จานกระเบื้องขลิบทองใบหรู ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนโต๊ะรับประทานอาหารโดยรอบบนตัวจานมีลวดลาย ที่ผู้ชำนาญการค่อย ๆ บรรจงจรดพู่กัน แต่งแต้มสีวาดประดิดประดอยขึ้นเป็นรูปดอกไม้ดอกเล็กๆ สีม่วงโศกแล้ว เรียงร้อยพิถีพิถันให้เข้ากันเป็นช่อพันเลื้อยรอบตัวพลิ้วไหวอย่างวิจิตรงามงดประดุจราวดอกไม้นั้นเป็นเสมือนของจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติดูแล้วสดชื่น นิ่มนวล อ่อนหวานในคราวเดียวกัน ส่วนขอบจานถูกเคลือบเข้าด้วยทองคำ ส่องแสงแวววาววิบวับอร่ามตา ดูเหมาะสมกับฐานะของผู้ที่ซื้อหาไปใช้ จานใบนี้เป็นส่วนหนึ่งในอีกหลาย ๆใบของจานชามชุดใหญ่ที่บรรดาผู้มั่งคั่งร่ำรวยเป็นเศรษฐีมีอันจะกิน สั่งนำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศ ราคาก็สุดแสนแพงระยับจับทรวง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นที่สะทกสะท้านสำหรับพวกเขาสักเท่าใด เป็นเพียงแค่เงินส่วนน้อยนิดที่ไว้ซื้อหาใช้จ่ายของที่ดูดีมีระดับมา เพื่อตกแต่งบนโต๊ะเวลาทานอาหารจะได้ดูเป็นที่เจริญหูเจริญตาหรือมีไว้ใช้ อวดโฉมรับรองแขกที่มาเยี่ยมเยือนเพื่อโชว์ฐานะของเจ้าของบ้านนั้นๆ แต่สำหรับคนทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ คงไม่ต้องพูดถึงไม่เคยแม้กระทั่ง ได้เห็นและลองสัมผัส ณ บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งโดยรอบของรั้วมีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง ขนาดของตัวบ้านแลดูใหญ่โต ตั้งเด่นตระหง่าน สง่างาม เป็นที่สะดุดตาของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาในละแวกนั้นบริเวณใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศ เมืองที่ขึ้นชื่อลือเลื่องว่าเป็นดินแดนศิวิไลซ์เจริญรุ่งเรือง พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกอย่างมากด้านหลายประการในยุคโลกาภิวัฒน์ จนทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลทั่วทุกสารทิศต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาเพื่อเผชิญโชคแสวงหางานทำในเมืองหลวงแห่งนี้ บางคนต้องลาจากถิ่นที่อยู่อาศัย ลาจากพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมียที่รัก เมื่อเข้ามาแล้วต่างคนต่างต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนหาหนทางเพื่อเลี้ยงชีพ ด้วยความหวังเพียงว่าชีวิตของพวกเขาคงจะดีขึ้นกว่าถิ่นอยู่อาศัยเดิมที่ตนต้องจำใจลาจากมา เพล้ง......!!!! เสียงของจานที่เคยงดงามแสนสวยหรู ราคาแพงระยับใบนั้น ดังก้องขึ้น ท่าทางกระงกกระเงิ่นของหญิงสาวคนหนึ่งต้องหยุดชะงักจากสิ่งที่ทำอยู่ หลังจากเสียงนั้นสิ้นสุดลง เธอหยุดยืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด ตอนนี้เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่เริ่มแผ่ซ่านผ่านเข้าเกาะกุมหัวใจแล้วค่อยๆ ขยายไปทั่วทุกขุมขนตาม ร่างกายเธอ แม้ในขณะนั้นจะไม่มีสายลมวูบใดพัดผ่านเข้ามาปะทะร่าง แต่ก็ทำให้เธอถึงกับสั่นสะท้าน จนหมดเรี่ยวแรงที่จะยืนอีกต่อไป เธอทรุดตัวลงนั่งบนพื้น จ้องมองดูจานใบงามแสนหรูที่เผลอทำมันหลุดจากมือเมื่อสักครู่ บัดนี้มันได้ร่วงหล่นลงกระทบสู่พื้นตกแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยของมันกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นไปทั่ว มองดูเป็นการยากที่จะนำกลับมาต่อให้ใช้งานและสวยงามได้เหมือนเดิม มันดูหมดค่าและหมดราคาไปในเพียงพริบตาเดียว เธอนั่งมองมันอย่างคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต แววตาที่หมองเศร้าฉายอยู่บนใบหน้าอันแห้งกร้านหมองคล้ำ มือเล็กๆ ของเธอที่แห้งหยาบกร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยของแผลเป็น เผยให้เห็นถึงการตรากตรำทำงานผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างหนักหน่วง ทั้งที่อายุของเธอในตอนนี้เพียงแค่ยี่สิบสองปีเท่านั้น และฉับพลันแววตาที่เหม่อลอยก็เริ่มเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาที่เหลือกลาน หวาดผวา หวั่นกลัวกับอะไรบางอย่างจนเห็นได้ชัด แล้วเหงื่อกาฬเม็ดใหญ่ก็เริ่มทยอยผุดขึ้นออกมาจนท่วมท้นบนใบหน้า เธอเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย เถลือกถลนเอื้อมมือไปเก็บเศษชิ้นส่วนของจานขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ ซึ่งในตอนนี้ตัวเธอเองไม่สามารถบังคับควบคุมมือให้มันเป็นปรกติได้ สองมือน้อยเริ่มสั่นเทาขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความรีบร้อนเศษจานแตกทีแหลมคมทำให้มันบาดลึก เข้าไปในมือของเธอ พลันเลือดสีแดงข้นก็เริ่มไหลทะลักจากรอยแยกของเนื้อแล้วไหลย้อยออกมาตามอุ้งมือเล็ก ๆ แต่ในตอนนั้นเธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดที่มือแต่อย่างใด เธอกังวลอยู่กับการเก็บเศษชิ้นส่วน ของจานใบหรูทิ้งให้หมดไปโดยเร็วเท่านั้น ในขณะที่เลือดจากมือก็ยังคงไหล นองหยดลงสู่พื้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แล้วสิ่งที่เธอหวั่นวิตก และหวาดกลัวมาโดยตลอดนั้น ก็ปรากฏมาตามเสียง นังดวง แกทำอะไรของฉันตกแตกอีกแล้ว เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น เจ้าของเสียงที่กำลังเดินมา หล่อนมีรูปร่างค่อนข้างอ้วนท้วน ผิวขาว แต่งหน้าสีฉูดฉาดเข้มจัดมาพร้อมด้วยเสียงก่นด่าดังโหวกแหวก เธอเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นจนติดปากมาตลอดว่า คุณนาย หลังจากที่คุณนายเดินเข้ามาถึงมองเห็นเศษของจานชุดโปรดที่ตัวเองสั่งซื้อโดยตรงมาจากเมืองนอก ซึ่งในตอนนี้มันได้ตกแตกเกลื่อนผสมปนกับกองหยดเลือดที่ละเลงนองอยู่บนพื้นอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วเสียงของคุณนายก็บ่นพึมพำคร่ำครวญขึ้น หมด..หมดกัน..จานเนื้อดีชุดหรู ราคาแพงจากเมืองนอกของฉัน ก่อนที่คุณนายจะเดินมาถึงตัวเธอน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดของคุณนายก็ดังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นังดวง...แกทำของตกแตกอีกแล้วใช่มั๊ย คุณนายตวาดถามเธอ ค่ะ...ค่ะ...คุณนาย... เธอตะกุกตะกักตอบคุณนายด้วยน้ำเสียงกระเส่าดังอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ ร่างของเธอเริ่มสั่นเทาขึ้นด้วยความหวาดกลัว ในตอนนี้เธอเหมือนกับกระต่ายตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าราชสีห์ซึ่งพร้อมที่จะใช้กรงเล็บอันคมกริบตะครุบกัดกินเหยื่ออันเป็นอาหารสุดโอชะ เธอตอบแล้วก้มหน้านิ่งมองดูเลือดในมือที่ยังไม่หยุดไหล และเศษของจานชิ้นหนึ่งที่ยังกำอยู่ในมือเธอ ฉันจะทำยังไงกับแกดีนังดวง นี่มันกี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่แกทำของแตกเสียหาย เมื่อไหร่แกจะหายโง่เสียที...นังดวง แกนี่มันเป็นตัวซวย...เป็นตัวอัปมงคลของบ้านนี้จริง ๆ ข้าวของราคาแพงของฉันถูกแกทำเสียหายพังย่อยยับป่นปี้คามือแกไปหมด คุณนายเริ่มพรั่งพรูคำผรุสวาทคำแล้วคำเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหลมและฉุนเฉียวกว่าเก่า และสิ่งที่เธอต้องจดจำไปได้อีกนานแสนนานในชีวิตก็เกิดขึ้น หลังจากที่สิ้นเสียงคำพูดของคุณนาย ในวินาทีนั้นเอง มือข้างหนึ่งของคุณนายซึ่งอวบอูมดึงจิกกระชากเข้าที่ผมของเธออย่างแรงพร้อมลากร่างที่เล็กแคระแกร็นผอมแห้งของเธอถูลู่ถูกังปลิวขึ้นตามแรงมือไปในทันที ส่วนอีกมือหนึ่งก็คว้าไม้ขนาดเขื่องที่วางอยู่ใกล้ ๆ นั้นติดมือมาด้วย แกมานี่...นังดวง...วันนี้ฉันต้องให้แกชดใช้ในสิ่งที่แกทำไป..ให้สาสมกว่าที่แล้วมา มือของคุณนายที่ดึงกระชากผมแล้วลากเธอออกไปตามทางเดินนอกห้องครัว และเหวี่ยงจนร่างเธอเซถลากลิ้งกระเด็นไปนอนขดตัวอยู่บริเวณส่วนกลางของบ้าน ร่างของคุณนายที่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธจัด หน้าตาถมึงทึงจ้องหน้าเธอเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ เพราะความเสียดายจานหรูใบนั้น ตอนนี้คุณนายไม่ได้สนใจมือของเธอที่เลือดกำลังหลั่งไหลออกมาคุณนายเดินตรงเข้าไปจิกผมของเธออีกครั้ง คราวนี้คุณนายจับอย่างถนัดแล้วฝ่ามือ ก็เหวี่ยงเข้ามากระทบบนใบหน้าของเธออย่างเต็มเหยียดจนเห็นเป็นปื้นรอยของฝ่ามือจาง ๆ และอีกหลายครั้งที่คุณนายใช้ฝ่ามือและเริ่มเปลี่ยนมาเป็นไม้ขนาดเขื่องที่หยิบติดมือมาตีกระหน่ำถั่งโถมลงบนใบหน้าและบนตัวอันหยาบคล้ำของเด็กสาวอย่างไม่ปรานีปราศรัย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนกระทั่งคุณนายเริ่มเหนื่อยหอบจึงหยุด และเดินไปนั่งทรุดบนโซฟาที่นุ่มบุด้วยพรมกำมะหยี่ ลวดลายลูกไม้สีทองอย่างดี ส่วนเธอค่อย ๆ ใช้มือยันกายลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดรวดร้าวก็ได้ประดังเข้ามาที่ศีรษะและตามใบหน้าของเธอ มันวิ่งแล่นแผ่ซ่านซึมไปทั่วร่างกาย หยดน้ำใสๆ จากสองตาก็เริ่มเอ่อล้นไหลแข่งกับเลือดที่ออกมาจากมืออย่างไม่ขาดสายเช่นเดียวกัน ในมือของเธอยังคงกำเศษจานที่แตกมาโดยตลอด