รักแท้..ที่เธอลืม

หมึกมรกต

ตะวันคล้อยลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว เป็นสัญญาณเย็นย่ำที่กำลังเข้าสู่เวลาคืนรังของฝูงนกที่บินมาคราคร่ำทั่วผืนฟ้า แล้วเหินหายไปยังป่าใหญ่เชิงเขา นับเป็นแห่งเดียวในละแวกนี้ ที่ยังคงไว้ซึ่งสภาพป่าสมบูรณ์ เพราะโดยรอบถูกถางเผาเป็นที่โล่ง ตั้งแต่ครั้งชาวบ้านขายที่ให้นักธุรกิจจากกรุงเทพฯ สร้างเป็นรีสอร์ท เพื่อแลกกับความสุขสบาย 
ในละแวกนี้ มีบ้านเพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังคงสมัครใจจะมีความเป็นอยู่คงเดิม หนึ่งในจำนวนน้อยนั้นคือ บ้านหลังกะทัดรัดของ จำเนียร เพราะเธอไม่คิดทะเยอทะยานอยากมั่งคั่งจากการขายที่ดินทำกินให้กับนายทุนที่มากว้านซื้อ แม้ว่าจะมีการยื่นข้อเสนอที่งดงาม แต่ชีวิตนี้เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ อีกทั้งไม่มีใครให้ต้องห่วงหา เว้นแต่ แพร ลูกสาวซึ่งกำลังเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ นึกถึงตรงนี้แล้วน้ำตาซึมทุกที เพราะมันคือความภาคภูมิใจ ที่เธอสู้บากบั่นอดทนทำงานหนักส่งเสียให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดี 
นับแต่พ่อของลูกจากไปด้วยโรคหัวใจ ตั้งแต่ลูกเพิ่งเริ่มหัดพูด ในชีวิตเธอก็ผูกผันอยู่เพียงกับลูกและบ้านหลังนี้ ซึ่งนับเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่สามีได้ทิ้งไว้ให้พร้อมสวนกุหลาบหลังบ้าน อันเป็นแหล่งรายได้หลัก ซึ่งแลกมาด้วยหยาดเหงื่อทุกหยดที่รินรด หากขายที่ให้นายทุนก็คงได้เงินไม่น้อย แต่นั่นไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอแม้สักนิด
เธอพักมือจากการพรวนดินในสวนกุหลาบ ด้วยว่าอาการปวดหลังที่พักนี้ออกจะเป็นบ่อยครั้ง ครั้นจะไปหาหมอในเมืองก็เกรงว่าเงินที่เก็บออมไว้จะไม่พอหากลูกขาดเหลือแล้วขอมา สองมือที่เริ่มเหี่ยวย่นกระชับด้ามเสียมแน่นเพื่อพยุงยันกายลุกขึ้น แล้วเดินขึ้นเรือนเตรียมจัดหาอาหารเย็น หลังล้างมือ เอาน้ำลูบหน้าเรียกความสดชื่นแล้วก็เข้าครัว เปิดดูในตู้ยังมีน้ำพริกหนุ่มที่โขลกไว้ตั้งแต่เมื่อวานเหลืออยู่ จึงคิดว่าจะผัดผักบุ้งกินแกล้มก็พอแล้ว 
ครั้นจัดเตรียมสำรับเสร็จก็เปิดวิทยุฟังข่าว ยังไม่ทันนั่งก็มีเสียงเรียกมาจากชานเรือน ออกไปดูก็พบเจ้าโก้ลูกยายปริกข้างบ้าน ยืนถือชามกากหมูผัดพริกแกงโรยมากับใบมะกรูดซอยทอดกรอบส่งกลิ่นหอมฉุย 
"แม่ให้เอามาให้ครับป้า" 
"ขอบใจมากลูก เออ รอเดี๋ยวนะเดี๋ยวป้าตักผัดผักบุ้งให้"
ได้จานผัดผักบุ้งแล้ว เจ้าตัวเล็กก็หยิบชิมซะเดี๋ยวนั้น "อื้อฮือ ป้าผัดผักบุ้งอร่อยเหมือนเดิมเลย วันนี้ผมกินข้าวพุงกางแน่" ว่าแล้วก็ลงเรือนวิ่งแจ้นกลับบ้าน 
นางเห็นท่าทีของเจ้าโก้แล้วเห็นขันในความไร้เดียงสา น่ารักน่าชัง และเป็นเด็กช่างพูดเหมือนลูกสาวเธอเมื่อยังเล็กไม่มีผิด 
ครั้นตักกากหมูผัดพริกแกงทานกับข้าว ก็ให้นึกถึงลูก เพราะนี่คืออาหารจานโปรดของลูกก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าไปอยู่กรุงเทพฯจะมีโอกาสได้กินบ้างหรือเปล่า 
เธอจ้องกรอบรูปหญิงสาวหน้าหวาน วางตั้งไว้ที่ดานหนึ่งของโต๊ะอาหาร รูปนี้ได้มาเมื่อเกือบ 3 ปี แล้ว ตอนที่ลูกกลับมาเยี่ยม เห็นรูปแล้วก็สะท้อนใจด้วยความคิดถึง 
นับตั้งแต่กลับไปคราวนั้นจดหมายก็ไม่ได้เขียนมาคุยเลย ครั้งหลังบอกว่า เรียนหนักไม่ค่อยมีเวลา แต่เธอก็ยังพยายามดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย จัดส่งให้มิเคยบกพร่อง แม้ลูกจะขอมาพิเศษก็ไม่เคยปฏิเสธแม้สักครั้ง...
ครั้นเก็บสำรับแล้วจึงออกมานั่งเล่นที่ชานเรือน 
นึกถึงเมื่อก่อนสมัยลูกยังเล็ก ร้องไห้งอแงเวลาง่วงนอน ต้องคอยปลอบ กล่อมให้นอนหนุนตัก แล้วเล่านิทานให้ฟังจนหลับผล็อย
"แม่จ๋า หนูรักแม่เท่าฟ้าเลย" เสียงเจื้อยแจ้วยังดังอยู่ในความคำนึงให้ยิ้มปลื้มเสมอ ลูกคงไม่รู้หรอกว่าความรักที่แม่มีให้ลูกนั้น มันมากกว่าที่ลูกมีให้แม่จนประมาณมิได้ และยากเกินจะเอ่ยออกมาได้ ก็ทั้งชีวิตแม่นี้อย่างไรเล่า ที่ยินยอมพร้อมจะพลีให้ และทำทุกสิ่งให้ลูกมีความสุข เติบใหญ่เป็นคนดี เพียงเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว
"แพรอยากทำงานอะไรลูก" เธอถามลูกเมื่อเริ่มเรียนมัธยมปลาย 
"แพรอยากเรียนกฎหมายจ้ะแม่ แพรอยากเป็นทนายความ จะได้ช่วยคน ที่ไม่รู้กฎหมายที่ถูกเอาเปรียบ ถ้าเขาไม่มีเงินแล้วมีปัญหา หนูก็จะว่าความให้ฟรีจ้ะแม่
นางลูบผม ยิ้มชื่นชมกับความคิดความอ่านของลูก 
"แต่เรียนมหาวิทยาลัยมันก็ใช้จ่ายเยอะนะแม่ หนูเลยคิดว่าพอจบมอหกแล้วอาจจะหางานในเมืองทำ อีกอย่าง จะได้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลแม่ไง" ว่าแล้วก็ซบลงหนุนตัก
"อย่าห่วงเลยลูก ถ้าอยากเรียนต่อก็เรียนเถอะ เรื่องเงินน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สวนกุหลาบหลังบ้านเราก็ยังทำเงินได้ตลอดปี ป้ามาลีก็ยังมารับไปขายที่ตลาดทุกเช้า เงินเราไม่ขาดมือหรอกลูก" 
วันที่เธอปลื้มใจอีกครั้งก็ตอนที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้. จำได้ว่าของขวัญที่ให้เป็นรางวัลลูกคือ เสื้อถักไหมพรมสีครีม สีที่ลูกชอบ เธอถักเสร็จในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะตื่นเต้นดีใจ บางวันถักเสียจนถึงเช้าเผื่อว่าลูกจะได้ใส่นอนที่กรุงเทพฯ เพราะไม่รู้ว่าตอนกลางคืนอากาศจะเย็นเหมือนที่ลำปางหรือเปล่า
"ป้าเนียร.ป้าเนียร" เสียงเรียกจากหน้าบันไดปลุกนางตื่นจากภวังค์ พบลำไยลูกลุงชิดยืนชะเง้ออยู่ 
"อ้าว ว่าไงลูก กลับมาเยี่ยมบ้านรึ ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ
"ไม่เป็นไรจ้ะป้า พอดีหนูผ่านมาเลยแวะทัก....เออ แล้วแพรไม่กลับมาบ้านหรอกรึ ถามพลางชะเง้อ
ไม่ได้มาหรอกลูก...คงไม่มีเวลามั้ง" 
"เอ..ก็ไหนเขาบอกหนูว่าจะกลับมาบ้านแต่ช่างเหอะ...ตกลงป้าจะลงไปกรุงเทพฯวันไหนล่ะ" 
"ไปทำไมล่ะลูก" เธอถามด้วยฉงน 
"อ้าว! นี่ป้าไม่รู้หรอกเหรอ หนูกับแพรน่ะ เราเรียนจบกันหลายเดือนแล้ว เนี่ยหนูมาส่งข่าวที่บ้านจะให้ลงไปงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยวันพุธหน้า ส่วนแพรรับวันจันทร์" 
"จริงเหรอลูก" เธอตื่นเต้นดีใจ "สงสัยแพรคงยุ่งอยู่ล่ะมั้ง เลยลืมส่งข่าวแม่ เห็นแต่วันก่อนก็ส่งโทรเลขมาขอเงินมากโข ดีนะที่ลำไยมาบอกป้า ไม่งั้นแพรคงเสียใจแย่ที่แม่ไม่ได้ไปงานรับปริญญา" 
"แล้วป้าไปถูกมั้ยล่ะ" 
"ก็น่าจะถูกนะลูก ป้าเคยไปเยี่ยมแพรที่หอพักเมื่อตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เห็นว่ามหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ กับหอพัก ป้าว่า ถามคนแถวนั้นคงจะรู้" 
"ถ้างั้นหนูคงไม่ห่วงล่ะ อ้อ!ป้าไปแต่เช้าหน่อยก็ดีนะ จะได้ไปถ่ายรูปกับแพรก่อนเข้าห้องประชุม เห็นว่านัดเจอกับเพื่อนหน้าตึกคณะนิติศาสตร์ตอน 7 โมงเช้า หนูก็ว่าจะแวะไปเหมือนกัน...ถ้างั้นหนูลาป้าล่ะนะพ่อรอกินข้าวอยู่ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ นะป้า" ลำไยยกมือไหว้ลา 
ลำไยกลับไปพักใหญ่แล้ว แต่เธอยังคงตื่นเต้นไม่หาย ดีใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มของลูก
ค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่เธอนอนหลับอย่างมีความสุขเหลือเกิน พร้อมใบหน้าลูกสาวยิ้มละไมลอยอยู่ในความฝันตลอดคืน
...โปรดติดตามตอนต่อไป...				
ฝนหมาดฟ้าไปพักใหญ่ พร้อมกับเวลาผ่านล่วงเข้าสู่วันใหม่ หลายชีวิตซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มหนาหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ 

