วันนี้วันว่าง อากาศค่อนข้างสดใส แรกก็คิดที่จะทำงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ แต่ปลายสัปดาห์อยากให้หัวตัวเองได้พักผ่อนบ้าง ผมเลยเลือกที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอก ในเมืองเล็กๆที่ผมอยู่ ที่ที่จะให้ไปเดินเล่นมีไม่เยอะ อีกอย่างผมเป็นคนที่มักไม่ค่อยมีความคิดใหม่ๆอะไรเท่าไรในเรื่องเที่ยว ที่ไหนที่ผมเคยไป ผมก็ชอบที่จะไปมันซ้ำๆอยู่นั่นแล้ว แม้ว่าผมจะรู้จัก จะจดจำมันได้แทบทุกซอกทุกมุมแล้วก็ตาม ตวัดเป้ขึ้นหลัง ซาวอะเบาท์ใส่ไว้ในเป้ ไว้ฟังฆ่าเวลาขณะนั่งรถเมล์เข้าเมือง จากบ้านเข้าไปในเมืองค่อนข้างไกล ฟังเพลงได้เกือบจบแผ่น ตลอดทางมีฝรั่งบ้าง เอเชียบ้าง ขึ้นรถลงรถกันเป็นระยะ เท่าที่ผมสังเกตดู คนเอเชียในเมืองนี้เพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าถ้าผมเดินสวนกับคน 10 คน ในนั้นจะต้องเป็นเอเชียอย่างน้อยสี่คน ถึงที่หมาย เป็นแหล่งชอปปิ้งเซ็นเตอร์เล็กๆใจกลางเมือง อากาศดี มีคนเดินค่อนข้างมาก สำหรับผม ส่วนใหญ่ที่จะแวะก็มีเพียงแค่ร้านซีดีกับร้านหนังสือ แล้วก็ตบท้ายด้วยการเข้าไปนั่งร้านกาแฟ สั่ง Latte สักแก้วละเลียดกิน แล้วจากนั้นก็ค่อยกลับบ้าน ก็เป็นอยู่อย่างนี้ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ซ้ำไปซ้ำมาแทบทุกอาทิตย์ ที่ตรงลานเล็กๆ ตรงกลางชอปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งนี้ จะมีคนมาเปิดการแสดงแลกเงินในทุกๆวันหยุด ภาษาบ้านเราคงเรียกว่า วณิพก ที่นี่เขาก็มีศัพท์เรียกเหมือนกัน น่าเสียดายที่ผมจำไม่ได้ พวกนักแสดงแลกเงินเหล่านี้เป็นนักแสดงกันจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงสักแต่เล่นอะไรไปตามเรื่องตามราวแล้วขอเศษเงินที่จะให้ด้วยความสงสาร เขาฝึกซ้อมกันอย่างจริงจัง แสดงและเล่นเป็นอาชีพ พวกที่แสดงกายกรรม การละเล่นผาดโผนเช่น มัดตัวเองด้วยโซ่แล้วพยามยามดิ้นให้หลุดด้วยการกระแทกทุ่มตัวลงกับพื้น หรือมีคนหนึ่งซึ่งขี่จักรยานล้อเดียวที่สูงราวสี่ห้าเมตรพร้อมวางแก้วน้ำไว้บนหัว จากนั้นโยนมีดสามเล่มสลับไปมาโดยที่พยายามทรงตัว ไม่ให้แก้วนั้นหล่นและจักรยานล้ม คนพวกนี้จะมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก มีการโน้มน้าวคนดู เรียกร้องความสนใจให้คนเข้ามาเยอะๆ ตรึงคนดูให้อยู่จนจบการแสดง และทำให้คนดูสามารถหย่อนเงินลงในหมวกเขาที่เปิดรับได้เมื่อการแสดงจบ ผมว่างๆก็จะแวะเข้าไปดู และส่วนใหญ่ที่แวะเข้าไปดูก็มักจะเสียเงินทุกที อย่างน้อยสิ่งที่เขาทำทั้งหมดนับตั้งแต่การฝึกซ้อม การแสดง เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือจากคนดู เขาก็น่าจะได้อะไรตอบแทนกลับไปบ้าง มีบ้างบางคนมาเล่นดนตรี มีเด็กผู้หญิงอายุราวสิบกว่าขวบมาสีไวโอลินด้วยท่าทางตั้งใจ ผู้ปกครองนั่งมองให้กำลังใจอยู่ห่างๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายของคนที่นี่ที่จะให้ลูกเปิดการแสดงแบบเปิดหมวก ที่ริมทาง เขาคงแค่อยากให้ลูกเขาได้เรียนรู้ที่จะแสดงออก เงินที่ได้เป็นแค่รางวัลเล็กๆที่ไม่สำคัญ หากแต่น่าปลื้มใจสำหรับเด็กผู้หญิงคนนั้น ครั้งหนึ่ง ตรงตรอกเล็กๆข้างลานโล่งเห่งนี้ ตรอกที่น้อยคนจะเดินแวะเวียนเข้าไป ผมเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทางอารมณ์ดี เป็นศิลปินเต็มตัว กำลังเล่นกีต้าร์ของเขาอยู่ เล่นด้วยความตั้งใจ มองหน้าและส่งยิ้มให้ผู้ชมของเขาซึ่งมีเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นเด็กชายอายุราวสี่ห้าขวบเท่านั้น ในมือเด็กชายมีเหรียญ 50 เซ็นท์ซึ่งแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะไม่วางให้จนกว่านักดนตรีจะเล่นเพลงจบ ผมฟังเสียงกีต้าร์ ฟังเสียงร้องและรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเขา มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้กำลังเล่นให้เด็กชายตัวเล็กๆฟัง หากแต่กำลังเล่นให้โลกทั้งโลกฟัง แต่ไม่หรอกมั้ง..บางทีถ้าเขากำลังเล่นให้โลกทั้งโลกฟังจริงๆ มันคงไม่กินใจขนาดนี้ และเขาก็อาจไม่มีความสุขขนาดนี้ก็เป็นได้ สุดท้าย..เด็กชายก็วางเหรียญ 50 เซ็นต์นั้นลงพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมรู้เมื่อผมได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้น..ว่าที่หนุ่มนักดนตรีต้องการ ไม่ใช่เหรียญ 50 เซ็นต์นั้นหรอก.. รอยยิ้มนั้นมีค่าเท่าไรไม่รู้ ผมรู้แต่ว่า..มันคงไม่อาจแลกมาได้ด้วยเงินทอง ไม่ว่าเท่าไรก็ตาม อีกครั้งหนึ่งที่ลานเล็กๆแห่งนี้ มีนักร้องผู้หญิงอายุราวสัก 4-50 ปีได้เธอมาพร้อมกับเครื่องขยายเสียงอันเล็ก มาตอนเย็นที่ใครต่อใครพากันกลับบ้านเกือบหมดแล้ว ลานดูว่างจนแทบจะร้าง ผม..ซึ่งเดินผ่านเธอเพื่อจะไปยังป้ายรถเมล์เพื่อกลับบ้าน ก็ยังอดนึกสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมเธอถึงมาเอาป่านนี้ ยังนึกขำอยู่ในใจว่า เธอมาเปิดแสดงเอาตอนนี้แล้วใครจะให้เงินเธอ แล้วผมก็ได้คำตอบในเวลาไม่นานเลย เธอเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้วก็เริ่มร้องเพลง ร้องสดๆ ไม่มีดนตรีประกอบ ในขณะที่ลานร้างผู้คน ตะวันจรดอยู่ตรงขอบฟ้า ร้านรวงปิดหมดทุกร้าน แต่เธอก็ร้อง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง..เธอร้องเพลง Smoke Get In Your Eyes.. ผมเคยฟังเพลงนี้มาก่อน หลายครั้ง หลายคนร้อง แต่อาจจะด้วยบรรยากาศ หรือน้ำเสียงของเธอที่เติมชีวิตลงในลานว่างแห่งนั้น ผมสาบานได้ ว่าเพลง Smoke Get In Your Eyes ในวันนั้น เพราะที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมาในชีวิต ผมหยุดฟังจนจบเพลง เดินย้อนกลับไป หยิบเงินในกระเป๋าหย่อนให้เธอพร้อมทั้งเอ่ยขอบคุณ.. วันนั้นผมหวังเพียงว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีก มาเติมเต็มความว่างเปล่าด้วยเสียงเพลงของเธออีก แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยพบเธอ บางครั้ง บางเวลา ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในยามที่ผมเดินคนเดียวบนลานที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่จะดึงความทรงจำของผมกลับไปสู่เพลงนั้นเสมอ ..Smoke Get In Your Eyes.. วันนี้หนุ่มนักดนตรีไม่อยู่ตรงที่เก่า มองหาตรงตรอกเล็กๆนั่นก็ไม่เห็น นักกายกรรมก็อยู่ในช่วงพักรอสำหรับจะขึ้นแสดงรอบต่อไป สิ่งที่สะดุดตาผมกลับเป็นคุณลุงร่างผอมคนหนึ่ง หน้าตาที่ยับย่นดูออกว่าเป็นคนเอเชีย แกใส่วิกผมผู้หญิง สวมกระโปรงยาว ยาวชนิดที่เรียกว่าแกยืนอยู่บนกล่อง ชายกระโปรงยังคลุมลงมาถึงพื้น บนหัวสวมพวงมาลัยดอกไม้ปลอมคล้ายสาวฮาวาย ที่เอามีห่วงฮูลาฮูปที่แกต้องเต้นส่ายเอวเลี้ยงเอาไว้ตลอดเวลา แกเต้นไปพร้อมทั้งปรบมือตะโกนเรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา ผมหยุดยืนมองแกนิดหนึ่งแล้วก็เดินผ่านไป รู้สึกแปลกๆ ที่เห็นคนแก่อายุขนาดนี้ มาแต่งตัวเป็นผู้หญิงเต้นฮูลาฮูปแล้วเต้นเพื่อแลกเศษเงิน มันออกจะดูเกินไปอยู่บ้าง ผ่านไปครึ่งค่อนชั่วโมงผมเดินย้อนกลับมาทางเดิม ก็ยังเห็นแกยืนเต้นอยู่เหมือนเดิมโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก นึกแปลกใจเลยหยุดดู ผ่านไปสิบนาที สิบห้านาที แกก็ยังคงเต้นส่ายเอวอยู่อย่างนั้น ปรบมืออยู่อย่างนั้น ถามฝรั่งไว้หนวดที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ เขาบอกว่าเขายืนดูอยู่ก่อนหน้าผมนานแล้ว เขาก็ไม่เห็นแกหยุดเต้นเหมือนกัน ด้านหน้าแกมีแผ่นกระดาษเขียนเป็นภาษาอังกฤษด้วยลายมือโย้เย้ เห็นฝรั่งหลายคนเดินเข้าไปอ่านแล้วก็โยนเศษเงินลงในกล่องข้างหน้าแก แกก็ขอบคุณทุกคนไป ผมอยากรู้เลยเดินเข้าไปอ่านบ้าง ข้อความบนกระดาษนั้นมีใจความว่า ผมเป็นทหารผ่านศึกจากสงครามเกาหลี ที่ขาข้างหนึ่งต้องพิการไปเพราะกระสุนเจาะผ่าน (คุณสามารถเปิดผ้าที่คลุมอยู่ดูได้ หากคุณต้องการ) ที่ผมออกมาเต้นที่นี่ ก็เพื่อรวบรวมเงินกลับไปสร้างโบสถ์คริสต์ในถิ่นทุรกันดารที่บ้านเกิดผม เกาหลีใต้ เพื่อให้ชาวบ้านยากไร้ที่นั่นได้มีโอกาสพบและรู้จักกับพระเจ้า หากคุณต้องการช่วยเหลือ กรุณาหย่อนเงินของคุณลงในกล่อง ผมถอยออกมา มองหน้าแกด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิม จากที่เข้าใจผิดว่าแกทำทั้งหมดนี้เพื่อตัวของแกเอง.. ผมเปิดกระเป๋า หยิบเงินออกมา มันไม่ใช่เศษเงิน..ผมรู้ แต่ผมก็เต็มใจที่จะให้แก ขอบคุณ ขอบคุณ แกขอบคุณผมด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ ปากพยายามเหยียดออกส่งยิ้มหากแต่ดูเหนื่อย ผมรู้ว่ายิ้มแกจริงใจจากแววตา.. คุณก็เป็นคริสต์เหรอ ผมนึกว่าคุณเป็นพุทธเสียอีก คนเอเชียที่ผมเคยคุยด้วยส่วนใหญ่เป็นพุทธ ฝรั่งไว้หนวดคนเดิมชวนผมคุย เปล่าหรอก ผมปฏิเสธ ตายังคงมองที่ลุงคนที่เต้นอยู่บนกล่องนั่น ผมเป็นพุทธ ฝรั่งคนเดิมมองหน้าผมด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ แล้วคุณบริจาคทำไมล่ะ เขาเขียนไว้ว่าจะเอาไปสร้างโบสถ์คริสต์ คุณอ่านไม่ออกเหรอ ผมอ่านออก ผมจบบทสนทนาแค่นั้นแล้วเดินออกมา คร้านที่จะอธิบาย จริงๆแล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม.. ผมให้ไปก็เพราะตื้นตันกับสิ่งที่แกทำ ด้วยความรู้สึกอยากให้ ไม่สำคัญว่าศาสนาอะไร แต่กับสิ่งที่แกทำ ผมรับรู้ได้ ว่ามันดี มันยิ่งใหญ่ พอมาย้อนนึกๆ ผมก็คิดว่าผมเริ่มจะเข้าใจ บางทีศาสนาไม่ใช่สิ่งสูงสุดหรอก ศาสนาคือสิ่งที่เกิดขึ้นทีหลัง ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์นับหมื่นๆปี ศาสนาเพิ่งเกิดมากันได้ไม่กี่พันปีเอง ศาสนา..เกิดจากมนุษย์ แล้วอะไรล่ะที่อยู่ก่อนหน้านั้น อะไรที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้เกิดเป็นศาสนาขึ้นมา ผมเชื่อ..ว่าความดีงามในจิตใจของคน มีมาก่อนศาสนาใดๆเนิ่นนานแล้ว ความห่วงใยผู้อื่น ความรัก ความเอื้ออาทร ความรู้สึกดีที่ได้เห็นผู้อื่นมีความสุข มีรอยยิ้ม ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกปลูกฝังขึ้น หากแต่มีอยู่แล้วในหัวใจทุกดวง ความรักนั้นเรามีมากันตั้งแต่แรก แต่การแบ่งแยกต่างหากที่ถูกปลูกฝังขึ้นทีหลัง กับลุงนักเต้นคนนั้น การที่จะตื้นตันไปกับสิ่งที่แกทำ ผมไม่จำเป็นที่จะต้องนับถือศาสนาเดียวกันกับแก เราทุกคน ต่างมีหัวใจดีๆอยู่เหมือนกันคนละหนึ่งดวง และนั่นก็เพียงพอแล้ว...
