ฉันน่ะ! รองเท้าปอนๆ คุณน่ะ! หมวกใบแพง ตอนที่๑

TANOI_ZA


ลองจินตนาการกันนะคะ นิสัยนี้เด้งเด่นขนาดที่เพื่อนๆ เกือบทั้งแผนก พากันเรียกฉันว่า 'ยายเปิ่น' ส่วนชื่อเล่นงามๆ ที่คิดได้ง่ายยิ่งกว่า การด่าใครบางคนด้วยภาษาสุภาพนั่นก็คือ ชล เห็นไหมคะ! ฉันยังไม่ต้องอธิบายอะไร คุณผู้อ่านก็ไม่ต้องเอาชื่อฉัน ไปถอดรหัสโดยเข้าสูตรคณิตศาสตร์สุดหิน ที่ฉันไม่ถนัดนัก ก็สามารถรู้ได้ว่า 'ชล' ย่อมาจากชื่อจริงอีกทีนั่นแหละ 
ตัวฉันเองไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ความซุ่มซ่ามค่อนข้างมากกว่าระดับคนปกตินี่ จะเป็นสาเหตุหลักของ อุบัติเหตุรักครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่สุดแสนเรียบง่าย ไร้สีชมพูแป๋นของฉันได้ 
ส่วนชายผู้ที่ใครๆ ต่างพากันเล่าลือว่า 'ซวยแมนออฟเดอะเยียร์' ชายคนที่เข้ามาแต่งแต้มสีหวาน ปานน้ำตาลไหม้ราดแย้มสตอรเบอร์รี่คนนั้นก็มีชื่อไพเราะเสนาะหูไม่แพ้กันว่า 'ไอตะวัน ประทานทรัพย์' แค่ได้ยินนามสกุล คงเดากันได้ว่า ไอตะวัน เขามั่งคั่งขนาดไหน!..
เรื่องชวนปวดหัวแต่อิ่มสุขทางใจนี้ เริ่มขึ้นในเช้า ที่เต็มไปด้วยความอึกทึก วุ่นวายมากมายอย่างทุกวัน อืมม์... พิเศษกว่าวันอื่นๆ ตรงที่วันนี้ ฉันออกไปทำงานช้ากว่าปกติเท่านั้นเอง เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่ตา 'เค้ก' ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉัน สามารถมีชีวิตอยู่อย่างสงบร่มเย็น โดยปราศจากการคุกคามทางใดทางหนึ่งจาก 'เจ๊ลิซ่า' กะเทยข้างบ้านได้อีกหนึ่งปี
อันที่จริง ตาเค้กไม่ใช่ลูกในไส้ของฉันหรอกค่ะ ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายดีเอ็นเอเดียวกัน ที่ได้รับอุบัติเหตุระหว่างไปทำงานพร้อมกับพี่สะใภ้จนถึงขั้นเสียชีวิต เหลือของต่างหน้าชิ้นล้ำค่าไว้ให้ฉันและพ่อกับแม่ เก็บรักษาไว้เพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ 'ตาเค้ก'
"แม่เห็นแว่นหนูไหมคะ! " 'ให้ตายเถอะ! รีบทีไรเป็นอย่างนี้ทุกทีเลย'
"เค้กเร็วๆ เข้า! เดี๋ยวไม่ทันได้ใส่บาตรพระหรอกนะลูก" ตาเค้กยังคงนั่งนิ่งอยู่หน้าจอทีวีน้ำลายนองปาก อมข้าวเพื่อหมักไว้ทำแอลกอฮอลล์ ไม่สนใจที่ฉันพูดสักนิด
"เค้กเอ๊ย! เมื่อวานนี้เจ๊ลิซ่ามาบอกกับยายว่า จะไปตักบาตรด้วยนะ เห็นบอกว่าให้รอก่อนด้วยนี่นะ! ใช่ไหมยายชล" ฮะๆๆๆ นี่ล่ะ! แม่ฉัน หากใครไม่รู้จักกันมาก่อน อาจจะตระหนกถึงขั้นเป็นบื้อใบ้ เอ๋อรับประทานกันได้ น่าสงสารตาเค้กจริงๆ ที่ยังเด็กเกินจะทันเล่ห์สาวแก่อย่างท่าน
"อะ! อ๋อๆ ใช่ๆ นี่เห็นบอกว่า จะมีของขวัญชิ้นพิเศษมาให้ด้วยนี่! เจ๊ลิซ่าบอกว่า.... ว่าอะไรนะพ่อ! " เค้กเริ่มเอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อเจ๊ลิซ๋า เพื่อนบ้านสุดแสนน่ารักสำหรับครอบครัวเรา หากน่าสยดสยองยิ่งกว่าฝันร้ายยามค่ำคืนของเด็กผู้ชายในละแวกนี้