ตึกสูงหลังนั้นแฝงกายอยู่หลังชุมชนอันหนาแน่น ติดชิดกับคลองระบายน้ำสายเล็กๆ สีดำสนิท ห้องพักหลายสิบห้องถูกจัดสรรให้เป็นที่เช่าพักสำหรับสตรี 

บนชั้น 3 เวลานี้มีเพียงห้องพักมุมซ้ายสุดเท่านั้น ที่ไฟยังคงเปิดสว่าง หญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงมีผ้าห่มคลุมอยู่เหนืออก ใบหน้ารูปไข่ จมูกรั้นเชิดกับดวงตากลมโตเป็นประกาย ปากสวยได้รูป คิ้วเข้มรับกับผมดำขลับประบ่า มันทำให้เธอโดดเด่นกว่าใครในบรรดาเพื่อนสาวที่เคยเรียนร่วมกัน และรับเลือกให้เป็นดาวประจำคณะและชั้นปี เหตุนี้เองเธอจึงเป็นที่ต้องตาของทั้งเพื่อนชายและรุ่นพี่จำนวนมาก 

ทว่าในบรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาผูกไมตรีเห็นจะมีเพียงจาตุรนต์เท่านั้น ที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ที่สุภาพ ให้เกียรติเธอ รักเธอเสมอต้นเสมอปลาย ที่สำคัญเขาเป็นทายาทคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง อันเป็นที่แน่นอนว่าหากเธอลงเอยกับเขา ชีวิตนี้คงมีความสุข และหลีกพ้นจากสิ่งที่เธอได้พยายามตะเกียกตะกายหนีมัน 

