สมดุล(ตอนที่1)
สุชาดา โมรา
ปลาสวายตัวเขื่องฝูงใหญ่ผลัดกันดำผุดดำว่ายขึ้นมาแย่งกินอาหารท ี่มีผู้ใจบุญคอยโยนให้ สะพานพระรามแปดแขวนตัวอยู่ทางซ้ายมือไม่ไกลนัก หากแต่คงใกล้เพียงตาแต่ไกลตีน มีพระอาทิตย์เป็นฉากหลังกำลังทิ้งตัวดิ่งลงอย่างช้าๆ ลำแสงอ่อนจางอาบไล้ไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งบนราวสะพาน ตามเหลี่ยมมุมตึกสูงระฟ้าต่างๆ และบนใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังยืนรอเรือโดยสารลำต่อไป หล่อนยกมือขึ้นป้องบังแสงหยีตาหลบแดด ฝูงนกหลากสายพันธุ์พากันบินตัดผืนฟ้าไปมาอย่างร่าเริงมีชีวิตชี วา ผมนั่งดูวิถีชีวิตของผู้คน การสัญจรทางน้ำ-อีกทางเลือกหนึ่งของลมหายใจแห่งเมืองใหญ่ สังเกตลักษณาการที่เป็นไปเหมือนอย่างเคย
แต่ในวันนี้ภาพทิวทัศน์อันงดงาม สายลมบางเบากับแก้วเบียร์เย็นๆ ในมือกลับไม่ช่วยทำให้จิตใจอันขุ่นขึ้งหมองมัวของผมรู้สึกดีขึ้ นได้บ้างเลย...เพราะผมเพิ่งพานพบกับวันที่เลวร้ายมาอีกวัน...วันที่เลวร้าย...เชื่อแน่ว่าหลายๆ คน คงจะต้องเคยเจอกับวันที่เลวร้ายเหมือนอย่างผม ชั่วชีวิตของคนๆ หนึ่งไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือรวยล้นฟ้า ย่อมจะต้องเคยเจอกับวันแบบนี้บ้างไม่มากก็น้อย สำหรับผมแล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เป็นอย่างนั้น เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นจาก...
เมื่อเช้านี้ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกปลุกตั้งแต่ยังไม่แปด โมงเช้าดี ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุด แต่ผมก็จำเป็นต้องตื่นเพราะต้องขับรถพาช่างที่มาทำบ้านไปซื้อขอ ง ผมยังนอนไม่เต็มตาดีจึงละจากเตียงมาด้วยความงัวเงีย เดินไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันทำธุระส่วนตัว ก่อนคว้ากุญแจรถเดินออกมาหน้าบ้าน ช่างยืนรออยู่ก่อนแล้ว ผมเห็นพี่สาวกำลังอาบน้ำให้หมาอยู่ ที่บ้านผมเลี้ยงหมาไว้เกือบสามสิบตัว นกอีกสี่ ห่านอีกสอง กับไก่และปลาที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอยู่ทั้งหมดกี่ตัว หมาที่พี่ผมกำลังอาบน้ำให้อยู่นั้นเป็นตัวที่ดุที่สุดในบ้าน มันเคยกัดหมาตัวเล็กๆ ที่บ้านผมตายไปแล้วสามตัวกับนกอีกสอง ภาพลูกหมาตัวเล็กๆ เลือดอาบโทรมกาย นอนหายใจพะงาบๆ ต่อสู้ดิ้นรนจากความตาย ก่อนที่ลมหายใจจะค่อยๆ ระรินไปอย่างช้าๆ ในอ้อมอกของผมยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ
ผมเคยบอกพ่อว่าควรจะพามันไปหาหมอ แล้วให้หมอฉีดยาให้มันตายไปอย่างสงบ จะดีกว่าปล่อยไว้ให้เสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตสัตว์ตัวอื่นๆ ภายในบ้าน แต่พ่อก็ไม่ยอมเพราะสงสาร ร่ำๆ จะให้เอาไปปล่อยที่วัดก็หลายทีติดอยู่ตรงที่ยังมีความละอายแก่ใ จ เพราะเท่ากับเป็นการปัดสวะให้พ้นหน้าบ้านตัวเท่านั้น และผมเองก็ไม่เห็นด้วยนัก ผมเห็นพี่สาวอาบน้ำให้มันโดยไม่ได้ล่ามโซ่ไว้ เพียงแต่ใส่ตระกร้อครอบปาก อีกทั้งหมาตัวเล็กๆ ก็ยังไม่ได้จับขังกรง รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ จึงทักเธอว่าแน่ใจแล้วหรือว่าตระกร้อครอบปากจะเอาอยู่ เธอบอกว่าเอาสายรัดตระกร้อผูกพ่วงอยู่กับปลอกคออีกทีหนึ่ง น่าจะแน่นหนาพอ ได้ฟังดังนั้นผมก็ไม่ติดใจอะไรจึงขับรถพาช่างออกไปซื้อของ
ผมใช้เวลาอยู่เกือบยี่สิบนาทีกว่าจะซื้อของเสร็จ ช่วยกันถือของกลับมาที่รถ ยังไม่ทันจะวางของเสร็จดี เสียงโทรศัพท์ที่ผมทิ้งเอาไว้ในรถก็ดังขึ้น ฟังจากเสียงเรียกเข้าผมก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเบอร์ของพ่อ นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะตอนที่ออกมาพ่อผมยังไม่ตื่นนอน จึงรีบไขกุญแจรถ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
ครับพ่อ
โก้อยู่ที่ไหน น้ำเสียงกระด้างเย็นชาและเคร่งเครียดตอบกลับมา
อยู่ปากซอยครับ พาช่างมาซื้อของทำบ้าน พ่อจะเอาอะไรหรือเปล่าครับ ผมเดาใจว่าพ่อ
อาจจะฝากซื้ออะไร
กลับเข้าบ้านมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ขงของไม่ต้องซื้อมันแล้ว น้ำเสียงของพ่อเริ่มขุ่นขึ้นเรื่อยๆ
...ครับ... ผมได้แต่ตอบรับเบาๆ ด้วยความงง
ไอ้สมชายกัดไอ้ดอลี่นะ ไส้แตกออกมาหมด ไม่รู้จะตายหรือเปล่า...แต่พ่อว่ามันตายแน่
นอน พี่แพรกำลังพาไปหาหมออยู่ พ่อหมายถึงไอ้ตัวที่ดุที่สุดที่พี่ผมกำลังอาบน้ำให้อยู่เมื่อคร ู่กัดอีกตัวหนึ่งพันธุ์มิเนียเจอร์พินเจอร์ซึ่งเล็กกว่ามาก
.............
กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วเอาไอ้สมชายไปปล่อยที่วัดแถวซอยร้อยหนึ่งให้หน่อย...พ่อขอ
ร้องอย่าขัดพ่อ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพ่อยิงมันทิ้งแน่ พ่อกล่าวเป็นประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่โกรธสุดขีด
ครับ ผมตอบรับเบาๆ ก่อนวางหูไปด้วยความมึนงงและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่าง
มันรวดเร็วเสียจนผมยังตั้งรับไม่ทัน
ผมเสียบกุญแจเข้ากับรู สตาร์ทรถ เหยียบคลัชเข้าเกียร์แล้วขับออกมาด้วยความรู้สึกเลื่อนลอยคล้าย หุ่นยนต์ แต่ภายในใจกลับสับสนปั่นป่วนยากจะบรรยาย ทั้งตกใจ เศร้าใจ และโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่มันบังอาจมากัดไอ้ดอลี่หมาตัวที่ผมรักม ากที่สุด ผมพยายามข่มใจให้เย็นลง รวบรวมสมาธิ ตั้งสติคิดลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมวางแผนสิ่งที่จะต้องท ำต่อไป แต่ทันใดนั้นเองผมก็ต้องเศร้าใจสุดขีดเป็นครั้งที่สอง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอ้ดอลี่กำลังท้อง...นั่นหมายความว่า
ผมเลี้ยวรถเข้าบ้านพร้อมหัวใจที่สุมไฟแค้นอยู่เต็มอก นึกเห็นภาพตัวเองกระทืบไอ้สมชายจนตายคาตีนจมกองเลือดตั้งแต่ตอน ขับกลับมา...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและควรจะเป็น เพราะมันเป็นหมา...มันเป็นแค่หมา !...ผมตะโกนบอกตัวเองอยู่ในใจอย่างนั้น จอดรถดับเครื่องนานแล้ว แต่ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น พยายามตั้งสติข่มความโกรธในใจ หวังให้มันเหือดหายไปเหมือนอย่างรดน้ำลงบนผืนทราย
ผมก้าวลงจากรถเห็นไอ้สมชายถูกผูกไว้กับโคนเสาตรงโรงรถ มันยังมีหน้ามากระดิกหางให้กับผมอีก ยิ่งสะกิดความเคียดแค้นในหัวใจให้ลุกฮือขึ้นมา ผมทำเป็นไม่สนใจเดินตรงเข้าไปในบ้าน แม่กำลังใช้สายยางฉีดน้ำล้างคราบเลือดที่ติดอยู่บนพื้นเต็มทั่ว ไปหมด แม่ไม่พูดอะไรสักคำก้มหน้าก้มตาฉีดเหมือนจงใจซ่อนเร้นอะไรบางอย ่าง แม้แต่ตอนที่ผมเดินผ่านแม่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำไป แต่มันก็มากพอจะทำให้ผมได้เห็นว่าแม่ซ่อนอะไรไว้... แม่ซ่อนรอยน้ำตานองหน้ากับดวงตาบวมช้ำไว้ภายใต้เปลือกแห่งการทำ งานหนัก ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งสะท้อนใจ แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับตอนที่ผมกำลังจะเปิดประตูเข ้าไปข้างในบ้าน ตอนนั้นผมมองเห็นอะไรบางอย่างสีออกชมพูๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือวางอยู่ไม่ไกลจากกองเลือดตรงหน้า ผมไม่แน่ใจจึงก้มลงมองดู...
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือศพของลูกหมาตัวหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าลูกหนูมากนักนอนแน่นิ่งอยู่ มันคงเป็นตัวอ่อนที่ใกล้จะโตเต็มวัย เห็นได้จากหู ตา จมูก ปาก หาง และขาทั้งสี่ข้างนั้นมีครบแล้ว นี่ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป อีกไม่เกินเดือนมันคงมีโอกาสได้ออกมาลืมตาดูโลก ตรงกลางลำตัวของมันมีรอยเขี้ยวขนาดใหญ่ฝังอยู่...วินาทีนั้นผมนึกแค้นไอ้สมชายขึ้นมาจับใจ ความเดือดดาลที่ผมพยายามเก็บกดเอาไว้ในหัวใจเมื่อครู่ แตกปะทุขึ้นมาอีกครั้งเหมือนมีใครสาดน้ำมันเข้าใส่กองไฟให้ลุกโ ชน สติของผมแตกกระเจิง ผมเดินตรงดิ่งไปยังห้องรับแขก คว้าเอาดาบโบราณด้ามไม้เก่าคร่ำที่พ่อผมแขวนเอาไว้บนฝาผนังลงมา ผมเดินย้อนกลับไปหาไอ้สมชาย เตะเสยเข้าเต็มแรงที่ปลายคางของมันหนึ่งครั้ง มันร้องโหยหวนดังลั่นก่อนจะหันมาแยกเขี้ยวขู่คำรามเข้าใส่ผมอย่ างพร้อมจะสู้สุดตัว ผมชักดาบออกจากฝักเงื้อขึ้นเหนือหัวจนสุดแขน หมายจะฟันลงมาอย่างสุดแรง แว่วยินเสียงของแม่ตะโกนอยู่ใกล้ๆ ...อย่า ! โก้...
ผมยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นจิบนิดหนึ่ง ตามองไปยังภาพผู้คนบนโป๊ะที่กำลังก้าวลงเรือโดยสาร ความเย็นของมันช่วยทำให้ผมรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายขึ้นบ้าง ปลายประสาทที่เขม็งเกร็งมาตลอดทั้งวันเริ่มคลายตัวเมื่อร่างกาย ได้รับแอลกอฮอลล์ในปริมาณที่พอเหมาะ สมองเริ่มหลั่งสารบางอย่างที่ทำให้รู้สึกมีความสุข ของเหลวในร่างกายเริ่มปรับสภาวะหาสมดุลของมันตามกลไกที่ธรรมชาต ิเป็นผู้วางไว้ พร้อมๆ กับที่จิตใจของผมเริ่มใฝ่หาห้วงเวลาแห่งสันติ ฝูงนกเมื่อครู่หายไปเกือบหมดแล้ว คงได้เวลาบินกลับรวงรังไปป้อนข้าวป้อนน้ำลูกๆ ของมัน คงเหลืออยู่เพียงสามสี่ตัวที่ยังบินตัดผืนฟ้าโฉบไปมาอย่างมีควา มสุข
ชั่วขณะหนึ่งผมเกิดความคิดที่ว่าภาพนกกางปีกถลาบินช่างงดงามยิ่ งนัก มันเปรียบ เสมือนสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงอะไรบางอย่างที่ธรรมชาติต้องการจะบ อกกับผม บางอย่างที่เป็นความลับของจักรวาล...ภาพนกเหยียดสุดปีก กางนิ่งไม่ไหวติง มันอาศัยแรงลมข้างใต้ปีกพยุงตัวอยู่อย่างนั้นได้นิ่งนานไม่ต่ำก ว่า 3-4 วินาที หากต้องการเปลี่ยนทิศทางมันก็ทำได้โดยการเอียงปีกเพียงเล็กน้อย น้อยมากเสียจนกระทั่งตาของคนเรามองไม่เห็น เพียงเท่านี้มันก็สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ในทุกทิศตามแต่ใจต้อง การ... ชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว สงบและเงียบ สมาธิและปัญญาก่อเกิด ทั้งที่ในความเป็นจริงหาได้มีสิ่งใดหยุดนิ่งไม่ แม้กระทั่งตัวนกเองก็ตาม ตรงกันข้ามมันอาจกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉียดๆ ร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง...หรือจะเป็นเพราะว่าชั่วขณะนั้น สิ่งที่หยุดนิ่งแท้จริงกลับไม่ใช่สิ่งต่างๆ รอบตัวผม...หากแต่เป็นใจของผมเอง