“สำนึกได้....ก็สายเกินไป”

เมฆสีหม่น

สำนึกได้....ก็สายเกินไป
                                               -  สิ่งที่อยากจะพูด  -
            วันที่เริ่มเขียนเรื่องนี้ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของแม่ผู้เขียน ผู้ซึ่งมี
พระคุณยิ่งใหญ่ที่สุดจนยากที่จะหาผู้ใดมาเสมอเหมือนและแทนที่ได้ในชีวิต
ของผู้เขียน
            เรื่องนี้ตั้งใจเขียนขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจมาจากคำพูดประโยคหนึ่ง
ที่แม่ผู้เขียนชอบพูดอยู่บ่อย ๆ เวลาน้อยใจ คือ ไม่มีแม่อยู่ด้วยแล้วเราจะรู้สึก 
ซึ่งตอนนั้นผู้เขียนไม่เคยได้รู้เลยว่ามีอะไรบางอย่างที่เริ่มคืบคลานเข้าสู่ตัวแม่
อย่างช้าๆ แล้วพรากเราสองแม่ลูกให้อยู่กันไกลห่างอย่างที่ไม่มีวันหวนคืน
ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถที่จะเอ่ยเรียกใครว่า แม่ อย่างเต็มปากและภาคภูมิ
ได้อีกเลย
            ในตอนนี้ผู้เขียนอยากจะบอกกับแม่เหลือเกิน แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้
บอกอีกแล้วว่า 
            ทุกวันนี้ผู้เขียนได้เรียนรู้ซึมซาบอย่างลึกซึ้งจนเข้าไปถึงก้นบึ้งส่วนที่
ลึกที่สุดของหัวใจและชีวิตกับคำพูดประโยคนี้ของแม่แล้ว   
            แม่   ผู้ซึ่งจากลูกไปยังดินแดนสวรรค์ชั้นฟ้านับได้ย่างเข้าสู่ปีที่ ๗
        	
            เจ็ดปีผ่าน ชีพแม่ดับ ลับสลาย      	สิ้นร่างกาย ลูกกอด นอนตักหนุน
อ้อมอกเคย อิงแนบ อุ่นละมุน                	กลิ่นกายกรุ่น หอมจรุง อุ่นดวงใจ
             ขอวิญญาณ แม่สถิต สรวงชั้นฟ้า	หากแม้นมี ชาติหน้า เป็นลูกใหม่
คำแม่พูด ลูกซึ้ง สุดหัวใจ		ด้วยอาลัย รักแม่ ตราบสิ้นลม	
                                                                                หนูรักแม่นะคะ
                                                                         ๒๘ กันยายน ๒๕๔๘
                                            -  สิ่งที่อยากจะบอก -
                      พ่อ...แม่....ผู้เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตของลูก...
             พ่อ....แม่ คำเรียกซึ่งสั้นและง่ายต่อการจำของเด็กที่เพิ่งเรียนรู้ใน
การหัดพูด ไม่มีใครรู้ว่าทำไมผู้ที่คิดและบัญญัติจึงได้ออกมาเป็นคำนี้ แต่ทว่า
คำสองคำนี้กลับซ่อนความหมายอะไรบางอย่างไว้ได้อย่างมากมายมหาศาล 
ที่หลายคนคุ้นเคยเรียกมาตั้งแต่เด็กๆ จะเรียกได้ว่าตั้งแต่เริ่มจำความได้ 
เรามักจะเอ่ยคำใดคำหนึ่งนี้ก่อนเสมอที่เราจะเริ่มพูดประโยคใด ๆ ต่อไป 
	พ่อ....แม่......ผู้ซึ่งไม่เคยหวังเรียกร้องอะไรตอบแทนจากเรา
	พ่อ....แม่......ผู้ซึ่งรักและจริงใจกับเรามากกว่าใครในโลกนี้ 
             แต่ทำไมในสังคมมนุษย์ถึงได้เกิดคำพูดเปรียบเปรยว่า แม่คนเดียว
