สายเกิน...ให้อภัย (ตอนที่ 1 )

สุชาดา โมรา

ผมกำลังยืนอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งกับผู้หญิงที่ผมรักที่สุด  ผมมองไปรอบ ๆ ตัว  ผมเห็นมีแต่คนร้องไห้  ทำไมพวกเขาจึงเศร้าได้ขนาดนี้ล่ะ  ผมทักใครสะกิดใครก็ไม่มีใครคุยกับผม  จนกระทั่งผมเดินมายืนหยุดตรงหน้าพ่อ-แม่ผม  ผมเห็นท่านร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง
	"คุณแม่ครับ  คุณพ่อครับ....ร้องไห้ทำไมครับ  ผมอยู่ตรงนี้แล้วอย่าร้องนะครับ"
	ผมปลอบใจท่านเท่าไรแต่ท่านก็ยังไม่หยุดร้องไห้เสียทีผมไม่รู้จะทำอย่างไรผมจึงเดินออกมานั่งที่ศาลาวัดและก็นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม...  ผมนั่งคิดและพูดกับตัวเองราวกับคนบ้า...ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีใครสนใจผมเลย
	ชีวิตของผมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  ผมไม่เคยรู้ว่าต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร  ผมเคยฝันอยากจะเป็นนั่นอยากจะเป็นนี่  แต่ตัวผมเองกลับทำอะไรไม่ได้สักนิด  ผมทั้งโดดเรียน  กินเหล้า  เฮตามเพื่อนมาโดยตลอด  ไม่ว่าเพื่อนจะไปทางไหนก็จะมีผมอยู่ด้วยเสมอ  แม้แต่เรื่องเรียนก็ตามผมยังเรียนตามเพื่อนเลย  ทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้ว่าผมไม่ถนัดเลยไอ้เรื่องไฟฟ้าเนี่ย  เพราะมันต้องคำนวณ...ถึงเรียนก็ต้องตกก็ต้องซ่อม  ยิ่งกฎของโอมนะผมยิ่งเกลียดมาก ๆ เลย  ให้ท่องอะไรนักหนาก็ไม่รู้  สูตรบ้าบออะไรก็เยอะแยะ  เฮ้อ...
	ผมรู้ตัวว่าผมไม่เคยทำอะไรดีเลยสักอย่าง  ผมทำให้พ่อ-แม่ต้องทุกข์ใจทั้ง ๆ ที่ผมก็เป็นเพียงความหวังเดียวของครอบครัว  ผมจำได้ว่าเมื่อตอนผมยังเล็ก  ผมทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่  ขยันเรียนได้เกรดดีมาตลอด  เป็นผู้นำของห้องเรียน  เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่  ครูอาจารย์  และเพื่อนฝูง  พอโรงเรียนเลิกผมก็มักจะไปรับจ้างล้างจานอยู่ที่ร้านอาหารข้างบ้านผม  ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องค่าขนมของผม...เพราะว่าฐานะบ้านเราไม่ค่อยดีนัก
	พ่อผมทำงานอยู่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิพุทธสมาคมฯ    ส่วนแม่ผมไม่ได้ทำอะไรหรอกวัน ๆ ก็เอาแต่เล่นไพ่  สร้างหนี้สินไม่รู้จักหยุดหย่อน  เช้าขึ้นมาผมก็เห็นพ่อกับแม่กินโอวันตีนใส่หน้าแข้งทุกวัน...พอเย็นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน  ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่มีความสุขสำหรับผมเลยสักนิด
	ชีวิตที่ไม่เอาถ่านของผัวเมียที่มีแต่หนี้และไม่ค่อยเอาใจใส่ครอบครัว  ทำให้ผมเบื่อหน่ายและอยากจะหนีไปให้ไกล ๆ  ผมเคยคิดอยากจะลองยาแต่ว่าใจยังไม่ถึง  อีกอย่างผมก็ไม่มีปัญญาที่จะซื้อมันกินด้วย
	ตอนนั้นผมจบ ม.3 มาหมาด ๆ ได้เข้าเรียนวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  แต่ผมไม่สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนได้เพราะไม่มีเงิน  แม่ของผมเที่ยวหยิบยืมเงินใครก็ไม่มีใครเขาให้ยืมเพราะแม่เป็นคนเหนียวหนี้  พอมีเงินก็ไม่ไปจ่ายให้เขา  เอามาเล่นไพ่จนหมดเนื้อหมดตัว...  ผมจึงไม่ได้ลงทะเบียนเรียน  ผมจำได้ว่าวันนั้นผมนั่งร้องไห้จนตาบวมไปหมด  จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าผม...