ภาพลักษณ์ของเธอที่ชายหนุ่มและเพื่อนๆได้รับรู้จากปากของเธอคือ เป็นลูกนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมหรูทางภาคเหนือ สิ่งนี้มันทำให้เธอมีความรู้สึกสับสนในตนเอง และหวาดระแวงเสมอว่า จะทำเช่นไรหากเขารู้ความจริง 

หญิงสาวเหลือบมองดูภาพถ่ายในวัยเยาว์ ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา จะเป็นใครเสียอีกเล่านอกจากคนที่เธอเรียกว่า แม่ 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอพยายามลบภาพแห่งความทรงจำดีๆ กับสิ่งที่ได้รับจากสตรีผู้นี้ ความรัก ความเข้าใจ การเอาใจใส่ การจัดสรร แววตาแห่งความอาทร ความทุกข์ร้อนเมื่อยามที่เธอทุกข์ใจแต่กลายกลับเป็นว่า แม่ทุกข์ทนยิ่งกว่า

เธอยอมรับว่าไม่มีผู้ใดจะดีเลิศและปรารถนาดีต่อเธอเท่ากับแม่ แต่สิ่งที่เธอมิอาจยอมรับได้คือ ฐานะแท้จริงของทางบ้าน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ แล้ว เธอช่างดูด้อยกว่าใคร แม้ว่าจะต้องหลอกตัวเอง แต่เธอยินดีที่จะเลือกเช่นนั้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่บอกกล่าวให้แม่มางานรับปริญญาในอีก 2 วันข้างหน้า 

"ว้า..เสียดายจังคุณแม่มางานรับปริญญาของแพรไม่ได้แล้วล่ะ" เธอนึกถึงการสนทนาหลังทานอาหารเย็นที่ร้านหรูกลางกรุงกับคนรัก
"อ้าว..ทำไมล่ะครับวันสำคัญอย่างนี้คุณแม่น่าจะปลีกตัวมานะครับ"
"คงสุดวิสัยค่ะ เพราะท่านโทร.มาบอกเมื่อตอนบ่ายว่า ตอนนี้ยังอยู่ที่เดนมาร์ก คุณน้าป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล ที่นั่นไม่มีใครคุณแม่เลยต้องอยู่ดูแล กลับมาไม่ทันค่ะ"

เธอนึกขันกับท่าทีของชายหนุ่มที่เชื่อเธออย่างสนิทใจ แต่ส่วนลึกรู้สึกผิดและเริ่มสับสนมากขึ้นว่าเธอจะโกหกเขาไปได้นานเพียงไร ในเมื่อความจริงย่อมเป็นความจริง เธอพยายามบังคับไม่ให้ใจคิดกังวล หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกล่าวออกมาเบาๆ 
"ขอโทษด้วยนะคะคุณแม่ หนูจำเป็นค่ะ" กรอบรูปถูกวางคว่ำลงอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนหญิงสาวจะปิดไฟแล้วพลิกตัวหันกลับหลับตาอย่างไม่ไยดี.. 

******

แสงทองเริ่มแต้มขอบฟ้า อากาศวันนี้ช่างสดใส จำเนียรเสร็จกิจจากการรดน้ำและริดใบในสวนกุหลาบหลังบ้านแล้ว เธอยืนมองดูฟ้าซึ่งรู้สึกว่าสวยกว่าทุกวัน เธอยิ้มให้กับตนเองด้วยความสุขล้นในใจ เย็นวันนี้แล้วสินะ ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ... ลูกคงจะดีใจที่ได้เห็นเธอไปแสดงความยินดี แม้ว่าสุขภาพจะไม่สมบูรณ์นัก เพราะอาการปวดหลัง แต่ก็พอฝืนไปได้ หากไม่ไปลูกคงเสียใจแย่ ต่อไปคงมีรูปสวยๆ ถ่ายกับลูกในชุดครุยมาติดที่บ้านให้ได้ภูมิใจ