เลี้ยงลูกหลายคน     ได้แต่ลูกหลายคนเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้ คำพูดนี้ยังคงมี
ปรากฏให้เห็นกันได้ทั่วไปตามบ้านพักคนชราทั้งหลายที่เปิดรองรับทั้งชายและ
หญิงผู้สูงอายุทั้งหลาย ที่นับวันจะยิ่งมีจำนวนผู้สูงอายุเข้าไปอาศัยเพิ่มมากขึ้น
เรื่อย ๆ
              พวกเขาไม่มีญาติพี่น้อง ลูกหลานเลยหรือ...?? คำถามที่หนุ่มสาว
หลายคนถาม  
              เมื่อก่อนมีเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว...!!  คำตอบของผู้สูงอายุหลายคน
ปลงตกแล้วตอบ
              เวลาพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ บางคนปล่อยทิ้งขว้างให้เผชิญชะตากรรม
โดดเดี่ยวอย่างลำบากบางคนก็นำไปฝากตามบ้านพักคนชรา และอีกมากหลาย
เหตุผลที่บรรดาลูกๆ ชายหญิงล้วนสรรหายกขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อปัดความรับผิด
ชอบในการดูแลเลี้ยงดูท่านยามชรา 
              เมื่อถึงเวลาพวกท่านได้ลาลับดับไปจากโลกนี้ บางคนสำนึกได้ก็จัด
งานศพให้ท่านเสียใหญ่โต พร่ำรำพันความเศร้าโศกจวนเจียนจะขาดใจต่อ
หน้าศพ  สารพัดอาหารยกมาตั้งไว้ข้างโลงแล้วเคาะเรียกให้ท่านมากินอาหาร
ที่โปรด  มีมหรสพสามวันเจ็ดคืนอย่างเอิกเกริก พวกเขาคิดว่าการที่จัดงาน
อย่างยิ่งใหญ่นี้เพื่อชดเชยในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำในตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ และ
แสดงความรักที่มีให้ท่านอย่างท่วมท้น  แต่สิ่งที่ทำเหล่านั้นจะเกิดประโยชน์
อันใดเล่า ในเมื่อสำนึกได้ก็สายเกินไปแล้ว
              คำเปรียบเปรยนี้คงยังจะใช้ได้อีกยาวนานกับสังคมของมนุษย์ในยุค
ปัจจุบันที่เจริญขึ้นในด้านวัตถุ แต่จิตใจของมนุษย์กลับเสื่อมถอยลง
              น้ำนมอุ่น ข้าวอ่อน ใครป้อนเจ้า	    ใครที่เฝ้า เห่กล่อม เพลงขับขาน
ใครหนอใคร เอื้อนเอ่ย คำนิทาน	    ใครนะใคร วันวาน ในวัยเยาว์   
              ยามพ่อแก่ แม่ชรา คิดผลักไส	    ส่งท่านไป บ้านพัก ช่างน่าเศร้า
เจ็บป่วยไข้ เฝ้าคอย ไร้แม้เงา	    เมื่อสิ้นใจ ใยเจ้า พร่ำโศกครวญ
                                                -  สิ่งที่อยากจะเขียน -
                                             สำนึกได้....ก็สายเกินไป
           เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ชีวิตของยายอาบมีความสุขกับครอบครัวที่
อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งสามีและลูกสาว เวลาต่อมาไม่นานสามียายอาบก็
มาตายจากไป เพราะจมน้ำตอนออกไปหาปลาในคลองแถวบ้าน ตั้งแต่นั้นมา
ที่บ้านจึงเหลือแต่ยายอาบกับจันทร์ลูกสาวเพียงคนเดียวของแกที่อยู่ในวัยเด็ก 
ดังนั้นยายอาบจึงทุ่มเทความรักความผูกพันที่มีทั้งหมดให้กับจันทร์