พ่อฉันที่กำลังกวาดสายตา ไปตามตัวอักษรบนหน้าหนังสือพิมพ์ นั่งนิ่งครู่หนึ่งราวไม่สนใจบทสนทนาของสมาชิกภายในบ้าน ก่อนลดระดับหนังสือพิมพ์ลง เพื่อสบตาใสซื่อของหลานชายสุดที่รัก
"เห็นบอกว่า จูบแรก" 'โป๊ะเช๊ะ! ว่าแล้วว่าพ่อต้องเล่นด้วย' ก็พ่อฉันน่ะ รักตาเค้กจะตายไป ให้ท้ายกันยิ่งกว่าลูกกตัญญูอย่างฉันอีก ฉันกับแม่เมื่อครู่แทบจะหยุดหายใจ ลุ้นแทบตายว่า หัวหน้าครอบครัวอย่างพ่อจะเล่นด้วยกันไหม
เค้กรีบกระโดดข้ามโซฟาสีน้ำตาลอ่อนลายดอก ไปคว้ากระเป๋านักเรียนรูปซุปเปอร์ฮีโร่พันธุ์ใหม่เอี่ยม DUCK BOYS ขึ้นสะพายเองอย่ากระตื้อร้น แถมยังหันมาเร่งฉันอีกต่างหากแน่ะ! แต่ ตาเค้กคงลืมไปมั้งว่า เรายังไม่ได้ไปโรงเรียนกันสักหน่อย เราแค่จะไปใส่บาตรพระท้ายซอยกันเอง แต่ด้วยความหมั่นไส้ ไหนเลยจะเตือนล่ะ ปล่อยให้สะพายไปด้วยนั่นแหละดีแล้ว อยากอืดอาดดีนักนี่! (แสนซน: เอ่อ สงสัยกันไหมคะว่า ยายประกายชลรักเขารักลูกตัวเองไหม!? )
"ชลก็เร็วๆ สิ เค้กน่ะพร้อมตั้งนานแล้วนะ"
"บอกกี่ครั้งแล้วเค้กว่า ให้เรียกแม่น่ะ" ฉันหันไปดุเล็กน้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่า ยังหาแว่นไม่เจอ
"แม่คะ! แว่นหนูล่ะ แว่นหนูหายไปไหนคะ"
"ก็ใส่อยู่ไม่ใช่เหรอเรา" เสียงพ่อที่ก้มลงไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อเมื่อครู่ เอ่ยขึ้นเรียบๆ
"เมื่อไรเราจะเลิกนิสัยแบบนี้สักทีนะชล พ่อล่ะห่วงเราจริงๆ เลย โตสักทีสิ มีลูกแล้วนะเรา"
"หนูก็เหมือนแม่ไงพ่อ หนูเลิกขึ้นมาจริงๆ จะเหงานะเอ้า! ไปแล้วๆ เดี๋ยวหนูต้องไปทำงานอีกด้วยค่ะ"
เราสองคนแม่ลูกต้องออกจากบ้านไปท้ายซอยอีกฝั่ง โดยจักรยานคันน้อย แน่นอน! ฉันนี่แหละที่ถีบ! ปั่นกันตาเหลือตาปลิ้น ไฟงี้แล่บแปล๊บ! เพราะกลัวไม่ทันพระสงฆ์ที่มาบิณฑบาตเช้า หลังไปตักบาตรเรียบร้อยแล้ว ฉันยังต้องกระเตงตาเค้กกลับเข้าบ้านเพื่อ ส่งต่อหน้าที่การนำเจ้าตัวดีไปโรงเรียน ให้กับผู้ที่ฉันเรียกเขาว่า พ่อ จากนั้นจึงรีบซอยเท้าเข้าวินตรงปากซอยที่อยู่ถัดจากบ้านฉันไปไม่กี่หลัง
เหตุมาจากวันนี้ไอ้กระป๋องน้อยเพื่อนเก่ายามแก่ของฉัน (รถยนต์น่ะค่ะ) ดันงอแง กระตุกชักเป็นพักๆ สะอึกเป็นช่วงๆ แล้วดับกระทันหันเมื่อวานนี้เอาดื้อๆ แค่นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากความซวยที่ยังคงเห็นว่าฉันเป็นผู้โชคดี ทำแจ๊คพ็อตแตก 'รายการซวยหลายชั้น' กระหน่ำโชค 7-8 ชั้นให้ฉันอย่างไม่ปรานี ทั้งเรื่องรถประจำทางสมัยนี้ ที่ไม่ค่อยจะง้อใคร ทำให้ฉันต้องกระวีกระวาดทำงานบ้านทุกอย่างด้วยความเร็ว ที่มากขึ้นกว่าเดิมเป็นสามแสนแปดเท่าทีเดียว (เวอร์ไปไหมคะ คือ!.. ฉันกลัวคนอ่านไม่เห็นภาพน่ะค่ะ) จนกระทั่งลืมเซ็ทผมฟูๆ ที่กระเซิงยิ่งกว่ารังหนูนี่เสียอีก