หลังทานข้าวเช้าเสร็จ จำเนียรก็เริ่มจัดกระเป๋าเดินทาง นางรู้สึกใจหายเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เสื้อผ้าชุดที่ดูพิเศษแทบจะไม่มีเลย ทำไมนะเมื่อวานก็เข้าเมืองน่าจะซื้อใหม่สักชุด แต่มาคิดดูอีกที เก็บเงินไว้เผื่อขาดเหลืออะไรลูกอาจต้องใช้จ่ายน่าจะดีกว่า ผ้าซิ่นฝ้ายทอลายสวยสีอาจจะซีดไปสักหน่อย กับเสื้อม่วงหม่น มีระบายลูกไม้แบบเรียบๆ ชุดนี้ก็คงดูสมฐานะดี สวมสร้อยไข่มุกสักหน่อย เพียงเท่านี้ก็คงพอแล้ว 

******

เพียงก้าวแรกที่เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จำเนียรก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาลูกสาวพบ ผู้คนมากมายละลานตาไปหมด นิสิตในชุดครุยและญาติพี่น้องถ่ายรูปร่วมกันต่างยิ้มแย้มแจ่มใส วันนี้มหาวิทยาลัยที่เคยดูกว้างใหญ่เลยดูแคบไปถนัดตา นับเป็นครั้งแรกที่เธอมามหาวิทยาลัยของลูก จำได้แต่เพียงที่หนูลำไยบอกว่า ต้องไปที่ตึกคณะนิติศาสตร์ นึกได้จึงถามยามที่ประตูแล้วเดินไปตามคำบอกกล่าวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก 

"หนุ่มจ๊ะตรงนี้คณะนิติศาสตร์ ใช่มั้ย" นางถามนิสิตชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายยืนรอใครอยู่
"ใช่ครับ" 
"งั้นหนูพอจะรู้จักจันทพรรึเปล่าจ๊ะ เห็นเขามั้ย" 
"อ๋อ..รู้จักสิป้าคนดังใครก็รู้จัก..แถมมีแฟนรวยอีกต่างหาก โน่นแหน่ะ กำลังถ่ายรูปอยู่ซุ้มหน้าตึกไงครับ" ชายหนุ่มชี้บอกทาง 

เธอรีบเดินตรงไปยังที่หมาย พบลูกสาวในชุดครุย ช่างสวยสง่า รุมล้อมด้วยเพื่อนๆ และชายหนุ่มเคียงข้างคอยซับเหงื่อให้ เธอรีบปรี่เข้าไปใกล้ด้วยความดีใจ แล้วเรียก 

"ลูกแพร" 

..โปรดติดตามตอนต่อไป..				
comments powered by Disqus
  • รักคุณคับ

    3 กันยายน 2547 22:20 น. - comment id 76627

    คิดถึงพี่ดอยนะคับ.. ^_^
  • ตะแหง่ว

    4 กันยายน 2547 11:50 น. - comment id 76645

    ไม่อยากจะนึกภาพต่อไปเลยค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น....ฮื้ออออออออ
    
    คิดถึงพี่ดอยด้วยคนค่ะ..
  • หนอนน้อย

    4 กันยายน 2547 12:32 น. - comment id 76646

    แล้วจะมาติดตามตอนต่อไปนะคะ...แต่ก็อย่างพี่ตะแหง่วพูดแหละค่ะ..ไม่อยากจะนึกภาพต่อไปเลยค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น...........
  • ลอยไปในสายลม

    4 กันยายน 2547 18:56 น. - comment id 76654

    อยากติดตามแล้ว
  • )))**--ผลิใบสู่วัยกล้า--**(((

    5 กันยายน 2547 07:22 น. - comment id 76677

    เข้ามาอ่านเป็นกำลังใจให้นะครับ
    
    เขียนได้ดีจริงๆๆๆๆๆๆๆ...
    
    
    
  • rain..

    5 กันยายน 2547 22:12 น. - comment id 76718

    ..พี่ชายคะ..
       เรน รอ .. อ่าน .นะคะ..
    
  • ตะแหง่ว

    7 กันยายน 2547 11:04 น. - comment id 76775

    มาอีกรอบนึง..พี่ดอยคะ.. ตะแหง่วขอเดานะ คำบรรยายข้างบนนั่นป่ะคะ ...ฮื้อ....ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย ....ขอให้ตะแหง่วเดาผิดเหอะ....
  • ทอมมี่

    7 กันยายน 2547 16:04 น. - comment id 76784

    ทําไม  ต้องติดตามตอนต่อไป
  • ธาณนา

    11 กันยายน 2547 18:04 น. - comment id 76880

    ไม่อยากนึกตอนต่อไปเลยค่ะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน