ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
คัดจากหนังสือ Secrete to Effortless Spiritual Practice
ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องอุทิศทั้งชีวิตเพื่อความดี เพื่อความก้าวหน้าของมนุษยชาติของทั้งโลก ของทั้งจักรวาล วิสัยทัศน์ของเราต้องยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่กว่าการมีชีวิตอยู่ มันต้องสูงส่งมากอย่างที่เราไม่มีอะไรอื่นต้องเสียอีกแล้ว เราไม่กลัวสิ่งใดเลยในความยิ่งใหญ่ของทัศนะเช่นนี้ อุปสรรคทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ความไม่สะดวกสบายส่วนตัวทุกอย่างกลายเป็นสิ่งไม่สำคัญ สำหรับวิสัยทัศน์เช่นนี้ ฉันไม่ได้รู้สึกว่าเรากำลังคุยกันเหมือนกับฝันเฟื่องหรือกำลังสร้างมโนภาพ แต่ฉันรู้สึกว่ามันจะเป็นจริงได้วันใดวันหนึ่ง มันอาจจะเริ่มงอกรากไปแล้ว แต่มันจะต้องแตกกิ่งก้านออกมาทุกทิศทางและแตกหน่อใหม่ ออกดอกใหม่ มันต้องเติบโตขึ้น โตขึ้น รวดเร็วขึ้นและห่อหุ้มโลกทั้งโลกด้วยจิตวิญญาณแห่งความรักและการรับใช้ การรับใช้อย่างไม่มีเงื่อนไข
อะไรอย่างอื่นอีกที่เราต้องการจากโลกนี้ นอกจากเสื้อผ้าเพียง 2-3 ชุดและอาหารที่พอเพียงเพื่อให้ร่างกายคงอยู่ได้ ทำไมเราต้องกังวลเรื่องความมั่งคั่ง เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องตำแหน่ง อำนาจ และการยอมรับในโลกนี้ด้วย ถ้าเรารู้ว่าเราไม่สามารถรับประทานอาหารได้วันหนึ่งมากกว่า 2-3 มื้อ ถ้าเรารู้ว่าเราต้องการเสื้อผ้าเพียงแค่ 2-3 ชุดเพื่อให้ร่างกายเราอบอุ่น เราไม่มีความกลัว ถ้าเราเข้าใจว่าความต้องการของเรามีน้อยมาก
ถ้าเราสลัดเครื่องนุ่งห่มที่เป็นกายเนื้อนี้ออกไป แน่นอนเราก็จะได้รับอีกร่างกายหนึ่งถ้าเราต้องการมัน แต่ถ้าเราไม่ต้องการมันก็ไม่เป็นไรเช่นกัน ถ้าเราไม่กลับมาอีกมันก็ดีอีกเหมือนกัน ตราบเท่าที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เราต้องใช้ชีวิตของเราให้มีความหมาย เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรอื่นๆ อีกหรือ เราอาจจะตายเร็วหรือช้า และถ้าเรามองย้อนกลับไปจากโลกใบอื่น ไปยังอดีต ไปยังหลายสิบปีก่อนของชีวิตเรา และเราไม่เห็นสิ่งใดที่มีความหมาย ไม่เห็นสิ่งใดที่น่ายกย่องที่เกี่ยวกับการกระทำ คำพูด และความคิดของเรา แล้วเราก็จะรู้สึกมีภาระหนักหน่วงมาก ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงต้อง(เวียนว่าย)กลับมาในโลกนี้อีก
ไม่มีใครมานั่งตัดสินในสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเราเอง นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราไม่สามารถวิ่งหนีมันไปพ้นได้ พระเจ้าอาจจะอภัยให้เรา โลกทั้งโลกอาจไม่รู้เกี่ยวกับการกระทำของเรา แต่ตัวเรารู้ เราเป็นเพียงผู้เดียวที่เราเองไม่สามารถหลอกลวงได้ เราไม่สามารถพูดโกหกกับตัวเราเอง และไม่สามารถวิ่งหนีไปจากตัวเราเองได้ ดังนั้นอะไรก็ตามที่เราทำ เราควรจะมั่นใจว่ามันเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา เมื่อเราทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เราก็จะทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเองด้วย เราเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาของเราเองว่าเราทำอะไรลงไป และผู้คนได้รับประโยชน์จากมันอย่างไร โลกก้าวหน้าไปด้วยความพยายามของเราอย่างไร เรารู้อย่างชัดแจ้ง เป้าหมายของเราต้องสูงส่ง ต้องสูง ต้องยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นจะมีประโยชน์อะไรกับการใช้ชีวิตที่เหมือนอย่างกับสัตว์ ที่เกิดมาเพื่อกินอาหาร ทำงาน เลี้ยงลูก และไม่มีอะไรอื่นอีก ไม่มีความคิดที่สูงขึ้น ไม่มีเป้าหมายที่สูงส่ง ทำไมเราจะเป็นแค่คนธรรมดาที่ต่ำต้อยมาก ในเมื่อเรามีพลังอำนาจอันมหาศาลเช่นนี้ มีจิตวิญญาณที่สูงส่งเช่นนี้
เราได้รับการถ่ายทอดหลักคำสอนอันสูงส่งจำนวนมากจากอาจารย์ต่างๆ ผู้ที่เมตตาต่อโลกของเราด้วยการมาปรากฏของท่าน ด้วยปัญญาของท่าน ด้วยพระพรอันชั่วนิรันดร์ของท่าน ทำไมเราจึงเป็นแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ แทนที่ผู้กว้างขวาง เติบใหญ่ มีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นจำนวนมากและต่อจิตสำนึกรู้ผิดชอบในตัวของเราเอง - เมื่่อเราเห็น เมื่อเรารู้สึก เมื่อเรารู้สิ่งที่เราได้กระทำไปในชีวิตของเรา ตราบเท่าที่เรายังหายใจเอาอากาศนี้อยู่ เราได้เรียนรู้ทุกๆ สิ่ง เพื่อทำประโยชน์ต่อผู้อื่น นั่นคือวิธีที่เราจะทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง นั่นคือวิธีที่จะทำให้จิตวิญญาณของเราสูงส่งและเติบใหญ่มากขึ้น เพื่อที่จะกลายเป็นเช่นนักบุญคนหนึ่ง..