ที่ อ. สิเกา ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมเยียนบุคคลที่ผู้เขียนนับถือเป็นพี่สาว แล้วใช่ว่าจะมีโอกาสบ่อยนักที่ผู้เขียนจะมีโอกาสลงไปหา พอดีสบโอกาสตรงที่ครูผู้สอนภาษาอรับของผู้เขียนต้องลงไปเยี่ยมญาติ เนื่องในโอกาสวันอีดิ้ลอัฏฮา ผู้เขียนได้รับทราบล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่า พี่สาวได้รับอุปการะเด็กชายผู้นี้ไว้ หากนับญาติกันแล้วถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันโดยสายทางบิดาของเด็กชายผู้นี้ ผู้เขียนเอง แม้จะเตรียมใจมาอยู่บ้างแล้วว่าจะต้องพบกับเขาในสภาพที่ไม่เคยเจอมาก่อน เด็กชายเมาคลีลูกหมาป่า เด็กลูกป่า ผู้เขียนเคยอ่านแต่ในหนังสือซึ่งเป็นเรื่องเล่า ผู้เขียนนึกไม่ถึงว่า ตัวตนจริงของตัวละครในหนังสือที่เคยอ่านนั้น ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้เช่นกัน เด็กชายผู้นี้อายุย่างเข้า ๑๒ ปี มีน้ำหนักตัวเพียง ๑๙ กิโลกรัมเท่านั้น แต่นั้นยังดูดีกว่าเมื่อเทียบระดับสมองด้วยแล้ว เขามีสติปัญญาเทียบเท่าเด็กอายุ ๓ ขวบเท่านั้น แววตาของเขาดูสดใส ไร้จริตใดให้เป็นกังวล ภาษาพูดที่ยากต่อการเข้าใจ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเขา ต้องอาศัยผู้คนรอบข้างเอาใจใส่ การจะพัฒนาเขาต้องพัฒนามารดาของเขาควบคู่กับไปด้วย ซึ่งเป็นยากที่จะปรับคนที่มีอายุ ๕๔ ให้เรียนรู้ ผู้เขียนได้แต่ฟังเรื่องราวที่พี่สาวเล่ามา .. สามเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสอนให้รู้จักใช้ช้อนทานข้าว และเข้าห้องน้ำแทนที่จะวิ่งเข้าทุ่งเข้าป่า แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า ปัจจุบันนี้ยังมีบางคนที่ดำรงชีวิตแบบลูกป่าเช่นนี้ ผู้เขียนได้แต่นั่งฟังและนึกภาพตาม พลางคิดอยู่ในใจว่า จะทำอย่างไรดี เพื่อจะช่วยเหลือเขา ลำพังมารดาของเขาคงอาศัยอะไรไม่ได้มากนัก เส้นทางข้างหน้าของเขาดูมืดมนซึ่งผู้เขียนไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นเลย ผู้เขียนยังจำสีหน้าและแววตาของเขาได้ เขาไม่ได้ตื่นประหม่าต่อคนแปลกหน้าแต่ประการใด เขาชอบที่จะสนทนาด้วย ผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยเข้าใจภาษาพูดของเขาเท่าใดนัก จำได้ว่า ผู้เขียนชักชวนให้เขาตัดเล็บมือ เขาแสดงอาการหวาดกลัว เขาปฏิเสธที่จะให้ผู้เขียนช่วยเหลือเขา เขาบอกว่าเจ็บ จะตาย .. แม้ว่าผู้เขียนจะเอาขนมมาหลอกล่อประการใด ก็ยังไม่สำเร็จ เขาคงรอให้มารดาของเขาทำให้ดูก่อนว่า การตัดเล็บจะไม่เป็นอันตรายสำหรับเขา ซึ่งผู้เขียนก็รอที่จะให้มารดาของเขาทำเป็นตัวอย่าง ยังคงมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้ และนั่นก็หมายความว่าเรื่องเหล่านั้นจะต้องนำมารดาของเรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย ค่ำนั้น ผู้เขียนและพี่สาวอยู่คุยกันนาน ถึงแนวทางที่จะดูแลเขา และความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาการเรียนรู้ของเขา รวมถึงการที่เขาจะได้มีโอกาสไปเรียนหนังสือ จนถึงตอนนี้ ผู้เขียนก็ยังไม่อาจลืมแววตาของเขาได้ แววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ รอยยิ้มที่เขาแต้มสีสันให้กับโลกหม่น ๆ เด็กชายผู้มีอารมณ์ดี กระทั่งเจ้าหมูแฮม สุนัขเลี้ยงในบ้าน เขายังร้องเพลงให้มันฟังอย่างสนุกสนาน และดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขอยู่กับโลกส่วนตัวของเขา สองเท้าที่เปล่าเปลือยวิ่งเล่นไปตามสวน ปากก็พร่ำร้องเพลงไป ผู้เขียนไม่แน่ใจนักว่าจะอิจฉาเขาหรือสงสารเขาดี
ก่อนที่ผู้เขียนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ผู้เขียนให้สัญญากับเขาว่า แล้วจะกลับมาเยี่ยมใหม่นะ เจ้าชายน้อย อย่าดื้อนะ เขายิ้มแปล้ตอบรับ ว่า อะเคโระ มาฝะ โด้ย สิ่งที่ผู้เขียนให้สัญญานั่นหมายถึงผู้เขียนต้องเตรียมตัวอะไรบางอย่างเพื่อเขา และเพราะเขานี่เอง ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเจ้าชายน้อยอีกคน ซึ่งผู้เขียนไม่เคยเห็นหน้า เพียงแต่ผู้เขียนเคยทราบเรื่องราวจากเพื่อนสนิทผู้ซึ่งเป็นพี่ชาย เจ้าชายน้อยคนนั้นต่างจากเจ้าชายน้อยที่ผู้เขียนเพิ่งจากมา ความแตกต่างทางสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าชายน้อยทั้งสอง ทำให้โอกาสที่จะดูแลเจ้าชายน้อย อาจจะต่างกัน แต่ผู้เขียนมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า .. ผู้เขียนมีความปรารถนาดีต่อเจ้าชายน้อยทั้งสอง ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย ..
เจ้าชายน้อยยังไม่มีโอกาสไปเรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่น ๆ และไม่ใช่ว่า ผู้ดูแลเขาจะไม่พยายามหาที่โรงเรียนที่เหมาะสมให้เขา มีอยู่โรงเรียนหนึ่งในจังหวัดตรัง ที่ไปติดต่อมาเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องการเรียน ซึ่งทางโรงเรียนนั้นกำหนดไว้ว่า ต้องเป็นเด็กพิเศษที่มีปัญหาพิการซ้ำซ้อนเท่านั้น จึงรับเข้าชั้นเรียน เจ้าชายน้อยไม่ได้เป็นเด็กที่มีปัญหาพิการซ้ำซ้อน ดูภายนอกแล้วเขาแข็งแรงมาก ๆ ถึงแม้ว่าน้ำหนักตัวจะน้อยและเป็นโรคขาดสารอาหาร แต่เขาก็มีสุขภาพดี วิ่งเล่นอย่างมีความสุขได้ทั้งวัน คนรอบข้างเขาต่างหากที่มีสีหน้าอมทุกข์และเป็นกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเขาในอนาคต ผู้เขียนเองแม้จะคลุกคลีด้วยในระยะเวลาอันสั้น ก็ยังอดเห็นห่วงเสียมิได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เห็นแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ผู้เขียนต้องรำพึงกับตัวเองว่า เจ้าชายน้อยจะรู้อะไรบ้างไหมหนอ ชีวิตข้างนอกมีทั้งสิ่งที่สวยงามและโหดร้ายต่อเขา เขาจะเรียนรู้วิธีดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างไรในภายภาคหน้า ใครจะดูแลเขาต่อ .. และเขา .. และ เขา ... ต่าง ๆ นา ๆ ที่ผู้เขียนคิดในใจ ...เสียงหัวเราะเริงร่าของเขา ...ทำให้ส่วนลึกในใจของเรารู้สึกอิจฉา ...ยามได้ยินเสียงร้องเพลง ที่เขาร้องไม่เป็นเพลงมา ...เสียงนั้น..ยังดีกว่า เสียงครวญในหัวใจเรา ...เจ้าชายน้อย..เจ้าชายน้อย.. ...แม้สติปัญญาเจ้าด้อยกว่าคนอื่นเขา ...ผิดแต่ว่า โศกนั้นเรามิเคยบรรเทา ...อยากสุขอย่างเจ้า บางคราว บางคืน ...เจ้าชายน้อย..เจ้าชายน้อย.. ...ปราศจากทุกข์ใดให้ขมขื่น ...ผิดกับเรา เศร้านั้นยั่งยืน ...สู้ทนฝืน...แสร้งยิ้มชื่นเรื่อยมา
27 มกราคม 2548 15:45 น. - comment id 82324
แวะมาอ่านงานของนางฟ้าผู้ปราณี ทุกสิ่งทุกอย่างหากเรากำหนดได้ก็คงไม่ต้องเห็นความแตกต่างระหว่างกัน แต่โลกนี้ได้กำหนดกฏเกณฑ์ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือแล้วบุญหรือกรรมที่ตามติดมาที่ทำให้คนเราแตกต่างกัน คงอยู่ที่เราจะยอมแพ้หรือต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้น บางสิ่งบางอย่างเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราก็สามารถทำให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ โดยการช่วยเหลือ ให้กำลังใจ รับรู้ความรู้สึกเท่าที่เรามีกำลังทำได้..โลกนี้ไม่โหดร้ายเสมอไป โลกนี้ยังมีความงามแฝงเร้นอยู่บางครั้งตาเรามองไม่เห็น..แต่หากเราใช้จิตใจมองเราก็จะค้นพบสิ่งเหล่านั้นซึ่งไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเท่าไหร่เลย...........นะนางฟ้า......
27 มกราคม 2548 17:51 น. - comment id 82327
With admire. I would like to share some more opinions, but my English is not good enough. By the way, goodluck naja le petit prince
27 มกราคม 2548 19:23 น. - comment id 82329
มาดูรูป เจ้าชายน้อยค่ะ
27 มกราคม 2548 21:07 น. - comment id 82330
เจ้าชายน้อยองค์นั้นฝากให้สายลมได้โปรดช่วยพัดพาเอาคำพูดของเขา มาบอกพี่นางฟ้าใจดีอัลมิตราให้ด้วยว่า เขาจะไม่ดื้อ และอยากให้พี่นางฟ้าฯกลับมาหาเขาอีก \"อะเคโดะ มาฝะ โด้ย\" -รักษาการผู้ช่วยบุรุษไปรษณีย์ทางอากาศ -พระพายลักษมณ์ :} :) :]
28 มกราคม 2548 02:20 น. - comment id 82337
มาอ่านนิทานก่อนนอน
28 มกราคม 2548 10:58 น. - comment id 82344
อื้อ..มาฟังเรื่องเจ้าชายน้อย.. ...... เราก็มีเรื่องเล่าให้ฟังน่ะ.... วันก่อนตอนเที่ยง เราข้ามสะพานลอยไปทานก๋วยเตี๋ยวช่วงพักกลางวันน่ะ..เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง มานั่งขอตังค์อยู่บนสะพานลอย..เธอดูมอมแมม และเธอปั้นกระดาษเป็นก้อนกลม โยนขึ้นลง (แบบเล่นหมากเก็บน่ะ) ...ในใจเราก็คิดว่าเธอไม่มีคนดูแลหรือ...ฯลฯ..และเดินผ่านไป .. ...ขากลับก็ยังเจอเธอเล่นอยู่ที่เดิม... อีกวันนึง เราก็ใช้เส้นทางเดิม ต้องผ่านเธอ แต่ไม่มีเงาของเด็กคนนั้น.. แต่เราไปเจอเธอที่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เราไปกินกับเพื่อนน่ะ เธอนั่งกินอยู่โต๊ะหลังร้าน..ดูทางร้านก็มีท่าทางมักคุ้นกับเธอดี..จัดอาหาร น้ำดื่มให้อย่างดี..ทีเดียว.. เพื่อนเราก็กินไปมองไป พอดีเราหันหลังให้เธอน่ะ..เลยไม่ได้ทุกอิริยาบท.. พออีกวันเราก็ไปอีกทีแบบอยากพิสูจน์ว่า เฮ้ย!จริงเปล่า..เราก็เจอเธอทุกทีเลย.. เราบอกไม่ถูกว่าเรารู้สึกยังไง..... ....
28 มกราคม 2548 11:08 น. - comment id 82345
ความเมตตาปราณีมักงอกงามในใจผู้อ่อนโยน และรู้สึกถึงความเป็นเพื่อนมนุษย์ แต่บางทีการสร้างภาพนั้นอาจผุดขึ้นกลางใจคนริษยา อย่าเอียงอายที่จะให้ความสำคัญต่อคนที่พิเศษกว่าเรา (หมายถึงผู้ด้อยโอกาส - - ไม่ชอบคำนี้ ง่ะ) อะไรพอทำได้ทำไปเถิด เมื่อวานเจอลูกช้าง เลยซื้อแตงจากครวญช้างที่พามาเรร่อนยังชีพ ไม่ใช่คิดว่าจะส่งเสริมวงจรนี้ ก็มันเกิดจากป่าหมด ความอุดมสมบูรณ์มันมากองที่โลตัส บิ๊กซี ระบบอุตสาหกรรมมันถอนรากถอนโคนอยู่โครม เราก็หนึ่งในอณูนั้น เรื่องราวเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องออกทีวี ก็ดีเกินพอสำหรับโลกบูดๆเบี้ยวๆใบนี้แล้ว ภาพสวยดี ดูสีอ่อนหวานจัง เห็นแล้วอยากทานไอติมเลย
28 มกราคม 2548 12:34 น. - comment id 82354
คุณบินเดี่ยวหมื่นลี้ .. เพียงผู้มีหัวใจเปราะบาง พบเห็นบางอย่างจึงนำมาเล่าให้ฟังในรูปแบบของร้อยแก้ว รอบๆตัวเรา มีทั้งผู้ที่มีโอกาสเหนือกว่าเราและผู้ที่มีโอกาสด้อยกว่าเรา และที่แย่สุดคือ ผู้ที่ไม่มีโอกาส .. หลายวันมานี้ เหตุที่ได้มีโอกาสเดินทาง จึงพบเจ้าชายน้อย และประจวบกับเครื่องคอมที่บ้านมีปัญหา อัลมิตราได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจทีเดียว หนังสือ เล่มนี้กล่าวถึงชายผู้หนึ่ง ซึ่งเดิมทีเหมือนคนปกติทั่วไป แต่แล้วอุบัติเหตุทำให้เขาเป็นอัมพาตทั้งตัว ตาบอด ประสาทบางอย่างสูญเสีย เขาได้คืนแต่เฉพาแแรงกดที่หัวแม่โป้ง เขาเขียนจดหมายถึง ประธานาธิบดี แจ้งความประสงค์ขอความช่วยเหลือ โดยมอบสิทธิ์ที่จะตายแด่เขา แต่ด้วยหลักมนุษยธรรม ไม่มีใครตอบรับคำขอของเขา ในที่สุดแม่ของเขา แม่ที่รักเขายิ่งกว่าสิ่งใด ยอมทำตามสิ่งที่ลูกร้องขอ .. คุณ gluhp.. ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ค่ะ อัลมิตราอยากนำประโยชน์ที่ได้รับจากการเสวนาครั้งนี้ ไปเป็นแนวในการค้นหาวิธีช่วยเหลือเจ้าชายน้อยของอัลมิตราค่ะ คุณทิกิ .. ขอบคุณค่ะ ที่แวะมาเยี่ยมชมภาพ ภาพนี้โหลดมาจากเวป เป็นนิทานเรื่องเจ้าชายน้อยค่ะ ซึ่งก็เป็นคนละความหมายกับที่อัลมิตราเขียนถึง แต่อัลมิตรายังคงเรียกเขา เจ้าชายน้อย .. คุณลักษมณ์ .. เจ้าชายน้อยของอัลมิตรา ไม่รู้ว่าจะจำอัลมิตราได้หรือเปล่า หากเจอกันคราวหน้า อัลมิตราอาจเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเขานะคะ คุณแม่จิตร .. เป็นเรื่องจริงค่ะ ที่เล่ามา คุณกุ้งหนามแดง .. นานมาแล้ว อัลมิตราเขียนเด็กใต้สะพาน อัลมิตราเติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่น ไม่เคยใช้ชีวิตอย่างนั้น อัลมิตราแปลกใจว่าเหตุใดทำไมพวกเขาไม่กลับบ้าน พวกเขามีบ้านไหม แล้วพวกเขาจะเป็นอยู่อย่างไร ทุกครั้งที่เห็นก็สลดหดหู่ แถวๆที่ทำงาน มีชายคนหนึ่งรับจ้างเข็นผัก เขาเป็นคนเร่ร่อน บางทีนอนเพิงหน้าวัด บางทีเห็นนอนข้างตู้โทรศัพท์ มีอยู่วันหนึ่ง เขาอุ้มทารกไว้แนบอก ผู้หญิงติดยาแถวนั้น คลอดและทิ้งไว้ เขาเก็บมาเลี้ยง ทุกวันนี้อัลมิตรามองเห็นเขาเดินจูงมือเด็กหญิงคนนั้นไว้ ส่วนแม่ของเด็กหญิงคนนั้น ก็ยังคงติดยา ดมกาวอยู่แถวๆนั้นเอง เขาคงรักเด็กหญิงคนนั้นนะ อัลมิตราคิดว่างั้น เขาเปลี่ยนแปลงไปมาก รับจ้างทำงานทุกอย่าง เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูเด็กคนนั้น เพิงหมาแหงน ก็มีรูปร่างเป็นบ้านแล้ว อัลมิตราไม่อยากนึกภาพถึงตอนที่ มีเจ้าหน้าที่มาพาเด็กหญิงคนนั้นไป ... หัวใจพ่อของเขาคงแหลกสลายนะ คุณสถานีสุกร .. ทุก ๆ อย่างไม่เคยปรากฏด้านเดียว นี่คือสิ่งที่อัลมิตราเรียนรู้ประสบมา การยืนอยู่บนเวทีปราศรัย มีบ้างที่มีผู้ฟังคล้อยตาม และเสียงโห่ฮา ..จากคนที่ไม่เห็นด้วย สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเรานั้น หากเรานำสิ่งต่างๆที่แวดล้อมมากระทบใจ ย่อมไม่สงบสุขแน่ .. ดังนั้น ทางเลือกที่ดี คือควรนำสิ่งที่จรรโลงใจ เป็นสิ่งที่คิดว่าเป็นแง่บวก รับเข้าเข้าสู่ใจ แต่กระนั้นเลย .. อย่าได้เผลอลืมเชียวว่า ยังมีอีกด้านหนึ่งซึ่งส่งผลกระทบด้านตรงข้าม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับเข้าสู่ใจ หากแต่เรียนรู้ไว้ ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง ในบ้านกลอนไทย .. มีหลายอย่างที่นอกจากบทกวี ให้รับรู้ คำตำหนิตรงๆ ย่อมก่อประโยชน์มากกว่า คำชื่นชม สอพลอ ที่ไม่แสดงความจริงใจ .. เพราะอย่างน้อยคำตำหนินั้น ทำให้ผู้เขียนรับรู้ถึงสิ่งที่สะท้อนกลับมา และนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งๆขึ้น ถึงจะไม่ได้นำไปโอ้อวด ประชันกับใคร แต่การพัฒนาในทางที่ดี ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกๆคน .. เมื่อหัดตั้งไข่แล้ว ทารกน้อย ย่อมอยากเดิน และคงปรีดายิ่งนักที่วิ่งกระโดดโลดเต้นได้ อุปมาเช่นนั้น หลายต่อหลายคน อาจต้องการเสพย์เฉพาะสิ่งที่ดี จนหัวใจไม่อาจยอมรับความจริงว่า สิ่งใดถูกต้องกันแน่แท้ .. ปล. ไอศกรีม ของโปรดเชียวนา .. หากชวน คงไม่ต่ำว่า 4 ถ้วย ค่ะ :)
28 มกราคม 2548 16:41 น. - comment id 82371
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว..ทางครอบครัวของแก้มได้ไปบริจาคของที่บ้านเด็กอ่อนพญาไท.. หลังจากที่บริจาคของเสร็จ...คุณแม่ได้ชักชวนให้ไปดูเด็ก อายุ 1 ขวบถึง 1 ขวบครึ่ง กำลังน่ารัก..เดินเตาะแตะได้แล้ว เมื่อเข้าไปถึงก็ได้พบเด็กประมาณ 20 กว่าคนกำลังเดินไปมาในห้อง บ้างก็เล่นของเล่นที่ดูเก่ามากแล้ว..อยู่ในสภาพที่ยังไม่ได้อาบน้ำ หรือทานอาหารเลย หน้าตาค่อนข้างมอมแมมและบางคนก็มีกลิ่น... เนื่องจากเป็นหูน้ำหนวก..(สอบถามจากพี่เลี้ยง) เด็กๆ วิ่งเข้ามาหาคุณแม่ แก้ม และพี่สาว (ไปกัน 3 คน) โดยอัตโนมัติ เด็ก ๆ ดูฉลาดมาก.. คงเนื่องมาจากต้องการความอบอุ่นจากคนอื่นนั่นเอง (คิดเอาเองค่ะ) พอได้อุ้มเค้าแล้ว..หากจะปล่อยให้ลงเดิน..จะไม่ยอม..ร้องไห้..และ ลงไปดิ้นกับพื้นเลย บางคนเอาศีรษะโขกพื้นด้วย ไม่น่าเชื่อว่าเด็ก อายุขนาดนี้จะทำได้.. น่าสงสารเด็ก ๆ เหล่านี้มากเลยค่ะ... แต่ถึงเวลากลับบ้านก็ต้องรีบเอาไปให้พี่เลี้ยงอุ้มแล้วก็ต้องตัดใจจากมาค่ะ อ่านงานของพี่อัลฯแล้ว...ก็เลยนึกถึงพวกเด็ก ๆ ขึ้นมาค่ะ เลยนำมาเล่าให้ฟัง...ว่าง ๆ คงต้องแวะไปเยี่ยมอีกค่ะ...
30 มกราคม 2548 01:02 น. - comment id 82404
:) ค่ะ คุณแก้ม อัลมิตราเข้าใจ หลายครั้งที่ต้องตกอยู่ในสภาพนั้นเช่นกันค่ะ แม้จะทำใจอยู่ก่อนแล้วว่า จะต้องพบอะไรบ้าง สัญญากันตนเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเข้มแข็ง แต่เมื่อถึงตอนนั้น แม้รอยยิ้มฉาบหน้าให้คนอื่นเห็น แต่ทว่าข้างในอดสลดใจเสียมิได้ .. คุณพ่อเคยบอกว่า ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม บางทีต้องวางอุเบกขาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้น เมื่อพบเห็นอะไร จะสะเทือนใจไปเสียหมด ลำพังเห็นคนแก่เข็นของ เห็นขอทาน เห็นเด็กเร่ร่อน เห็นคนพิการ ก็เก็บเอามาทุกข์ .. แต่ดูเหมือนว่า ยากเหลือเกินที่จะทำตามสิ่งที่เรียกว่า อุเบกขานั้น .. หัวใจของมนุษย์ เปราะบางเหลือเกิน ..