	"เป็นอะไรล่ะ...จ้อย"
	"ผมไม่มีเงินไปลงทะเบียนเรียนครับปู่"
	"แม่เอ็งล่ะ..."
	"เล่นไพ่อยู่บ้านยายปิ๋มครับ"
	"แม่มึงนี่ใช้ไม่ได้เลย  วัน ๆ เอาแต่เล่นไพ่ถึงว่าลูกทำไมไม่มีเงินเรียน...เฮ้อ!...มา ๆ เข้าบ้านเดี๋ยวกินข้าวซะนะปู่ซื้อมาฝาก"
	"แล้วปู่มายังไงครับ"
	"ก็พ่อเอ็งเขาโทรไปบอกปู่ว่าเขาจะไปธุระที่กรุงเทพฯกับนายเขา  พ่อเอ็งเขาเป็นห่วงนะเขารู้ว่าแม่เอ็งต้องไม่อยู่ดูแลลูกจึงให้ปู่มาดูแล"
	ผมส่งน้ำให้ปู่  หาจานมาใส่กับข้าวแล้วจึงเดินไปอาบน้ำ...ผมรู้สึกว่าตัวเองหดหู่เหลือเกิน  ทำไมชีวิตครอบครัวของผมถึงไม่เหมือนคนอื่น ๆ แบบนี้
	"จ้อย...ไม่มีเงินลงทะเบียนก็มาเอากับปู่นี่เดี๋ยวพรุ่งนี้ปู่พาไปมอบตัวที่โรงเรียนเอง"
	ผมรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามาโปรดผมเลย  ผมได้เข้าเรียน  มีเพื่อนมากมาย  รวมทั้งเพื่อนเก่าที่ผมตามกันมาด้วย...  ตอนแรกผมก็วางตัวดี  ตั้งใจเรียน  แต่ผมก็เรียนไม่ได้ดีนักเพราะผมไม่เก่งคำนวณ  ผมรู้สึกว่าช่างไฟฟ้านี่ไม่เหมาะกับผมเลย...  เมื่อผมเรียนไม่รู้เรื่องผมก็เลยเฮตามเพื่อน  เวลาเพื่อนไปไหนต้องมีผมอยู่ที่นั่น  จนไม่ได้เข้าเรียน  อาจารย์ก็มีหนังสือเรียกผู้ปกครองอยู่บ่อย ๆ แต่ก็เป็นโชคของผมทุกทีเพราะผมมักจะมาทันตอนไปรษณีย์ส่งจดหมายพอดี  ผมก็เลยเอาจดหมายไปซ่อน  พ่อผมจึงไม่มีโอกาสไปโรงเรียนกับผมสักที
	"จ้อยเอ้ย...จ้อย...หยิบซองเอกสารเล็ก ๆ ในห้องให้พ่อหน่อยเร็ว..."
	พ่อเรียกให้ผมไปหยิบอะไรมาให้ก็ไม่รู้  แต่ผมรู้สึกว่าซองนั้นมันค่อนข้างหนาเป็นพิเศษ...เมื่อผมส่งให้พ่อ  พ่อก็หยิบของในนั้นออกมาผมถึงกับตาโตทีเดียว...
	"นี่มันเงินทั้งนั้นเลยนี่...พ่อเอามาจากไหนกัน"
	"พ่อถอนออกมาจาธนาคารเพื่อเอามาใช้หนี้ให้แม่แกเขา  แล้วก็จะเอาไปคืนปู่แกเขา  แม่แกนี่ใช้ไม่ได้เลยนะจ้อย..."
	พ่อพูดเหมือนไม่พอใจ  แต่ผมก็รู้สึกว่าดีนะที่บ้านเราจะหมดหนี้  แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าเดี๋ยวแม่ก็สร้างหนี้อีก...เฮ้อ...คิดแล้วก็กลุ้มใจเมื่อไรครอบครัวเราจะมีความสุขสักทีนะ
	"จ้อยอยากได้รถไว้ขับไปโรงเรียนไหม"
	ผมรู้สึกใจหวิวตัวลอยเชียวละ  ผมว่าพ่อต้องซื้อรถให้ผมแน่ ๆ เลย  ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขที่สุดเมื่อได้ยินพ่อพูดคำนี้...แต่เอ...พ่อจะเอาเงินมาจากไหนนักหนากัน
	"แล้วพ่อมีเงินเหรอ"
	"ไม่มีก็กู้เอาสิ...เพื่อลูกแล้วพ่อทำได้ทุกอย่างละ...แล้วจะไปเลือกรถกันวันไหนล่ะ"
	............
	วันแรกที่มีรถขับผมรู้สึกว่ามันโก้จริง ๆ ผมขับร่อนไปร่อนมาในโรงเรียนจนยามต้องเรียกไปเตือนบ่อย ๆ เพื่อน ๆ ก็เฮกันเพราะผมได้รถใหม่  เราก็เลยมาตั้งแก๊งขับ  รีด  ป่วนกัน  วัน ๆ ก็ไถเงินคนนั้นทีคนนี้ที  ขับรถร่อนไปร่อนมากวนชาวบ้านในโรงเรียน  ยามเรียกก็ไม่สนใจ  พวกผมรู้สึกว่ามันเท่มากเลยที่ทำแบบนี้...  รู้สึกสะใจ  ยิ่งเมื่อผมขับรถยกหน้าได้นะโอ้โห...ราวกับเป็นฮีโร่ของกลุ่มเลยละ  ผมมีความสุขมากทีเดียว
	แอ๋น...แอ้นแอ๋นแอ๋แอ๋...........น
	เสียงรถขับป่วนในโรงเรียนยกหน้าบ้าง  ขี่วนเป็นวงกลมบ้างดูมันเท่มาก ๆ เลย  จนกระทั่งผมขับรถแหกโค้งไปล้มตรงหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง  ทางด้านหน้าของตึกคอมพิวเตอร์  เธอน่ารักมาก ๆ ดูเธอตกใจมากทีเดียว  หนังสือเกลื่อนกลาดอยู่กลางถนน  เธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงพื้น  เมื่อผมประคองรถขึ้นได้ผมก็ไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น  ช่วยเธอเก็บหนังสือแต่เธอก็ไม่พูดกับผมสักนิด  เพื่อน ๆ ผมขับรถมาหาก็แซวผมจนเธออายเดินหนีไป
	"เฮ้ย!...เป็นไงบ้างวะ  อุบัติเหตุรักไง๊"
	ผมเห็นเธอเดินหนีผมก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย  ผมรู้สึกว่าผมหวั่นไหวเพราะเธอคนนี้  หรือว่าผมชอบเธอเข้าให้แล้ว  เมื่อผมรู้ตัวว่าผมชอบเธอผมจึงตามตื้อเธออยู่เรื่อย ๆ จนเธอรำคาญ
	"ไปให้พ้นนะไอ้พวกบ้า...!!!!"
	ผมรู้สึกใจคอไม่ดี  ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สนใจผม  ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอย่างไรดีเธอถึงจะมารักผม  เพื่อน ๆ ก็แซวทุกวันจนผมรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว...  ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว...  แต่อย่างว่าแหละไม่มีใครที่ไหนหรอกจะชอบผู้ชายที่เกะกะเกเร  พวกป่วนเมืองอย่างผม  นึกแล้วก็กลุ้มใจจริง ๆ นะ				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน