วันนี้จริงๆไม่ใช่วันที่เหมาะจะมานั่งเขียนเรื่องสั้น บทความอะไรเลย.. วันนี้มันเป็นวันที่น่าเบื่อและน่าหงุดหงิดที่สุดในโลกสำหรับผมต่างหาก.. แต่ก็เพราะเหตุนี้นั่นแหละ ผมจึงมานั่งตรงนี้ พิมพ์อะไรก๊อกๆแก๊กๆ.. อย่างน้อยใจมันก็สบายขึ้น เวลาที่ได้เขียนอะไรออกมา ............................................... ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ผมบวชพระ.. ตอนแรกก็คิดจะบวชไปงั้นๆแหละ บวช 8 วัน 10 วัน จะไปได้อะไรนักหนา.. ชีวิตในวัดของผมเลยมีแต่นั่งๆนอนๆ.. ก็พยายามที่จะเป็นพระที่ดีด้วยการเอาหนังสือธรรมะมาอ่านเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ลงอีหรอบเดิม. ฟุบหลับมันที่หน้าหนังสือนั่นแหละ บวชแค่ 8 วัน 10 วัน อาจไม่พอที่จะเรียนรู้ธรรมะอะไรให้ลึกซึ้ง แต่ก็เข้าไปเห็นอะไรต่อมิอะไรในมุมมองของ "พระ" บางอย่างเราไม่เคยฉุกใจคิดเมื่อยู่ในฐานะของฆราวาส เรื่องง่ายๆอย่างนึงก็เรื่องข้าวที่ใส่บาตรนี่แหละ.. เวลาไปบิณฑบาตร ญาติโยมหลายคนหวังให้ข้าวที่ใส่ให้พระนั้นจะหอมน่ากิน บางครั้งด้วยความที่บ้านตัวเองไม่ได้กินข้าวหอมมะลิ เพราะว่ามันเกินฐานะ เวลาใส่บาตรจึงเอาดอกมะลิใส่ลงไปในข้าวด้วย เพื่อที่จะได้หอมๆ.. หารู้ไม่ว่า เจ้าดอกมะลิหอมๆนั้น สร้างปัญหาให้กับพระเวลาจะฉันนัก ฉันกันไปก็ต้องคอยเขี่ยดอกมะลิกันไป บางทีผลุบเข้าปากก็ต้องคายออกก็มี.. ดอกมะลิเหมาะแต่เพียงแค่ดม ไม่เหมาะที่จะเอามากิน.. ประโยคข้างบนนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากวัด.. เวลาออกไปบิณฑบาตร ต้องตื่นแต่ตีสี่ตีห้า ออกมาทำวัตรเช้า แล้วก็ตั้งแถว แบ่งสายเพื่ออกไปบิณฑบาตร ตอนที่บวชอากาศก็หนาวเอาเรื่อง ตั้งแถวไปก็สั่นไป.. พระอาวุโสอยู่หัวแถว ไล่เรียงลำดับไปถึงพระใหม่ที่ท้ายแถว.. บวชใหม่ จีวร สบงอะไรก็นุ่งไม่ถนัดนัก เดินบิณฑบาตรไป ก็ห่วงไปว่าสบงจะหลุด ต้องคอยดึงคอยรั้งกันอยู่เรื่อยๆ เจอบ้านไหนที่มีหมาดุก็มักจะโดนเห่าโดนไล่เพราะว่าอยู่ท้ายสุด จะหนีก็ไม่ได้ต้องสำรวม จะไล่ก็ไม่ได้ ต้องสำรวมอีก ก็ได้แต่นึกว่าไอ้เจ้าหมาพวกนี้นี่มันไม่กลัวเกรงบาปกันเสียนี่กระไร เห่าพระกัดพระนี่หมาจะตกนรกไหมนะ.. เดินไปก็สงสัยไป บิณฑบาตร ต้องเดินไปกลับราว 6 กิโลเมตร ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่ใกล้ถ้าคิดว่าต้องย่ำเท้าเปล่าไปบนทางลูกรัง หินสีเทาๆก้อนๆที่ปูถนนนั่นแหละตัวดี เหยียบไปก็โหย่งไป เจ็บจนแหยง.. บางครั้งเจอโยมแก่ๆใจดีตั้งแต่ต้นทาง ออกจากวัดได้นิดนึงแกก็มาใส่บาตร เห็นเป็นพระใหม่แกก็ยิ่งใจดี ใส่เรื่อยมาทุกองค์จนครบ พอปิดท้ายที่พระใหม่แกมีกล้วยน้ำว้าหวีงามๆใส่ให้บนฝาบาตรอีกหนึ่งหวี.. ตกลงวันนั้นเลยต้องแบกกล้วยหวีนั้นเดินต่ออีกร่วม 5 กิโล .. มีอยู่วัน เดินๆเลาะอยู่กันบนริมถนนใหญ่ มีรถกะบะคันนึง แซงปร๊าดผ่านหน้าไปแล้วปาดหน้าแถวพระที่เดินบิณฑบาตรอยู่ทันทีพร้อมเหยียบเบรคฝุ่นตลบ คนขับท่าทางนักเลงใส่เชิ๊ตแบะอก สร้อยทองเส้นใหญ่ ใส่แว่นตาดำ เดินลงมา พระในแถวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก.. แกมาถึงปุ๊บแกก็ควักเงินออกมา เจียดถวายรูปละ 20 บอกว่าเห็นพระแล้วอยากทำบุญ แต่ไม่มีกับข้าว ไม่มีกระทั่งซองใส่เงิน เลยหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าทำบุญกันบ้างถนนใหญ่นั่นแหละ.. นี่แหละนะหัวใจคนไทย เรื่องบาป-บุญ-พระ-เจ้าที่ฝังแน่นในวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง อย่างที่ชาติอื่นยากจะเข้าใจ.. ..วันนั้นพอกลับถึงวัด คุยกันถึงเรื่องนี้ หลวงพี่องค์หนึ่งแกหันมาทางผมแล้วบอกยิ้มๆ.. "พอเห็นรถปาดหน้า ผมก็นึกว่าท่านไปมีเรื่องเอากับใครไว้ก่อนบวชเสียอีก" ..เป็นงั้นไป เด็กวัดก็เป็นอีกสีสันหนึ่งในวัด.. ที่วัดมีเด็กวัดหลายคน แต่ที่ผมจำได้แม่นสุดคือไอ้มุ้ย.. ไอ้มุ้ยอายุราวๆ 6 ขวบได้ เด็กกว่าเขา แต่แสบไม่แพ้ใคร มีอยู่วัน ตอนเย็น มันเข้ามาขอให้ผมต้มน้ำให้เพื่อจะกินมาม่า ผมก็ต้มให้ "ยืมชามกับช้อนด้วย หลวงพี่" เอ้า ขอยืมก็ให้ พอมันต้มมันลวกมาม่าเสร็จมันก็นั่งกินในกุฏินั่นแหละ.. "อื้อฮือ หอมจัง" กินไม่กินเปล่ายังทำหน้าทำตาประกอบเหมือนยั่ว เพราะรู้ว่าพระใหม่ยังไงก็ยังอดหิวมื้อเย็นไม่ได้.. "มุ้ย ออกไปกินข้างนอก".. ก็ยังเฉย สักพักมีเสียงซี๊ดซ๊าดท่าทางว่าอร่อย แถมยังลามปามยกชามมาให้ดมตรงหน้า.. "หลวงพี่ หอมไหม" "ไอ้มุ้ย" เสียงเริ่มเข้ม "ออกไปกินข้างนอก" มันก็ยังงอแงไม่ออก สักพักก็เอาใหม่ "หลวงพี่ ฉันไหม ผมไม่บอกใครก็ได้" ยังมาทำหน้าทะเล้นใส่ แล้วหลวงพี่ก็เลยฟิวส์ขาด "ไอ้มุ้ย จะออกไปดีๆ หรือจะโดนพระเตะ" คราวนี้มันยกชามออกไปแต่โดยดี สงบเสงี่ยม กินเสร็จก็เดินจ๋องเอาชามที่ล้างแล้วมาคืน.. ..ส่วนผมก็ต้องไปปลงอาบัติ.. นึกๆย้อนไปแล้ว มีเรื่องราวโน้นนี้ให้จำมากมาย แม้จะบวชไม่กี่วัน แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้อะไรในทางศาสนาเพิ่มขึ้นกว่าตอนก่อนบวชแม้แต่นิด.. แล้วนี่เราจะบวชทำไมนะ.. บวชให้เป็นประเพณีแค่นั้นเองหรือ.. จะดีไหม ถ้าเปลี่ยนให้คนที่บวชต้องบวชนานๆ บวชเพราะรักที่จะบวช จะศึกษาจริงๆ ไม่ใช่บวชแค่ฉาบฉวย พอให้เรียกได้ว่าบวชเรียนมาแล้ว แต่ถ้าอย่างนั้นจะมีสักกี่คนล่ะที่จะบวช ในสังคมอย่างปัจจุบันนี้.. หรือว่าทางที่เป็นอยู่นี้มันก็ดีอยู่แล้ว.. คิดไปต่างๆนาๆ แต่ก็หาคำตอบที่เหมาะใจให้ตัวเองไม่ได้.. จนวันนึง ได้ไปคุยกับเพื่อนสนิทที่บวชทีหลังปีนึง มันก็บวชสั้นๆเหมือนกัน ราว 10 กว่าวัน ถามขณะที่เพื่อนยังครองผ้าเหลือง ว่าบวชแล้วรู้สึกได้อะไรบ้างไหมจากการบวช คุ้มไหมกับการเสียเวลางาน เสียเงินเสียทอง เพื่อมาบวชตามประเพณี.. เพื่อนนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วค่อยตอบช้าๆ "ไม่รู้สินะ แต่วันที่บวช เห็นโยมแม่ร้องไห้ปลื้มใจที่เห็นชายผ้าเหลืองลูก แค่นั้นก็พอแล้วหละ" .......................................................
8 เมษายน 2548 19:23 น. - comment id 84026
คุณหมอกจาง คะ การบวช ครองกาสาวพัสตร์ เป็นทั้งประเพณี และความมุ่งหมายที่ดีในทางประพฤติกรรมมนุษย์ ไม่ว่าจะบวชเพื่อการใด นานมากน้อยแค่ไหน.. ความสำคัญ อยู่ที่ใจ ของคนครองผ้าเหลืองนะคะ ความปลาบปลื้มของบุรพการี เป็นความเชื่อมั่น ว่าท่านจะได้ไปยังสวรรค์ หากบุตรได้บวช... แต่ในอีกแง่คิดหนึ่ง แม้ไม่ได้บวชสักครั้งเดียว ทว่ามีคุณธรรมเปี่ยมใจ ใช้ชีวิตถูกครรลองทาง บิดามารดาย่อมสุขใจ เหมือนไปเยือนสวรรค์แล้ว .......................................... เรื่องที่คุณเล่าให้เห็นอารมณ์ขัน จากมุมนกขมิ้น คุณได้รับรสแห่งธรรมแล้วนะคะ อย่างน้อย..ก็ได้แผ่เมตตา ยามที่มีสึนัขไล่เห่า ได้เรียนรู้ว่าการแบกกล้วยห้ากิโลเมตรต้องมีมานะและขันติธรรม...ทั้งยังได้เรียนรู้ว่า ความหิวในเวลาห้ามฉันเพราะพ้นเพลนั้นเป็นเช่นไร..ต้องแลกด้วยอะไรให้เห็นประโยชน์เหล่านั้น เมื่อได้ลาสิกขาบทแล้ว..ย่อมตระหนักได้ว่า อยู่สงบไม่มีภัย เป็นความสุข ไม่ต้องเหนื่อยยาก ไม่ต้องอดยามหิว ก็เป็นสุข เพียงเป็นสุข ในชั้นสถานของปุถุชน ที่อยู่ปกติ ไม่เบียดเบียนใครด้วยกาย วาจา ใจอีกต่อไป.. ทั้งหมดนั้น คือผลกุศลที่คุณหมอกจางได้รับค่ะ ...............................................................
8 เมษายน 2548 20:11 น. - comment id 84028
บางเวลา .. หากจิตจับกับปัญหาที่โถมทับเราอยู่ ... มันก็ยากกับการหาทางแก้ไข ... เปลี่ยนความคิด .. หลบเข้าไปอยู่ในโลกของเรื่องอื่นเสียบ้าง .. จะทำให้จิตใจปลอดโปร่งมากขึ้น ... กี้เองก็มักใช้วิธีนี้บ่อยค่ะ .. ยามทุกข์ .. เขียนเรื่องสนุก .. ยามสุข .. ก็เขียนเรื่องที่ทำให้คิดแล้วสุขมากขึ้นไปอีก .. มีหลายอย่างที่ทำให้คิดได้จากเรื่องนี้ค่ะ ... .. ดอกมะลิเหมาะแต่เพียงแค่ดม ไม่เหมาะที่จะเอามากิน ... ของบางอย่าง .. เพียงแค่มองและจินตนาการ ... ความเป็นมันดูดี .. กลิ่นหอม .. แต่หากเสพย์เมื่อใด .. มันก็ยังคงความหอมอยู่ .. แต่ความหอมที่มันมีนั้น กลับทำให้ผู้เสพย์ไม่พึงพอใจ ... ไม่เหมาะแก่การเสพย์ .. บวชให้เป็นประเพณีแค่นั้นเองหรือ.. จะดีไหม ถ้าเปลี่ยนให้คนที่บวชต้องบวชนานๆ บวชเพราะรักที่จะบวชที่จะศึกษาจริงๆ ไม่ใช่บวชแค่ฉาบฉวย พอให้เรียกได้ว่าบวชเรียนมาแล้ว แต่ถ้าอย่างนั้นจะมีสักกี่คนล่ะที่จะบวช ในสังคมอย่างปัจจุบันนี้.. การได้ลิ้มรสในบางอย่างเพียงชั่วคราว .. อาจทำให้เขารู้สึกได้ว่า .. รัก .. ในสิ่งนั้นเพียงใด .. และคงจะลิ้มรสต่อไปด้วยใจรักจริงๆ .. แต่การต้อง .. จำยอม .. ลิ้มรสในสิ่งที่ไม่ปรารถนา .. เป็นเวลานาน .. คงยากที่จะให้เขา .. รัก .. ในสิ่งนั้น .. .. เป็นครั้งแรกค่ะ .. ที่รู้สึกอยากแสดงความคิดเห็นยาวขนาดนี้ .. อ่านงานคุณแล้ว .. รู้สึกถึงอารมณ์เสมอ ..
8 เมษายน 2548 23:35 น. - comment id 84034
..พี่หมอก... เขียน ในสิ่งที่เรน ..ไม่เคยรู้ .. เขียนได้สนุก .. มากด้วยดิคะ .. เรน .. อยากให้เขียน .. แบบนี้ .. อีกนะคะ .. มองเห็นภาพ .. และนึกตาม .. เรนขำจัง .. ทุกครั้ง ที่เรน.. พบพระ .. มามี้ .. บอกให้สำรวม.. ทำให้เรน..กลัว .. ที่จะพูด .. และมองท่าน .. แต่ ตอนนี้ .. เป็นมุมมองใหม่ .. ที่เรนได้รู้.. .. คอมเม้นท์ .. ของพี่กีกี้ .. เรนก็ ชอบ นะคะ .. พี่กีกี้ .. เป็นนักเขียน .. ในดวงใจ ของเรน .. ตอนนี้ เรน ก็ กำลัง .. หัดเขียน เล่าเรื่อง .. ...
