กระดาษอาถรรพ์ บทที่หนึ่ง ความฝัน
ซูซูจิ
กระดาษอาถรรพ์
-บทที่หนึ่ง....ความฝัน
ฉันสะดุ้งตื่นจากความฝัน หันไปมองที่นาฬิกา ขณะนี้เวลา 1.13น. ขนบนลำตัวฉันลุกโดยอัตโนมัติ หมู่นี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองดูแปลกๆ ฉันเหม่อลอยบ่อยมาก และฝันเหมือนๆกันทุกๆ คืน ในความฝันฉันมักจะเจอกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่จะพูดว่ากระดาษเลยก็คงไม่ได้ดูมันหนากว่ากระดาษปกติ สีก็ออกเป็นสีน้ำตาลไม่ได้เป็นสีขาวทั่วๆไป มันพับอยู่...ฉันพยายามจะจับมันขึ้นมาแต่ฉันกลับรับรู้ได้ถึงแรงอารมณ์โกรธแค้นจากกระดาษใบนั้น จนฉันต้องสะดุ้งตื่นทุกๆคืนความฝันจะสิ้นสุดแค่นั้นฉันไม่สามารถหยิบมันขึ้นมาได้และฉันจะต้องตื่นมาเวลา 1.13น.ทุกคืน ทำไมนะกันมันเป็นแค่ความคิดมากของฉันและความบังเอิญของนาฬิการึไง ฉันเฝ้าถามตัวเองมาตลอดนี่ก็หนึ่งอาทิตย์ที่ฉันต้องฝันซ้ำซากตื่นมาเวลาซ้ำซากอย่างนี้
ฉันทอดมองไปยังความมืดรอบๆห้องด้วยความหดหู่ใจ ฉันไม่เคยมีอะไรฝังใจอะไรกับกระดาษจนเก็บไปฝันได้เลย แต่นี่ฉันกลับเห็นมันทุกคืน คำถามมากมายก่อกวนจิตใจมาตลอดเจ็ดวันฉันสับสน เวลาอย่างนี้ฉันควรจะระบายให้ใครสักคนฟังแต่ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอกดึกดื่นป่านนี้คงไม่มีใครอยากฟังฉันระบายแน่ๆ
กระดาษใบนั้นอาจจะบอกอะไรบางอย่างกับฉัน แล้วอะไรละ พอฉันจะหยิบขึ้นมามันกลับสะดุ้งตื่นทุกที ความรู้สึกเครียดแค้นแล่นผ่านมือฉันขณะที่พยามจะหยิบขึ้น มามันรุนแรงมาก...รุนแรงมากจนฉันกลัว ใครกันที่มีความแค้นได้รุนแรงอย่างนั้น....แล้วเขาแค้นใคร..ฉันงั้นหรอ..ฉันไปทำอะไรไว้ละ..
ฉันหยุดความคิดทั้งหมดลงแค่นั้นเพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเครียดจนอยากจะอาเจียนฉันลุกกินยานอนหลับสองเม็ดและข่มตานอน ไม่นานหนักฉันก็ไม่รู้สึกอะไร.........
ฉันตื่นมาพร้อมกับแสงแดดที่ส่องมาถูกตา เช้าแล้ว...ฉันต้องไปทำงาน ฉันทำงานเป็นพนักงานบริษัทนำเที่ยวแห่งหนึ่ง กิจการบริษัทฉันค่อนข้างดี วันนี้ฉันต้องขนเสื้อผ้าไปกระเป๋าใหญ่เพราะต้องนำนักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่ฮอกไกโด นักเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ แต่ก็มีคนโตเกียวบ้างเหมือนกันที่อยากไปฮอกไกโดด้วยความสะดวกสบายกับบริษัทของเรา
หลังจากจัดการเช็คของเรียบร้อยเสร็จแล้วฉันก็นั่งแท็กซี่ไปบริษัท เมื่อมาถึงบริษัทฉันก็เห็นรถทัวร์ติดแอร์สองชั้นจอดไว้อยู่แล้ว มียามที่บริษัทมายกของขึ้นรถให้ฉัน ฉันยิ้มให้อย่างมีไมตรี ก่อนจะขึ้นไปบนรถ ซึ่งก็เห็นผู้โดยสารบางส่วนมาอยู่แล้ว
เมื่อรถเริ่มออกเดินทาง ฉันเดินไปเช็คผู้โดยสารตามที่นั่งแต่ละแถวตามหน้าที่ สองที่นั่งแรกเป็นฝรั่งสองคนสามีภรรยา เรื่อยๆๆมาอีกหกที่นั่งก็มีคนญี่ปุ่นบ้างเป็นคุณป้าคุณลุงมาจากโตเกียว มีครอบครัวนึงมาจากชินกุจุ ต่อมาก็เป็นคนจีนสี่คน และที่นั่งแถวสุดท้ายมีหนึ่งคนนั่งอยู่ใส่หมวกแว่นตาแต่งกายมิดชิด...มิดชิดจนเกินไปฉันไม่ไว้ใจเผื่อเป็นพวกแปลกปลอมแอบเข้ามาจึงเดินไปสอบถามและหยิบบัตรรูปประชาชนก๊อบปี้ที่เหลืออยู่อันเดียวที่ยังไม่เช็คขึ้นมา
เออ...คุณคะ คุณคือเออ.. ฉันมองที่บัตรเพื่อดูชื่อ ผู้ชายคนนี้ชื่อ คาตายาม่าเคอิจิโร่ ในรูปถ่ายค่อนข้างเป็นคนที่ดูดีมากพอควร
ผมชื่อ คาตายาม่า เคอิจิโร่เขาตอบพลางหันมามองหน้าฉัน ฉันคาดเดาสายตาเขาไม่ได้เนื่องจากแว่นดำกั้นอยู่
รบกวนคุณช่วยถอดหมวกกับแว่นตาออกหน่อยได้มั้ยคะฉันพูดด้วยความกล้าๆกลัวๆ
คุณไม่ไว้ใจผมงั้นหรอเขาถามน้ำเสียงฟังดูโกรธไม่พอใจเล็กน้อย ถ้าเผื่อผู้ชายคนนี้ หยิบมีดมาจี้คอฉันจะทำยังไงดีนะ
เปล่าค่ะแต่เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน
ถ้าผมถอดก็o.kสินะ เขาพูดอย่างไม่ค่อยพอใจแต่ก็ถอดทั้งแว่นและหมวกออก หัวเขาทองๆดูท่าจะเด็กกว่าฉันสักสองปี
ขอบคุณมากค่ะที่ให้ความร่วมมือ ฉันมองดูบัตรอีกครั้งให้แน่ใจว่าเป็นคนๆเดียวกัน และเดินไปนั่งอีกมุมหนึ่งเพื่อรอรถออก
หลังจากนั้นไม่นานฉันก็เดินแจกของว่างให้ผู้โดยสารทีละแถว จนมาที่นั่งสุดท้ายสายตาเขายังดูขุ่นเคืองใจฉันอยู่เล็กน้อยฉันยิ้มและเดินไปถาม
รับของว่างมั้ยคะ ฉันยิ้มเขาขมวดคิ้วทำนิสัยเป็นเด็กๆ
เลิกสงสัยผมแล้วรึไง เขามองหน้าฉันด้วยความขุ่นเคือง
ก็แหม...ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็ไม่น่าคิดอะไรแล้วนะคะ แต่ดิฉันก็ขอโทษนะคะที่สงสัยคุณ แล้วตกลงจะรับของว่างมั้ยคะ
เอาหน่อยก็ดีเหมือนกันครับสีหน้าเขาคลายความขุ่นเคืองลง ช่างดูเหมือนเด็กเสียนี่กระไร ฉันยื่นให้เขาและสายตาเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ ในคอลัมน์เล็กๆ
ตายสามศพ หายสาบสูญอีกหนึ่งแม้จะเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดังและมีเนื้อหาเพียงเล็กน้อยแต่ฉันรู้สึกว่ามันดึงดูดความสนใจฉันราวกับถูกสะกด เขาคงสังเกตเห็นท่าทางของฉันจึงถามขึ้น
มีอะไรรึเปล่าครับ
เปล่าไม่มีอะไรหรอกคะ เออหนังสือพิมพ์นี้ไม่ทราบว่าคุณอ่านเสร็จแล้วรึยัง
ครับเสร็จแล้วมีอะไรงั้นหรอครับ
ถ้าฉันจะขอยืมไปอ่านจะได้มั้ยคะ
เชิญตามสบายครับ
ขอบคุณค่ะเขายื่นมาให้ฉันรับไว้และเดินออกมา ฉันหลบไปนั่งในมุมเพื่ออ่านข้อความในหนังสือพิมพ์ ทันทีที่ได้สัมผัสกับข้อความบนกระดาษฉันก็ต้องใจเต้นรัวอย่างไม่รู้สาเหตุ
เกิดเหตุนักศึกษาสามคนเสียชีวิตในเวลาใกล้เคียงกัน สภาพศพของทั้งสามคนมีลักษณะคล้ายกันเกือบทุกประการ แต่สภาพการตายแตกต่างกันออกไป คนแรกน.ส.ซารุวาทาริ คุมิโกะ อายุ 16ปี สภาพศพคล้ายกับหนีอะไรมาแล้วก็ล้มลงหัวใจวายตายที่ป่าข้างบ้าน คนที่สอง คายาม่า เค อายุ16ปีจมน้ำตาย คนที่สาม ทาคายะมะ โคกิ สภาพศพห้อยโตงเตงอยู่ที่บ้าน การเสียชีวิตของทั้งสามเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 1.13น.ของคืนวาน และที่น่าแปลกกว่านั้นตำรวจสืบทราบมาว่าทั้งสามเป็นเพื่อนสนิทกัน กำลังศึกษาอยู่มัธยมปลายร.ร.เค ที่สำคัญมากกว่านั้นศพของทั้งสามมีหนังส่วนท้องหายไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทางตำรวจยังไม่สามารถสันณิฐานอะไรได้จึงเร่งสืบสวนและตามหาตัว น.ส.ยาโอโตเมะ อายะ ที่อยู่ในกลุ่มของเด็กทั้งสามที่หายตัวเวลาประมาณ 18.30น.ของเมื่อวานโดยไร้ร่องรอย ข่าวจบลงแค่นี้ ฉันใช้วิจารณญาณแว๊บนึงก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นความบังเอิญมันเป็นเหตุที่เกิดขึ้นอย่างจงใจในเวลาเดียวกัน...แต่เดี๋ยวเวลา 1.13น.เป็นเวลาที่ฉันตื่นจากความฝันทุกคืน เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับฉันรึเปล่า ฉันไม่อาจจะยอมรับได้แต่เหตุการณ์ไม่มีทางบังเอิญได้ขนาดนี้ถ้าบังเอิญก็น่าจะมีเปอร์เซ็นต์แค่ 10%เท่านั้น หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเรากำลังอยู่ในเหตุการณ์บังเอิญนั้น ฉันรู้สึกหน้าซืดถ้าหากไม่ใช่ความบังเอิญกระดาษในความฝันต้องการจะบอกฉันเรื่องนี้งั้นหรอ ต้องการบอกฉันไปทำไมแล้วการตายของคนทั้งสี่เกี่ยวอะไรกับกระดาษ คำถามมากมายก่อตัวขึ้นในสมองของฉัน ฉันก้มลงมองท้ายข้อความในข่าวเพื่อดูผู้ทำข่าวนี้ ฟุตามิ คาโอรุมีบางอย่างชักจูงให้ฉันสนใจข่าวนี้อย่างมากจนตัวฉันยังแปลกใจ เมื่อฉันหันไปมองสถานที่เกิดเหตุในกระดาษอีกครั้งความต้องการอยากรู้ก็มากยิ่งขึ้น