ด้วยตาเปล่า
foolboy
เมื่อก่อนผมเรียกไอ้ปลงว่าคุณปลง เพิ่งบังอาจเปลี่ยนจากคุณเป็นไอ้เมื่อไม่นานมานี้ โดยได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากเจ้าตัวเอง
เช้าตรู่วันหนึ่งในสวนลุมพินี ไอ้ปลงยื่นเศษกระดาษส่งให้ผม มันบอก คุณเรียกผมว่าไอ้ปลงได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นี่คือจดหมายรับรอง มีลายเซ็นเสร็จสรรพ
ผมคลี่กระดาษออกอ่าน
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ข้าพเจ้า นายเทพพิทักษ์ รักอากาศ ( ชื่อเล่น ปลง ) ได้ถูกบุพเพสันนิวาสให้โคจรมาพบกับชายไทยวัยคะนองนาม ปราชญ์ เปรื่องธรรม นักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 3 ข้าพเจ้ากับนายปราชญ์พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างถูกคอจนเกิดเป็นสัมพันธภาพฉันมิตรสนิทสนมนับแต่วันนั้น เวลาล่วงเลยมาเกือบปี ความใกล้ชิดระหว่างข้าพเจ้ากับเพื่อนผู้นี้ยังคงแน่นแฟ้น แลมีทีท่าว่าจะเฟื่องฟูต่อไปเรื่อยๆ เป็นกรณีที่น่าประหลาดใจและน่ายินดียิ่ง ถึงแม้นายปราชญ์จะมีอายุอ่อนวัยกว่าข้าพเจ้าถึงห้าปี ข้าพเจ้าขออนุญาตอย่างเป็นทางการให้นายปราชญ์ เปรื่องธรรม เติมคำว่า ไอ้ นำหน้าทั้งชื่อจริงและเล่นของข้าพเจ้าได้ทุกเมื่อที่จำเป็นต้องเรียก โดยข้าพเจ้าสัญญาว่าจะไม่เกิดโทสะกับการขานชื่อในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าจะโดยสาเหตุใด มิหนำซ้ำหากนายปราชญ์รังเกียจที่จะนับข้าพเจ้าเป็นเกลอสนิทในระดับไอ้ ข้าพเจ้าจะขอเลิกคบมันเป็นเพื่อน และยังจะสาปแช่งให้มันตายตาไม่หลับ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดไปชั่วกัลปาวสาน ข้าพเจ้าขอรับรองด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองว่า ข้อความในจดหมายฉบับนี้เป็นความตั้งใจของข้าพเจ้าเอง
ลงชื่อ
นายเทพพิทักษ์ รักอากาศ ( ปลง )
ใต้ชื่อตัวบรรจงปรากฏลายเซ็นขยุกขยุยของไอ้ปลง
เมื่อสมัยที่ไอ้ปลงยังเป็นคุณปลงสำหรับผม ความน่าเกรงขามของมันแผ่รัศมีปกคลุมไปทั่วร่าง เพียงมันนั่งอยู่เฉยๆก็คล้ายมีระบบสุริยจักรวาลโคจรเป็นวงรอบตัว ไม่น่าเข้าใกล้ กลัวถูกลูกอุกกาบาตชน ในดวงตาของมันเหมือนมีปล่องภูเขาไฟคุกรุ่น เหมือนมีพายุกำลังตั้งเค้า เหมือนมีคลื่นลูกยักษ์ม้วนตัวไปมารอบวังน้ำวน เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงลัดวงจรจนแตกเป็นประกายแวมวับอยู่เป็นหย่อม เหมือนมีฝนแสนห่าที่ต้องฝ่าแสนหน เหมือนมีหลุมดำรอคอยการดูดกลืนมิติเวลา เหมือนมีภูตผีปีศาจสิงสถิต รอคอยการสังเวยวิญญาณสัญจร
ผมต้องรอให้มันหลับตาจึงกล้าเข้าไปทักทาย
หลับอยู่หรือครับ ผมถามก่อนหย่อนก้นลงบนม้านั่งตัวเดียวกับมัน
พักสายตา ไอ้ปลงตอบเรียบๆโดยไม่เปิดเปลือกตามองคนถาม
สมัยนั้นผมตื่นเช้าเพื่อไปวิ่งที่สวนลุมพินีเป็นกิจวัตร มหาวิทยาลัยอยู่ในช่วงปิดเทอม กำลังรอฝึกงาน ไม่รู้จะฟุ้งซ่านอย่างไรให้เป็นประโยชน์ ได้ข่าวว่าการวิ่งเหยาะแหยะไปมาตามสวนสาธารณะเป็นที่นิยม ทั้งยังมีคุณต่อสุขภาพทางกายและทางใจอย่างเท่าเทียมกัน จึงริจะลองทำตัวร่วมสมัยกับเขาบ้าง ชุดกีฬาที่หมักไว้ในตู้เสื้อผ้าจะได้ออกโรงเสียที
เช้าแรกที่ผมก้าวเข้าไปในสวนลุมพินี ผมไม่ได้วิ่งเป็นเรื่องเป็นราว ถือเสียว่าเป็นการไปสำรวจพื้นที่ก่อนออกศึกจริง เมื่อไปถึงก็รู้สึกทึ่งกับจำนวนประชากรนักออกกำลังซึ่งมีมากเกินความคาดหมาย ผมเดินดุ่มไปโดยรอบ เหนื่อยก็หยุดพักยืนชมนก ชมไม้ ชมหมา ชมแมว ชมมด ไปตามประสาคนรักสัตว์ อิ่มใจแล้วก็เดินต่อ เช้าวันนั้นไม่ได้วิ่งเลย
เมื่อเริ่มไปบ่อยครั้งเข้า กล้ามเนื้อในขาของผมก็เริ่มกระหายกระตุ้นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ช้าผมก็กลายเป็นหนึ่งในนักวิ่ง ไหลล่องไปกับจังหวะการเต้นของหัวใจของมนุษย์นับร้อยนับพันที่คล้อยตามกันเป็นขบวนเหมือนสังคมมด ทว่าพวกเราไม่ใช่มดงาน เรามิได้วิ่งเรียงแถวเพื่อความอยู่รอดของชนส่วนมาก เรามิได้แบกเสบียงอาหารไว้บนหลังเพื่อนำไปแจกจ่ายแบ่งปันกัน เราวิ่งด้วยสาเหตุส่วนบุคคล บ้างก็เพื่อความสมบูรณ์ของร่างกาย บ้างก็เพื่อความสวยความหล่อ บ้างก็เพื่อลบล้างความเครียด บ้างก็เพื่อคลายความเหงา
เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ผมเห็นไอ้ปลงหลายครั้งก่อนจะเสนอหน้าเข้าไปชวนมันคุย ไอ้ปลงไม่เคยวิ่ง ไม่เคยลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย มันได้แต่นั่งกวาดสายตาลึกลับของมันไปมาเหมือนมองหาคนรู้จัก ผมไม่เคยเห็นมันรู้จักใครเสียที ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้ารู้จักมัน
บางวันมันก็เลือกที่จะนั่งริมสระน้ำ เหม่อมองเป็ดและห่าน เต่าและปลาที่ผลุบโผล่หาเศษอาหาร ผมไม่เคยเห็นมันรู้จักเป็ดหรือห่าน หรือเต่าหรือปลาตัวไหนเป็นพิเศษเหมือนกัน แต่ไอ้ปลงก็มาเสมอ เหมือนมั่นใจว่าสักวันมันต้องได้เจอสิ่งที่มันค้นหา
ไอ้ปลงเป็นชายหน้าตาดีไม่ใช่เล่น ตาของมันกลมโต ผิวสีดำแดงของมันดูเนียนในแสงตะวันเช้า ผมสีน้ำตาลเข้มกล้อนเกรียนรอบข้างคล้ายทรงนักเรียน ใครเห็นใครก็รู้ว่าไอ้ปลงไม่ได้ตั้งใจมาสวนลุมพินีเพื่อออกกำลังกาย มันมักใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีกากี บางวันมันเรียบร้อยถึงขั้นผูกเน็คไท
เมื่อไอ้ปลงลืมตาขึ้น ตาโตคู่นั้นของมันจับจ้องมาที่ใบหน้าผม แล้วจ่ออยู่อย่างนั้นหลายวินาที ทำเอาผมกังวลว่า จะถูกหลุมดำในตาของมันกลืนกิน
คุณนั่นเอง มาวิ่งทุกวันสินะ
เคยเห็นผมหรือครับ ผมถามทั้งที่รู้คำตอบ
เห็นหลายหนแล้ว
ผมก็สังเกตเห็นคุณมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆเหมือนกันแต่ไม่เห็นเคยวิ่ง
ก็ไม่ได้ตั้งใจมาวิ่งนี่คุณ พูดจบ สายตาไอ้ปลงก็เคลื่อนที่ไปจับเป้าใหม่ ผมเคลื่อนสายตาตามด้วยความสงสัย
เป้าใหม่ของไอ้ปลงเป็นหญิงมีวัยร่างท้วม กำลังวิ่งเหยะๆผ่านไป ข้างซ้ายของเธอมีเด็กผู้หญิงผมเปียตัวเล็กๆวิ่งตามอยูติดๆ
เห็นป้าคนนั้นมั้ย ดูด้วยตาเปล่าเผินๆก็น่าจะเป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมอารีดี รักหลาน อุตสาห์ตื่นเช้าชวนกันมาออกกำลังกาย
ไอ้ปลงเงยหน้าขึ้นฟ้าคล้ายเป็นการพักสายตาแล้วจึงพูดต่อ
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก แกเป็นคนใจร้ายเอาการทีเดียว น่าสงสารเด็กเหมือนกัน ต้องตามคนอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยอย่างนั้นต้อยๆแต่เช้า
คุณรู้จักเขาด้วยเหรอ
ไอ้ปลงส่ายหน้าแล้วหันมาจ้องตาผมอีกครั้ง
คุณเป็นคนดีนะ ตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นคุณก็รู้แล้ว ขี้เกียจไปหน่อย ตามกระแสไปนิด ทำอะไรครึ่งๆกลางๆไม่ตั้งใจเท่าที่ควร แต่โดยรวมแล้วเป็นคนใช้ได้ทีเดียว
ผมพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ มิใช่เพราะประทับใจในคำสรรเสริญ หากเพราะงุนงง
ดูลุงคนนั้นสิ ผมสลัดความพิศวงออกจากสมอง แล้วหันตามไอ้ปลงไปยังลุงคนนั้น
ลุงหัวล้านวิ่งผ่านไป ใบหน้าดูอิ่มเอมกับความบริสุทธิ์ของอากาศสวนสาธารณะ
ไอ้ปลงไม่ปริปาก ผมจึงลองเดาใจมันดู
หน้าตาดูมีความสุข แต่จริงๆแล้วใจร้ายเหมือนป้าคนเมื่อตะกี้ ผมพูดกึ่งถาม
ไอ้ปลงยิ้มน้อยๆที่มุมปาก
บางทีก็ไม่ยากอย่างนั้นหรอกคุณ ความดีก็ปรากฏบนใบหน้าได้เหมือนกัน ยังพอหาดูได้ ลุงแกก็ดีอย่างที่หน้าแกบอกนั่นแหละ เป็นคนน่ารัก ชอบช่วยเหลือคนอื่น รักสันติ
คุณมาที่นี่ทุกเช้าเพื่อกิจกรรมนี่โดยเฉพาะหรือไง ดูว่าใครดีไม่ดี
เป็นที่ที่เหมาะ เพราะมีคนหลายหลากผ่านไปมาให้ดูเอง โดยผมไม่ต้องไปเดินตามถนนให้เหนื่อย
บางวันผมก็ไม่เห็นคุณมองใคร
ความดีความชั่วไม่ได้มีเฉพาะในมนุษย์นี่คุณ บางทีผมก็ฝึกมองอย่างอื่นบ้าง ที่แตกต่างกันคือ ในมนุษย์แต่ละคนมีดีมีชั่วไม่เท่ากัน ในขณะที่สิ่งอื่นมีความสมดุลมากกว่า เมื่อมีความสมดุล ความดีความชั่วก็ไม่ค่อยมีความหมายแล้ว ไม่จำเป็นต้องดูก็ได้ ไอ้ปลงใช้รองเท้าเขี่ยก้อนกรวดบนพื้นให้กลิ้งไปข้างหน้า 2-3 ตลบ เช่นก้อนกรวดก้อนนี้มันก็มีดีมีชั่วนะ แต่มันไม่มีความหมาย เพราะความดีความชั่วของมันสมดุลและสมบูรณ์มาก จึงไม่เป็นปัจจัยสำคัญอีกต่อไป มันก็เป็นก้อนกรวดตามหน้าที่ของมันดีอยู่แล้วอีกต่อไป เตะโดนมัน มันก็กลิ้ง แต่ลองผมเตะคุณสิ คุณไม่ยอมกลิ้งหรอก
เช้าวันนั้นผมไม่ได้รู้สึกชื่นชมกับความสามารถพิเศษของไอ้ปลง ผมกลับนึกในใจว่าไอ้นี่ประสาท ต้องมีความผิดปกติทางจิตอย่างซับซ้อน ผมรีบปลีกตัวจากม้านั่ง บอกมันว่าขอตัวกลับไปวิ่งต่อ ไอ้ปลงยิ้มรับพลางพยักหน้า มันเปรยขึ้นก่อนผมทิ้งระยะออกห่างว่า ไม่ต้องกลัวความดีของตัวเองหรอกคุณ
ถึงผมจะว่ามันเป็นบ้า แต่สิ่งที่ไอ้ปลงทักก็ติดอยู่ในหัวผมทั้งวัน ผมกลับบ้านไปยืนมองตัวเองหน้ากระจกเกือบครึ่งชั่วโมง จนไม่รู้ว่าใครมองใคร สุดท้ายรู้สึกว่ากระจกจะมองผมเสียมากกว่า
จะว่าไปก็เป็นเรื่องน่าหัวร่อที่ผมใส่ใจกับคำของไอ้ปลง ในยุคสมัยนี่มนุษย์เราเจริญพอแล้วที่จะเข้าใจว่าการเป็นคนดีหรือไม่ดีไม่มีความหมายอีกต่อไป ตราบใดที่คุณมีพรรคมีพวกที่ยอมรับในความเชื่อและความประพฤติของคุณ ต่อให้คุณเป็นคนเลวทรามต่ำช้าที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็ยังมีพรรคพวกของคุณที่มีสันดานเลวทรามต่ำช้าพอกันเป็นสหาย ในสายตาของคนชนิดเดียวกัน ความดีในความชั่วก็ยังสามารถปรากฏได้ คุณจะคับแค้นใจไปเพื่อประโยชน์อันไดที่คุณไม่ได้เป็นบัวเหนือน้ำ ในเมื่อคุณมีบัวใต้น้ำดอกอื่นอีกนับไม่ถ้วนห้อมล้อมอยู่ ปล่อยให้พวกที่อยู่เหนือน้ำโรยราไปกับอากาศ ถูกตอมหอมดอมดมโดยแมลงนานาชนิดไม่เห็นน่าพิสมัยตรงไหน อยู่ใต้น้ำปลอดภัยกว่ากันไม่รู้กี่เท่า
ความชั่วนั้นมักมาพร้อมปฏิภาณไหวพริบ การรู้จักเอาตัวรอด ความสามารถพิเศษในการเสแสร้งแสดงละครตบตา คนชั่วทำตัวให้ดูเป็นคนดีได้ ในขณะที่คนดีจะไม่มีวันเข้าใจความชั่วอย่างถ่องแท้ ใครๆก็รู้ว่าสังคมมนุษย์ไม่มีวันทรงโครงสร้างอยู่ได้ด้วยความดี เห็นๆกันอยู่ว่าความชั่วคือปัจจัยสำคัญในการปกครองโลก หากทุกคนเป็นคนดี โลกนี้จะไม่มีนักการเมือง และหากโลกนี้ปราศจากนักการเมือง สังคมมนุษย์จะขาดระบบ ระบอบ ระเบียบ และระเบิด อันเป็นอาวุธสำคัญในการชะล้างความเหลวแหลกเพื่อเริ่มต้นใหม่ เฉกเช่นการกดปุ่มลบล้างความผิดทั้งหมดเพื่อเริ่มทำความผิดอีกครั้ง สิ่งที่ความชั่วเสนอให้มนุษย์คือโอกาส ความดีไม่มีทางคิดสร้างสรรค์ได้เพียงนั้น ความชั่วคือศิลปะและความบันเทิง ความดีคือความน่าเบื่อหน่าย
ผมจะต้องสนใจด้วยหรือว่าตัวเองจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ สถานที่ทั้งสองเป็นเพียงความเชื่อที่นับวันจะจางหายไป ความชั่วสอนให้คนเลิกหมกมุ่นอยู่กับความงมงาย สอนให้เราเข้าใจใช้ชีวิตในโลกนี้ให้เต็มที่ หากต้องตกนรกลงกระทะทองแดง ต้องปีนป่ายต้นงิ้ว อย่างไรก็เป็นกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆคนชั่วด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ต่างอะไรจากการเข้าค่าย ใครๆก็อยากเจอยมบาลมากกว่าพระเจ้า เพราะยมบาลคือครูตัวจริงของมนุษย์ แอบเสี้ยมสอนเรามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ยืนหยัดอยู่เคียงข้างเราเมื่อเราหิว เมื่อเราอยาก เมื่อเราเจ็บ เมื่อเราปวด เมื่อเราโกรธ เมื่อเรารัก เมื่อเราใคร่ เมื่อเราเกลียด เมื่อเราหลง เมื่อเราโลภ เมื่อเราอาฆาต
พระเจ้าได้แต่มองดูห่างๆจากที่ไกลแสนไกล ไม่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ
ไฉนคำของไอ้ปลงจึงมีความหมายมากมายต่อความรู้สึกของผม
ทำไมผมต้องภูมิใจกับการเป็นคนดีในสายตาของไอ้ปลง
ผมหาคำตอบมาโดยตลอด
เป็นไปได้ที่ความดีมีเสน่ห์ที่ความชั่วไม่มี
เพราะความดีเป็นสิ่งที่ผมไม่รู้จัก
ต่อมา เช้าวันไหนผมเห็นไอ้ปลงนั่งตัดสินคนด้วยตาเปล่า ผมห้ามใจไม่อยู่ ต้องลงนั่งดูคนกับมันด้วย จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมเริ่มไปสวนลุมพินีในชุดลำลองปกติเพื่อนั่งดูคนกับไอ้ปลงโดยเฉพาะ ลืมการวิ่งออกกำลังกายไปสิ้น
ไอ้ปลงไม่เคยสอนวิธีดูคนให้กับผม และผมก็ไม่เคยเรียกร้องที่จะเรียนรู้
เมื่อมีภารกิจอื่นเข้ามาในชีวิต ผมก็ไม่ได้ไปนั่งกับไอ้ปลงเป็นกิจวัตรเหมือนเช่นเคย จะไปได้ก็เพียงบางเสาร์บางอาทิตย์ยามว่าง
วันที่ไอ้ปลงยื่นใบอนุญาตให้ใช้คำว่า ไอ้ เป็นเช้าวันเสาร์ที่ผมว่าง ตั้งใจตื่นเช้าไปสวนลุมพินีเพื่อเจอไอ้ปลงโดยเฉพาะ ผมไม่เคยนัดเจอกับมันที่อื่นหรือเวลาอื่น ผมไม่มีแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนผู้นี้ มันไม่ใช่มนุษย์ในชีวิตประจำวันของผม สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะผมเกรงว่ามันจะมาตัดสินดีชั่วกับคนรอบข้างที่ผมรัก ผมไม่อยากได้ยินคำว่าแม่ผมชั่ว พ่อผมเลว เพื่อนผมต่ำช้า ถึงแม้ว่าผมสามารถตัดสินได้ด้วยตนเองว่าทุกคนที่ผมรู้จักเป็นคนดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมไม่ได้มีความสามารถพิเศษที่ไอ้ปลงมี มันอาจจะรู้ดีและรู้ลึกกว่าผม ผมจึงต้องกลัวเป็นธรรมดา
แต่ไอ้ปลงเองก็ไม่เคยแม้แต่จะถามไถ่ถึงชีวิตนอกรั้วสวนสาธารณะของผมเลย เจอผมมันก็ทัก ผมจะกลับมันก็ลา ก็เท่านั้น
ไอ้ปลงไม่เคยลุกจากที่นั่งไปก่อนผม ไม่เคยขอตัวกลับก่อน ผมไม่เคยเห็นมันก้าวออกจากรั้วสวนลุมพินีแม้แต่ครั้งเดียว ไอ้ปลงอาจจะอาศัยอยู่ในนั้นก็ได้ ผมไม่เคยถามถึงบ้านช่องของมัน เช้าหนึ่งๆก็มีคนมากมายวิ่งๆเดินๆผ่านไปมาให้ดูจนนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ไม่เหลือเวลาให้ซักไซ้เรื่องส่วนตัวของกันและกันได้มากเท่าไร
ถึงไอ้ปลงจะอนุญาตให้ผมเรียกมันว่าไอ้ได้ ก็มีน้องครั้งนักที่ผมจะได้ใช้สิทธิพิเศษนั้น เวลาอยู่ต่อหน้าผมก็ไม่จำเป็นต้องขานชื่อกันไปมาให้วุ่นวาย อยู่กับคนอื่นผมก็ไม่ค่อยได้เอ่ยถึงไอ้ปลง เพราะไม่มีใครรู้จัก คนที่ผมเคยเล่าเรื่องไอ้ปลงให้ฟังบ้าง ต่างก็คิดว่ามันเป็นเพียงเพื่อนในจินตนาการ ไม่มีใครให้ความสนใจกับชื่อไอ้ปลงเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อใดผมบอกคนที่บ้านว่าจะออกไปหาไอ้ปลงที่สวนลุมฯ ก็จะได้รับคำขานตอบว่า จ๊ะๆ ไม่ก็เออๆ ไม่ก็ซื้อข้าวมาฝากด้วยนะ ไม่มีใครสนใจว่าไอ้ปลงเป็นใคร
เมื่อผมอ่านใบอนุญาตให้ใช้ ไอ้ ของไอ้ปลงจบลงตรงลายเซ็นของมัน ผมนั่งลงดูคนกับมันตามปกติ ไอ้ปลงชี้คนนั้นคนนี้ให้ดูตามประสา เดี๋ยวดีเดี๋ยวชั่วปะปนกันไป
แน่นอนว่าคนไม่ดีย่อมมีปริมาณมากกว่าคนดี ในร้อยคน ไอ้ปลงเห็นคนดีไม่ถึงยี่สิบ
รู้ได้ยังไงว่ากูเป็นคนดี ผมถามคำถามที่อยากถามมานาน แต่ไม่กล้า เพราะกลัวมันไม่ตอบ ผมจงใจแทนตัวว่ากูให้เหมาะกับคำว่าไอ้
ไอ้ปลงไม่ยิ้มอย่างที่ผมคาด มันไม่ได้หันมามองหน้าผมอย่างที่ผมคิด
นึกว่าจะถามตั้งนานแล้ว ไอ้ปลงเอ่ยเบาๆ
เมื่อก่อนไม่กล้า กลัวมึงไม่ตอบ ผมจงใจใช้คำว่ามึงให้เหมาะกับกูและไอ้
ไอ้ปลงปล่อยลมหายใจออกดังเฮ้อ
จะบอกดีไหมนะ ไอ้ปลงถามตัวเองดังๆ
ผมมองนักวิ่งนักเดินทางผ่านหน้าเราไป ทั้งซ้าย ขวา ทั้งลุง ทั้งป้า ทั้งน้า ทั้งอา ทั้งปู่ ทั้งย่า ทั้งตา ทั้งยาย ทั้งน้อง ทั้งพี่ ผ่านไปผ่านมาเป็นสิบในเวลาไม่กี่วินาที
ไม่ต้องบอกก็ได้ ผมบอกไอ้ปลงโดยไม่หันไปมอง
ผมเก็บใบอนุญาตของไอ้ปลงใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต
เบื้องหลังแผ่นกระดาษคือเนื้อผ้าของเสื้อ หลังเนื้อเยื่อของผ้าคือผิวหนัง เบื้องหลังผิวหนังคือเส้นสายโยงใยไปมา ภายในเส้นสายเล็กๆเหล่านี้คือของเหลวที่กำลังสูบฉีดให้ไหลหล่อเลี้ยงไปทั่วร่าง
เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นที่บอกถึงการถ่ายเทของความเป็น อยู่ คือ
ดวงตาของผมไม่สามารถมองเห็นไปได้ละเอียดถึงขนาดนั้นหรอก
ผมหันไปดูเพื่อน
ไอ้ปลงกำลังพักสายตา