++ ย้อนไปเมื่อ ห้าพันปีที่แล้ว ณ ริมโขงฝั่งลาว ปัจจุบัน มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง มีพระราชาที่ปกครองบ้านเมืองด้วยความร่มเย็น ในยุคนั้น ยังไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าต่างๆ ตามความเชื่อ ในเมืองนี้มีน้ำโขงเป็นแม่น้ำสายสำคัญ และก็มีความเคารพนับถือเทพเจ้าแห่งสายน้ำ..ก็คือพญานาค ..นั้นเอง ในเมืองนี้ยังมีปุโลหิต เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม อยู่คนหนึ่ง เป็นที่รักของชาวเมือง และเป็นผู้ที่มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้าของสายน้ำเป็นประจำทุกปี จวบกระทั้งท่านละสังขารจากโลกนี้ไป ด้วยจิตที่ท่าน ผูกพันกับพญานาค มาตลอดชีวิต เมื่อถึงคราวจากโลกนี้ไป ท่านจึงได้ไปเกิดเป็นพญานาค ที่แม่น้ำโขง ราชาแห่งพญานาค ได้บังเกิดขึ้นด้วย พระนามใหม่ว่า โอฆินทรนาคราช มีวิมานเป็นสีทอง อยู่ในหมู่บ้านนาคแห่งหนึ่งใต้แม่น้ำโขงลงไป เป็นภพซ้อนภพอยู่ มีบริวารมากมาย พื้นที่ของเมืองพญานาค กินบริเวณกว้างมาก ทั้งในน้ำ และบนดิน แถวๆ โพนพิสัย จ.หนองคาย จะเป็นบริเวณ ที่มีพญานาคอยู่หนาแน่น ต่อมาอีกไม่นาน พระราชธิดาของพระราชาเมืองนั้น ได้สวรรคตลง แล้วได้บังเกิดเป็นพญานาคบนแท่นทองของพญานาคโอฆินทรนาคราช จึงได้แต่งตั้งเป็นอัครมเหสี ปกครองลุ่มน้ำโขงด้วยกันสืบมา..
บั้งไฟพญานาค..ตอน2 พญานาคโอฆินทรนาคราช ปกครองบริวาร ด้วยความสงบสุขตลอดมา จนเมื่อมาถึง สองพันปีต่อมา ได้มีมานพหนุ่มคนหนึ่ง อาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำลุ่มน้ำโขงฝั่งลาว ยุคนั้นก็ยังไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ยังคงนับถือเทพยาดา และเทพเจ้าแห่งสายน้ำเป็นหลัก อยู่มาวันหนึ่ง มานพหนุ่มนั้น ได้ไปหาน้ำผึ้งในป่า เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับที่พัก เขาได้เห็นดาบสองค์หนึ่ง นั่งบำเพ็ญสมณธรรม อยู่ใต้ต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำ ลักษณะผิวพรรณดูผ่องใส สว่าง มาก ชายหนุ่มเห็นแล้วก็เกิดศัทธา จึงได้นำน้ำผึ้งนั้นไปถวาย เมื่อกลับถึงหมู่บ้าน เขาก็ได้เล่าเรื่องที่ได้พบเห็นให้ชาวบ้านฟัง รุ่งขึ้นชาวบ้านก็ได้นำอาหาร คาว หวาน ไปถวาย แต่ พระดาบส ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ชาวบ้านจึงได้วาง อาหารเหล่านั้น ไว้ตรงที่ท่านนั่งเมื่อวานแทน ด้วยความปลื้มใจที่ได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระดาบส เมื่อถึงเวลาใกล้ละโลกไป ภาพนี้ได้เกิดเป็นนิมิตร ให้เขาได้เห็น ด้วยอานิสงส์นี้ และด้วยความผูกพันที่เขามีต่อสายน้ำโขง ทำให้เขาได้ไปเกิดเป็นพญานาค เกิดบนตักของมเหสีของโอฆินทรนาคราช เป็นการเกิดแบบโอปปาติกะ พญานาคา ได้ตั้งชื่อโอรสของตนว่า สุวรรณมธุระะ ด้วยเหตุว่า มีผิวพรรณเหมือนสีทอง สีของน้ำผึ้ง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เจ้าชายน้ำผึ้งทอง อีก 500 ปีต่อมา เมื่อเจ้าชายสุวรรณมธุระ ได้บังเติบโตเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงาม ถึงเวลาที่จะต้องมีสมบัติติดตัวมาแล้ว โดยเฉพาะดวงแก้ว ซึ่งเป็นสมบัติหลักของพญานาคทุกตนเลย พญานาคผู้พ่อ จึงให้ลูกเดินทางไปอยู่ถ้ำใต้แม่น้ำโขง แถวเมืองโพนพิสัย จ.