รอยแยกของเนื้อที่ปริเปิดกว้างมากขึ้นเลือดเริ่มไหลทะลักนองออกมาอย่างท้วมท้นอีกครั้ง เธอกำเศษจานในมือของเธอแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นอีกรอยบาดแผลขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดกับมือ แต่ทว่ามันกลับบาดเป็นรอยร้าวลึกลงในหัวใจของเธอนั่นเอง หลังจากที่คุณนายหายหอบเหนื่อยแล้วก็ไล่ให้เธอไปเสียให้พ้นหูพ้นตา พร้อมกับกำชับให้เธอทำความสะอาดรอยคราบเลือดที่อยู่บนพื้นให้สะอาดอย่าทำให้ข้าวของเธอต้องเสียหายเปรอะเปื้อน เลอะเทอะอีก เธอไม่กล้าแม้จะสบตาขึ้นมองหน้าคุณนาย เมื่อคุณนายพูดจบแล้ว เธอค่อยๆ ลุกขึ้นเดินพยุงร่างกายที่ปวดร้าวและเจ็บช้ำเข้าไปในห้องครัว ทรุดตัวนั่งลงอย่างหมดแรง เธอคลายมือเอาเศษจานที่แตกออกจากมือ แล้วใช้ปลายของผ้านุ่ง สีขมุกขมัวถูเช็ดเลือดตามมือซึ่งยังไหลออกมาไม่หยุดหย่อน และมันก็เริ่มเหนียวเหนอะหนะเช็ดลำบากมากขึ้น เธอก้มมองดูผ้าถุงผืนนี้ที่แม่ให้เธอไว้ก่อนที่แม่จะกลับบ้านไป พร้อมทั้งกำชับเธอว่า เจ้านายบ้านนี้เขาร่ำรวยมาก ให้เธอทำตัวดี ๆ เขาเรียกใช้อะไรก็ต้องทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย เจ้านายจะได้รักและเอ็นดูเพื่อจะได้มีเงินเหลือส่งกลับไปบ้าน ให้พ่อแม่น้องได้อยู่กันอย่างสบายขึ้นไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อน แล้วน้ำตาเธอก็เอ่อรินไหลอีกครั้ง เธออยากจะบอกกับแม่เหลือเกินว่าสิ่งที่เธอเจอนั้นมันต่างจากที่แม่บอกอย่างมากมายเปรียบราวฟ้ากับนรก เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นไปเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างคราบเลือด แววตาของเธอมองดูเลือดที่ไหลรินปนตามสายน้ำมันช่างเจือจางเหมือนกับสิ่งที่แม่บอกเธอเหลือเกิน เธอทำแผลให้ตัวเองอย่างทุลักทุเลด้วยมือเพียงข้างเดียว เมื่อจัดการกับแผลที่มือเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอทำความสะอาดพื้นห้องครัวเก็บชิ้นส่วนของเศษจานที่เหลือ และบริเวณกลางบ้านให้สะอาดตามที่คุณนายสั่ง ฟ้าเริ่มมืดลง แต่แสงของตะวันสีแดงเข้มยังคงจับอยู่กับขอบฟ้าดวงอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนตัวลง ลาลับไป แสงของดวงจันทร์สีนวลกระจ่างเริ่มทำหน้าที่ส่องสว่างในคืนที่มืดมนไร้ซึ่งแสงแพรวพราวของเหล่าหมู่ดาว ค่ำคืนนี้เธอยังไม่เข้านอนและนั่งเหม่อมองดวงจันทร์อยู่ข้างหน้าต่างแววตาเต็มไปด้วยความปวดร้าวขมขื่นที่เกิดขึ้นวันนี้ น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อล้นไหลรินอาบสองข้างแก้มของเธออีกครั้ง แม่ของเธอจะรู้ไหมว่าลูกสาวของแม่คนนี้กำลังเผชิญชะตากรรมอันแสนโหดร้ายของคนร่ำรวยในเมืองใหญ่ ในตอนเธออยากรู้เหลือเกินว่าที่บ้านของเธอเป็นอย่างไรกันบ้าง หากในวันนี้เธอยังอยู่ที่บ้านกับครอบครัว เธอคงมีความสุขตามอัตภาพที่เป็นอยู่ ในคืนที่เงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพเสียงใด ๆ เธอนั่งรำพึงรำพันในใจคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในอดีตของเธอ - @ - ยามเช้าในหมู่บ้านเล็ก ๆ จังหวัดหนึ่ง ซึ่งมีระยะทางที่ห่างไกลกรุงเทพฯ เมืองกรุงใหญ่ ดวงตะวันดวงกลมโตโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าก็เริ่มส่องแสงสีส้มเรื่อเรืองประกายสีทอง ตัดกับสีขาวของสายหมอกที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ เสียงร้องของนกดุเหว่าและนกชนิดอื่นที่เริ่มออกหากินดังขึ้นเป็นระยะส่งสัญญาณบ่งบอกให้ผู้คนรู้กันว่าถึงเวลาเช้าแล้ว ดอกหญ้าสีขาวพลิ้วไหวโอนอ่อนลู่ตามแรงลมอยู่ตามสองฟากทางคันนา ส่วนในท้องทุ่งที่ชาวบ้านพากันหว่านเมล็ดข้าวไว้ช่วงต้นฝน ตอนนี้แตกยอดโตขึ้นเป็นสีเขียวขจีที่กำลังอ่อนลู่ตามกระแสลมกว้างไกลสุดสายตา ขณะที่หยดของน้ำค้างเล็ก ๆ ในยามค่ำคืนยังคงเกาะพราวตามใบรวงข้าวอยู่ บรรยากาศตอนเช้าที่บ้านเดิมในครอบครัวของเธอ แม่มักจะง่วนอยู่ในครัว ข้าวที่อยู่ตั้งอยู่บนเตาถ่านในหม้อดินกำลังเดือดพล่าน พ่นเสียงดังปุด ปุด ตอนนี้น้ำข้าวเริ่มส่งกลิ่นหอมโชยฟุ้ง สักพักแม่ก็จัดการรินน้ำข้าวออกจากหม้อ ดงข้าวให้ทั่วแล้วยกขึ้นตั้งบนเตาอีกครั้งเพื่อให้ข้าวระอุสุกทั่วกัน จากนั้นก็ตระเตรียมกับและข้าวใส่ห่อสำหรับไปกินที่ทุ่งนา กับข้าวที่เธอกินอยู่ทุกวันคงจะหนีไม่พ้น น้ำพริกทุกชนิดรสชาติจัดจ้านฝีมือของแม่ที่คนในครอบครัวเธอกินกันอย่างเอร็ดอร่อยคุ้นลิ้นมานานและกินได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ผักเคียงจิ้มเป็นผักบุ้งยอดอวบงามขึ้นอยู่ตามริมคลองที่แม่มักจะเก็บติดมือก่อนกลับมาบ้านเสมอ อีกทั้งยอดฟักทองสีเขียวอ่อนที่แตกยอดไต่เลื้อยบนพื้นดิน แตงกวา มะเขือเปราะลูกงาม ๆ เก็บจากหลังบ้านที่พ่อปลูกไว้ ในบางวันแม่ก็จะทำแกงปลาแห้งใส่ยอดผักหวานให้ได้ลิ้มลอง ส่วนพ่อหลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก็เริ่มหยิบอุปกรณ์ที่ต้องนำติดตัวไปทำนา จอบวางพิงเตรียมไว้ที่โคนเสาสำหรับถางหญ้าที่ขึ้นตามสองข้างคันนา หมวกงอบสานที่ใช้งานจนเก่าแห้งกรอบสองใบแขวนไว้ใต้ถุนบ้าน หลังจากนั้นพ่อจะหยิบกระติกตักน้ำฝนจากตุ่มเย็นชื่นใจใส่จนเต็ม และไม่ลืมจะเอาเจ้าบุญหลายควายเพศผู้ที่มีอยู่เพียงตัวเดียวของบ้านที่พ่อจะต้องจูงไปนาด้วยทุกครั้งให้มันได้ออกไปแทะเล็มกินหญ้าลงแช่ตัวตามปลักโคลนเลนเพื่อคลายร้อนในท้องทุ่งตามประสาของมัน เพียงครู่เดียวหลังจากที่ครอบครัวของเธอเจ็ดคนกินข้าวเป็นที่เรียบร้อย ต่างทยอยเดินเรียงแถวกันออกไปทำนาพ่อเดินนำหน้าในมือจูงเชือกเจ้าบุญหลาย แม่เดินตามหลังพร้อมกระติกน้ำ ส่วนด้านหลังแม่คือน้องๆ อีก 4 คนที่ช่วยกันถือห่ออาหาร เธอเป็นพี่สาวคนโตเดินถือจอบตามหลังน้องของเธออยู่ ห่าง ๆ ช่วงชีวิตวัยเยาว์เธอไม่ได้สนุกสนานวิ่งเล่นหยอกล้อซุกซนกับเพื่อนเหมือนเด็กคนอื่น เธอต้องช่วยพ่อกับแม่ทำนากับช่วยแม่ดูแลน้องๆที่มักวิ่งซนไปตามประสาเด็ก ยามที่ฟ้าเริ่มยอแสงเย็นลงพ่อกับแม่ต่างชวนกันกลับบ้าน วันไหนที่พวกเธออยากกินปลา พ่อจะติดเอาแหมาด้วยและจะแวะทอดแหตรงชายคลองตามทางเดินก่อนถึงบ้าน