รัก หนอ รัก
น.นิรัติศัย
ถึงเวลาแล้วสินะ?
หลังจากที่เจอกันและอยู่ด้วยกันมา เวลาล่วงเลยมาเกินพอที่จะทนไหวอีกแล้ว ผมรู้ตลอดเส้นทางที่เราต่างแสวงหาด้วยกันนั้น มันผ่านบ่อน้ำหลายบ่อ จากบ่อน้ำเย็นอบอวนด้วยความอบอุ่นก่อนกล้ำกลายสู่วังวนของน้ำร้อนที่ค่อยๆ เดือด ตามดวงตะวันที่ส่องแสงและจมหายสู่ก้นโลกใบหม่น ในสภาพของสังคมเลวร้าย หาใช่โลกของเราไม่...
โลกที่สดใสสว่างจ้า ยามต้องตาต้องใจ บัดนี้มันแตกออกจากห้วงสุริยะ
แม้จักรวาลนี้จะไม่มีโลกที่เราสามารถรับรู้ความทุกข์ซึ่งกันและกันได้ หากแม้นเธอยอมอ่อนแรง ความเอาแต่ใจตัวเอง ลดการข่มเหงจิตใจด้วยคำพูดที่แสนร้ายกาจ ยามเธอโหยหาความถูกต้องของอารมณ์ที่เป็นใหญ่ในร่างกาย...
ผมรู้ ความหวังที่ให้อีกคนเป็นดั่งใจ มันยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร แต่นั้นมันไม่ได้เป็นบทสรุปของเวลาที่รับรู้ว่าความรักขึ้นอยู่กับสิ่งของหรือความหวัง ลมๆ แล้งๆ ที่จัดการภายในเวลาชั่วครู่
บางทีการที่เราเลิกกัน มันอาจยุติปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามาตลอดสองฟากฝั่งของถนนแห่งรักก็อาจเป็นได้
อย่างน้อย การเสียใจเพียงชั่วครู่ เดือน ปี หรือตลอดเวลา ย่อมสูญสลายไปตามความคิดที่กลับกลายเป็นความว่างเปล่า ยามไร้คู่เดินเคียงข้าง และรอบกายอันอ้อนล้ากับความไม่มีเหตุผลของอารมณ์แห่งรัก...
...หาใช่ความใคร่ไม่...
หาก... คิดในทางกลับกัน คงไม่ใช่คู่กันอะไรทำนองนี้ เหมือนคำพูดที่ว่า คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน มันอาจใช่ในบางเวลา หากผ่านเวลาที่แสนยาวนาน บางครั้งความรักมันอาจลดบทบาทและตัวตนลงก็เป็นได้
อาจเป็นนกที่พร้อมจะบินไปยังฟ้าไกล เพียงเพื่อหากฎเกณฑ์ตามธรรมชาติที่แซกแซงเข้าสู่สมอง บีบบังคับให้บิน บิน บินต่อไปจนกว่าจะหมดแรงและร่วงจากฟากฟ้า ก่อนดับตนส่งดวงวิญญาณให้นำทางสู่จุดหมายอย่างไรที่สิ้นสุด
หากมาถึงตอนนี้ คงเปล่าประโยชน์ที่จะแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น มันไม่จำเป็นที่เราจะต้องยื้อกันอีก หากบางครั้งคำพูดของผมเป็นการแก้ตัวให้ดูดี สร้างความเห็นอกเห็นใจจากคุณ มันคงไร้เหตุและผลอีกต่อไป
ณ ห้วงใจด้านซ้ายทั้งสี่ห้อง คงสูบฉีดเลือดและสกัดความรักที่ผมมีต่อคุณให้มันกลายเป็นเลือดดำที่ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเก็บไว้ ก่อนสลัดเข้าเตาปฏิกรที่เผาผล่านให้มอดดับลงไม่มีแม้เยื้อใย เปรียบกับต้นบอนไร้ซึ่งชีวิตที่จะเจริญเติบโตในแม่น้ำที่มีเต่านับล้านตัว