เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 15 )
สุชาดา โมรา
ฉันกลับมาพร้อมกับชัยชนะที่จะนำมาฝากครอบครัวและสมาคมฯ และสิ่งที่ฉันได้ตามมาคือชื่อเสียงนอกจากนั้นฉันยังได้เลื่อนตำแหน่งจากนักกีฬาเป็นทหารมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์ พอเครื่องลงจอดฉันก็รีบนั่งรถตู้กลับมาลพบุรีทันที ทุกคนที่บ้านตื้นตันใจมาก ๆ เพราะไม่คิดว่าฉันจะทำได้ พี่ ๆ ที่สมาคมฯก็ยินดีไปกับฉันด้วย ฉันมีของมาฝากทุก ๆ คนเพราะเบี้ยเลี้ยงดีมาก ๆ ฉันรู้สึกดีใจที่สุดเลยที่ได้มีวันนี้ ความฝันของฉันสำเร็จไปได้ด้วยดี...
"สวัสดีนักเรียนและนักกีฬาทุกคนวันนี้ครูมีข่าวดีมาบอกทางสมาคมของเรามีครูฝึกคนใหม่"
ทุกคนฮือฮากันเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นผู้ช่วยอาจารย์
"เงียบ ๆ กันหน่อย หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักและหลาย ๆ คนที่มาใหม่อาจจะไม่รู้จักครูขอแนะนำอาจารย์ที่ทางกองทัพอากาศส่งมากู้หน้าพวกเราอาจารย์แววดาว เมธาธิพญา"
ทุกคนอึ้งเงียบกันหมด จนอาจารย์ดนัยปรบมือทุกคนถึงกับหันไปมองและปรบมือ ฉันจึงเดินออกมาข้างหน้าทุกคนพร้อมกับคำนับเพื่อแสดงตัวว่าฉันเป็นอาจารย์ ที่จริงตอนที่ฉันไปคุยกับอาจารย์เป็นการส่วนตัวในห้องพักทหารอาจารย์บอกว่าเป็นแค่ผู้ช่วยอาจารย์อีกหน่อยก็เป็นอาจารย์ อาจารย์ก็เลยให้ฉันดำรงตำแหน่งอาจารย์เลยทันที
"คอนนิจิวะ วาตาคุชิวะ แววดาว เมธาธิพญา โมชิมาสุ โดโซะโยโรชิกุ โตอัสสะชุ ชิมาสุ"
"มิดิเตะ....!!!!"
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันทำให้ฉันมีความรู้สึกตื้นตันใจมาก ๆ ยกเว้นเหมี่ยวฉันจึงคิดได้ว่าสมาคมฯของเราควรที่จะมีกฎต้องห้ามฉันจึงพูดขึ้น
"ฉันขอประกาศกฎที่ฉันตั้งขึ้นไว้ว่า ข้อแรกห้ามส่งเสียงดัง ทุกคนต้องมีสมาธิ ข้อสองทุกคนที่ไม่ได้ขึ้นซ้อมในขณะนั้นต้องนั่งอยู่ที่เบาะแดงเท่านั้น ข้อสามคือก่อนขึ้นมาบนเบาะควรเรียงรองเท้าให้เป็นระเบียบและเคารพเบาะทุกครั้งที่ขึ้นและลงจากเบาะ ข้อสี่ใครที่มีสายสีแล้วถ้าวันไหนไม่ใส่สายสีของตัวเองจะถูกปรับด้วยการยึดพื้น 50 ทีตามขั้นสาย ส่วนพวกสายขาวที่แอบเอาสายสีมาใส่ให้โทษถึงสองเท่า ข้อห้าทุกคนเมื่อมาถึงแล้วควรทำความสะอาดเบาะอย่าให้มีฝุ่นจับและควรวอล์มร่างกายให้พร้อมด้วยการไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลคนละ 3 รอบ ข้อหกห้ามขโมยของในล็อกเกอร์หรือแม้แต่ของสำคัญที่วางไว้บนโต๊ะถ้าใครฝ่าฝืนไล่ออกสถานเดียว ข้อเจ็ดทุกคนต้องเข้าออกตรงต่อเวลาและห้ามมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นที่นี่ แต่ที่อื่นไม่ห้าม ข้อแปดทุคนต้องมีน้ำในเป็นนักกีฬาห้ามทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเราถือว่าเรามีจิตวิญญาณเป็นนักกีฬายูโดเหมือน ๆ กันและห้ามยกพวกตีกันกับนักกีฬาที่อื่นหรือนักกีฬาต่างชนิท ข้อเก้าเครื่องแต่งกายของยูโดต้องเรียบร้อยซ้ายทับขวา สายก็เช่นเดียวกันซ้ายทับขวาและขวาทับซ้าย คาดสายให้ตรงกับสะดือหรือต่ำกว่า ห้ามรัดจนฟิตหรือจนเอวกิ่ว และผู้หญิงควรใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวข้างในห้ามีลวดลายหรือสีอื่นข้อสุดท้ายต้องเคารพในสายและเคารพผู้ฝึกซ้อมนอกจากนั้นต้องเคารพในกฎระเบียบและกติกาการแข่งขันรวมทั้งกรรมการด้วย กฎ 10 ข้อทำได้ไหม....!!!"