            ยายอาบมีอาชีพพายเรือขายขนมหลายอย่าง เช่น ข้าวต้มมัดและขนม
กล้วย ไปตามคลองวันหนึ่ง ๆ  แกจะพายเรือออกขายของตั้งแต่เช้า จนตกตอน
เย็นถึงกลับบ้าน ส่วนลูกสาวยายอาบฝากคนข้างบ้านเลี้ยงไว้ตอนขากลับจึงแวะ
ไปรับกลับบ้านเป็นอย่างนี้เสมอมาจนเมื่อจันทร์โตขึ้นมาหน่อย ยายอาบจึงเอา
จันทร์ใส่เรือพาออกไปขายของด้วย
            ด้วยความที่จันทร์หน้าตาน่ารัก จิ้มลิ้ม ใครเห็นใครก็รัก และความ
น่ารักน่าเอ็นดูของจันทร์ที่ส่งเสียงร้องเรียกชวนให้คนซื้อของอยู่ที่ในเรือ
หลังจากนั้นยายอาบก็ขายของดีขึ้นทุกวัน ยายอาบเก็บหอมรอมริบเงินไว้ได้
จำนวนหนึ่งจึงเริ่มซื้อที่ดินสะสมไว้บ้าง จนเป็นที่รู้กันทั่วในละแวกนั้นว่า
ยายอาบมีฐานะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
        ถ้ามีใครถามกับยายอาบว่าจะเก็บเงินเก็บทองไปถึงไหน ยายอาบจะตอบว่า
        ที่หามาได้ก็เก็บไว้ให้ลูกนั่นแหล่ะ ลำพังตัวฉันจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ 
ห่วงก็แต่ลูกสาวกลัวจะลำบากถ้าไม่มีสมบัติอะไรทิ้งไว้ให้เลย ตอนที่ฉันไม่อยู่
ด้วยแล้ว
        ครั้นเมื่อจันทร์อายุได้ ๑๗ ปี ก็เริ่มรุ่นแตกเนื้อสาวด้วยความที่อายคน 
จึงไม่ได้ออกไปช่วยยายอาบขายของที่เรือเหมือนตอนเด็ก ซึ่งยายอาบไม่ได้
ว่าอะไร ด้วยตัวแกเองก็อยากให้ลูกเรียนหนังสือให้สูง ๆ มากกว่าที่จะมาช่วย
แกขายของ
        ในวันหนึ่งจันทร์พายเรือออกไปเที่ยวที่ตลาดเหมือนเคยทุกวัน ขณะที่
จันทร์เดินซื้อของก็เจอผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในร้านขายกาแฟ ด้วยความที่จันทร์
เป็นเด็กที่หน้าตาดี ชายคนนั้นจึงมองจันทร์ด้วยความสนใจ ซึ่งจันทร์เองก็มีท่าที
สนใจ เมื่อชายคนนั้นเข้ามาทักทายจึงทำให้จันทร์รู้ว่าเขามาจากกรุงเทพฯ มาหา
เพื่อนในละแวกนั้น จากนั้นจันทร์และชายคนนั้นก็เริ่มสนิทสนมไปมาหาสู่กัน
เป็นประจำโดยที่ยายอาบไม่เคยได้รู้เรื่องของจันทร์เลย
	
         ยายอาบยังคงพายเรือออกขายของอยู่เหมือนเดิม แต่ในวันบ่ายหนึ่งขณะ
ที่เมฆฝนเริ่มตั้งเค้าดำมืด ยายอาบเงยหน้ามองฟ้าแล้วจึงรีบเร่งฝีพายเพื่อกลับ
บ้านให้ทันก่อนที่ฝนจะตกลงมา เมื่อกลับไปถึงบ้านยายอาบร้องเรียกลูกสาวให้
มาช่วยแกเก็บข้าวของในเรือเหมือนอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้ไร้เงาของจันทร์
ออกมาช่วย ยายอาบจึงขึ้นไปบนบ้านไม่เห็นจันทร์จึงเดินลงมาตามหาข้างล่าง
แต่ไม่เจอ
          ยายอาบเดินไปถามเพื่อนข้างบ้านจึงได้ความว่า
          ฉันเห็นนังจันทร์มันถือกระเป๋าเสื้อผ้ารีบร้อนลงมาจากบ้าน แล้วก็นั่ง
รถออกไปกับผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกกับยายอาบ
           ยายอาบได้ฟังแล้วยืนนิ่งเหมือนหุ่น ชาไปตามร่างกาย เมฆฝนที่ตั้งเค้า