ในขณะที่ฉันกำลังสมเพชชีวิตคับขันอย่างตื่นตระหนกราวกับซ้อมหนีไฟ ที่โกลาหลกันไปเมื่อเช้านี้ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิด รถประจำทางที่ฉันกำลังตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ก็โผล่หัวมาให้เห็นที่สุดลิบตา ฉันรีบควานหาเศษเงินในประเป๋าสะพายข้างใบเขื่องอย่างลนลาน หวังให้อำนวยความสะดวกในการจ่ายเงินบนรถประจำทาง ซึ่งแออัดไปด้วยผู้คน ที่กำลังมุ่งหน้าสู่วีถีชีวิตประจำวัน หากเสียงทุ้มนุ่มบ่งบอกเลเวลหน้าตา ที่ท่าทางจะดีตามน้ำเสียงน่าฟังนั้น ก็ตะโกนเรียกฉันไว้ (คิดดูแล้วกันว่าฉันชำนาญการเรื่องเพศตรงข้ามดีขนาดไหน แค่ตะโกนฉันยังรู้ได้เลยว่า เจ้าของเสียงหน้าตาดีระดับใด... เข้าใจหน่อยเถอะค่ะ! คนมันขาดแคลนทรัพยากรด้านนี้ขั้นวิกฤต จึงทำได้แค่ศึกษาให้เชี่ยวชาญ ไว้รอการตะบบไงคะ)
"คุณครับ! คุณ! คุณ! ที่ทำงานอยู่ 'บริษัท MORE & MOST' น่ะครับ รอผมด้วย คุณช่วยพาผมไปด้วยได้หรือเปล่า.... " ไม่ทันได้ฟังพ่อรูปหล่อพูดจนจบประโยคดี ฉันก็รีบคว้าข้อมือแข็งแกร่งไว้มั่น (ใจจริงอยากโอบประคองเลย แต่เกรงว่า จะอดใจหยุดการกระทำของตัวเองไว้แค่นั้นไม่ไหว จึงทำได้แค่ จับมือ ) และพาขึ้นรถประจำทางทันที ใครที่ไหนเขาจะมัวนั่งคุยกันเป็นหลักเป็นฐาน ตอนรอรถประจำทางล่ะคะ เมื่อเราทั้งสองคนหาที่ยึดเกาะได้อย่างมั่นคง ฉันจึงรีบเอ่ยปากถามธุระของเขาอย่างไม่รอเวลา
"เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรนะ ตอนนี้พูดได้แล้วล่ะ แต่เร็วๆ เข้านะ เพราะเดี๋ยวฉันก็ต้องลงแล้ว"
"ผมขึ้นรถประจำทางไม่เป็น ผมก็เลยจะขอให้คุณพาขึ้นรถประจำทางด้วย เพราะผมก็ทำงานอยู่ที่เดียวกับคุณ" 'คนอะไรวะ! โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังขึ้นรถเมล์ไม่เป็นอีก' คิดได้อย่างนั้นฉันก็สำลักเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
"ฮึๆ ฮะๆๆ ขึ้นรถเมล์ไม่เป็น! นี่คุณสุภาพบุรุษคะ! คุณเองก็ดูแก่กว่าฉันอยู่หรอกนะ แต่กลับไม่มีปัญญาขึ้นรถเมล์เอง เป็นลูกแง่หรือไงกัน ห๊า!.. " ดูสิ! ซุ่มซ่ามแล้วยังปากเสียอีก นี่! เพื่อนๆ ก็แนะนำให้ผ่าตัดเอาฟาร์มหมา ที่ได้สัมปทานโครงการถาวรในปากออกนะ อืมม์... กลับที่เรื่องตาลูกแง่นี่ต่อนะคะ ปากเสียแค่นี้ (แสนซน: 'แค่นี้' เหรอ! นี่พูดไปขนาดนั้น! ยายชล! เธอเรียกว่าแค่นี้เหรอยะ) ฉันยังไม่สำนึกอะไรสักนิด ยังมีหน้าพูดด้วยภาคภูมิใจกับ 'โรงเรียนประกายชลชำนาญการขึ้นรถประจำทาง' อีกว่า 