26 กันยายน 2548 22:48 น. - comment id 86889
จบสวยเหลือเกินค่ะ ด้วยรัก
26 กันยายน 2548 23:01 น. - comment id 86890
พี่พุดอ่านซ้ำๆอีกครั้งค่ะ และ พบว่าหัวใจพี่พุดแสนตื้นตันกับ ความในใจ ทุกฉากทุกคำที่แสนงามค่ะ ชื่นชมเหลือเกินค่ะ
27 กันยายน 2548 12:23 น. - comment id 86901
.. .. ขอยิ้มก่อนหนึ่งยิ้ม .. เรารู้สึกว่า .. ถ้าเราอยากเขียนเรื่องรัก อ่อนไหว ตามเรื่องตามราว ก็ไม่เห็นว่าจะต้องไปทำเป็นมีปรัชญาเพื่อชีวิตอะไรมากมาย อยากรัก ก็รัก .. สบายใจดีออก อื้มม ปล่อยอารมณ์ไป ช่าย จริงใจกับตัวเองน่ะ .. ถ้าเราไม่ได้รู้สึกเพื่อมวลชน .. ก็ไม่รู้จะเขียนไปทำไม งานที่เขียนสื่อได้นะกี้ว่า .. ว่าคนเขียนมีอารมณ์แบบไหน เราถึงเขียนแต่กลอนรักไร้สาระอยู่นี่ไง .. หลากหลายการกระทำมาจากความจริงใจ .. หาสิ่งใดตอบแทนยากนัก .. .. .. บอกแล้ว .. สักวันมันต้องเกิดขึ้น อิอิ ..
27 กันยายน 2548 21:35 น. - comment id 86918
พี่พุด รู้ไหมครับพี่พุด ว่าเวลาที่รู้ว่ามีใครแวะเวียนมาอ่านเรื่องที่เราเขียนมากกว่าหนึ่งรอบ แล้วแถมยังฝากคอมเมนท์ดีๆไว้ตั้งสองอันเนี่ย คนเขียนเป็นปลื้มขนาดไหน เป็นปลื้มสุดๆเลยแหละครับ ขอบคุณครับผม.. กีกี้ อ่ะนะ มีแบล็กเมล์กันเล็กน้อย จริงๆอันนี้ก็จัดในหมวดหมู่เรื่องรักนา
28 กันยายน 2548 12:34 น. - comment id 86933
แป๊ปเดี๋ยว.. เรนจะกลับมาอีกหลายๆครั้ง..อิอิอิ .... แบบเรน..เก๊าะอยากได้ให้พี่หมอกจางชมเรน.. นะดิคะ .. แว้ป..
29 กันยายน 2548 06:15 น. - comment id 86950
เรน โห..มีงี้อีกนะ
18 พฤศจิกายน 2548 12:07 น. - comment id 87993
จบดีจัง. . . ขอบคุณพี่หมอกก่อนเลยที่เก็บมาเล่าให้ฟัง \"เปิดหมวก\"เมืองไทยเราก็มีเยอะเน๊อะ ทุกที่ทั่วไทยเลย นกเองก็ชอบยืนดู อิอิ. . .แต่ควักเป๋าบ้างไม่ควักบ้าง เหอๆ งกเจงๆ มีครั้งนึง งานวัฒนธรรมที่มหาลัย ไอ้ลูกหมาถามนกว่าถ้าเค้าจะไปร้องเพลงเล่นกีตาร์เปิดหมวก นกจะอายมั้ย อายค่ะ อายแน่ถ้าไอ้ลูกหมา ให้นกยืนร้องอยู่ข้างๆ เหอๆๆ ก็เสียงของนกอ่ะ ต้องทำให้ทั้งนกทั้งเค้าขายขี้หน้าประชาชีแน่ๆ ให้นกยืนนิ่งๆ ดีกว่า รุ่งกว่าเยอะ อิอิ. . .สรุปแล้ว งานวัฒปีนั้น ไม่มีไอ้ลูกหมามายืนเปิดหมวก. . . ไม่ใช่เพราะเราสองคนอายนะพี่หมอก แต่พอเอาเข้าจริงขี้เกียจกันทั้งคู่ หุหุ . . .