ฉันได้พบเด็กชายที่แลดูธรรมดาคนหนึ่ง ประเภทที่เขาอาจแหย่คุณและคุณก็แหย่เขากลับกลั่นแกล้งกันไปมา พูดง่ายๆ ว่าตอนพบกันครั้งแรกนั้นเรารู้สึกดีต่อกัน แล้วพอได้มาเจอกันอีกก็แหย่กันเล่นตรงบริเวณรั้วและที่นั่นก็กลายเป็นที่ที่เราพบกันและเล่นด้วยกันเสมอมา ฉันน่าจะเล่าความลับของฉันทั้งหมดให้เขาฟังได้นะ เขาเป็นคนเงียบ ๆ คอยแต่นิ่งฟังเวลาที่ฉันเล่าโน่นนี่ เป็นคนที่ฉันสามารถคุยด้วยได้ทุก ๆ เรื่องตอนอยู่ในโรงเรียนเราอยู่คนละกลุ่ม แต่พอกลับบ้านเราก็จะคุยกันถึงเรื่องราวในโรงเรียน .....วันหนึ่งฉันบอกเขาว่า เด็กผู้ชายที่ฉันชอบคนหนึ่งหักอกฉันเขาปลอบว่าไม่เป็นไรหรอกสักพักมันจะดีไปเอง ฉันเลยสบายใจขึ้น และยิ่งทำให้นึกว่า เขาเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งของฉัน นั่นเป็นความรู้สึกในตอนนั้นของฉันจริง ๆ .....เราเรียนด้วยกันเรื่อยมาจากมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย คบหากันมาโดยตลอด แม้ฉันจะคิดเสมอว่า เราเป็นแค่เพื่อน แต่ลึก ๆ แล้ว...ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ ในคืนวันสำเร็จการศึกษาเราต่างมีคู่นัดไปนั่งฟังเพลงกัน แต่ฉันก็ยังอยากจะพบเขาอยู่ดี เมื่อทุกคนกลับบ้านกันหมด ฉันแวะไปหาเขาเพื่อจะบอกว่าฉันอยากจะขอพบเธอ อือ ...นั่นดูเหมือนจะเป็นโอกาสทองของฉันทีเดียว แต่ที่สุดแล้วเราแค่นั่งดูดาว ผลัดกันเล่าแผนการชีวิตของกันและกัน...ฉันจ้องตาเขาขณะฟังเขาเล่าว่า เขาอยากแต่งงานและวางหลักปักฐาน ทั้งยังคุยถึงวิถีทางที่ จะทำให้ตัวเองร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมีฉันนั่งคุดคู้อยู่ข้าง ๆ เขา คืนนั้นฉันกลับบ้านพร้อมความรู้สึกอันปวดร้าว ด้วยเหตุที่ฉันไม่ได้พูดออกไปดังใจปรารถนา ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจฉันเจ็บปวด สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันอยากจะบอกเล่าให้เขาฟังใจจะขาด แต่ทุกครั้งจะต้องมีใครสักคน อยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ หลังจากนั้นเขาก็ได้งานทำในนิวยอร์ก แน่นอนฉันยินดีกับอนาคตอันสดใสนั้น แต่ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเช่นเดิม ขณะที่เขากำลังจากไป ฉันกอดเขาแล้วร้องไห้ คิดว่านั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะมีเขาอยู่เคียงข้าง คืนนั้นฉันร้องไห้จนตาบวม และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อนึกถึงว่า ที่สุดแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง ฉันเริ่มต้นด้วยงานเลขาฯ แล้วย้ายสายงานมาเป็นนักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง วันหนึ่ง ฉันก็ได้รับการ์ดแต่งงานใบหนึ่งทางไปรษณีย์มาจากเขานั่นเอง ใจหนึ่งฉันก็ยินดีกับเขา แต่อีกใจก็ยะเยียบเศร้า ได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองว่า ฉันไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว อย่างมากที่สุดเราก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน งานแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างอลังการทีเดียว ณ โบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ขณะที่งานเลี้ยงจัดในโรงแรม ฉันได้พบจ้าสาว และแน่ละได้พบเขาด้วยแล้วฉันก็ตกหลุมรักเขาอีกครั้งหนึ่ง ฉันเก็บความลับนี้ไวกับตัวเอง ...ไม่อยากให้มันไปทำลายวันอันเป็นมงคลของเขา คืนนั้นฉันพยายามทำตัวให้สนุก แต่กลับกลายเป็นว่าฉันกำลังฆ่าตัวเอง ด้วยการเผชิญหน้ากับคนที่กำลังดูมีความสุขมากอย่างเขา ฉันจึงจำเป็นต้องพยายามฝืนยิ้ม และทำตัวให้มีความสุขเพื่อกลบเกลื่อนหยาดน้ำตาที่ซุกซ่อนไว้ในใจ เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันพยายามลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก มันถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องเดินไปตามวิถีทางของฉันเองบ้าง ตลอดหลายปีมานี้เรายังคงติดต่อกันทางจดหมาย เขาย้ำเสมอว่าคิดถึงฉันมาก อยากจะมีโอกาสได้คุยกับฉันอีก ...และแล้วเขาก็เงียบหายไปหลังจากที่ฉันเขียนไปหาเขา 6 ฉบับฉันเริ่มกังวลว่าอาจจะมีเรื่องร้าย ๆ อะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้รับโน้ตสั้นๆบอกว่า "ขอให้มาพบผมตรงรั้ว ณ ที่เดิมที่เราเคยเล่าอะไรต่ออะไรให้กันฟัง" ฉันไปตามนัดและพบเขาอยู่ที่นั่นจริง ๆ เขากำลังอกหักและดูโศกเศร้ามาก เรากอดกันแน่นและหายใจแทบไม่ออก และเขาก็เล่าเรื่องการหย่าร้างให้ฉันฟังทั้งน้ำตา เขาร้องไห้...ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา ...ในที่สุด เราก็เดินเข้าไปในบ้านคุยกันและหัวเราะ เมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเก็บความลับนั้นไว้ ไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟังหลายวันที่อยู่ด้วยกัน ทำให้เขากลับมามีความสุข และลืมปัญหาการหย่าร้าง ขณะที่ฉันได้ตกหลุมรักเขาอีกครั้ง เมื่อถึงวันที่เขาต้องกลับไปนิวยอร์ก ..ฉันต้องไปส่งเขาด้วยน้ำตา ไม่อยากห็นภาพเขาเดินจากไป แม้เขาสัญญาว่าจะบินมาหาฉันทุกเมื่อ ที่ฉันสามารถลางานได้ แต่ฉันไม่สามารถรอเขาได้อีกต่อไป โดยส่วนลึกในหัวใจแล้วเราต่างมีความสุขเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน วันหนึ่งเขาก็ไม่ได้กลับมาอย่างที่เขาเคยสัญญาไว้ ฉันได้แต่คิดว่า คงเป็นเพราะเขางานยุ่งเกินกว่าที่จะปลีกตัวมาได้ มันผ่านไปจากวันนั้นเป็นเดือนจนลืมเรื่องนี้ไป และแล้วทนายความจากนิวยอร์ก ก็แจ้งข่าวร้ายนี้ให้ฉันทางโทรศัพท์ ...เขาเพิ่งเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันเข้าใจทันทีถึงความรู้สึกของคนหัวใจสลาย เพิ่งรู้ว่าทำไมเขาไม่มาหาฉันในวันนั้น นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอกหัก คืนนั้นฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับคนดี ๆ อย่างเขา ฉันเดินทางไปนิวยอร์กอีกครั้ง เพื่อร่วมรับฟังการเปิดพินัยกรรม แน่นอนที่สุดสมบัติต่าง ๆ เขามอบให้กับครอบครัวและอดีตภรรยา ฉันได้พบภรรยาเขาอีก เธอเล่าถึงความเป็นอยู่ของเขาให้ฉันฟัง และยังบอกว่าเขาได้ทำอะไรให้เธอบ้าง แต่กลับสัมผัสได้ว่าเขาไม่มีความสุขเลย แม้ว่าเธอพยายามเอาอกเอาใจต่าง ๆ นานาแล้วก็ตามแต่ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขอย่างคืนวันแต่งงานได้เลย ในพินัยกรรมระบุว่า ฉันจะได้รับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเขา ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า ทำไมเขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น เมื่อเสร็จธุระฉันจึงบินกลับไปยังแคลิฟอร์เนีย ระหว่างเดินทางฉันหวนระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ของเรา ...และเปิดสมุดบันทึกออกอ่าน สมุดบันทึกนั้นเริ่มบันทึกขึ้นจากวันแรกที่เราได้พบกัน อ่านไปชั่วขณะหนึ่งฉันเริ่มร้องไห้ เมื่อพบข้อความว่าเขาได้ตกหลุมรักฉันในวันที่ฉันถูกหักอก แต่เขาก็ขลาดเกินไป ที่จะบอกฉันว่าเขารู้สึกอย่างไร นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมวันนั้น.... เขาจึงนิ่งเงียบและคอยแต่จะเป็นผู้ฟัง จากบันทึกทำให้ฉันรู้ว่า เขาพยายามจะบอกฉันหลายครั้งแต่เขาก็ไม่มีความกล้าหาญพอ เวลาที่เขารู้สึกดีใจที่สุด จึงเป็นโอกาสที่เขาได้พบฉันและเต้นรำด้วยกันในวันแต่งงาน ซึ่งเขาพยายามจินตนาการว่า นั่นเป็นงานวิวาห์ของเรา นี่ละสาเหตุที่ทำให้เขาไม่มีความสุข จนกระทั่งเขาได้หย่าขาดจากภรรยา ...ส่วนเวลาที่มีความสุข กลับเป็นวินาทีที่เขากำลังอ่านจดหมายของฉัน ในที่สุดสมุดบันทึกก็จบลงด้วยข้อความว่า "แล้วก็มาถึงวันนี้ ...วันนี้แล้วที่ผมจะได้บอกรักเธอ ... " แต่มันกลับเป็นวันที่เขาต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ .....วันที่ฉันเพิ่งมาค้นพบว่า เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉันตลอดมา.....
24 พฤศจิกายน 2545 19:49 น. - comment id 67004
เรื่องนี้ซึ้งเนอะ
25 พฤศจิกายน 2545 13:28 น. - comment id 67009
ครั้งแรกที่ได้อ่านเรื่องนี้ มาจาก forward mail อ่ะ เป็น version ภาษาอังกฤษ จำได้ว่าชอบมาก print เก็บไว้เลย
4 ธันวาคม 2545 16:01 น. - comment id 67052
เป็นเรื่องเศร้า เพราะฉะนั้น ถ้ารักใคร ก็ควรบอกเค้าไป ก่อนที่จะสายเกินไปใช้มั้ย ก่อนที่ทุกอย่างจะแก้ไขไม่ได้
23 พฤศจิกายน 2546 12:32 น. - comment id 70302
ทั้งเศร้าทั้งซึ้งเลยอ่ะ