กาพย์นภาลัย.....ตอน....มากรัก
wanmangrux
หิมะโปรยปรายดุจไข่มุกร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า
อากาศที่เหน็บหนาวเช่นนี้
ผู้คนส่วนใหญ่ต่างขลุกตัวอยู่ภายในบ้าน
น้อยนักที่จะมีผู้คนสัญจรไปมา
แต่กับคนผู้หนึ่ง..กลับเป็นข้อยกเว้น
ไม่ว่าวันใดหิมะจะตกหรือไม่ ฝนจะตกหนักเพียงใด
มันไม่เคยที่จะละทิ้งกิจวัตรที่มันกระทำ....กี่ปีแล้ว
..สำหรับมันบ่อยครั้ง
ก็คร้านจะไปนับวันเวลาที่ฝากความปวดร้าวขมขื่น
จะมีความปวดร้าวขมขื่นใดเล่า..ที่ลึกซึ้งตราตรึงเท่า....รัก
...สำหรับชาวเมืองที่นี่
ไม่แปลกที่จะเห็นคนผู้หนึ่ง....
พวกเขาเห็นมานานจนไม่เห็นความแปลก...
ยกเว้น...ใครที่ไม่เคยมาเยือนเมืองนี้
หรือ มาเยือนเมืองนี้เป็นคราครั้งแรก
ยามเมื่อพบเห็นมัน ต่างอดประหลาดใจไม่ได้
มันเป็นผู้ใด....เหตุไฉนจึงออกมากร่ำหิมะที่ตกหนักเยี่ยงนี้
หากท่านถามชาวเมืองที่นี่ ท่านจะได้รับคำตอบ...
มันเป็นใครไม่มีผู้ใดทราบ
เพียงแต่เมื่อสิบปีก่อนมันมาที่เมืองนี้
มันเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามอย่างยิ่ง...
ชมชอบสวมอาภรณ์สีขาว
เฉกเช่นกับซอในมือของมัน เป็นสีขาวราวหิมะ...
กาลเวลาสิบปี...จิตใจของมันใช่จะเป็นเช่นใด
ชาวเมืองมักพูดเพียงเท่านี้ด้วยความรันทดหดหู่
พลางสมเพชเวทนา
ยามเมื่อท่านถามต่อไปมากกว่านี้..
กลับไม่มีผู้ใดตอบคำถามท่าน
ท่านต้องการคำตอบของเรื่องราวบุรุษปริศนาคนนี้
ท่านจะต้องแวะแผงน้ำชา
ที่อยู่ไม่ไกลจากบุรุษประหลาดผู้นี้
เจ้าของแผงน้ำชา เป็นชายชรา ร่างกายซูบผอม
ใบหน้ามันซีดเซียวดุจคนอมโรค
มีแต่มันที่ตอบคำถามเกี่ยวกับ บุรุษปริศนาผู้นี้ได้
....มันนับเป็นบุคคลปริศนาอีกผู้หนึ่ง
และมันก็ปรากฏกายพร้อมๆกับบุรุษปริศนาผู้นี้
...ถ้าท่านไม่เร่งรีบ ท่านมีเวลาพอ
..เล่าฮูจะเล่าเรื่องของ มัน ให้ท่านฟัง
เจ้าของแผงน้ำชาพูดพลาง ปลายตาเล็กหยี
ไปยัง บุรุษผู้นั้น ที่ยามนี้ นั่งอยู่บนเก้า
อี้ไม้ผุเก่าตัวหนึ่ง
ใต้ต้นสนโบราณที่กิ่งก้านคาคบสุมไปด้วยหิมะกองโต
ในมือของมันมีซออู้สีขาวราวหยกเนื้อดี
มือของมันก็สะอาดอย่างยิ่ง
ผิวของมันขาวอย่างยิ่ง
ทุกสัดส่วนของมันดู ขาวบริสุทธิ์
แม้กระทั่งผมเผ้าก็ขาวราวเย้ยหิมะ
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายสะดุดตา
เสียดาย...นับแต่ข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี่
ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมันลืมตามาก่อน....
บุรุษผู้หนึ่งในแผงน้ำชากล่าวขึ้น
มันย่อมไม่ลืมตา เพราะ มันเป็นคนตาบอด...ผู้หนึ่ง
เจ้าของแผงน้ำชา ตอบให้กับแขกผู้มาเยือนเมืองแห่งนี้
ข้าพเจ้ารู้สึกบุรุษผู้นี้น่าสนใจยิ่ง
ท่านพอจะเล่าให้ข้าพเจ้าฟังได้หรือไม่
เสียงสดใสไพเราะราวไข่มุกร่วงบนจานหยก
ดังมาจากดรุณีน้อยวัยสิบเจ็ดสิบแปดนางหนึ่ง
จากการแต่งกาย คาดเดาได้ว่า
นางคงเป็นบุตรหลานของชนชาวบู๊ลิ้มคนหนึ่ง
เจ้าของแผงน้ำชา เหลืบมองนางแวบหนึ่ง
ก่อนกระแอมเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น
....มันมีนามว่า....มากรัก.....
คนผู้หนึ่งมีนามว่า มากรัก .
.ท่านอาจคิดเห็นว่า นิสัยของมันคง มากรัก
..เช่นกับนามของมัน
แต่แท้ที่จริงแล้ว ในชีวิตของมันเพียงมากรัก
เพียงครั้งเดียว นอกนั้น ชีวิตของมันกลับ..ไร้รัก..
ไฮ้..ไฉนจึงเป็นเช่นนี้
ดรุณีน้อยอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
เพราะ . ..ชีวิตของมันตั้งแต่เยาว์วัยจวบเติบใหญ่
น่าสมเพชเกินไป และ น่าอเนจอนาจเกินไป
มันเป็นกำพร้า หนึ่งร้อยสามสิบชีวิต ยกเว้นมัน
ถูกสังหารภายในคืนเดียว
การสังหารโหดเหี้ยมสิ้นสุดลงอย่างไร้ร่องรอย
มันเป็นการฆาตกรรมที่เป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
หรือบางทีอาจมีแต่มันที่ทราบ
ใครคือฆาตกรที่สังหารคนในครอบครัวของมันจนหมดสิ้น
ไม่มีใครรู้ว่า เด็กกำพร้าผู้หนึ่ง
ไฉนจึงมีวรยุทธ์ล้ำเลิศปานปาฏิหาริย์
ยามที่มันเข้าสู่วงนักเลง
หมู่มารมิจฉาชีพกลับหลบลี้หนีหน้า ฝ่ายธรรมะ
กลับให้ความเกรงอกเกรงใจต่อมัน ราวเป็นประมุขบู๊ลิ้ม
ท่าน...ท่าน...บุรุษผู้นี้คือ...........
นางส่งเสียงสั่นสะท้าน ทั้งตื่นตกใจ ทั้งตื่นเต้น
หากยัง มิทันเอ่ยนามของบุรุษปริศนาออกมา
เจ้าของแผงน้ำชารีบพรายตาบอกใบ้
ให้นางอย่าได้เอ่ยนามมันเด็ดขาด
เพียงเห็นริมผีปากสดใสดุจกลีบกุหลาบ
เผยอขึ้นและหุบลง อย่างแสนเสียดาย
...ชีวิตของมัน เหมือนดาวตก...ที่สว่างเจิดจ้า
ก่อนดับแสง...เพียงสองปี
ที่มันคลุกคลีอยู่ในวงนักเลง
จากนั้น นามของมัน...กายของมัน
ก็หายสาบสูญ ....มาตรแม้นจะมีผู้คนออกตามหา
แต่ทว่าข่าวของมัน
ก็เหมือนกรวดทรายทิ้งสู่ทะเล
...จนกระทั่งวันหนึ่ง...มันก็มาปรากฎกายที่นี่
คล้ายดั่งมารอคนผู้หนึ่ง..
รอเนิ่นนานอย่างยิ่ง...
ท่านรู้ไหมว่า..ผู้อา...มันรอผู้ใด
ดรุณีน้อยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
เล่าอูไม่ทราบ มันไม่เคยบอกกล่าวมาก่อน
งั้นช่วงที่มันหายไป ท่านทราบหรือไม่ว่า มันไปอยู่ใด
ทราบ ...ละเอียดยิ่ง
มันถึงกลับทอดทิ้งชื่อเสียง
ทอดทิ้งความแค้นทั้งหมด เพราะ สตรีนางหนึ่ง
สตรีที่มันรักอย่างยิ่ง
....นางมีนามว่าสั้นๆ ว่า อาเซาะ.....เซาะที่หมายถึง หิมะขาว
นางเป็นสตรีปริศนาเช่นกัน
แม้แต่เล่าฮูก็มิทราบชาติกำเนิดของนาง
หากเล่าฮูเคยพบนาง
ความงามของนางนั้น เฮ้อ....พูดไปออกจะเหลือเชื่อ
ในบู้ลิ้มที่ผ่านมา รอบร้อยปี ต่างโจษจันกันว่า
ราชธิดาหอหยกฟ้า
นั้นงดงามยิ่งกว่า ไซซีกลับชาติมาเกิด
เล่าฮูเคยพบนางมาแล้วครั้งหนึ่ง
ก็มีความคิดเห็นเช่นนั้น
แต่พอเล่าฮูพบอาเซาะ....ต่อให้ราชธิดาหยกฟ้า
อีกยี่สิบนางก็ไม่อาจเทียบเทียมความงามของนางได้
... ความงามของนางราวกับ
ไม่ควรจะมีอยู่ในมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง
...เป็นครั้งแรกที่มันมีน้ำใจระหว่างคนต่อคน
....เพราะ มันเป็นคนไร้น้ำใจอย่างยิ่งจิตใจกระด้างอย่างยิ่ง
. อาจเป็นเพราะประสบการณ์เยาว์วัยหล่อหลอม
ให้มันเป็นคนไร้น้ำใจ..
โดยเฉพาะกับอิสตรี ดูเหมือนมันจะชิงชัง รังเกียจ...
แต่กับอาเซาะ แม้มันปรารถนาจะชิงชัง
มันปรารถนาจะรังเกียจ
ปรารถนาจะไร้น้ำใจกับนาง
หาก..มันกลับทำไม่ได้... มันรักนางตั้งแต่แรกพบ
และนางก็รักมันตั้งแต่แรกพบ......
ข้าพเจ้าสงสัย เหตุใดดวงตาของมันจึงมองไม่เห็น
ผมของมันใช่หงอกขาวเช่นนี้มาแต่กำเนิด
ชายคนเดิมเอ่ยขึ้น
เดิมทีผมของมัน มิใช่หงอกขาว
ตาของมันไม่ใช่บอด ...
เจ้าของแผงน้ำชาหยุดครู่นึก
ใบหน้าของมันปรากฏแววหวาดหวั่นพรั่นพรึง
วันหนึ่งบนยอดเขาเซียนเหยียบเมฆ
มันกับอาเซาะ อยู่ๆ ลงมือประหัตประหาร
กันอย่างดุเดือด สวรรค์จึงเชื่อในโลกนี้ถึงกับ
มีวรยุทธ์สูงส่งปานปาฏิหาริย์เช่นนั้น
และที่เราแทบไม่อาจเชื่อคือ อาเซาะ
กลับมีวรยุทธ์เหนือกว่ามันอย่างยิ่ง
ศึกในครั้งนั้น มีเพียงเล่าฮูที่มีโชควาสนาได้เห็น
สองวันที่ทั้งสองต่อสู่กัน
สิ่งที่เล่าฮูคลางแคลงมาจนถึงทุกวันนี้คือ
ในเมื่ออาเซาะมีวรยุทธ์สูงกว่ามัน
เหตุใดจึงพ่ายแพ้
นางพ่ายแพ้..... ดรุณีน้อยลืมตากลมโต
มิเพียงแต่พ่ายแพ้ นางยังเสียชีวิตเพราะ มัน
ออกจะเหลือเชื่อ แต่นางตายไปแล้วจริงๆ
เล่าฮูจับชีพจรของนาง ขาดสะบั้นทุกเส้น
ต่อให้ฮูโต๋มารักษาเอง ก็รักษาไม่ได้
ตอนนั้น มันราวกับคนเสียสติ
มันกอดศพนาง นิ่ง ร้องไห้ คืนเดียว ผมมันหงอกขาว
น้ำตาของมันถึงกับเป็นโลหิตไหลรดพื้นหิมะจนแดงฉาน
มันร้องไห้จนสลบไสล
เล่าฮูจึงเคลื่อนย้ายศพนางไปฝัง พอมันได้สติ
มันพบว่า ดวงตาของมันบอดสนิท
มันคลำมือไปบนหลุมฝังศพของอาเซาะ
จากนั้นมันก็วิ่งตะบึงจากไป เล่าฮูตามร่องลอยของมัน
แทบพลิกแผ่นดิน จนกระทั่ง มาพบมันที่นี่
เล่าฮูทิ้งทุกอย่าง เพียงเพื่อรอดูว่า มันมาทำอะไร รอใคร
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบ คงมีแต่ต้องถามมันกระมัง
สายตาทุกคู่ พลันจ้องมองไปยังบุรุษหนุ่ม ผมขาว....
เสียงซอโศกซึ้งลอยอ้อยอิ่งฝ่าหิมะโปรยปราย
ผสานกับเสียง เอื้อนกวี จากริมฝีบางได้รูปของมัน
ต้นหลิวอ่อนช้อยลอยหน้าระเบียง
เหนือเตียงน้อยสายพิณขาดสะบั้น
ห้องหอเหลือแต่เสียงสกุณาที่วังเวง
ทั่วสวนร้างมีแต่กลีบบุบผาที่โรยรา
ความครวญหาอาลัยไม่อาจตัด
ไม่อาจปล่อยให้กาลเวลามาเคี่ยวเข็ญจนลำเค็ญ
ในความฝันเปลี่ยวใจยามสนธยา
ตื่นขึ้นมามีแต่ระทมหมองไหม้
...ตื่นขึ้นมามีแต่ระทมหมองไหม้
.หัวใจของมันกำลังร้องไห้
..ถ้าสิบปี ข้าพเจ้าไม่มาหาท่าน แสดงว่า
ข้าพเจ้าได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ข้าพเจ้าขอโทษที่ปิดบังท่านตลอดมา
..ข้าพเจ้าไถ่โทษแทนซือแป๋ ที่ทำร้ายครอบครัวของ
ท่านจนหมดสิ้น...นางเป็นมารดาข้าพเจ้า
....สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากบอกให้ท่านรู้ไว้..
ข้าพเจ้ารักท่าน....และไม่เคยเสียใจที่ได้รักท่าน....
..อาเซาะ...ฝ่ามือที่ฟาดท่าน..
ข้าพเจ้าเสียใจอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกเฟ้น
แต่พอท่านล้มลง ข้าพเจ้าก็รู้....
ความแค้นดั่งหมอกควัน...คนต่างตายไปหมดสิ้นแล้ว
มิแน่บิดามารดาข้าพเจ้าอาจจะต้องการให้ข้าพเจ้า
ยุติความแค้นนี้
..เพราะ บิดาข้าพเจ้าเป็นหนี้มารดาท่านเหลือเกิน
..อาเซาะกับมัน..ถึงกับเป็นพี่น้องต่างมารดา....
..ข้าพเจ้าจะใช้วิชาที่มารดาถ่ายทอด รักษาตัวอยู่ที่นี่
อีกสิบปีข้าพเจ้าจะไปตามหาท่านเอง
นางส่งเสียงทางลมปราณให้มันทราบ ใ
นวันที่ มันลูบคล้ำหลุมฝังศพนาง มันตื่นเต้นดีใจ
แทบคลุ้มคลั่ง
...สิบปีแล้ววันนี้คือวันครอบกำหนดนัด..
..มันรอ....รอที่จะพบนาง
มันรักนาง....หากไม่รัก..
ไยต้องใช้เวลาสิบปีเพื่อรอสตรีผู้หนึ่ง
ดังนั้น.....มันจึงนับว่าเป็นคนมากรัก.งมงายในรักผู้หนึ่ง
....ตัวไหมจวบจนตายใยจึงสิ้น..
..เทียนไขลามมลายน้ำตาจึงเหือดแห้ง...