ดำมืดอยู่แล้วนั้นก็ได้ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ยายอาบรู้สึกเหมือนใจสั่น ขาสั่น 
วูบนั้นเองทุกอย่างในสายตาพลันดำมืดไปหมด แล้วร่างของยายอาบก็ล้มลง
กับพื้น 
            เมื่อเวลาผ่านไปยายอาบเริ่มแก่ตัวลงไปมาก จนออกพายเรือขายของ
ไม่ไหว เงินทองที่เคยเก็บหอมรอมริบสะสมไว้ก็เริ่มร่อยหรอไปทุกวัน แกได้
แต่นั่งซึมเศร้าหมดอาลัยกับชีวิต จะมีก็เพียงจดหมายฉบับเดียวที่จันทร์ส่งมา
ให้พร้อมรูปถ่ายของเธอที่พอให้ได้ชื่นใจเมื่อเห็น แต่ถึงกระนั้นทุกวันยายอาบ
จะนั่งอยู่หน้าบ้านคอยเฝ้ารอเวลาให้ลูกสาวคนเดียวของแกกลับคืนสู่อ้อมอก
            และในบ่ายวันหนึ่งจันทร์ก็ปรากฏตัวขึ้น ยายอาบเห็นเข้าก็กึ่งเดิน
กึ่งวิ่งปรี่เข้าไปหาตัวจันทร์ด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าลูกสาวของแกอีกครั้ง 
ยายอาบน้ำตารินไหลด้วยความปลื้มปิติ มือทั้งสองข้างของแกกอดตัวจันทร์
เอาไว้แน่นเหมือนจะไม่ให้หลุดลอยไปไหนอีก
            ส่วนจันทร์ไม่ได้มีทีท่าดีใจเมื่อได้เจอกับยายอาบสักเท่าไหร่นักเธอ
มาเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างเท่านั้น ยายอาบรีบพาลูกสาวขึ้นบ้านจัดแจง
หาข้าว หาน้ำมาให้จันทร์กินและทึกทักไปเองว่าลูกสาวของแกจะกลับมาอยู่
ด้วยกันกับแกอีกครั้ง
             ยายอาบนั่งเฝ้ามองลูกสาวที่กำลังกินข้าว  ด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจ
และหวนย้อนถึงวัน เก่า ๆ ที่แกนั่งเคยป้อนข้าวให้ลูกสาวซึ่งยังเป็นเด็กตัว
เล็ก ๆ 
             อิ่มไหมลูก 
             กินอีกนะ กินเยอะๆลูก ยายอาบคะยั้นคะยอลูกสาว
             อิ่มแล้วหรือลูก ประเดี๋ยวจะหิวนะ ยายอาบบอกด้วยความเป็นห่วง
             เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาให้นะลูก พูดจบยายอาบลุกขึ้นไปหยิบขันตักน้ำ
มาให้จันทร์
             จันทร์ยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไรและวางช้อนลงในจานรับน้ำจากแม่
มาดื่ม และจันทร์ก็เริ่มพูดถึงวัตถุประสงค์ในการมาของเธอครั้งนี้
             แม่....ที่นาของเรามีอยู่ทั้งหมด ๕ ไร่ใช่ไหม
             วันนี้ที่ฉันมา ฉันไม่ได้กลับมาอยู่บ้านกับแม่นะ แต่ฉันจะมาขอยืม
ที่ดินแม่ไปจำนองกับธนาคารไว้ก่อน ตอนนี้ธุรกิจที่ฉันทำอยู่มันมีปัญหาใน
เรื่องเงิน แล้วถ้ามันดีขึ้นเมื่อไหร่ ฉันจะไปไถ่คืนให้แม่แล้วกัน จันทร์บอก
ยายอาบ
             ยายอาบฟังแล้วรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ พูดไม่ออก
เมื่อได้ฟังคำพูดที่ออกจากปากลูกสาวสุดที่รักที่แกเฝ้าคอยให้กลับคืนสู่อ้อมอก
มานาน แต่เมื่อลูกเดือดร้อนก็ต้องให้ว่าแล้วยายอาบก็เดินไปหยิบโฉนดมา
ให้กับจันทร์