"ต้องฉันนี่คุณ! ต่อให้หลับตาฟังแต่เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์อย่างเดียว ฉันยังรู้ได้เล๊ย!... ว่ารถเมล์คันที่ผ่านหน้าฉันไปสายอะไร" ฉันเชิดใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่ล้อมกรอบด้วยผมยาวยุ่งเหยิงขาดการหนีบไดร์ ขึ้นเพื่อสนับสนุนคำพูดของตัวเอง แต่แล้วผู้โดยสารทั้งคันรถ ต่างพากันหันขวับมาจับจ้องที่ต้นเสียงดังแหวของฉัน ด้วยอาการตื่นตกใจ อาการคล้ายคนอยากรู้อยากเห็น เรื่องของหญิงงามที่กำลังจะถูกปล้นฆ่าหมกรถประจำทาง
"เฮ้ย!.. คุณ! คุณ!...คุณทำงานที่เดียวกับฉันใช่ไหม แล้ววันนี้คุณรีบไปทำงานหรือเปล่า! " มือเรียวเล็กแต่หยาบกร้านของฉัน สะบัดไปกวักที่มือหนาแต่นุ่มผิดชายทั่วไปของเขาเป็นระวิง
"ก็..." ชายร่างสูงแข็งแกร่ง ทำท่าจะยืนคิดอีกนาน ซึ่งคงจะไม่ทันแน่ ฉันจึงรีบพูดตัดหน้าด้วยความรีบร้อน
"เราต้องลงป้ายหน้านี้นะ! คุณเตรียมตัวดีๆ ล่ะ! " ฉันกระชับกระเป๋าสะพายแน่น พรางวาดมือไปเกาะแขนเขาไว้เพื่อกันหลง (ฉันกลัวเขาหลงจริงๆ นะ ไม่ได้มีเจตนาอื่นได้แอบแฝงเลย)
"อ้าว! ทำไมละครับ! จะถึงบริษัทแล้วเหรอ แต่ผมไม่เห็นคุ้นกับแถวนี้เลยนะ" ชายหนุ่มถามพรางขมวดคิ้วเข้มเล็กน้อย
"เหอะน่า! เร็วเข้า! อย่างเพิ่งถามอะไรมากเลย เราต้องลงแล้วล่ะ" ถ้าจะถามถึงเงินที่ต้องจ่ายพนักงานเก็บเงินประจำรถคันนี้ล่ะก็... อยากช้าเองค่ะ! ชักดาบสิคะ! แต่เราสองคนไม่ได้ตั้งใจทำนะ (ก็ลงเรือหรือรถประจำทางลำเดียวกันไง เลยต้องใช้แทนตัวฉันกับเขาว่า 'เรา' ไม่ได้ขี้ตู่อะไรสักหน่อย ทำไมต้องมองหน้าอย่างนั้นกันด้วยล่ะ..) ป้ายที่เราลงนี่ ก็เพิ่งเลยมาจากป้ายแรกแค่ 3-4 ป้ายเอง และพี่กระเป๋ารถเมล์ก็มัวแต่เสียเวลายืนเถียงกับยายฉุอวบอิ่มหน้าตางั้นๆ กับผู้ชายใส่สูทหล่อโคตรๆ ไม่แพ้ตานี่ตั้งนานสองนาน ขืนฉันรอล่ะก็ คงได้เข้าทำงานตอนบ่ายแน่เลย (แสนซน: จำกันได้ไหมว่า เรื่องสั้นเรื่องไหนของความรู้สึกดี ที่เรียกว่ารักเล่ม 9 ที่มีสาวอวบกับหนุ่มหล่อขึ้นรถเมล์แล้วเอ๋อๆ น่ะ พี่ yayoi จะฆ่าเค้าไหมเนี่ย เล่นแซวกันข้ามเรื่องเลย)
ฉันกระชับมือใหญ่แสนอบอุ่นของเขาแน่นกว่าเดิม (เค้าเปล่าหลอกแต๊ะอั๋งจริงๆ นะ! ทำไมต้องมองกันด้วยสายตาจับผิดอย่างนั้นล่ะ.. แต่จะว่าไปแล้ว... ฮิๆๆ ฉันก็ไม่อยากปล่อยเหมือนกันแหละ) ก่อนจูงลงตรงป้ายรถประจำทาง ที่เพิ่งพูดถึงก่อนหน้านี้อย่างทุลักทุเล ทั้งยังต้องต่อรถประจำทางคันใหม่เพื่อย้อนกลับไปอีก 2 ป้ายที่ผ่านมา ถ้ามันจบแค่นี้ได้ก็ดีหรอก แต่มันไม่ได้จบแค่รถประจำทางคันที่สองเท่านั้นน่ะสิ เพราะเรายังต้องเผชิญชะตากรรมบนรถประจำทางคันที่สามด้วยอาการเหนื่อยหอบ จากการผจญภัยท่ามกลางผู้คนที่ต้องแย่งกันขึ้นรถประจำทางสายหลักอีกต่างหาก จนสภาพเราสองคนไม่ได้ต่างไปจากนักรบที่เพิ่งออกศึกล้างจักรวาลเลยสักนิด
