ตัวตนของกระจก
Jintalohitt
กล่าวถึงกระจก บางคนนึกถึงภาพวัสดุคมวาวที่กระจัดกระจายตรงทางเท้าในวัยเด็ก บ้างนึกถึงภาพความเงาวาววับเป็นประกายของหน้าต่างบานเขื่องในฉากของละครที่ประทับใจ และบางคนก็นึกถึงภาพของบางสิ่งที่ถูกสะท้อนฉาบบนฉากผิวที่เรียบบาง บางสิ่งที่หมายถึงตัวเขาเพียงผู้เดียวในบางคน และบางคนที่มองกระจกก็ต่อเมื่อเขามองเห็นตัวเองในนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่จะใส่ใจว่ากระจกมีตัวตนของมันไม่ใช่ภาพสะท้อน และภาพตัวตนของคนอื่นก็สะท้อนอยู่โดยไม่เคยสะกิดใจเลยว่าสิ่งที่เห็นคือการบิดเบือน หรือการบิดเบือนจะถูกตีค่าเสมือนได้กับความจริง... ความจริงที่ถูกบิดเบือน
กระจกสะท้อนภาพที่กลับกัน กระจกที่สะท้อนภาพของกระจก กระจกที่มองกระจกมากกว่าตัวมัน เพราะมันรู้ว่าเบื้องหน้าคือกระจก กระจกอีกบานก็คิดอยู่เช่นนั้น
เรื่องน่ารู้ประการหนึ่งคือ ภาพที่เราเห็นในกระจกนั้นจะเป็นภาพที่เหมือนกับวัตถุทุกประการ หากแต่จะกลับซ้าย-ขวาจากภาพจริง หรือที่นักวิชาการให้ศัพท์กับลักษณะเฉพาะนี้ว่าปรัศวภาควิโลม ซึ่งด้วยความเคยชินทำให้เราไม่ข้องใส่ใจนักว่า ภาพที่เราเห็นเป็นตัวตนที่ได้รับการบิดเบือนไป หากแต่ในการสะท้อนที่ว่านี้ ในสายตาของกระจกต่อกระจกเองกลับเป็นภาพที่ไม่ได้ผ่านการบิดเบือนแต่อย่างใด นั่นเพราะมันบิดเบือนตัวมันเองอย่างซับซ้อน ความบิดเบือนของกระจกคือความจริงที่มันรู้จักเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นสำหรับกระจกเองภาพที่ซ้อนทับไปเป็นอนันต์จึงเป็นความจริงยิ่งเสียกว่า หากแต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความจริงที่แท้ ความจริงไม่เคยมีเกินหนึ่ง อาจกล่าวไปว่า ในมิติของกระจกเองไม่เคยปรากฏความจริงขึ้นเลย แต่กระนั้นก็เถอะการกล่าวเช่นนี้เป็นเพียงการมองในฟากของเรา และละเลยตัวตนของกระจกอย่างที่สุด
หรืออาจเพราะเราไม่เคยใส่ใจในสิ่งอื่นเลย
กระจกสะท้อนภาพที่กลับกัน กระจกที่สะท้อนภาพของคน คนที่มองตัวเองมากกว่ากระจก เพราะเขารู้ว่าเบื้องหน้าคือความบิดเบือน คนผู้หนึ่งครุ่นคิดอยู่เพียงนั้น
สติปัญญาทำให้คนแตกต่างจากสิ่งอื่น พวกเขาได้บัญญัติให้สิ่งอื่นเป็นในสิ่งที่เขาเข้าใจ เพื่อยกตนให้เหนือกว่า และบอกความกลัวข้างๆเขาว่าไม่มีอะไรข้างหน้า กิริยานี้ไม่ต่างจากสัตว์ที่พองตัวชันขนขู่ศัตรู หากแต่คนกลับกัน พวกเขาปลอบโยนความกลัวเพื่อขู่ตัวของเขาเอง พวกเขากลัวสิ่งตรงหน้า หากแต่เกลียดกลัวความกลัวของตัวเองยิ่งกว่า ความกลัวที่เขาประโลมว่าเป็นมิตรแท้ นั่นเพราะคนไม่เคยมองสิ่งตรงหน้าอย่างที่มันเป็น เขาทุ่มเวลาที่จะใส่ใจความเป็นตัวของตัวเอง และหลีกหนีทุกสิ่งที่เกินกว่าความเข้าใจอันมาจากสติปัญญาที่เขาเฝ้าอวดอ้างอย่างภูมิใจ เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนถึงมองตัวเองมากกว่าที่จะแลเงาบนกระจก นั่นเพราะเขาตัดสินไปแล้วว่ากระจกบิดเบือน สิ่งที่เป็นอยู่ในสายตาของเขาเท่านั้นที่มีอยู่จริง อย่างที่กล่าวไปแล้วว่านี่เป็นความคิดเอาแต่ได้ถ่ายเดียวของคน คนถือความจริงเพียงเศษเสี้ยวแล้วกู่ก้องว่าข้ามีความจริงอยู่ทั้งมวล ซึ่งสำหรับกระจกแล้วตราบใดที่คนไม่เห็นภาพบิดเบือนของกระจก พวกเขายังรู้จักความจริงเพียงครึ่งเดียวอยู่เท่านั้น อย่าว่าแต่กับสิ่งอื่นเลย แม้แต่พวกคนกันเองเขายังไม่ยอมเข้าใจกัน หากพูดให้ลึกกว่านั้นแล้ว คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยึดติดภาพที่ไม่มีตัวตน ยึดติดความเป็นตัวตน ตัวตนที่เชื่อว่าเป็นของตน ซึ่งคืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่สิ่งอื่นสำหรับตน หรืออาจเพราะเราไม่เคยใส่ใจในคนอื่นเลย
คนสะท้อนภาพตัวเอง คนที่สะท้อนภาพของคน คนที่มองคนอื่นมากกว่ามองหาคนอื่น เพราะเขารู้ว่าเบื้องหน้าคือคนอื่น คนผู้หนึ่งก็ยังครุ่นคิดอยู่แค่นั้น
บนท้องถนนอันขวักไขว่ ผู้คนมากหน้าหลายตากำลังเต้นไปชีพจรชีวิตของตน เฉียดกันไปสวนกันมา หากแต่ทุกคนกลับไม่รู้จักกัน และยินดีที่จะรักษาสภาพเดิมนั้นไว้ต่อไป เพราะพวกเขาไม่ใคร่จะใส่ใจอะไร มองตัวเองอีกครั้ง และอีกครั้ง พวกเขากระทำวกวนอยู่แค่นั้น อาจเพราะเขายึดมั่นกับสภาพปัจเจกชนมากเกินไป อันคำว่า ปัจเจกชน นี้มีมาแต่สมัยอารยธรรมยุคแรกๆของโลก จึงอาจกล่าวว่าพื้นฐานของคนเองคือการมีตัวตน หากเขาจะรู้สึกตัวเองสักนิด เขาจะพบว่าสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เขาโดดเดี่ยวและหวาดกลัว แม้แต่ในสังคมเมืองอันคับคั่งความโดดเดี่ยวกลับซ่อนแทรกในทุกซอกมุม หวาดกลัวแล้วโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวจึงหวาดกลัว กลับเป็นวัฏจักรแห่งความน่าสมเพศ
มีคำกล่าวว่า หากจะรู้จักตัวเอง จงมองดูผู้อื่น เพราะนั่นคือภาพสะท้อนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง แต่ภาพนี้เชื่อถือได้สักแค่ไหนกัน ภาพนี้ไม่บิดเบือนทางกายภาพจริงอยู่ แต่มันกลับบิดเบือนซับซ้อนในเชิงจิตตภาพยิ่งกว่าที่เราๆท่านๆจะเข้าใจมากนัก เพราะคนเป็นนักบิดเบือน พวกเขาบิดเบือนตัวตนของสิ่งอื่นด้วยการบัญญัตินิยามสิ่งนั้น พวกเขาบิดเบือนพวกเดียวกันด้วยคำว่าตัวเอง และสุดท้ายพวกเขาบิดเบือนตัวเองโดยบอกว่าเขาเป็นหรือไม่เป็นอะไร ทำไมถึงต้องกล่าวว่าเป็นการบิดเบือน เพราะความจริงมีได้แค่หนึ่งและสิ่งนั้นคือการเป็นไปโดยปกติตามธรรมชาติ ไม่ต้องบัญญัตินิยาม ไม่ต้องกล่าวว่ามันเป็นหรือไม่เป็นอะไร ซึ่งถ้ามองสิ่งนี้อีกมุม มันก็ไม่ต่างจากคำว่า อนัตตา ในพุทธศาสนาเท่าใดนัก
หากยังคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี่คือความจริง เราก็ยังคงวกวนในภาพบิดเบือนไม่สิ้นสุด เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอะไร เพราะมันเป็นมันอย่างไม่มีความจำเป็นต้องขยายภาพอธิบาย ดังนั้นความจริงกับความบิดเบือนจึงเป็นคำพูดบิดเบือนตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงภาพที่จิตใจปรุงแต่งขึ้นให้ตนเอง กระจกเห็นความจริงโดยบิดเบือนสิ่งที่บิดเบือนแต่ชีวิตจริงไม่สามารทำเช่นนั้นได้ เราต้องมองทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น ซึ่งตลอดถึงตัวเราเองด้วย มองด้วยความเข้าใจไม่ใช่สักแต่ใช้เรติน่าแล้วปิดใจ จงให้คุณค่าต่อทุกสิ่งเสมอตนเอง และเสมอกัน
กระจกสะท้อนภาพที่กลับกัน กระจกที่สะท้อนภาพของกระจก กระจกที่มองกระจกมากกว่าตัวมัน เพราะมันรู้ว่าเบื้องหน้าคือกระจก กระจกอีกบานก็คิดอยู่เช่นนั้น กระจกตั้งชนกัน เมื่อบานหนึ่งร้าว อีกบานก็เฝ้าขอให้เป็นมันที่ร้าว เพราะมันคิดว่าอีกบานต้องตั้งอยู่ ภาพตรงหน้าคือกระจก คือมันเอง แต่ความจริงตรงหน้าคือตรงหน้า มันคือมัน กระจกยังตั้งอยู่ที่เดิม ยังสะท้อนกันและกัน