             หลังจากที่จันทร์ได้รับโฉนด จันทร์ก็บอกแม่ว่าจะกลับแล้ว เพราะตน
ยังมีธุระที่ต้องไปทำอีกเยอะ ยายอาบนั่งน้ำตาซึมและไม่นานน้ำตาก็เริ่มไหลริน 
ในใจยายอาบคิดว่าทำไมเวลาที่ได้อยู่กับลูกมันช่างแสนสั้นนัก แกอยากจะอยู่
และเห็นหน้าลูกให้นานกว่านี้ ให้สมกับที่แกเฝ้าคิดถึง และรอคอยการมาของ
ลูกอยู่เป็นเวลานาน
            ก่อนกลับจันทร์ไหว้ลาแม่และบอกว่าจะมาหาใหม่ถ้าเธอว่าง แล้วเธอก็
เดินลงจากบ้านไปโดยไม่ได้หันกลับมามองยายอาบที่กำลังเศร้าซึมยืนมอง
จันทร์เดินลับไปตรงบันไดบ้าน
เวลาผ่านไป ๒๐ ปี
            ที่กระท่อมมุงจากเล็กๆ ทุกวันยายอาบจะมานั่งอยู่ที่หน้าบ้านเพื่อรอคอย
การกลับมาของลูกสาวของแกอยู่เสมอเพื่อนบ้านหลายคนต่างสงสารและเป็นห่วง 
เนื่องจากยายอาบไม่เหลืออะไรแล้วที่ดินก็ถูกธนาคารยึดไป ลูกสาวคนเดียวของ
แกก็ไม่เคยกลับมาดูแลเลยตั้งแต่ที่ดินถูกยึดไปกระท่อมที่แกอยู่ก็เป็นที่ดินของ
เพื่อนบ้านที่ปลูกให้และแบ่งปันข้าวสารอาหารมาให้แกบ้างเท่านั้น
            ในเย็นวันหนึ่ง ยายอาบกำลังนั่งปอกลูกบวบใส่จานสังกะสีเสร็จแล้วจึง
แล้วเอื้อมมือใช้ทัพพีคนข้าวที่มีน้ำมากกว่าเมล็ดข้าวในหม้อที่เกรอะดำบูดเบี้ยว
บนเตา แกหย่อนชิ้นบวบใส่ลงในหม้อข้าวที่กำลังเดือดปุด ปุด และเดินไปหยิบ
ชามใส่น้ำปลาผสมพริกป่นติดอยู่ก้นถ้วยที่เหลือจากเมื่อวาน
            ยายอาบนั่งลงใช้ช้อนสังกะสีคนในชามข้าวที่มีควันสีขาวลอยกรุ่นขึ้นมา
จากไอของความร้อน ค่อยๆ ตักเข้าปากกลืนลงคออย่างกล้ำกลืน ดวงตาของยาย
อาบเริ่มฝ้าฝาง แต่ภายในแววตาที่ลึกลงไปแกซ่อนความ เงียบเหงา อ้างว้าง 
ขมขื่นเอาไว้โดยที่ไม่มีใครรู้เลย น้ำใสๆ เริ่มเกาะปริ่มอยู่ตามขอบตาและพร้อม
ที่จะรินไหลได้ทุกเมื่อ
           หลังจากกินข้าวและจุดตะเกียงเสร็จ  ยายอาบเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
หนาวสั่นเหมือนจะจับไข้ เพื่อนบ้านที่ไม่เห็นยายอาบออกมานั่งหน้าบ้านเหมือน
อย่างทุกวันจึงเดินไปดูเห็นยายอาบนอนซมเพราะพิษไข้จึงปันยามาให้และ
บอกว่าพรุ่งนี้จะเดินมาดูอาการใหม่  ยายอาบรับยามากินแล้วล้มตัวลงนอนและ
ไม่ลืมที่จะหยิบรูปจันทร์ขึ้นมาดูก่อนหลับไป สายลมเย็นเอื่อยที่พัดผ่านเข้ามาทาง
หน้าต่าง ทำให้แสงที่ตะเกียงเริ่มดับลงอย่างช้า ๆ 
           ในวันเดียวกันกับที่ยายอาบไม่สบายนั้นเอง จันทร์ได้ไปทำบุญที่วัดกับ
สามีและลูกชายวัย ๑๐ ขวบของเธอ เมื่อจันทร์ได้ถวายเครื่องอัฐบริขารกับหลวง
พ่อเสร็จแล้ว หลวงพ่อจึงเอ่ยถามจันทร์ว่าเด็กคนนั้นลูกชายจันทร์หรือเปล่า 
จันทร์ตอบหลวงพ่อว่าใช่พร้อมให้ลูกชายก้มลงกราบหลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
           เจริญพรเถอะโยม เด็กคนนี้ท่าทางลักษณะดี โตขึ้นแล้วคงเป็นที่พึ่ง
เลี้ยงดูพ่อกับแม่ได้ เจ้าหนุ่มโตขึ้น....เจ้าจะต้องดูแลพ่อแม่เพื่อตอบแทนพระคุณ
ของท่านอย่าลืมเสียตั้งแต่ยังเด็กหล่ะ
            คนเราสมัยนี้ยึดติดกับวัตถุเสียมากกว่าจิตใจ พยายามดิ้นรนที่จะหา
เงินมาให้ได้มากเข้าไว้ทั้งนั้น คิดกันว่าเงินจะหาซื้อความสุขให้กับตัวเองได้ 
ต่างพากันเที่ยวมองหาซื้อความสุขไปทั่ว แต่ความสุขแท้จริงกลับไม่มอง 
            ความสุขแท้จริงคืออะไร  คือความสุขที่เราสามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุข 
เมื่อเราสามารถเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดีในสังคมได้ เราก็เป็นสุข ลูกเราก็
เป็นสุข  เมื่อเราสามารถตอบแทนพระคุณพ่อแม่ในยามชราหรือดูแลยามเจ็บไข้
ได้ป่วยได้เป็นอย่างดี เราก็เป็นสุข พ่อแม่ก็มีความสุข 
            มนุษย์เราไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามดิ้นรนในการหาเงินอย่างมากมาย  
เพื่อไว้ซื้อหาความสุขไม่แท้เหล่านั้นเลย เมื่อตัวเราเองทำชีวิตให้มีความสุขคน
รอบข้างเราก็จะมีความสุขไป ด้วย เพียงแต่เราละเลยหรือมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป 
ชีวิตเป็นอนิจจังสังขารไม่เที่ยงนะโยม หลวงพ่อเทศนาจบก็ลาญาติโยมไปทำ
กิจอื่น
            จันทร์นั่งฟังหลวงพ่อเทศน์จบแล้วน้ำตาก็เริ่มซึม ทำให้เธอนึกถึงแม่ที่
ละเลยไม่ได้ไปดูแลมาตลอด ๒๐ ปีหลังจากที่ไปเอาที่ดินของแม่มาวันนั้น
จันทร์ตัดสินใจที่จะกลับไปเยี่ยมแม่ของเธอ
            เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนบ้านเดินไปดูอาการของยายอาบและหยิบเอายามา
ด้วย เมื่อตะโกนเรียกไม่มีเสียงตอบรับจากยายอาบจึงเดินขึ้นไปบนบ้านเห็น
ร่างของยายอาบนอนตัวซีด จึงเอื้อมมือไปจับขาของยายอาบเขย่าเรียกเบา ๆ
แต่ปราศจากความเคลื่อนไหว ร่างนั้นยังคงนอนหลับตาพริ้ม เนื้อที่ขาของ
ยายอาบนั้นเย็นเฉียบและแข็ง จนทำให้เพื่อนบ้านรีบปล่อยมือออกและเอา
มือไปอังไว้กับจมูกยายอาบ ซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว
            ชาวบ้านทุกคนที่ได้ยินข่าวต่างมายืนห้อมล้อมศพของยายอาบ และช่วย
กันนำร่างของยายอาบไปไว้ที่ศาลาวัด ในขณะเดียวกันจันทร์ก็เดินทางมาเพื่อ
เยี่ยมยายอาบแต่ไม่เห็นบ้านของยายอาบที่เคยอยู่เดิม จึงเดินไปถามเพื่อนบ้าน
ว่ายายอาบย้ายไปไหน และเธอก็ได้คำตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจว่ายาย
อาบอยู่ที่วัด จันทร์นึกไปเองว่าแม่คงไปทำบุญที่วัด เธอจึงเดินตามไปที่วัดทันที
        เมื่อจันทร์ไปถึงศาลาวัด  ชาวบ้านทุกคนหันมามองเธอเป็นสายตาเดียวกัน 
เธอมองเห็นร่างหนึ่งมีผ้าขาวคลุมร่างเอาไว้ เธอเดินเข้าไปแล้วถามว่าใครเป็น
อะไร แต่ไร้ซึ่งเสียงของชาวบ้านมีเพียงสายตาที่จ้องมองเธออย่างชิงชัง จันทร์
เดินเข้าไปค่อย ๆ เอามือไปเปิดผ้าคลุมออกและสิ่งที่เธอไม่อยากจะเชื่อก็เกิดขึ้น