ทุกคนเงียบอึ้งกันอีกครั้งจนอาจารย์ดนัยปรบมือขึ้นอีกครั้งทุกคนจึงปรบมือและกล่าวคำว่ารับทราบโดยพร้อมเพียงกัน
ฉันได้นักเรียนใหม่เป็นผู้ชายที่ฉันต้องมาเทรนตั้งแต่การตบเบาะ 3 คนเป็นนักเรียนช่างที่สถาบันแห่งหนึ่ง พวกเขาหัวไว สอนอะไรก็เข้าใจและทำได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาอายุมากกว่าฉัน มีชื่อพี่เก้า พี่ต้น และพี่เบลว เวลาที่ฉันสอนพวกเขาดูพวกเขาจริงจังจนฉันต้องจริงจังด้วย ฉันมีความสุขกับชีวิตใหม่ที่มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ
"อาจารย์พี่อยากรู้ว่าเมื่อไรจะสอนทุ่มซะทีล่ะ อยากทุ่มได้มานานแล้ว..."
"นี่ขอร้องอย่าเรียกอาจารย์ได้ไหม มันดูแก่น่ะ เออ...แล้วไอ้เรื่องที่อยากทุ่มได้น่ะเอาไว้ตบเบาะแน่น ๆ ก่อนก็แล้วกันแล้วค่อยมาว่ากันไอ้เรื่องทุ่มน่ะมันของหวานเอาของคาวให้ได้ก่อน"
"ของหวานของคาวอะไรกันผมไม่เห็นเข้าใจเลยอาจารย์"
"นี่..."
"ก็ได้ก็ได้ไม่เรียกอาจารย์ก็ได้แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ"
"เรียกชื่อเฉย ๆ ไง ตัวเองแก่กว่าเขาแล้วจะมาเรียกเขาแก่ได้ยังไงกัน"
"ครับอาจารย์ เอ๊ยน้องดาว..."
"ไม่ต้องมาทำเสียงหวานเลยพี่ต้น ของหวานก็คือเรื่องง่าย ๆ อย่างการทุ่ม ของคาวก็คืออาหารหลักที่ต้องใช้ไปตลอดอย่างการตบเบาะ ถ้าทำไม่ดีโอกาสถึงตายมีได้ หรือแข้งขาหักไปละก็แย่เชียว มันเป็นสำนวนของวงการนี้น่ะอย่าคิดอะไรมาก"
"น้องดาวเรียนมากี่ปีแล้วถึงได้เป็นอาจารย์เนี่ย"
"เรียนมาอืม...ปีนึงทำไมเหรอ"
"เก่งเนาะ...จริงไหมวะเก้า เบลว"
"อย่ามายอกันเลย ซ้อมต่อดีกว่าเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังนะจ๊ะพี่ ๆ"
ด้วยความที่ฉันเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงก็เลยให้พี่ ๆ ทั้งสามคนซ้อมกันอย่างไม่หยุด ฉันลืมเวลาพักเบรกไปเสียสนิท ฉันไม่รู้หรอกว่ามีใครจับจ้องฉันบ้างแต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าหลังมันร้อนผ่าว ๆ เหมือนกำลังถูกไฟรนทีเดียว
"พักเบรกก่อนนะพี่ต้น พี่เก้า พี่เบลว"
"มีอะไรเหรอดาว"
"เห็นใครมองมาบ้างหรือเปล่า"
"ก็เห็นนะ คนอ้วน ๆ คนนั้นที่หน้าตาดุ ๆ น่ะเขาจ้องเหมือนเคยมีเรื่องกันมาก่อนเลย"
พอฉันหันไปดูก็เห็นเหมี่ยวจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว แต่ฉันก็ทำเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเล่นยูโด ฉันเก็บข้าวของแล้วก็เตรียมออกจากเบาะแต่ก่อนออกพวกพี่ ๆ ทั้งสามคนเรียกฉันไปนั่งคุยกันก่อนฉันจึงไปนั่งคุยที่ม้านั่ง ขณะนั้นมีพี่โอม พี่ตูน พี่แท็ก พี่ไก่ พี่นัทและพี่เจี๊ยบอยู่ด้วยส่วนคนอื่น ๆ กลับกันหมดแล้ว
"ทำยังไงถึงจะได้สายน้ำตาลล่ะ"
"ก็ขยันซ้อม ขยันแข่งและหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้ก็เท่านั้น มันไม่ยากนักหรอก"
สักพักเหมี่ยวก็เดินมาใกล้ ๆ
ปัง...................!!!!!!!!!
เหมี่ยวเอาชุดยูโดตบที่โต๊ะแรงมากแล้วก็หันมาจ้องฉันเหมือนกับยักษ์ใจร้ายทีเดียว ภาพในตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนเห็นผีเสื้อสมุทรในวรรณคดียังไงยังนั้นเลย
"ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ มึงอยู่ในนี้ปลอดภัยแต่มึงอย่าเข้าไปเรียนเชียวนะไม่งั้นมึงไม่รอด กูจะไม่ให้มึงอยู่สุขสบายแน่.....!!!!!"
"เหมี่ยวมันไม่มากไปหน่อยหรือไง...ข่มขู่นี่หว่า"
พอพี่โอมพูดพี่นัทก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ เหมี่ยวแล้วก็ตบหน้าทันที
เพี๊ย.............!!!!!!
"มาตบเหมี่ยวทำไม"
"หยุดขี้อิจฉาได้แล้ว อย่าทำตัวเองให้ต่ำลงไปกว่านี้เลย"
พอพี่นัทพูดจบเหมี่ยวก็วิ่งออกจากสมาคมฯไปเลย ฉันถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูกเลย ฉันไม่เคยคิดว่าผู้ชายที่แสนดีเพียบพร้อมอย่างพี่นัทจะกล้าตบหน้าผู้หญิงแล้วก็เดินไปนั่งอย่างหน้าตาเฉย ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย แล้วที่เหมี่ยวพูดมันอะไรกัน วันพรุ่งนี้ที่ฉันต้องไปเรียนมันจะเกิดอะไรขึ้นนะ ฉันรู้สึกกังวลใจจริง ๆ
ช่วยส่งแรงใจไปเชียรหน่อยนะคะ...