หนองคาย เพื่อจำศีล ทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ก่อน จนถึงค่ำคืนหนึ่ง ข้างขึ้น พระจันทร์ เต็มดวง พญานาคหนุ่มได้ระลึกถึงชาติก่อนที่เป็นมนุษย์และได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระดาบส ทำให้เขาเกิดความปลื้ม ดวงแก้วมณี จึงได้บังเกิดขึ้นที่คอของเขา พร้อมๆ กับสมบัติ และบริวาร ได้เกิดเป็นอีกเมืองๆ หนึ่ง ที่ใหญ่โตมาก ใต้ลุ่มน้ำโขงตรง เมื่อพญานาคผู้พ่อ ได้เห็นบุญบารมีของลูกแล้ว จึงได้ยกสมบัติ และตำแหน่งพระราชาของนาค ให้โอรสปกครองแทน จวบกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ กล่าวถึง มเหสีของพญานาคสุวรรณมธุระ ตอนเป็นมนุษย์ ได้เป็นพระราชธิดา องค์กลางของเจ้าชายไชยเชษฐ์ ที่ปกครองเมืองล้านนาในสมัยนั้น ซึ่งพระธิดาทั้งสามองค์ของพระเจ้าไชยเชษฐ์ ได้สร้างองค์พระขึ้นประจำตัวคนละองค์ คือ พระเสาร์ พระศุกร์ พระใส เมื่อถึงคราวเสด็จสวรรคคต ราชธิดาองค์กลาง ก็ได้บังเกิดเป็นมเหสีพญานาคสุวรรณมธุระ และได้นำพระประจำตัวที่สร้างไว้ตอนเป็นมนุษย์ คือ พระศุกร์ ลงไปดูแลด้วยพระองค์เองด้วย จึงไม่มีใครที่สามารถจะเอาพระองค์นี้ขึ้นจากแม่น้ำโขงได้เลย
บั้งไฟพญานาค..ตอน 3 ย้อนจากนี้ไป เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บังเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ในพรรษาที่ 19 ในช่วงเข้าพรรษา พระพุทธองค์ได้เสด็จไปโปรดพุทธมารดา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อการแทนคุณอันยิ่งใหญ่ของพุทธมารดา พระองค์ได้เลือกบทธรรมที่เป็นประโยชน์ และได้อานิสงส์สูงสุดโปรดพุทธมารดา พระองค์ทรงแสดงธรรม เรื่อง พระอภิธรรม (ธรรมที่ยิ่งใหญ่ มี 42,000 พระธรรมขันธ์ ) ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่เข้าพรรษา กระทั่งถึงวันออกพรรษา พระองค์ได้เสด็จลงจากชั้นดาวดึงส์ วันนั้นเป็นวันเปิดภพ ไม่ว่าสรรพสัตว์ จะอยู่ภพใด สามารถมองเห็นกันหมด และมองเห็นพระองค์ที่กำลังเสด็จลงมาจากสวรรค์ที่เป็นบันไดแก้ว มีเหล่าหัวหน้าเทวดาแต่ละชั้น พร้อมบริวาร ได้เสด็จตามมาส่งพระองค์ด้วย ด้วยพุทธานุภาพ ไม่ว่าสรรพสัตว์จะอยู่ส่วนใด มองเห็นพระองค์ชัดเจนมาก ภพสวรรค์มองเห็นโลกมนุษย์และนรก มนุษย์ก็มองเห็นสวรรค์และนรก ส่วนในนรกก็หยุดลงทัณฑ์ มองขึ้นมาเห็นทั้งมนุษย์และสวรรค์ พระองค์ได้เสด็จลงมาที่เมืองสังกะนคร มีพระราชาและชาวเมืองมารอรับเสด็จมาก และรอใส่บาตร มากจนใส่บาตรไม่ถึงขนาดต้องใช้วิธีโยน ซึ่งเรียกว่า การตักบาตรเทโวโลหนะ ในการเสด็จลงมาในวันนั้น ที่แดนใต้บาดาล เมืองน้ำโขง พญานาคนั่งอยู่บนแท่น เกิดร้อนอาสน์ ไม่สามารถจะนั่งต่อได้ ได้เสด็จขึ้นมาลอยตัวเหนือน้ำโขง พร้อมๆ บริวาร แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ได้เห็นพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า