ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
21 กุมภาพันธ์ 1993 (เดิมเป็นภาษาจีน)
ถึงแม้ว่าการรู้แจ้งของเรานั้นยังมีขีดจำกัด การนำมาใช้ก็ยังดีกว่าที่จะรอเต๋า สัจธรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นขอให้นำมาใช้ในอะไรก็ตามที่เธอเข้าใจ อย่ารีบเร่งที่จะทำเรื่องปาฏิหาริย์ ที่จะดูเรื่องปาฏิหาริย์และเข้าใจโลกปาฏิหาริย์ ให้ทำเป็นขั้นตอน ไม่ต้องรีบเร่ง ตอนเป็นเด็กเมื่อเธอเรียน เอ บี ซี เธอก็เพียงแต่เรียนรู้มันให้ดี แล้วครูก็สอนประโยคให้กับเธอ แล้วเธอก็เข้าใจประโยคเหล่านี้ไม่ใช่รึ ตอนนี้เธอก็รู้ว่าจะเรียนและอ่านอย่างไร เพราะฉะนั้นขอให้ใช้เวลา จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอเพียงแต่อยู่ในชั้นอนุบาล แล้วเธอจะสามารถอ่าน "สามก๊ก" แล้วเธอก็โทษคุณครูของเธอที่ไม่ยอมให้อ่านมัน เธอจะไปคาดหวังไม่ได้หรอกที่จะอ่านหนังสือหรือพระสูตรเมื่อเธอไปโรงเรียนเป็นครั้งแรกหรือหลังจากที่ไปโรงเรียนแค่ 2-3 วัน เธอจะมีความคาดหวังและโทษคุณครูไม่ได้หรอก ในเมื่อเธอไม่ได้เรียนสักนิดในสิ่งที่เธอได้รับการสอนมา
มีหนังอยู่เรื่องหนึ่ง เธออาจจะได้ดูมันมาแล้วชื่อว่า "คาราเต้ คิด" เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายอเมริกาที่ได้เรียนคาราเต้ หลังจากที่เขาได้ถูกทุบตีเขาถึงได้ไปหาชายชรา ชายผู้นั้นได้รับเขาไว้เนื่องจากเด็กชายคนนี้ได้เคยถูกทุบตีหลายครั้งหลายหน
โดยกลุ่มคาราเต้กลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามก่อนที่จะสอนเด็กชายคนนี้ เขาได้ให้เด็กชายคนนี้สัญญาว่าเขาจะเชื่อฟังไม่ว่าเขาจะพูดอะไร จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะสอนให้ทำอะไร และจะเรียนรู้ให้ดี เด็กชายให้สัญญา เด็กชายถูกให้ทำอะไร? ล้างและขัดรถและพื้น ทำความสะอาดและทาสีกำแพงเป็นเวลาหลายวัน แม้ว่าเขาจะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเขาก็หยุดพักไม่ได้ ในที่สุดเด็กชายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วก็บ่นว่า "ฉันมาเรียนคาราเต้ แต่ท่านไม่ได้สอนอะไรให้ฉันเลย! "
เขาใฝ่กระหายมากที่จะเรียนคาราเต้เพื่อแก้แค้นและปกป้องตัวเขา จนเขาคิดว่าครูของเขาไม่ได้สอนอะไรเขาเลย มันดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เรียนคาราเต้ เขาบ่นว่าเขาถูกใช้และถูกกระทำเยี่ยงคนงานและทาส เขารู้สึกว่าเขาถูกหลอก และวิจารณ์ครูของเขามากมาย ดังนั้นครูจึงถามเขาว่า "เธอเช็ดรถเป็นอย่างไรบ้าง? " เขาบอกให้เด็กแกล้งทำเป็นเช็ดรถ แล้วเด็กชายนั้นก็ก้มลงและเริ่มต้นเช็ดรถในอากาศ ครูพูดว่า "ไม่ใช่ ยืนเช็ดก็ได้ ให้ทำท่านั้นไปเรื่อยๆ " แล้วครูก็โจมตีเขา แล้วเด็กชายก็ใช้การเคลื่อนไหวอันนั้นสกัดกั้นเขาไว้ เขาทำมันได้ แล้วครูก็บอกเขาให้ "เช็ดกำแพงด้วยมือทั้งสอง" แล้วครูก็โจมตีเขาอีก เด็กชายสกัดกั้นกำปั้นอีกครั้งขณะที่เขากำลัง "เช็ดกำแพง" ครูโจมตีเขาไปเรื่อยๆ เด็กชายก็สกัดกั้นการโจมตีได้เรื่อยๆ โดยการเคลื่อนไหวแบบเดียวกับที่เขาทำงานประจำวันของเขา สิ่งที่ครูบอกให้เขาทำ ไม่ใช่เป็นงานธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นท่าเคลื่อนไหวของกังฟู ยกตัวอย่าง ถ้าเราเช็ดแบบส่งเดช มันก็จะแตกต่างออกไป การเคลื่อนไหวของเขาเป็นเทคนิค เขาบอกให้เช็ดจากตรงนี้ไปตรงนั้น จากตรงนั้นเช็ดลง แล้วก็ไปทางซ้าย แล้วไปทางขวาแบบนี้ทั้งหมดเป็นท่าเคลื่อนไหวของกังฟู
ปกติเราจะฝึกท่าแบบเดียวกันในสตูดิโอ จะเป็นการดีกว่าที่จะใช้มันตลอดเวลา เขาได้สอนเด็กแค่สองเดือนเท่านั้น แล้วเขาก็มีความแคล่วคล่องในกังฟู ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เทคนิคของเขาในงานเล็กๆน้อยๆ ประจำวันของเขา มิฉะนั้นแล้วเพียงแค่ฝึกวันละสองชั่วโมงครึ่งเป็นเวลาสองเดือน เราจะไปเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้ฝึกมาหลายๆ ปีไม่ได้ -- โดยเฉพาะเมื่อเด็กชายนั้นไม่เคยฝึกกังฟูมาก่อน เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาๆ และภายในสองเดือนเขาก็ได้รับการฝึกฝนและกลายเป็นเด็กที่เก่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา นี่ก็เป็นเพราะครูของเขาบอกให้เขาใช้ท่าการเคลื่อนไหวในงานประจำวันของเขา อย่างเช่น การขัดพื้น ดังนั้นทุกอย่างที่เขาทำจึงกลายเป็นการฝึกกังฟู ด้วยวิธีนี้เขาก็ได้เรียนรู้เทคนิคทุกอย่างเป็นอย่างดีมากในเวลาแค่สองเดือน
ในทำนองเดียวกัน บางครั้งอาจารย์สอนเราบางอย่างและไม่ให้เรารู้ว่าเรากำลังถูกสอน ถ้าหากอาจารย์ประกาศออกมาว่า "ฉันกำลังสอนเธอ" มันก็จะแย่เกินไป ชีวิตของเขาก็คือคำสอนของเขา คำพูดและการกระทำของเขามีไว้เพื่อสอนเรา เขามีคุณสมบัตินี้อย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นถ้าเรารอ คาดหวังให้เวทมนต์หรือสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เราก็จะห่างไกลไปจากเป้าหมายของเรามากยิ่งขึ้น เราจะมองไปข้างหน้าไกลเกินไป ดังนั้นฉันจึงได้บอกเธอว่า เธอจะสังเกตเห็นได้และจะได้รับการรู้แจ้งจากแง่มุมต่างๆ กันในงานประจำวันของเธอ..