9 เมษายน 2548 00:15 น. - comment id 84035
-หญิงสาวผู้งดงาม.. ท่ามกลางอดีตพระมหา... ขอบคุณมากๆครับกับแง่มุมที่ชี้ให้เห็นในคอมเมนท์.. ส่วนตัวผมเชื่อนะว่าการบวช มีอะไรหลายๆอย่างที่ดี ที่รอให้เราได้เรียนรู้ทั้งในระดับสามัญจนถึงปรัชญาที่ลึกซึ้ง แล้วแต่ใครจะหยิบจะฉวยเอามาได้เท่าไรเท่านั้นเอง.. สำหรับผมแล้ว ที่เพื่อนพูดว่า \"ไม่รู้สินะ แต่วันที่บวช เห็นโยมแม่ร้องไห้ปลื้มใจที่เห็นชายผ้าเหลืองลูก แค่นั้นก็พอแล้วหละ\" ..นั่น คืออย่างน้อยที่สุดที่ผู้ที่บวชจะได้รับจากการบวช.. ซึ่งแม้แค่อย่างน้อยที่สุดนั้นนั้น ผมว่ามันก็มีค่ามากมายเหลือเกินแล้วหละ.. กีกี้.. ได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์คนนึงแล้ว:) แปลกเหมือนกันนะ ที่การเขียนทำให้ใจที่มันซัดส่าย หงุดหงิด มันสงบลงไปได้.. การได้เขียนก็รู้สึกดีอยู่แล้ว และยิ่งรู้สึกดียิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าคนที่อ่านก็มีความรู้สึกที่ดีๆกับมันด้วย.. ขอบคุณกับกำลังใจที่ดีมากๆครับ กีกี้ และขอบคุณในแง่คิดมุมมองในคอมเมนท์ด้วย.. เรนจัง.. สารภาพ ว่าก่อนบวช พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน จะว่าห่างวัดก็ไม่เชิง บุญก็ไปทำบ่อยๆ เห็นพระ ก็เหมือนว่าจะเข้าใจพระ แต่พอเปลี่ยนมุมมองจากฆราวาสไปเป็นพระ ภาพที่เห็นก็ดูเหมือนจะต่างออกไป.. ดีใจที่เรนชอบนะ.. อ่านคอมเมนท์ใครต่อใครแล้วก็มีกำลังใจที่จะขีดจะเขียนขึ้นเยอะเลย.. :)
9 เมษายน 2548 11:35 น. - comment id 84036
เรน..ขออนุญาต.. พี่หมอก.. ปริ้นเก็บ.. ในไดฯ.. ของเรน.. นะคะ.. เรน.. ก็..มีความสุข.. จากการ.. ที่เรนได้เขียน.. แม้..บางครั้ง.. จะไม่มีใคร...สนใจ..กับความรู้สึก.. ของเรน.. แต่.. สำหรับ.. ที่ตรงนี้.. คือความผูกพัน.. ที่ทำให้เรน... มี..ความรู้สึก..ดีๆ.. ที่อยากจะเขียน.. เรน.. ขอบคุณ.. พี่หมอก.. และพี่กีกี้..นะคะ..
9 เมษายน 2548 13:59 น. - comment id 84038
เหมือนกันครับ ผมเองก็พึ่ง สึก มา เดือน พฤศจิกายน บวช จำพรรษา ครับ บอกมาคล้าย ๆ กัน แต่ผม ตั้งใจแต่ตอนแรกแล้ว เรื่องหลับก็มีบ้างแต่ไม่บ่อย ไม่รู้ว่า คุณ เป็น เหมือนกัน หรือเปล่านะ เวลา ใกล้ ออก พรรษา เหลือไม่กี่วัน รู้สึกใจร้อน ๆ สำหรับผม การบวช ให้อะไร กับผมมากมาย ทำให้เข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น แล้ว ก็อยู่อย่างใช้ชีวิต ให้ดี พอเพียง หรือว่า ปลง ในระหว่าง บวช ผมเองก็ได้ เขียน บันทึกประจำวัน ไว้เป็นที่ ระลึก ยาม สึก ออกมาเป็น ฆราวาส สำหรับ เรื่องมาม่า ผม ถือคติ ถ้า มีครั้ง ที่ 1 ครั้ง ที่ 2 ย่อม ตามมา จึง ไม่ก่อก็เลยไม่เกิด ยังมีเรื่องเล่าอีกเยอะ จริงไหม ในการบวช ขอบคุณ บุญกุศล ที่เกิดมาเป็น ลูกผู้ชาย ขอบคุณครับ ที่ทำให้ระลึก
10 เมษายน 2548 00:00 น. - comment id 84049
ตามสบายเลยครับเรน.. :) สำหรับคำขอบคุณที่ให้.. ขอรับไว้และขอบคุณกลับเช่นกันครับ.. สำหรับข้อเขียนถ้อยคำที่ดีๆ.. กำลังใจที่ดีๆ.. -------------------------------------------- เรื่องมาม่าผมก็ไม่เคยเหมือนกันครับ แม่จิตร แต่ก็ต้องอาศัยโอวัลตินช่วยบรรเทาความหิวหลายแก้วอยู่เหมือนกัน :) ถึงจะบวชสั้นๆ แต่เห็นด้วยครับว่าเรื่องเล่าจากการบวชนั้นมีอีกเยอะ อีกหลายแง่มุมจริงๆ..เล่าได้เรื่อยๆ ยิ่งเล่าก็เหมือนว่ายิ่งมีเรื่องให้เล่า.. ขอบคุณมากครับที่แวะเวียนมาทักทายกัน
7 พฤษภาคม 2548 20:10 น. - comment id 84624
.. แวะเวียนมาอ่านอีกครั้งค่ะ .. .. เพราะจำได้ว่า .. รู้สึกดีเพียงใดในการอ่านเรื่องนี้ .. .. เลยได้เห็นคอมเม้นท์น้องเรน .. .. ต้องขออนุญาตคุณหมอกจาง .. เขียนถึงน้องเรนสักนิด .. ในบ้านคุณนะคะ .. ... ขอบคุณน้องเรนค่ะ .. แหม .. นักเขียนในดวงใจเลยหรอ .. ... พี่กีกี้เป็นแค่คนชอบเขียนเท่านั้นล่ะค่ะ .. ... แถวบ้านพี่กี้เรียกกันว่า .. เจ้ากี้ขี้โม้ .. ค่ะ .. ... ขอบคุณคุณหมอกจางที่เป็นสื่อให้นะคะ .. ... ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเรนจะแวะเข้ามาอีกหรือป่าว? ... ... แต่ไม่เป็นไรค่ะ .. แค่ได้บอกก็เป็นสุขแล้วจ้า .. ขอบคุณคุณหมอกจางและน้องเรนอีกครั้งค่ะ ..
30 มกราคม 2550 16:24 น. - comment id 94852
ทำไมวัดนี้ไม่สอนวิปัสนากรรมฐานเหรอแล้วอย่างนี้จะได้อะไรจากพระพุทธเจ้าล่ะครับ พระองค์ท่านได้ทรงบอกวิธิปฏิบัติธรรมไว้แล้วนะครับน่าจะบวชวัดที่มีการสอนวิปัสนากรรมฐานนะจะได้รู้ว่าบวชแล้วได้อะไรไปบ้างบ้าง