ซึ่งปลาที่ได้จะพวกปลาตะเพียน และปลากระดี่เสียเป็นส่วนใหญ่ ในบางวันพ่อจะเอาสุ่มเพื่อไปจับปลาช่อนตัวเขื่องที่อยู่ตามท้องนาใส่ข้อง และจะให้แม่จะเป็นคนจูงบุญหลายกลับบ้านพร้อมลูก ๆ ก่อนเพื่อเตรียมทำอาหารเย็น หลังจากที่พ่อกลับถึงบ้านและได้ปลามาเต็มข้องแล้ว แม่กับเธอจะช่วยกันลงมือขอดเกล็ดปลาล้างทำความสะอาด แล่ตัวปลามาคลุกเคล้ากับเกลือป่นวางเรียงกันบนกระด้งผึ่งลมไว้ในบ้าน รอวันรุ่งขึ้นเธอจะเอาออกไปตากแดดเพื่อที่จะได้มีปลาตากแห้งเก็บไว้กินกันได้นาน ๆ ในเวลาที่ฟ้ามืดสนิทลงอย่างนี้ ที่บ้านเธอจะจุดตะเกียงเจ้าพายุที่ส่องแสงสว่างอย่างเพียงพอสำหรับคนในบ้าน พ่อของเธอจะชอบมวนยาสูบนั่งตากลมพ่นควันโขมงอยู่ที่ริมระเบียงบ้านอย่างอารมณ์ดี และคอยเฝ้าดูกองไฟที่จุดสุมไล่แมลงให้กับเจ้าบุญหลายหน้าคอกด้านล่างของบ้าน แม่ก็จะนั่งอยู่ใกล้กับตะเกียงเย็บชุนซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ขาดของคนในครอบครัว ส่วนน้อง ๆ ก็เริ่มทยอยหลับ อยู่ในมุ้งขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ส่วนเธอจะรอจนกว่าแม่จะเย็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วค่อยเข้านอน เวลาผ่านไปรวงข้าวที่แก่จนเป็นสีเหลืองทองเปล่งอร่ามอยู่ทั่วทุ่งนารอเพียงแค่การเก็บเกี่ยว เพื่อส่งไปขายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อข้าวถึงโรงสีพ่อมัก บ่นกับแม่ให้เธอได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าข้าวที่ขาย ไม่ค่อยได้ราคา ถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาจนแทบจะไม่เหลือกำรี้กำไรในการทำนาเลย แต่พ่อกับแม่ก็ยังคงทำนากันเรื่อยมาอีกหลายปี แต่มีอยู่ปีหนึ่งที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจแล้งต่อเนื่องไม่ยอมตกลงมา ผืนดินที่เคยเขียวชอุ่มอุดมไปด้วยน้ำก็เริ่มแตกระแหงออกเป็นร่องๆ ปลาที่เคยหากินได้ตามคลองก็เริ่มที่จะไม่มี เพราะน้ำที่เคยเต็มตลิ่งเริ่มแห้งขอด พืชพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์ก็เริ่มแห้งเฉาตายลงไป เรื่อย ๆ พ่อของเธอเริ่มที่จะคิดหาหนทางเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว พ่อคิดว่าถ้าปล่อยอยู่อย่างนี้เรื่อยไปคงอดตายทั้งครอบครัว หลังจากวันนั้นพ่อกับแม่ก็พาครอบครัวของเธอทั้งหมดทิ้งบ้าน ออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองที่พ่อกับแม่คิดว่าคงทำให้ชีวิตของครอบครัวดีขึ้น เมื่อมาถึงพ่อกับแม่ได้งานเป็นกรรมกรก่อสร้างบ้านในย่านหนึ่ง ส่วนเธอก็ช่วยทำงานด้วยการขนอิฐ ขนทราย ผสมปูนบ้าง สุดแล้วแต่หัวหน้างานจะสั่งให้เธอทำ ส่วนค่าแรงก็ถูกนายจ้างกดรวมกันสามคนเหลือไม่ถึงสามร้อยบาท ซึ่งพ่อแม่และเธอก็ต้องจำยอมทนทำไป ครั้นที่จะกลับไปบ้านเก่าก็ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ เพียงความแห้งแล้งรออยู่เท่านั้น เธออดทน ตรากตรำ ทำงานอย่างหนักเรื่อยมา จนกระทั่งงานก่อสร้างในหมู่บ้านเสร็จเรียบร้อยคนงานคนอื่น