดีนะลูก หนูคงต้องดูแลตัวเอง น่าเสียดายที่แม่ไม่ได้สร้างอะไรไว้ให้" น้ำตากับเลือดเปรอะเปื้อนทั่วหน้า เธอเอามือปิดหน้าผากเพื่อไม่ให้เลือดหยดลงเปลอีก มืออีกข้างปาดน้ำตามองดูลูกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วทอดตัวลงนอนข้าง ๆ เปลนั่น 
เธอไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่อะไรบางอย่างที่อยู่ลึกเกินกว่าจะเข้าใจก็ทำให้เธอได้ปกป้องลูกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ตาของเธอจะปิดลงสู่นิทรานิรันดร์ 
นี่หรือคือปาฏิหาริย์...
ช่างมันเถิดนะ...
เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงจากโทรทัศน์ที่แผ่วเบา เป็นเสียงพูดจากพิธีกรใส่แว่นที่กำลังเอ่ยชื่อผู้โชคดีจากรางวัลทองคำหนัก 1 กิโลกรัม จากกระดาษในซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 
"เด็กชายสุรศักดิ์ แสวงหาญ กรุงเทพฯ" 
มันเป็นชื่อของเจ้าตัวน้อยในเปล 
เวลา 01.25 น. 
หลังเกิดเหตุ 1 ชั่วโมง 45 นาที 
"ครับหมวด แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ผมอยากให้หมวดดูรายงานครับ" ร้อยเวรสายตรวจกัดฟันกรอด พยายามข่มความรู้สึกกลัว หมวดประวิทย์ยกแฟ้มรายงานขึ้นอ่านคร่าว ๆ 
"ทำไมเหรอ นี่มันรายงานเมื่อตอนเย็นนี่" 
"ครับ ทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่าเมื่อตอน 5 โมงเย็น มีศพหญิงสาวคนหนึ่งหายไปจากโรงพยาบาลอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทิ้งไว้เพียงเอกสารสมัครงานและกระเป๋าเงิน" นายตำรวจกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง 
"แพทย์รายงานว่าเธอขาดอากาศหายใจ และถูกนำส่งโรงพยาบาลช้าไปจึงเสียชีวิต ผมพยายามติดต่อญาติ แต่ติดต่อไม่ได้ เพราะที่อยู่ในบัตรประชาชนของเธอไม่มีคนอยู่ ผมลองเช็คกับทางหมู่บ้านนั้นดูเขาบอกว่าบ้านหลังนั้นอยู่ในระหว่างการขายทอดตลาด" 
"อืมม์! แล้วทำไม" 
"ชื่อและนามสกุลของศพที่หายไป เป็นคนเดียวกันกับศพนี้ครับ" หมวดประวิทย์เบิกตาโพลง  หันมามองศพหญิงสาวในผ้าคลุมสีขาว ที่รอยกขึ้นรถ
อนิจจา! แขนซ้ายที่โผล่ออกมาจากผ้าคลุมนั่น มีป้ายสายรัดข้อมือศพจากโรงพยาบาลแขวนอยู่ 
... 
"นี่มันบ้าชัด ๆ"				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน