::เรื่องของคนแพ้(ใจ) 2::
นางสาวใบไม้
จนกระทั่งคุณหมอเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว....พร้อมยิงคำถามเด็ด "คุณจะเป็นภูมิแพ้ทางกายอย่างเดียวหรือเป็นภูมิแพ้ทางใจด้วย"
แล้วก็อรรถาธิบายซะยกใหญ่ว่าในสังคมทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ต่างก็ป่วยด้วยไอ้โรคภูมิแพ้(ใจ) เนี่ยแหละ
ซึ่งก็คงรวมฉันด้วยอีกคนล่ะมั้ง
ฉันก็ไม่ดูใครหรอก....ก็ดูตัวเองเนี่ย นอกจากจะแพ้อากาศ แพ้กลิ่น
ฉันยังแพ้ต่ออารมณ์ความรู้สึกด้วยนี่สิ
ด้วยว่าหมอบอกให้ดูแลตัวเองให้อบอุ่นเสมอ
ไอ้ฉันก็ยังดอดไปนอนชายทะเลทุกวันศุกร์ ยิ่งฝนตกล่ะยิ่งชอบ
พยายามหาเหตุผลแก้ตัวให้ตัวเองแล้วนะว่าจะกินน้ำอุ่น แล้วก็นอนห่มผ้าหนาๆ
แต่กลับมาทุกทีฉันก็เป็นหวัดงอมแงม...ก็คนมันชอบทะเล..
พอย้อนมองตัวเอง...ฉันก็เลยชักจะเห็นสัจธรรม
ได้รู้ว่าถ้าเราแพ้สิ่งที่มากระทบ คือความอยากทั้งหลาย ถ้ามองง่ายๆก็พวกกลิ่นหอมทั้งหลาย
เราก็จะตกอยู่ในอำนาจความอยากในสิ่งนั้นๆ (เหมือนๆกับอาการปวดหัว ปวดขมับของฉันเนี่ย)
ฉันก็เลยได้ข้อสรุปว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพ่ายแพ้ต่ออะไรสักอย่างเราก็จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น....
หลายอย่างที่เข้ามาในชีวิต ทำให้ฉันเกิดความอยาก....อยากได้....อยากมี....อยากเป็น...พอไม่ได้ดังใจก็ร้อนรุ่ม ไม่เป็นสุข สับสน วุ่นวาย
ดูท่าว่าอาการทางใจจะย่ำแย่พอๆกับร่างกาย หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ
นี่แสดงว่านอกจากฉันจะเป็นโรคภูมิแพ้แล้ว ฉันยังจะแพ้ใจไปอีกโรคนึงด้วยกระมัง
คุณหมอถึงได้กำชับนักกำชับหนา ถ้าคุณควบคุมตัวเองได้....อาการแพ้ก็จะไม่กำเริบอีก
ควบคุมที่ว่า...ท่านหมายถึงควบคุมจิตนี่เอง
ถ้าเรามีสติ ใช้สติในการดำเนินชีวิตแทนที่จะทำตามใจ(อยาก)ไปเสียทุกเรื่อง ไอ้โรคภูมิแพ้ก็คงไม่กำเริบให้เป็นทุกข์อย่างทุกวันนี้....