ๆ เริ่มทยอยเดินทางกลับถิ่นบ้านเกิดบ้าง บางคนก็เสาะหางานก่อสร้างบ้านใหม่ที่ตอนนี้เริ่มทยอยผุดขึ้นกันเหมือนดอกเห็ด ส่วนพ่อกับแม่ของเธอตัดสินใจกลับบ้าน แต่ก่อนจะกลับแม่ได้ฝากเธอให้เข้าทำงานที่บ้านหลังใหญ่ ซึ่งมีเพื่อนคนงานมาบอกกับแม่ของเธอว่าบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน อยากได้เด็กทำงานบ้าน กินอยู่อย่างสบาย มีเงินเดือนให้ใช้ แม่จึงพาเธอไปที่บ้านหลังนั้นทันที เมื่อเธอกับแม่เข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ร่างของคุณนายก็เดินนวยนาดเข้ามานั่งบนโซฟากลางบ้านพร้อมกับปรายตามองดูพวกเธอที่นั่งบนพื้นอย่าง เหยียด ๆ แล้วจากนั้นก็เริ่มซักถามว่าเป็นใครมาจากไหน ซึ่งตัวเธอเองไม่ได้สนใจฟังในสิ่งที่แม่เธอพินอบพิเทาตอบคุณนายเท่าไหร่นัก เพราะมัวแต่มองสิ่ง ที่หรูหราภายในบ้านอย่างที่เธอไม่เคยเห็น สักพักแม่ของเธอก็สะกิดให้เธอไหว้คุณนาย และหันมากำชับเธอถึงสิ่งที่จะต้องทำ แม่พูดจบแล้วก็ขอตัวลาคุณนายกลับบ้าน ก่อนกลับที่แม่จะกลับเธอเดินไปส่งแม่ที่ประตูใหญ่ด้านหน้าของบ้าน แม่วางกระเป๋าลงใช้มือควานหาของอะไรบางอย่าง แล้วหยิบเอาผ้านุ่งสีขมุกขมัวที่มองไม่เห็นกระทั่งลายผ้าของแม่ผืนหนึ่งออกมาแม่ส่งมันซุกไว้ในมือของเธอ สีหน้าและแววตาของแม่ที่ดูหม่นหมองซึมเศร้าลงไปอย่างมาก ด้วยความเป็น ห่วงเป็นใยตัวเธอที่ไม่เคยพรากจากอ้อมอกของผู้เป็นแม่ไปอยู่ที่ไหนไกลกันเลย แล้วน้ำตาของสองแม่ลูกเริ่มปริ่มเอ่อล้นจวนเจียนจะไหลจากดวงตาเสียให้ได้ แม่พูดกำชับกับเธออีกสองสามประโยคจึงรีบตัดบทบอกกับเธอว่าจะต้องกลับ แล้วน้องกับพ่อคอยอยู่ ส่วนเธอได้แต่ยืนมองแม่ที่เดินก้าวลับออกจากประตูบานนั้นไปน้ำตาที่ปริ่มเอ่อล้นอยู่แล้วก็ไหลพรั่งพรูออกมาจากสองตาของเธอ ในตอนนั้นคุณนายไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่จ้องมองดูเธอที่กำลังยืนร้องไห้ และเรียกให้เธอมาคุกเข่าลงต่อหน้าและสั่งให้เธอเรียกว่า คุณนาย และบอกถึงกฏระเบียบที่ต้องปฏิบัติตัวในบ้านหลังนี้ให้ได้อย่างเคร่งครัด หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เธอเฝ้าคอยปรนนิบัติรับใช้เป็นที่รองรับอารมณ์ของคุณนายทุกอย่างสารพัดในยามที่เธอทำผิดไม่ได้ตามใจสั่งหรือทำข้าวของคุณนายแตกเสียหาย เธอก็จะถูกหักเงิน แต่มีอยู่เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ระแวง หวาดผวา หวาดกลัวทุกครั้งคือการถูกเฆี่ยนตีอยู่เป็นประจำ แต่เธอก็จำยอมอดทน เมื่อนึกถึงประโยคที่แม่กำชับบอกกับเธอก่อนจากไปอยู่เสมอ และเธอใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลานานเกือบ 6 ปี ในคืนวันหนึ่งท้องฟ้าที่มืดสนิท เมฆฝนก็เริ่มตั้งเค้าส่อดำมืดทมึนขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ดูอึมครึมภายในตัวบ้าน มีเพียงแสงของเสาไฟจากภายนอกที่เล็ดลอดส่องเข้ามา แล้วเม็ดฝนก็เริ่มหลั่งไหลเทกระหน่ำ ขณะที่ฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย และภายใต้เสียงคำรามของฟ้าที่แผดร้องดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วบริเวณบ้าน ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงของหญิงคนหนึ่งกรีดร้องขึ้นอย่างโหยหวน น้ำเสียงนั้นราวกับคนที่เจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ดังแว่วลอยมาอย่างลึกลับ ก่อนที่จะจมดิ่งเงียบหายไปพร้อมกับเสียงของฟ้าที่สงบลงในยามค่ำคืนที่สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง หลายวันต่อมาบริเวณโดยรอบของบ้านหลังใหญ่ บัดนี้มีรถตำรวจหลายคันจอดเรียงรายอยู่ พร้อมกับรถของมูลนิธิ นายตำรวจหลายคนกำลังยืนมองเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนั้นกำลังใช้ผ้าขาวดิบกางออกห่อหุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของหญิงคนหนึ่งแล้วช่วยกันยกร่างนั้นไปไว้ที่ท้ายรถ ชาวบ้านที่มามุงดูถึงกับเบือนหน้าหนี เมื่อมองดูร่างนั้นด้วยความสยดสยอง ต่างพากันจับกลุ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอื้ออึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงคนนั้นกันไปต่าง ๆ นานา และหลังจากนั้นไม่นานผู้คนที่มายืนมุงดูก็เริ่มทยอยแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของชีวิต ในใจกลางเมืองหลวงใหญ่ ดินแดนที่ขึ้นชื่อลือเลื่องว่าเป็นแดนศิวิไลซ์สำหรับคนไกลแห่งนั้นนั่นเอง
27 กันยายน 2548 14:25 น. - comment id 86904
เศร้าจังเลยค่ะ...แต่ก็เห็นมีตัวอย่างแบบนี้อยู่ในสังคมปัจจุบัน...มันคงจริงอย่างที่คนอื่นเค้าพูดกันที่ว่า...วัตถุเจริญสูงสุด...แต่จิตใจมนุษย์สุดตกต่ำ....ก็ขออย่าให้เกิดขึ้นกับคนรู้จักละกัน....แวะมาเยี่ยมค่ะ....
27 กันยายน 2548 17:38 น. - comment id 86912
อ่านเเล้วน่าสังเวชใจเมืองเจริญขึ้นเเต่วัตถุ จิตใจคนกลับเลวทรามลง ต่างคนต่างให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าจิตใจเมื่อไรหนอความรักความมีน้ำใจของคนจะกลับคืนมา
27 กันยายน 2548 23:45 น. - comment id 86919
ก่อนอื่นต้องสารภาพเลยนะคะ ว่าอ่านม่ะจบอ่ะ ... มานย๊าวยาว อ่ะค่ะ เอาเป็นว่าอุ๊ แวะมาทักทายกะแล้วกันนะคะ
28 กันยายน 2548 03:21 น. - comment id 86924
ก่อนอื่นต้องสวัสดีทุกคนนะคะ คุณความหวังจากปลายฟ้า.... ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ กับใครในโลกที่สับสนหรือสวยงามใบนี้เลยเหมือนกันค่ะ คุณใจเย็นชา... ความรักในจิตใจคนมีอยู่ทุกหนแห่ง แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่เราต้องใช้ใจสัมผัสค่ะ บางคนก็มองเพียงแค่วัตถุภายนอกเท่านั้นเอง ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่านจนจบ... คุณสาวดำ-รำพันรัก... อิอิอิ....อ่านไม่จบค่อย ๆ อ่านก็ได้ค่ะ...ตอนแรกว่าจะเขียนแบบสั้น ๆ แต่เขียนไปเขียนมาเพลินค่ะเลยออกมายาวเหยียดเลย... ขอบคุณนะคะที่แวะเข้ามาทักทาย
28 กันยายน 2548 17:20 น. - comment id 86942
เกียจคุญนายมากเลยใจร้าย สู้ สู้