เอ่อ... สงสัยกันแล้วใช่ไหมคะ! ว่าฉันพาพ่อหนุ่มท่าทางน่อมแน้มคนนี้ ท่องทั่วมหานครคอนกรีตด้วยรถประจำทาง ในช่วงที่การจราจรสุดเฉื่อยแบบนี้ทำไม ฮะ! ฮะ! ฮะ! อยากจะขำให้คนอื่นฟังเหมือนร้องไห้ 
เรื่องมันมีอยู่ว่า หลังจากที่ฉันกระหน่ำซ้ำเติม พ่อรูปหล่อคนนี้ เรื่องความงี่เง่าจบหมาดๆ หางตาเจ้ากรรมของฉันแอบเหลือบไปเห็น เส้นทางที่เคยนำฉันไปสู่บริษัททุกวี่วัน กำลังดอลลี่ผ่านไปทางด้านหลัง! ผ่านไป!.. ผ่านไป!... ผ่านไป! อย่างช้าๆ จนสุดลิบตา! รถประจำทางคันนี้ยังคงมุ่งมั่นในเจตนารมณ์เดิมต่อไป โดยไม่มีทีท่าจะวกกลับมาเลี้ยวที่ซอยเมื่อครู่สักนิด (แสนซน: พูดเหมือนรถประจำทางเป็นรถแท๊คซี่งั้นแหละ) 
ตอนแรกก็ปรึกษากับตัวเองว่า คนขับอาจจะหลงลืมเส้นทางเล็กน้อย แบบว่ายังไม่ส่างเมา หรือเขาอาจเปลี่ยนเส้นทางใหม่โดยที่ฉันไม่รู้มาก่อน แต่ถึงจะให้กำลังใจตัวเองยังไง ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เพราะมันก็ไม่มีทางใช่เด็ดขาด! อันที่จริงมันก็มีทางเป็นไปได้หลายกรณีนะคะ แต่ข้อสรุปที่ฉันหาให้กับตัวเองได้ตอนนั้นก็คือ... ใช่แล้วล่ะ! ฉันขึ้นรถผิดสายค่ะ!
เมื่อเราสองคนหาที่ยึดเกาะได้อย่างมั่นคง และจ่ายค่ารถโดยสารสำหรับสองคนด้วยเงินของฉัน ให้กับพนักงานเก็บเงินเรียบร้อย (เห็นปากหมาอย่างนี้แต่ใจบุญนะคะ ก็ตานี่ยืนจ้องหน้าฉันตาปริบๆ เหมือนเด็กห้าขวบ ที่กำลังขอเงินแม่ไปโรงเรียนยังไงยังงั้นเลย) ฉันต้องทนรักษาเอกราช จากการคุกคามทางสายตาช่างสงสัยของชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทราคาแพงนี่อยู่นาน ในขณะที่ตาโย่งนี่ ส่งกระแสจิตด้วยกำลังภายในสองหมื่นโวล์เป็นพักใหญ่ จนกระทั่งฉันรำคาญและทนอึดอัดเก็บกด เรื่องโกหก ตอหรดตอ..ตุ๊ด!.. (เซ็นเซอร์) ไม่ไหวอีกต่อไป จึงตัดสินใจบอกสาเหตุที่เขาต้องขึ้น-ลง ขึ้น-ลง ขึ้น-ลง รถประจำทางมากมาย อย่างกับนักสำรวจโลกทำไม 
ทันทีที่เรื่องราวบ้าบอ! ไร้สาระ! หลุดออกจากปากนุ่มสีชมพูอ่อนของฉันได้เท่านั้นแหละ เจ้าของคิ้วคมเข้ม ที่ลากยาวปกคลุมตากลมวาวนั่น ก็ทำท่าเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย (สงสัยที่บ้านขายกระทิงแดงมั้ง) ซึ่งฉันคิดว่าเขาไม่ต้องทำจะดีกว่า ก็มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยน่ะสิ! คือ... ถ้าทำได้เนียนเหมือนนักแสดง ฉันจะไม่ว่าอะไรเลยนะ เพราะฉันดูไม่ออก แต่นี่สู้ให้เขาหัวเราะเคาะขวดเหล้าออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ยังจะดีซะกว่าอีก แต่ถ้าเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่จริงๆ เขาก็ต้องถูกฉันด่าว่า เสียมารยาทอีกอยู่ดี จริงไหมคะ! ก็คนมันก็คนขี้แพ้ชวนตีนี่! ใครจะทำอะไรก็ต้องผิดเสมอล่ะ! 
ดูสิคะ! ดู! จะตายไหมน่ะ! คงอยากหัวเราะจะแย่แล้วมั้ง แต่ด้วยมารยาทหรืออะไรก็ตามที่สั่งสอนให้เขาเป็นคนที่มีมารยางามแบบนี้ เขาจึงไม่ยอมหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ พอจะนึกภาพออกกันบ้างหรือเปล่าคะ ที่คนทั่วไปเรียกกันว่า 'กลั้นหัวเราะ' ไงคะ หน้าคมเข้มรูปไข่เปลี่ยนเป็นดำบ้าง แดงบ้าง ราวกิ้งก่าเปลี่ยนฤดูเมื่อเขากลั้นยิ้ม น้ำหูน้ำตาไหลแทบจะพร้อมใจกันทะลักทะลานออกมาเหมือนเขื่อนแตก ตอนนี้ชายร่างสูงดูสมาร์ทคนเมื่อครู่ ได้ปราศการวางมาดอย่างขรึมแล้ว แก้มขาวใสเนียนเหมือนผิวผู้ดี แทบปริแตกเป็นรอยแยกแผ่นดินจีนกับญี่ปุ่น ตาที่ตี่อยู่แล้วหยีลงจนแทบมองไม่เห็นนัยตาสีน้ำตาลเข้ม ลองจินตนาการดูแล้วกันค่ะว่า เขาขำกับเรื่องนี้ขนาดไหน
'แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามารู้สึกเอ็นดูกับภาพที่เห็นนะแม่สาวปากมอม เพราะว่าที่เขาจะเป็นจะตายอยู่นั่น ก็เพราะเธอหน้าแตก' การที่เขาทำแบบนี้ ยิ่งก่ออาการหน้าแตกให้ทวีเพิ่มไปกว่าเดิมเสียอีก เมื่อกี้ฉันทำตัวเสียมารยาทกับเขาไว้มาก หากพอถึงคราวที่ฉันพลาดบ้าง เขากลับพยายามนิ่งเฉย เพื่อรักษาหน้าฉัน ซึ่งมันก็ไม่เนียนเอาเสียเลย ถ้าคุณเป็นฉันคุณจะรู้สึกเสียหน้าเหมือนฉันไหมล่ะคะ แต่อาจจะไม่เสียหน้า เพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่มีใครกล้าปากเสียกับผู้ชายหน้าตาดี ที่จัดว่าหายากมากในหมู่มนุษยชาติอย่างฉัน
"ถ้าคุณอยากหัวเราะมากขนาดนั้น! ก็หัวเราะออกมาเลยเหอะ! ฉันไม่ถือหรอก! " ปากมอมของฉันหลุดลั่นวาจาท้าประชดเขาออกไปอย่างหมั่นไส้ 
"ฮึ! ฮึ! ฮะๆ ก๊ากกกก!! ฮ่า!!! " เขาหัวเราะออกมาจริงๆ ด้วยค่ะ! แบบเอาเป็นเอาตายเลยด้วย! หัวเราะได้เด็ดดวง และเข้าถึงอารมณ์มากเลยนะพ่อคุณ! 
"โอ๊ย!.. นี่คุณ! ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่มันก็แค่ประชดนะ นี่คุณ! นี่...คุณ! อายคนอื่นเขานะ! พอได้แล้วไม่ต้องหัวเราะแล้ว ฉันรู้แล้วว่าคุณขำที่ฉันหน้าแตก พอเหอะนะ! ฉันขอล่ะ แค่นี้ฉันก็อายคุณจะแย่อยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นเขาสงสัยที่คุณหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้เลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นเขารู้นะ! " เห็นไหมคะคุณผู้อ่าน ฉันบอกแล้วว่าถ้าเขาหัวเราะออกมา ฉันก็ต้องไม่พอใจอีกนั่นแหละ
"โอเคครับๆ ฮึๆๆ แต่โอ๊ย!..คุณผมไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ ฮ่า!.. "
"เอ้า!! ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ! ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนกัน! นี่คุณ! ถ้าไม่รีบหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้! ฉันจะปล่อยให้คุณหลงแล้วนะ! "
ชายจมูกโด่งเป็นสันน่าหยิกนั่น นิ่งกริบไปเลย เป็นไงเล่า! เงียบไปเลย แผนนี้ใช้ได้ผลค่ะ เขาเงียบไปเลย แต่ฉันสิ! พอเห็นหน้าที่พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ของเขาแล้ว กลับรู้สึกว่าเขามีลักษณะบางอย่างคล้ายกับเด็กๆ ที่พยายามกลั้นหัวเราะ ทุกครั้งที่ฉันหน้าแตกจนงอนที่พวกเขาหัวเราะเยาะฉัน ซึ่งเขาก็เหมือนได้น่ารักซะจน ฉันต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู และแล้วเราสองคนก็สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ พร้อมใจกันอ้าปากหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข อารมณ์เขินอายเมื่อกี้ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว มันเหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ของความสุข ตอนที่เราหัวเราะกัน (ฉันคิดว่าเราสองคนรู้สึกอย่างนั้น)
สักพักใหญ่ เราสองคนจึงมาถึงที่หน้าบริษัท ในสภาพโจรป่าที่เพิ่งหนีตำรวจหัวซุกหัวซุน เพื่อนฉันมารออยู่ที่หน้าบริษัท เหมือนกับมารอรับญาติที่ไม่ได้พบกันมานานนับ 20 ปี หรืออีกกรณีก็นี่เลย พี่น้องที่ถูกพลัดพรากจากกัน ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้ามาที่ฉัน ต่างแย่งกันถามฉันว่า 'ทำไมมาสาย ทุกคนเป็นห่วงเธอนะ ตอนแรกฉันก็นึกว่า เธอซุ่มซ่ามจนเดินไปชนรถใครเขาบุบซะแล้วสิ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่มั้ง เพราะไม่เห็นมีเจ้าทุกข์ตามมาเอาเรื่องเลย' (ฉันจะซึ้งใจพวกมันมาก ถ้าไม่มีประโยคท้ายๆ ) พอฉันหันมามองหา 'เขาคนนั้น' กลับหายไปในฝูงชนซะแล้ว แต่ก็ช่างเหอะ อยู่บริษัทเดียวกัน สักวันคงมีโอกาสได้เจอจนได้แหละ
แต่นี่ผ่านไป 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะ! ทำไมฉันยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกล่ะ! ชื่อเขาฉันก็ยังไม่รู้เลย! แล้วเขาจะจำฉันได้ขึ้นใจเหมือนที่ฉันจำเขาแม่นยำขนาดนี้ไหมนะ ฉันในตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ฉันจำเขาได้ดีพอๆ กับที่ฉันสามารถจำวิธีหายใจเลยทีเดียว แต่ฉันกลับหาคำอธิบายไม่ได้ว่า 'ทำไมถึงจำเขาได้ขนาดนี้'
เช้าวันนี้ฉันมาสายอีกแล้ว เพราะนั่งปั่นงานให้เจ้านายจนถึงตี 4 กว่าได้มั้ง (ที่เสร็จตี 4 กว่าเพราะว่า ก่อนหน้านั้นนั่งเล่นเกมส์ Computer สำหรับเด็กอายุ5ขวบขึ้นไป เพลิน จนตี 3 กว่าน่ะค่ะ) จึงตื่นสาย ส่วนเรื่องไปส่งตาเค้กก็ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อฉันอีกแล้ว (พ่อของฉัน รับเคราะห์จาก การกระทำแสนมักง่ายของลูกไม่รักดีอย่างฉันบ่อยมากค่ะ)
ในขณะที่ฉันกำลังรอลิฟท์อยู่นั้น สมองอันพาลหาเรื่องของฉันก็สั่งการให้ หาแฟ้มข้อมูลเพื่อเตรียมให้เจ้านายเพื่อความสะดวกจะดีกว่า มือไวเท่าความคิด ฉันเริ่มทำการค้นหาอย่างสาละวนทันที 
"กริ๊ง! " เสียงลิฟท์ดังขึ้น บอกให้รู้ว่า ลิฟท์มาถึงชั้นหนึ่งแล้ว ฉันรีบกุลีกุจอเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ตายังคงสอดส่ายหาของในกระเป๋าไม่วางตา ทันทีที่ลิฟท์ปิดลงฉับ เสียงหนึ่งที่ค่อนข้างคุ้นหูก็ทักฉันว่า
"อะแฮ่ม! อะแฮ่ม! ประกายชล! เธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า" น้ำเสียงเคร่งขรึมบอกให้รู้ถึงความน่าเกรงขามของผู้พูดเป็นอย่างมาก
"คะ!? อ้าวเจ้านาย! อรุณสวัสดิ์ค่ะ เช้านี้อากาศดีนะคะ ชลเตรียมแผนงานมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ เจ้านายอยากจะดูเลยไหมคะ" ฉันรีบร้องทักตอบ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้านายของฉันอย่างยินดี
"อะแฮ่มๆ ประกายชล! คือ... เมื่อกี้ฉันถามเธอว่า เธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"
"เอ๊ะ!? เฮ้ย!! ผิดค่ะ! ชลขึ้นผิดจริงๆ ด้วย! ขอโทษค่ะ! ชลไม่ได้ตั้งใจ! คือ... ชลมัวแต่หาแฟ้มอยู่น่ะค่ะ! "
"เออ! พอๆๆ ฉันเข้าใจเธอดี คราวนี้ให้อภัยที่ลูกน้องผมซุ่มซ่าม ขึ้นลิฟท์ผิดสักครั้งได้ไหมครับคุณไอตะวัน" เจ้านายพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็น จากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรขึ้นมา ฉันก็ร้องทักคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้านายอย่างดีใจว่า
"อ้าว! คุณ! เป็นอย่างไงบ้างคะ? สบายดีหรือเปล่า? เอ๊ะ! อย่างนี้ก็แปลว่า คุณก็ขึ้นลิฟท์ผิดน่ะสิคะ ฉันก็เหมือนกันเลยค่ะ แหม! เราสองคนที่แย่จังเลยนะคะ ซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ของผู้บริหารได้ไงกัน แย่จริงๆ เลย"
"เธอคนเดียวน่ะสิ ประกายชล" บอสพูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่ฉันจะหน้าแตกไปมากกว่านี้
"ท่านนี้คือ คุณไอตะวัน ประทานทรัพย์ ประธานบริษัทของเรา นี่เธออยู่ที่นี่มา 3 อาทิตย์กว่าแล้วนะ! แต่ยังไม่รู้จักประธานบริษัทของเราอีกเหรอ! "
"ห๊า!! เมื่อกี้เจ้านายว่าไงนะคะ! ประธานบริษัทเหรอคะ! คุณ... " ฉันหันเอามือไปชี้หน้าเขาหน้าตาตื่น
"ฉันขอโทษ! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปีนเกลียวคุณนะคะ! " ฉันหันมามองหน้าตาโย่งคนนั้นในฐานะที่เปลี่ยนไปสลับกับหน้าของเจ้านาย ความรู้สึกช็อควิ่งเข้าขยุ้มหัวใจแทบแหลก ฉันช็อค อย่างที่ไม่เคยช็อคมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ช็อคจนกระทั้งเป็นลมคาอกชายผู้แตกต่างกับฉันราว 'หมวกกับรองเท้า'
โปรดติดอ่านต่อตอนไป				
comments powered by Disqus
  • TANOI_ZA

    3 กันยายน 2547 10:25 น. - comment id 76601

    ขบอคุณที่เข้ามาอ่านนะค้า
    แสนซน
  • ละอองทราย

    4 กันยายน 2547 08:21 น. - comment id 76640

    ทรายยังไม่ได้อ่านเรื่องนี้คะ มันยาวมากเลย กะว่าจะปริ๊นออกมาก่อนแล้ค่อยมาอ่าน ไม่ว่ากันนะคะ
  • )))**--ผลิใบสู่วัยกล้า--**(((

    5 กันยายน 2547 07:20 น. - comment id 76670

    เข้ามาอ่านเป็นกำลังใจให้นะครับ
    
    เขียนได้ดีจริงๆๆๆๆๆๆๆ...
    
    
    
  • มาร์

    27 ตุลาคม 2547 12:17 น. - comment id 78450

    ไม่มีเวลาอ่านโดยละเอียดแต่ว่า..จากที่กวาดสายตาดูคล่าวๆ ก็OK นะ แต่ยาวไปนิ๊ด..........นึง

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน