อัลมิตรา
รายงานส่งเจ้านาย ..
ไปเซอร์เวย์มาแล้วค่ะ
ออกเดินทาง ๗.๓๐ น. ถึงเมืองกาญจน์ ๙.๔๐ น.
ทานอาหารเช้าเองในเมืองและตรงไปยังค่ายสุรสีห์
ไปดูเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องตำนานพระนเรศวรฯค่ะ
ที่ไปเมื่อวันที่ ๑๒ จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ๑๘๓ คน
สถานที่ทานอาหารเพียงพอ (แต่ไม่โอ่อ่า) อยู่ริมแม่น้ำแคว บรรยากาศดี
อากาศไม่ร้อน ต้นไม้เยอะ มีให้เช่าจักรยานขี่ชั่วโมงละ ๒๐ บาท
ขี่แล้วเมื่อย เพราะมันเป็นเนินเขา เชื่อว่าเช่าได้ไม่ครบชั่วโมงแน่
เริ่มต้นทริปด้วยอาหารมื้อเที่ยง
มีก๋วยเตี๋ยว มีข้าวผัด ข้าวสวยตัมยำ(กุ้งตัวเบ้อเร่อ) และกับข้าวอีก ๗ อย่าง
อาหารที่นี่ค่อนข้างหนักไปทางปลา(สงสัยเลี้ยงเอง)
มีคาราโอเกะ ใครอยากร้องก็ร้องได้ ผลไม้คือสัปะรดและแตงโม
ขนมหวานคือ ลอดช่อง และบัวลอยเผือก
บ่ายสาม ก็จะมีการล่องแพเปียก
ทุกคนจะต้องสวมเสื้อชูชีพ(รวมทั้งสต๊าฟ) จะมีสุนัขกู้ภัย ๒ ตัว
ที่เขาฝึกไว้ให้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ไม่สวมเสื้อชูชีพและจมน้ำ
เรือจะลากแพเปียกย้อนทวนขึ้นไปทางต้นน้ำ ประมาณ ๒ กิโลเมตร
จากนั้นก็ให้ทุกคนลงจากแพ กระโดดลงน้ำ บางคนว่ายตามน้ำ บางคนลอยตัวตามน้ำ
ขึ้นแพที่บ้านพัก ซึ่งจะเป็นท่ายาวเป็นระยะ ๆ ตรงโค้งน้ำนั้น ต้องเร่งชิดขวา
ไม่งั้นกระแสน้ำจะพาไปทางด้านถ้ำกระแซ (อีกฝั่ง ตรงข้ามกับบ้านริมแคว)
ทุกคนก็ไปทางขวาขึ้นฝั่งได้หมด ยกเว้น ๓ คน (อย่าให้เล่าว่ามีใครบ้าง อาย)
ถูกพัดให้ลอยห่างจากฝั่งขวา ไปทางฝั่งซ้าย เขาก็จะมีเรือคอยระวังภัยขับมารับ
มีสต๊าฟคอยดูแล ไม่น่าจะอันตรายใดใด ทุกคนน่าจะเล่นแพเปียกได้
ไม่จำเป็นต้องว่ายน้ำเป็นขอให้สวมเสื้อชูชีพก็จะปลอดภัยแล้ว
หกโมงเย็น ทานอาหารเย็น
ตรงนี้เขาจะจัดตามโต๊ะและจำนวนคน อาหารตลกมาก
มีออเดริฟแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เลยเรียกไม่ถูก
ส่วนอาหารก็เพียบเหมือนเดิม มีคนมาเติมอาหารในถาดบ่อย ๆ (สงสัยกินกันจุ)
เนื่องจากที่วันที่ไปเที่ยว มีนักท่องเที่ยวจำนวน ๒๒ กลุ่ม
กลุ่มใหญ่ที่สุด ๖๙ คน นอกนั้นก็ ๕ คน ๒ คน ว่ากันไปเรื่อย
มีดนตรี มีการเกมส์ รางวัลใหญ่คือเครื่องทำน้ำอุ่น ๒ เครื่อง
รางวัลอื่น ๆ ก็มีพวก โค๊กกระป๋อง บัตรลดราคาวุ้นคุณอุ๊ บัตรพิซซ่า เป็นต้น
หลังทานอาหารเสร็จประมาณสองทุ่ม
ก็ยกเก้าอี้ไปนั่งที่ระเบียงเพื่อชมไลท์+ซาวด์ (แต่ไม่ยักจะมีพิกเจอร์)
เขาก็จะบรรยายถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฟังจากเสียงและแสงที่กำกับ
พอให้คิดคล้อยตาม เขามีเสียงเครื่องบินปล่อยระเบิดด้วย
แล้วก็มีระเบิดไฟที่สะพาน มีควัน มีแสง และเสียงดังเหมือนระเบิด
ราวสองทุ่มครึ่งก็ไปรวมตัวกันที่สนามบนเนินใหญ่ มีแค้มป์ไฟ
โดยมีเก้าอี้ไม้เรียงเป็นวงกลม น่าจะนั่งได้ประมาณ ๒๐๐ คน สต๊าฟตลกมาก ๆ
ให้เล่นเกมส์ประมาณว่าละลายพฤติกรรมไปในตัว ฮามาก ๆ ..
ขนาดคนไม่รู้จักกันยังหัวเราะให้แก่กันเลย แคมป์ไฟจะจบประมาณสี่ทุ่มครึ่ง
อาหารมื้อดึกก็จะเป็นข้าวต้มกุ้ง และ ถั่วเขียวต้ม (อร่อยจัง)
ขณะที่ทานอาหารเขาก็เปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ กะว่าทานเสร็จ
เขาก็เร่งจังหวะดนตรีเป็นดิสโก้เทค .. แต่อิมไปนอนแล้วล่ะ
เช้าอีกวัน ทานข้าวตอน ๗ โมงเช้า
มีทั้งแบบข้าวต้ม ข้าวสวย ข้าวผัด ขนมปัง ไข่ดาว เรียกได้ว่า นานาชาติ ผลไม้เหมือนเดิม
และมีนัดตอน ๘.๓๐ น.เพื่อไปถ้ำเชลย
แต่ก็สามารถเลือกได้ว่าจะไปถ้ำเชลย หรือว่าจะไปขี่ช้างวังโพธิ์ ถ้าขี่ช้างบัตรคนละร้อย
ถ้าไปถ้ำเชลยก็นั่งเรือข้ามฟากไปตรงข้าม (ตรงที่ข้าพเจ้าถูกน้ำพัดไปนั่นแล)
และก็เดินเที่ยวในถ้ำ มีพระพุทธรูปอยู่ในนั้น มีหลืบเล็ก ๆ
แต่ไม่น่าจะมุดเข้าไปดู ส่วนใหญ่เขาจะเดินบนรางรถไฟกัน
ช่วงเวลานั้นไม่มีรถไฟแล่น เพราะรถไฟผ่านไปแล้วตอน ๘๐๐น.
มีร้านอาหารร้านขายของที่ระลึก มีหลุมระเบิดด้วย ทิวทัศน์พอใช้ได้
สิบโมงเขาก็เอาเรือมารับกลับไปที่แพ ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่งก็ทานอาหารเที่ยง
มีก๋วยเตี๋ยว มีข้าวสวย ขนมจีน กับข้าวมีประมาณ ๗ อย่าง ของหวาน ๒ อย่าง ...
ออกจากบ้านริมแควประมาณบ่ายโมง
ไปยังปราสาทเมืองสิงห์ และพิพิธภัณฑ์บ้านเก่า (บัตรผ่านคนละ ๑๐ บาท)
ปล. ทริปทัวร์ของบ้านริมแคว ๙๘๐.- เด็ก ๗๘๐.-
รอไปซื้อทริปทัวร์ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ดีกว่า จะเหลือเพียงแปดร้อยเท่านั้น
จบข่าว ./
จบข่าว