24/1/2556
คำนำ
ผมมาอยู่ที่เมืองนี้เกือบหกเดือนแล้ว แรกๆ ผมก็ยังรู้สึกแปลกนะครับ ก็เมืองในจินตนาการของผม ที่มันหลุดลอยไปแล้วนั้น จู่ๆ มันก็กลับมาโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจออีกแล้ว เมื่อครั้งก่อนโน้นที่ผมบ่ายหน้าจากเมืองกรุงมุ่งสู่เมืองตะเข็บชายแดน ผมก็ได้แต่วาดฝันไว้ว่าเมืองที่ผมจะไปอยู่นั้น มันจะไม่เป็นอย่างเมืองที่ผมเคยสัมผัสมาก่อน แต่จนแล้วจนรอด ความสาวของเมือง ก็ทำให้เมืองถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา จากเมืองแห่งความเงียบ ก็กลับกลายเป็นอะไรที่ไม่ต่างจากเยาวราชหรือตรอกข้าวสารสักเท่าไหร่
นั่นแหละครับในที่สุด ความพลุ่งพล่านของผู้คน มันก็ถีบผมออกมาเอง โดยที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน ผมโบกมืออำลาให้กับเมืองที่ผมคิดว่าจะใช้เป็นสถานที่ที่ใช้ดินกลบหน้า
แล้วจะไปที่ไหนดีล่ะ...เมืองในอุดมคติมันยังมีอยู่หรือ
เพ้อฝัน...หรือเพ้อเจ้อ?
ผมก็ยังแอบถามตัวเองอยู่ลึกๆ
ก่อนการเดินทางสักหนึ่งสัปดาห์เห็นจะได้ รุ่นพี่คนหนึ่งให้ผมหยิบยืมหนังสือของคุณลุงรงค์ ผมนั่งอ่านอยู่สามวัน เออ...นะสิ่งที่เราเป็น อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไม่ได้ นั่นสิ...เราควรจะดำเนินชีวิตในสิ่งที่เป็นเราจริงๆ และไม่ควรจะทนอยู่กับสิ่งที่เราอยู่แล้วไม่ได้สร้างสรรค์อะไรให้กับชีวิต
ดังนั้น...
ผมจึงตอบรับคำชักชวนของญาติผู้ใหญ่ หลังจากที่ท่านบอกเล่าว่าไม่มีใครช่วยทำงาน
และแล้วการเดินทางของผมมันเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้ผมออกห่างจากกรุงเทพพระมหานครไปอีกหลายร้อยกิโลเมตร และอยู่สูงกว่าทุกเมืองที่ผมเคยอยู่มา นั่นแหละครับ มันก็เป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด มันมีทั้งสิ่งที่ผมพอจะรู้มาบ้าง สิ่งที่ผมรู้อย่างลึกซึ้ง และสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน...
ก่อนนั้นผมอยู่ที่ตะเข็บชายแดนแห่งลุ่มน้ำใหญ่สายหนึ่ง บัดนี้ผมอยู่ในลุ่มแม่น้ำสาขา ที่ไหลลงสู่แม่น้ำสายนั้น ความเป็นมาและความเป็นไป มันน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่ (ในบางเรื่อง) ซึ่งบางสิ่งผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน เอาเป็นว่าเรื่องราวต่อไปนี้ มันเรื่องที่ผมประสพมากับประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งหกของผมก็แล้วกัน มีอะไรก็หยิบจับเอามาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง สนุกบ้างไม่สนุกบ้าง มีสาระบ้าง เบาสมองบ้าง คละเคล้ากันไป ลองอ่านดูก็แล้วกันนะครับ
สมภพ แจ่มจันทร์
มกราคม 2556