เกิดศรัทธาและเลื่อมใส ท่านโอฆินทรนาคราชได้ตั้งจิตอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตการณ์เบื้องหน้า ซึ่งเป็นความรู้สึกลึกๆ ของท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิมานานแล้ว เมื่อได้เห็นพระพุทธเจ้า ยิ่งทรงทำให้ท่านตอกย้ำปณิธานเดิมลงไปอีกครั้ง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ด้วยความรักและบูชาที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอถึงฤดูเข้าพรรษา ท่านโอฆินทรนาคราช ก็ได้ตั้งใจถือศีลด้วย โดยออกจากภพบาดาลมา จำศีลใต้น้ำโขง หรือตามถ้ำต่างๆ เป็นเวลาสามเดือนเหมือนมนุษย์ ด้วยดวงจิตที่ถูกกลั้นใส ตลอดระยะสามเดือน และด้วยความรักที่มีต่อพระพุทธองค์ ในวันออกพรรษา ท่านโอฆินทรนาคราช ก็ได้กลั่นใจให้ใส เป็นประทีปพุ่งลอยขึ้นเหนือน้ำ เป็นพุทธบูชา ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนแรกพระองค์ทรงทำลำพังเพียงพระองค์เดียว แต่ต่อมาพระโอรส(สุวรรณมธุระ) และบริวาร ก็เกิดศัทธาตามมาด้วย ดวงไฟที่ถวายเป็นพุทธบูชา จึงได้มีกระจายมากขึ้น ตามลุ่มน้ำโขง หรือตามหนองคลองบึง ต่างๆๆ ความรักของใครที่ว่าอมตะ ยังไม่อาจเทียบเท่า ความรัก ความผูกพัน ของพญานาคที่มีต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่เคยเปลี่ยนไป แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแค่ไหน ผ่านไปกี่เดือน กี่ปี กี่ร้อยปี พันปี ท่านก็ยังไม่คงไม่เปลี่ยนแปลง ท่านยังมั่นคง ถวายประทีปเป็นพุทธบูชา จวบกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ และต่อไปในอนาคต
25 ตุลาคม 2547 15:42 น. - comment id 78364
มาอ่านก่อนใครเลยค่ะ แล้วจะตามต่อค่ะ มีนิดหนึ่งค่ะ ปุโรหิต นิดหนึ่งนะคะ น้าใสเป็นเรื่องที่ชวนติดตามมากค่ะ
25 ตุลาคม 2547 15:43 น. - comment id 78365
นิดหนึ่งนะคะ ตอน 2 ตอน 3 ก็เขียนต่อช่องด้านล่างที่มีให้ได้เลยนะคะ จะได้อ่านกันหลายๆหนได้ค่ะ
25 ตุลาคม 2547 19:32 น. - comment id 78367
ปลาวาฬจาติดตามตอนต่อไปค๊า
25 ตุลาคม 2547 19:35 น. - comment id 78368
คอยอ่านตอน ๒ ค่ะ.. :) กุ้งหนามแดง
25 ตุลาคม 2547 23:27 น. - comment id 78389
ติดตามตอนต่อไปค่ะ
26 ตุลาคม 2547 13:51 น. - comment id 78404
* สิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดตามเกร็ดเก่า มีเรื่องเล่าสืบขาน ตำนานว่า พญานาคทั้งหลายรุดหมายมา ร่วมบูชาพุทธองค์พระทรงบุญ พ่นลูกไฟใส่ฟ้าสง่าผล ขึ้นจากชลผุดผุดดุจกระสุน ถวายสักการะแทนพระคุณ ฉลองบุญพุทธาบารมี สองริมฝั่งลำโขงตามโค้งคุ้ง ผู้คนมุงแน่นขนัดมิผลัดหนี เห็นดวงไฟโห่ก้อง ร้องยินดี ชวนกันชี้ชมชุกสนุกกาย... เกล็ดสีเขียวขจีสีทองคำ เกล็ดสีดำสีรุ้งแผกแยกเป็นสาย แต่ร่วมวงศ์นามกรขจรขจาย เป็นสหายสายจ้าวเผ่านาคินทร์ ท้าววิมลผู้เป็นใหญ่ทางฝ่ายเหนือ ราชันย์เครือเกล็ดดำล้ำสุขิน ครองวิมานธรรมาเป็นธานิน นิจศีลสืบสานมานานเนา แต่วิสัยนาคีเกล็ดสีดำ พันธุ์ประจำดุร้ายกว่าใครเขา เกิดโมหะแล้วตัวมักมัวเมา แม้ขัดเกลาทางธรรมยังคลำเจอ หลายพันปีปกครองวิมานแก้ว จิตผ่องแพ้วคอยรั้งมิพลั้งเผลอ องค์ชายารัศมีที่เลิศเลอ นั่งเสมอเคียงคู่อยู่ด้วยกัน ธิดาสาวเยาวมาลย์สะคราญโฉม ประหนึ่งโคมโสมกระจ่างกลางสวรรค์ ท้าววิมลรักบุตรีดั่งชีวัน ถือสำคัญแสนห่วงปานดวงใจ โสมสิริธิดานาคราช ชอบประพาสหันเหเถลไถล คิดจะรู้อยากจะเห็นความเป็นไป ตามวิสัยซุกซนเหมือนคนเรา สดับคำกล่าวขานที่ผ่านมา บนธาราบรรเจิดเฉิดเฉลา มีบ้านเมืองคลาคล่ำตามลำเนา แต่แยกเผ่าแยกชาติออกขาดกัน นาคีน้อยคอยคิดแม้ฤทธิ์ต่ำ หวังจะย่ำแดนมนุษย์ให้สุดฝัน แต่ยังกลัวท่านพ่อและท้อทัณฑ์ รอสักวันยุพยงคงสราญ ลุใกล้วันออกพรรษาตามจารีต บุราณขีดแนวไว้ให้สืบสาน พ่นลูกไฟถวายค่าสมาทาน เป็นวงศ์วานดั่งบุตรองค์พุทธา ท้าววิมลคิดเตรียมด้วยเปี่ยมบุญ จะเกื้อคุณหนุนรอยพระศาสนา ป่าวประกาศแจ้งความตามเวลา เหล่านาคารักษาศีลทั้งสิ้นตน จะออกจากวิมานสำราญจิต นฤมิตอสุเป็นกุศล ให้นึกห่วงธิดาน้อยที่คอยซน เป็นกังวลห่วงใยยามไกลตา จึงบอกกล่าวท้าวนางรัศมี อันบุตรีที่รักซนนักหนา ต้องดูแลอย่าให้ไกลนัยนา ทั้งธิดาเริ่มสาวเป็นจ้าวนาง...... เอามาแจมคุณน้ำใส..เป็นนิทานกลอนรัก ระหว่าง ธิดาพญานาค กับ หนุ่มนายตำรวจ บางส่วนครับ..เขียนได้ประมาณ 200 กว่าบทแล้ว. เรื่องพญานาคนี่ หาข้อมูลตากลับครับ..ตาผมนะ. สวัสดีครับคุณน้ำใส เดี๋ยวบางทีจะแอบมาขโมยข้อมูลบ้าง...
26 ตุลาคม 2547 13:54 น. - comment id 78405
ขออภัยคุณน้ำใส..เรียงหน้าไม่ได้เรื่องสักที ขออภัยที่ทำให้เลอะเทอะ...
26 ตุลาคม 2547 14:54 น. - comment id 78408
น้ำใสคะ ครั้งที่ไปเยือน วัดใกล้สามเหลี่ยมทองคำ ได้พบพระสงฆ์องค์หนึ่งท่านเกิดในลาว ไปเรียนวิชาชั้นดีที่ฝรั่งเศส เมืองนอกเมืองนา แต่กลับมาบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ท่านเดินลอดถ้าใต้โขงไปมาระหว่างฝั่งไทยลาว วันนั้น เราได้เห็นกล้วยเครือใหญมหึมา หวีหนึ่งก็ ลูกละคืบกว่า...ใหญ่มาก สีส้มอมเหลือง เลยวันนั้นขอเศษผ้าเหลืองจีวรท่านมาคุ้มครองตน เล่าให้ฟังเสริมเรื่องลอดถ้า เพราะผู้คนแถวนั้นเขาคุยกันว่า ท่านเดินลงไปตรงแถวเจดีย์บนวัดนั่นแล้วก็หายไป ก็ท่านมีทางลอดใต้อุโมงปล่องใต้โขงอะไรของท่านไปนั่นแหละค่ะ วันใดขึ้นมาทีก็มีผลไม้ มาฝากชาวบ้านอย่างนันแล จริงมิจริงมิยืนยันนะคะ เล่าเท่าที่สัมผัสเห็นด้วยตามาว่าว กล้วยอะไรมันใหญ่โตมโหฬาร อะไรอย่างนั้น สวัสดีคุณน้ำใสค่ะ
26 ตุลาคม 2547 15:26 น. - comment id 78409
มาติดตามตอนที่ 2 แล้วค๊า
29 ตุลาคม 2547 11:58 น. - comment id 78503
อีมมๆๆๆ.....น่าทึ่งมาเลยครับแล้วของท่านผู้เฒ่าฉลาดแต่แสร้างโง่งม...อ่านเพลินเลย อยากให้ลงไว้คู่กันจัง แก้วประเสริฐ.
2 พฤศจิกายน 2547 09:55 น. - comment id 78639
+++ ขอบคุณ.. ทุกท่านค่ะ ที่เข้ามาติดตามงาน แล้วจะเล่าเรื่องพญานาค ให้อ่านต่อนะคะ.. +++
2 พฤศจิกายน 2547 09:55 น. - comment id 78640
+++ อยากอ่านงาน ของผู้เฒ่าโง่งม..จังเลย.. รองานอยู่นะคะ.. ++++
18 สิงหาคม 2548 18:29 น. - comment id 86130
:]