เสรีภาพของนักศึกษาในการเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องใหม่ นักศึกษาต้องมีเสรีภาพในการเลือกที่จะเข้าหรือไม่เข้าหรือถอนตัวจากกิจกรรมรับน้องใหม่ หากนักศึกษาคนใดสนใจเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องใหม่ ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษร ในการปฐมนิเทศ ผู้บริหารสถาบันการศึกษา ควรมีการชี้แจงอย่างชัดเจน ว่าการรับน้องมีลักษณะเป็นอย่างไร อาจารย์ท่านใดเป็นผู้ดูแล เพราะเมื่อมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง นักศึกษาจะได้ทราบว่าควรแจ้งเหตุกับใครที่ไหน นักศึกษาทุกชั้นปีต้องรับทราบถึงระเบียบของสถาบันการศึกษาในการลงโทษผู้ฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรับน้องใหม่ ลักษณะที่ควรจะเป็นของกิจกรรมรับน้องใหม่ ควรเป็นลักษณะที่ได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัดเจน เน้นให้ทำกิจกรรมที่ทำได้ภายในหรือใกล้ ๆ สถาบันการศึกษา เพื่อการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง ตัวอย่างเช่น การพัฒนาชุมชน ได้แก่ การทำความสะอาดในสถาบันการศึกษา วัด หรือ ชุมชน การช่วยสร้างหรือปรับปรุงสาธารณูปโภคพื้นฐานในสถาบันการศึกษา เช่น การซ่อมแซมหญ้าในสนามฟุตบอล การปลูกต้นไม้ริมทางเดิน การตบแต่งต้นไม้ในสวนหย่อม การทาสีเส้นบนพื้นสนามกีฬาที่ได้เสื่อมสภาพลง การช่วยเหลือสังคม ได้แก่ การเป็นอาสาสมัครช่วยสอนหนังสือเด็กด้อยโอกาสในบริเวณใกล้เคียง การอ่านหนังสืออัดใส่แผ่นซีดีให้คนตาบอดฟัง การรณรงค์ให้ประชาชนงดสูบบุหรี่และดื่มสุรา การเสริมความเข้าใจในศาสนาวัฒนธรรม ได้แก่ การทำบุญตักบาตร การฟังธรรม การละหมาดร่วมกัน การศึกษาไบเบิล การบายศรีสู่ขวัญ การไหว้ครู การเสริมสร้างความสามารถของนักศึกษา ได้แก่ การจัดติวนักศึกษา การสอนดนตรี กีฬา การแสดง การแต่งกลอน และ การวาดภาพ) ลักษณะของกิจกรรมรับน้องใหม่ที่เสนอมา ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้เพียงอย่างเดียว สามารถผสมผสานกันหลายอย่างได้เพื่อความเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การร้องเพลงเชียร์ แทนที่จะรับน้องด้วยการให้นักศึกษาตะเบ็งเสียงร้องเพลง ภายใต้ความกดดันของรุ่นพี่ที่ยืนโดยรอบ สถาบันการศึกษาควรเปลี่ยนเป็นการฝึกร้องเพลงประสานเสียงอย่างถูกวิธี โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์มาช่วยสอน ส่วนรุ่นพี่ก็คอยช่วยอำนวยความสะดวกให้น้อง ๆ ตามแต่ผู้ทรงคุณวุฒิและอาจารย์ผู้ดูแลการรับน้องมอบหมาย ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนมีดังต่อไปนี้ดังต่อนี้ ๑.นักศึกษาเกิดความสามัคคี ๒.นักศึกษาร้องเพลงได้ดีขึ้น เพลงเชียร์ที่ร้องก็มีจะความไพเราะน่าฟังมากขึ้น ๓.นักศึกษาส่งเสียงเชียร์ได้นานขึ้นโดยปริยาย เนื่องจาก การประสานเสียงไม่จำเป็นต้องร้องพร้อมกันทุกคน นอกจากนี้ เส้นเสียงของนักศึกษาก็จะไม่เกิดอาการล้า จนเกิดอาการเสียงแหบ เจ็บคอ ๔.ทักษะทางการร้องเพลงจะติดตัวนักศึกษาไปตลอดชีวิต สามารถไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งในการหาความบันเทิงส่วนตัว การออกงานต่าง ๆ นอกจากนี้ความสามารถในการร่วมร้องเพลงเสียงประสานอาจเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ หากมีงานเพื่อส่วนรวมที่ต้องการคนร้องเพลงเสียงประสานจำนวนมาก ๕.ความผูกพันในลักษณะนี้ระหว่างรุ่นน้อง รุ่นพี่ และคนฝึกสอน จะเป็นความผูกพันที่อบอุ่น และยั่งยืน เมื่อมีการพบปะกันในอนาคต ความรู้สึกดี ๆ ย่อมเกิดเมื่อทุกคนร้องเพลงร่วมกัน ได้อย่างไพเราะและพร้อมเพรียง
20 มิถุนายน 2548 10:49 น. - comment id 85375
เท่าที่อ่านดู กิจกรรมต่างๆที่ว่ามา ก็ทำกันอยู่แล้วนี่ครับ ในหลายๆ สถาบัน และก็ไม่ได้บังคับด้วย ส่วนกิจกรรมประชุมเชียร์ ร้องเพลง ก็ตามที่รู้ยังมีว๊ากเกอร์ แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ในปีนี้ ปีหน้าไม่มีว๊ากเกอร์แน่นอนครับ แต่คนที่เป็นว๊ากเกอร์ ก็วางแผนกันไว้แล้ว ว่าปีหน้าจะทำตัวอย่างไร เพื่อไม่ให้ผิดกฏใหม่ แต่ยังกดดันน้องได้เหมือนเดิม