         ร่างที่ไร้วิญญาณของแม่นอนหลับตาอย่างสงบนิ่ง ซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งความรู้สึก
ใด ๆ เธอได้รับการบอกเล่าจากชาวบ้านว่าตอนขึ้นไปเจอยายอาบนอนตายนั้น 
ในมือของยายอาบยังถือรูปถ่ายของเธอไว้ด้วย จันทร์ได้ฟังน้ำตาก็ไหลรินออกมา
จากสองตารินรดสองข้างแก้มอย่างไม่ขาดสาย 
         เธอทรุดตัวลงแล้วก้มตัวช้อนร่างที่ไร้ความรู้สึกของแม่ขึ้นมากอดไว้ ร่างที่
ไม่สามารถโอบกอด พูดคุย  ยิ้ม หัวเราะ หรือบอกกับเธอว่าแม่รักลูกได้อีกต่อไป  
แล้วหลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มพรั่งพรูออกมาจากความคิดของเธอ ภาพของแม่ที่
อุ้มเธอมานั่งตักป้อนข้าวที่หน้าบ้าน แม่ที่คอยร้องเพลงเห่กล่อมเธอให้นอนหลับ
ฝันดี  แม่ที่คอยปลอบประโลมเธอในยามที่เธอร้องไห้ แม่ที่คอยหุงหาอาหารให้
เธอได้กิน  แม่ที่ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อให้เธอได้มีความสุข 
         ต่อไปนี้ไม่มีแม่ที่คอยรักและห่วงใยเธออีกต่อไป  ความรู้สึกของจันทร์มี
แต่ความสูญเสียเข้ามาเกาะกุมจิตใจของเธอ  แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะกลับไป
แก้ไขอะไรได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว
        ตะเกียงถูกจุดขึ้นอีกครั้งในมือของจันทร์ที่กำลังเดินนำหน้าชายสี่คนที่
ช่วยกันแบกโลง  ยายอาบเคลื่อนไปบนทางเดินรอบเมรุ แล้วโลงของยายอาบ
ก็ถูกนำไปวางไว้ในช่องเผาศพบนเมรุ ในขณะนั้น ไม่มีเสียงพูดคุยอะไรเลย
มีเพียงเสียงของจันทร์ได้แต่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญปริ่มเจียนขาดใจ 
เมื่อเห็นสัปเหร่อกำลังจุดไฟเผาโลงที่ภายในบรรจุร่างของยายอาบ
         ชาวบ้านต่างทยอยนำดอกไม้จันทน์เพื่อร่วมเผาร่างของยายอาบเป็น
ครั้งสุดท้าย
         ฉับพลันนั้นก็มีเสียงหนึ่ง ดังแทรกขึ้นมาจากกลุ่มของชาวบ้าน
       เวลาที่เขามีชีวิตอยู่ไม่เคยมาดูแล พอเขาตายจะมายืนร้องไห้คร่ำครวญทำ
พระแสงอะไร
	
                                                 .. The end ..				
comments powered by Disqus
  • แมงกุ๊ดจี่

    29 กันยายน 2548 16:40 น. - comment id 86961

    สวัสดีค่ะ   
    
    เศร้าจังนะค่ะ  
    มะกรูดก็เคยคิดว่าตัวเองทำผิดกับแม่...
    เพราะมะกรูดทิ้งท่านให้เหงา...
    แต่เมื่อท่านล้มป่วย...มะกรูดพอมีโอกาสได้ดูแลท่านบ้าง...นี่คือความภูมิใจ...ที่ทำได้...
    *ไม่มีฉันแล้วพวกแกจะรู้สึก*
    ฉันรู้ซึ้งดี  ว่าเมื่อไม่แม่แล้วมันรู้สึกอย่างไร..
    แม่จากฉันไป...จะสามปีแล้ว   แต่แม่อยู่ในใจฉันเสมอ....
    
    หากแต่...ย้อนเวลากลับได้   ฉันอยากอยู่กับแม่ตลอดไป...

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน