นึกถึงวันเก่า ๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน...(ตอนที่1)
สุชาดา โมรา
ผ่านมาแล้ว 3 ปี กับชีวิตที่หักเหหาทางออกไม่ได้ มีชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับความผิดหวังและสิ่งต่าง ๆ ที่สวรรค์บันดาลให้เป็นไป รวมทั้งเรื่องราวที่ไม่อาจคาดฝันว่าอนาคตเราจะดำเนินชีวิตไปอย่างไร มีใครมาคอยดูแลเราหรือไม่ จะมีใครมาคอยปลอบใจเวลาที่เราเหงา ยามท้อแท้อ่อนแอสิ้นหวังหมดกำลังใจ หรือยามปวดใจบ้างไหม ซึ่งมันก็เกิดจากปัญหาที่เราเองนั้นไม่อยากให้มันเกิดขึ้นมาเลยจริง ๆ และเราก็ไม่อาจที่จะทำใจให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดผู้ใหญ่ถึงเป็นแบบนี้
ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตของฉันเลย ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันก็พบแต่สภาพของครอบครัวที่แตกร้าว มีแต่ความร้าวฉานอยู่ตลอดเวลา ตัวฉันเองเป็นลูกคนกลาง ฉันมีพี่ชายและน้องสาวที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ บ้านฉันค่อนข้างยากจนข้นแค้น ขัดสนไปเสียทุกเรื่อง เวลาไปเรียนฉันก็ต้องเป็นเด็กอยู่ในความอนุเคราะห์ของทางโรงเรียน เพื่อน ๆ ก็ชอบล้อว่าฉันเป็นเด็กอนาถา ฉันไม่เข้าใจว่าฉันผิดตรงไหนที่เกิดมาจน คนจนไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียนเหรอฉันมักจะถามตัวเองแบบนี้อยู่เสมอ ๆ จนมีอยู่วันหนึ่งด้วยความที่ฉันเป็นคนช่างอ่าน ฉันก็ไปสมัครทำงานพิเศษในห้องสมุดของโรงเรียน ตอนนั้นฉันมีความสุขมากกับการที่ได้อ่านหนังสือมากมายทำให้ฉันเริ่มรอบรู้มากขึ้น ฉันรู้สึกได้ว่าการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตฉันมาก และการอ่านก็ทำให้ฉันเรียนดีมากขึ้นด้วย
พอฉันโตขึ้นได้เรียนสูงขึ้นฉันก็เข้าใจปัญหาที่ฉันมีอยู่ในขณะนี้ ฉันพยายามขยันเรียนให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าจะต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม พี่ชายฉันเรียนจบออกมาก็มาส่งฉันเรียน ตอนนี้พี่ทำงานอยู่กรมทางหลวงเป็นวิศวะเงินเดือนดีจึงสามารถส่งฉันและน้องเรียนได้ ส่วนพ่อหลังจากที่เลิกลากับแม่ไปนานมากฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวเลย... ถึงแม้ว่าช่วงนี้พี่ชายของฉันจะช่วยเหลือเจือจุนบ้านอย่างไรแต่ความเป็นอยู่ของเราก็ยังไม่แตกต่างจากเดิม แม่เป็นคนที่รักฉันและน้องมากที่สุดเพราะเราเป็นผู้หญิง ผู้หญิงมีโอกาสที่จะเสียคนได้ง่ายที่สุด แม่มักจะพร่ำสอนฉันอยู่เสมอ ๆ
อย่าชิงสุกก่อนห่ามนะลูก อย่าเกเรตั้งใจเรียนนะ
ฉันและน้องก็ทำตามที่แม่สอนทุกเรื่อง แม่ยังคงทำงานเหมือนเดิม ยังเข็นรถไปขายส้มตำเป็นปกติ ความฝันของแม่คืออยากให้ลูก ๆ เรียนจนจบปริญญา อยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเองจะได้ขายส้มตำได้
ฉันเรียน ม.ปลายแล้ว ฉันเริ่มเป็นสาวเต็มตัวหลังจากที่ผ่านอายุ 16 ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอยู่เสมอ ๆ เมื่อมีร้านหนังสือมาเปิดที่ฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนฉันจึงไปสมัครสมาชิกทันที แต่ทว่าค่าสมัครสมาชิกมันแพงเหลือเกิน ตั้ง 30 บาทก็เท่ากับที่ฉันไปเรียนเลย คงไม่ไหวแน่ ๆ แต่เจ้าของร้านใจดีบอกให้ฉันมาทำงานด้วยแล้วจะให้ค่าขนมแถมยังได้อ่านหนังสือฟรีอีก นับว่าเป็นโชคสองชั้นของฉันจริง ๆ
ฉันทำงานอยู่ 2 เดือนเจ้าของร้านก็ไว้วางใจให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายในร้าน ให้บริหารงานเองจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่าฉันเป็นเจ้าของร้านไปแล้ว ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันก็มาทำงานจนดึก บ้านช่องไม่ได้กลับเพราะกินนอนเสร็จสับที่ร้าน เจ้าของร้านก็ไม่อยู่ปล่อยให้ฉันดูแลกิจการแทนเขาทั้งหมด ฉันได้เจอลูกค้ามากหน้าหลายตา สนิทกับคนมากมายไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือเด็กกว่า ฉันมีความสุขที่สุดกับการที่ได้ทำงานตรงนี้มากทีเดียว
วันหนึ่งแม่ฉันป่วยหนัก พี่ชายฉันไปต่างจังหวัด ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีไม่รู้จะพึ่งพาใครได้ ไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปหาหมอยังไง ฉันกลับไปที่ร้านเช่าหนังสือดึงลิ้นชักออก ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ใจฉันก็คิดว่าน่าจะเอาไปรักษาแม่ก่อน แต่อีกใจนึงบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีเพราะแม่เคยสอนอยู่บ่อย ๆ ว่าของเขาไม่เอาของเราไม่ให้ฉันจำคำสอนของแม่ได้ดี แต่จะปล่อยให้แม่ต้องตายงั้นเหรอ ฉันลังเลอยู่นานไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่ยืนกุมขมับไว้แล้วก็ตัดสินใจปิดลิ้นชักซะแล้วก็ตั้งใจทำงานโชคดีที่เจ้าของร้านมาพอดี
ไงกิวันนี้....ยอดเช่าเป็นยังไงบ้าง
ก็ดีกว่าทุกวันค่ะ
อ่ะนี่เงินเดือนของเธอนะ แล้วอืมโทษฐานที่เป็นคนดีน้าให้โบนัสพิเศษด้วยอ่ะ
น้าตุ๊กส่งเงินให้ฉัน ฉันดีใจมากรับเงินและไหว้ขอบคุณน้าตุ๊กทันที
อืมกิวันนี้เลิกงานได้เลยนะเดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ทัน หมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านนี่เดี๋ยวคุณแม่จะบ่นเอานะ
ฉันรีบกลับบ้านมาพาแม่ไปหาหมอทันที โชคดีจังที่ไม่เป็นอะไรมาก ทีแรกฉันกลัวว่าแม่จะเป็นไข้หวัดนกจะตายไปเฮ้อโล่งอกไปที เพราะหมู่นี้ไก่ย่างมันเหลือแม่ก็เลยเอามากินกับข้าวด้วยฉันละเป็นห้วงเป็นห่วง แต่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วละ
ฉันมาคิดได้ว่าการที่ฉันไม่ขโมยเงินในร้านมาคือการทำความดีอย่างหนึ่ง ทำให้ได้กำไรชีวิต เพราะว่าความดี เท่านั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิต ทำชีวิตให้มีความสุข ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หากปราศจากการทำความดีแล้ว ชีวิตที่แสนสั้นในโลกใบนี้ ก็ยิ่งจะหมดค่าลงไปทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรีบทำความดีทุกๆ วัน เพื่อแข่งกับเวลาที่มันกลืนเอาชีวิตของเราไปทุกขณะจิต ฉะนั้นเมื่อฉันไม่ได้ทำบาปลงไปผลดีเลยมาตอบแทนเราทำให้สวรรค์ส่งน้าตุ๊กมาเป็นคนช่วยเราทำให้ฉันมีเงินมาพาแม่ไปรักษา...
เด็วสาววัยรุ่นที่อยากมีเหมือนเพื่อน อยากได้อะไรมาเป็นของตัวเองแต่ละครั้งต้องขวนขวายหาเงินมาซื้อให้ได้ ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ฉันทำงานกับน้าตุ๊กทำให้น้าตุ๊กเอ็นดูฉันมาก ถึงกับจะรับฉันเป็นลูกบุญธรรมเลยทีเดียว น้าตุ๊กเป็นคนดีคอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด อยากได้อะไร อยากทำอะไร แค่น้าตุ๊กมองตาก็รู้ใจฉันทันที เที่ยวหาซื้อข้าวของมาให้ราวกับฉันเป็นลูกของเขา ฉันจึงรักและเทิดทูนน้าตุ๊กมากเป็นอันดับสองรองจากแม่ทีเดียว
เวลาผ่านไปจนฉันเรียนจบ น้าตุ๊กให้คำแนะนำในการศึกษาต่อ ฉันจึงเอ็นทรานติดมัคคุเทศก์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พี่ชายของฉันก็ขวนขวายหาเงินมาให้ฉันเรียนจนฉันรู้สึกว่าฉันเป็นภาระของพี่ แต่ฉันก็ยังดีที่ฉันมีน้าตุ๊กคอยดูแลฉัน ฉันเรียนไปทำงานไป ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะได้น้อย แต่น้าตุ๊กก็ปรนเปรอฉันด้วยสิ่งอื่น ๆ ที่เงินเดือนฉันไม่อาจจะหาซื้อได้ ฉันรู้สึกว่าน้าตุ๊กดีกับฉันเหลือเกิน
วันนั้นฉันจำได้ดีว่าน้าตุ๊กชวนฉันไปที่ดอนเมืองเพื่อไปรับใครคนหนึ่ง ฉันไปยืนเป็นเพื่อนน้าตุ๊กจนมีผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมสัมภาระ
"สวัสดีครับคุณแม่...เอ่อนี่ใครกันครับ..."
"กิจ่ะ คนที่แม่เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ไง"
"อ๋อ!..สวัสดีครับ"
ฉันจึงยกมือไหว้ผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้แต่งตัวดีดูภูมิฐาน เรียนจบนอกมาด้านการบินพลเรือนจากนอร์เวย์ เป็นคนพูดนิ่ม ๆ สุภาพ หน้าตาดูดี สูงขาว แก้มใสดูขาวอมชมพูราวกับปัดบรัซออนทีเดียว ฉันเดินไปแอบมองไปเพราะความชื่นชมในผิวของเขา
"เอ่อคุณแม่ครับเราจะไปทานข้าวกันที่ไหนดี คือผมหิวแล้ว ผมอยากทานอาหารไทย ๆ แบบว่าไม่ได้ทานมานานแล้วครับ"
ผู้ชายคนนี้ยืนกอดเอ็วน้าตุ๊กอย่างน่าเอ็นดูเทียวละ ฉันรู้สึกประทับใจมาก ๆ เมื่อได้เห็นครอบครัวนี้มีความสุข....
น้าตุ๊กพาพวกเราไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง ร้านนี้อาหารอร่อยมาก ฉันไม่ค่อยกล้าทานอะไรมากเพราะดูสองแม่ลูกคู่นี้เขาทานแบบผู้ดี ฉันจึงค่อย ๆ ทานแล้วก็รีบอิ่ม
"อิ่มแล้วเหรอจ๊ะลูก..."
"ค่ะ"
"ทานของหวานก่อนไหม"
"ไม่ละค่ะ ขอบคุณค่ะ"
"เอ่อคุณแม่ผมก็อิ่มแล้วเหมือนกันครับ"
"งั้นเหรอติว...เก็บเงินด้วยจ่ะ"
เราออกจากร้านแล้วก็เดินไปร้านหนังสือด้วยกัน แต่น้าตุ๊กบอกกับฉันว่าติดธุระให้คุณติวอยู่เป็นเพื่อนฉันเลือกหนังสือ ส่วนน้าตุ๊กก็ให้กุญแจรถไว้กับคุณติวแล้วก็ขึ้นแท็กซี่ไป...ฉันมีความรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล ต้องมายืนอยู่กับคนที่ไม่ค่อยสนิท ทำอะไรก็ไม่ถนัด