ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตของฉันเลย ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันก็พบแต่สภาพของครอบครัวที่แตกร้าว มีแต่ความร้าวฉานอยู่ตลอดเวลา ตัวฉันเองเป็นลูกคนกลาง ฉันมีพี่ชายและน้องสาวที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ บ้านฉันค่อนข้างยากจนข้นแค้น ขัดสนไปเสียทุกเรื่อง เวลาไปเรียนฉันก็ต้องเป็นเด็กอยู่ในความอนุเคราะห์ของทางโรงเรียน เพื่อน ๆ ก็ชอบล้อว่าฉันเป็นเด็กอนาถา ฉันไม่เข้าใจว่าฉันผิดตรงไหนที่เกิดมาจน คนจนไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียนเหรอฉันมักจะถามตัวเองแบบนี้อยู่เสมอ ๆ จนมีอยู่วันหนึ่งด้วยความที่ฉันเป็นคนช่างอ่าน ฉันก็ไปสมัครทำงานพิเศษในห้องสมุดของโรงเรียน ตอนนั้นฉันมีความสุขมากกับการที่ได้อ่านหนังสือมากมายทำให้ฉันเริ่มรอบรู้มากขึ้น ฉันรู้สึกได้ว่าการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตฉันมาก และการอ่านก็ทำให้ฉันเรียนดีมากขึ้นด้วย พอฉันโตขึ้นได้เรียนสูงขึ้นฉันก็เข้าใจปัญหาที่ฉันมีอยู่ในขณะนี้ ฉันพยายามขยันเรียนให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าจะต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม พี่ชายฉันเรียนจบออกมาก็มาส่งฉันเรียน ตอนนี้พี่ทำงานอยู่กรมทางหลวงเป็นวิศวะเงินเดือนดีจึงสามารถส่งฉันและน้องเรียนได้ ส่วนพ่อหลังจากที่เลิกลากับแม่ไปนานมากฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวเลย... ถึงแม้ว่าช่วงนี้พี่ชายของฉันจะช่วยเหลือเจือจุนบ้านอย่างไรแต่ความเป็นอยู่ของเราก็ยังไม่แตกต่างจากเดิม แม่เป็นคนที่รักฉันและน้องมากที่สุดเพราะเราเป็นผู้หญิง ผู้หญิงมีโอกาสที่จะเสียคนได้ง่ายที่สุด แม่มักจะพร่ำสอนฉันอยู่เสมอ ๆ อย่าชิงสุกก่อนห่ามนะลูก อย่าเกเรตั้งใจเรียนนะ ฉันและน้องก็ทำตามที่แม่สอนทุกเรื่อง แม่ยังคงทำงานเหมือนเดิม ยังเข็นรถไปขายส้มตำเป็นปกติ ความฝันของแม่คืออยากให้ลูก ๆ เรียนจนจบปริญญา อยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเองจะได้ขายส้มตำได้ ฉันเรียน ม.ปลายแล้ว ฉันเริ่มเป็นสาวเต็มตัวหลังจากที่ผ่านอายุ 16 ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอยู่เสมอ ๆ เมื่อมีร้านหนังสือมาเปิดที่ฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนฉันจึงไปสมัครสมาชิกทันที แต่ทว่าค่าสมัครสมาชิกมันแพงเหลือเกิน ตั้ง 30 บาทก็เท่ากับที่ฉันไปเรียนเลย คงไม่ไหวแน่ ๆ แต่เจ้าของร้านใจดีบอกให้ฉันมาทำงานด้วยแล้วจะให้ค่าขนมแถมยังได้อ่านหนังสือฟรีอีก นับว่าเป็นโชคสองชั้นของฉันจริง ๆ ฉันทำงานอยู่ 2 เดือนเจ้าของร้านก็ไว้วางใจให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายในร้าน ให้บริหารงานเองจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่าฉันเป็นเจ้าของร้านไปแล้ว ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันก็มาทำงานจนดึก บ้านช่องไม่ได้กลับเพราะกินนอนเสร็จสับที่ร้าน เจ้าของร้านก็ไม่อยู่ปล่อยให้ฉันดูแลกิจการแทนเขาทั้งหมด ฉันได้เจอลูกค้ามากหน้าหลายตา สนิทกับคนมากมายไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือเด็กกว่า ฉันมีความสุขที่สุดกับการที่ได้ทำงานตรงนี้มากทีเดียว วันหนึ่งแม่ฉันป่วยหนัก พี่ชายฉันไปต่างจังหวัด ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีไม่รู้จะพึ่งพาใครได้ ไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปหาหมอยังไง ฉันกลับไปที่ร้านเช่าหนังสือดึงลิ้นชักออก ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ใจฉันก็คิดว่าน่าจะเอาไปรักษาแม่ก่อน แต่อีกใจนึงบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีเพราะแม่เคยสอนอยู่บ่อย ๆ ว่าของเขาไม่เอาของเราไม่ให้ฉันจำคำสอนของแม่ได้ดี แต่จะปล่อยให้แม่ต้องตายงั้นเหรอ ฉันลังเลอยู่นานไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่ยืนกุมขมับไว้แล้วก็ตัดสินใจปิดลิ้นชักซะแล้วก็ตั้งใจทำงานโชคดีที่เจ้าของร้านมาพอดี ไงกิวันนี้....ยอดเช่าเป็นยังไงบ้าง ก็ดีกว่าทุกวันค่ะ อ่ะนี่เงินเดือนของเธอนะ แล้วอืมโทษฐานที่เป็นคนดีน้าให้โบนัสพิเศษด้วยอ่ะ น้าตุ๊กส่งเงินให้ฉัน ฉันดีใจมากรับเงินและไหว้ขอบคุณน้าตุ๊กทันที อืมกิวันนี้เลิกงานได้เลยนะเดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ทัน หมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านนี่เดี๋ยวคุณแม่จะบ่นเอานะ ฉันรีบกลับบ้านมาพาแม่ไปหาหมอทันที โชคดีจังที่ไม่เป็นอะไรมาก ทีแรกฉันกลัวว่าแม่จะเป็นไข้หวัดนกจะตายไปเฮ้อโล่งอกไปที เพราะหมู่นี้ไก่ย่างมันเหลือแม่ก็เลยเอามากินกับข้าวด้วยฉันละเป็นห้วงเป็นห่วง แต่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วละ ฉันมาคิดได้ว่าการที่ฉันไม่ขโมยเงินในร้านมาคือการทำความดีอย่างหนึ่ง ทำให้ได้กำไรชีวิต เพราะว่าความดี เท่านั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิต ทำชีวิตให้มีความสุข ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หากปราศจากการทำความดีแล้ว ชีวิตที่แสนสั้นในโลกใบนี้ ก็ยิ่งจะหมดค่าลงไปทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรีบทำความดีทุกๆ วัน เพื่อแข่งกับเวลาที่มันกลืนเอาชีวิตของเราไปทุกขณะจิต ฉะนั้นเมื่อฉันไม่ได้ทำบาปลงไปผลดีเลยมาตอบแทนเราทำให้สวรรค์ส่งน้าตุ๊กมาเป็นคนช่วยเราทำให้ฉันมีเงินมาพาแม่ไปรักษา... เด็วสาววัยรุ่นที่อยากมีเหมือนเพื่อน อยากได้อะไรมาเป็นของตัวเองแต่ละครั้งต้องขวนขวายหาเงินมาซื้อให้ได้ ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ฉันทำงานกับน้าตุ๊กทำให้น้าตุ๊กเอ็นดูฉันมาก ถึงกับจะรับฉันเป็นลูกบุญธรรมเลยทีเดียว น้าตุ๊กเป็นคนดีคอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด อยากได้อะไร อยากทำอะไร แค่น้าตุ๊กมองตาก็รู้ใจฉันทันที เที่ยวหาซื้อข้าวของมาให้ราวกับฉันเป็นลูกของเขา ฉันจึงรักและเทิดทูนน้าตุ๊กมากเป็นอันดับสองรองจากแม่ทีเดียว เวลาผ่านไปจนฉันเรียนจบ น้าตุ๊กให้คำแนะนำในการศึกษาต่อ ฉันจึงเอ็นทรานติดมัคคุเทศก์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พี่ชายของฉันก็ขวนขวายหาเงินมาให้ฉันเรียนจนฉันรู้สึกว่าฉันเป็นภาระของพี่ แต่ฉันก็ยังดีที่ฉันมีน้าตุ๊กคอยดูแลฉัน ฉันเรียนไปทำงานไป ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะได้น้อย แต่น้าตุ๊กก็ปรนเปรอฉันด้วยสิ่งอื่น ๆ ที่เงินเดือนฉันไม่อาจจะหาซื้อได้ ฉันรู้สึกว่าน้าตุ๊กดีกับฉันเหลือเกิน วันนั้นฉันจำได้ดีว่าน้าตุ๊กชวนฉันไปที่ดอนเมืองเพื่อไปรับใครคนหนึ่ง ฉันไปยืนเป็นเพื่อนน้าตุ๊กจนมีผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมสัมภาระ "สวัสดีครับคุณแม่...เอ่อนี่ใครกันครับ..." "กิจ่ะ คนที่แม่เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ไง" "อ๋อ!..สวัสดีครับ" ฉันจึงยกมือไหว้ผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้แต่งตัวดีดูภูมิฐาน เรียนจบนอกมาด้านการบินพลเรือนจากนอร์เวย์ เป็นคนพูดนิ่ม ๆ สุภาพ หน้าตาดูดี สูงขาว แก้มใสดูขาวอมชมพูราวกับปัดบรัซออนทีเดียว ฉันเดินไปแอบมองไปเพราะความชื่นชมในผิวของเขา "เอ่อคุณแม่ครับเราจะไปทานข้าวกันที่ไหนดี คือผมหิวแล้ว ผมอยากทานอาหารไทย ๆ แบบว่าไม่ได้ทานมานานแล้วครับ" ผู้ชายคนนี้ยืนกอดเอ็วน้าตุ๊กอย่างน่าเอ็นดูเทียวละ ฉันรู้สึกประทับใจมาก ๆ เมื่อได้เห็นครอบครัวนี้มีความสุข.... น้าตุ๊กพาพวกเราไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง ร้านนี้อาหารอร่อยมาก ฉันไม่ค่อยกล้าทานอะไรมากเพราะดูสองแม่ลูกคู่นี้เขาทานแบบผู้ดี ฉันจึงค่อย ๆ ทานแล้วก็รีบอิ่ม "อิ่มแล้วเหรอจ๊ะลูก..." "ค่ะ" "ทานของหวานก่อนไหม" "ไม่ละค่ะ ขอบคุณค่ะ" "เอ่อคุณแม่ผมก็อิ่มแล้วเหมือนกันครับ" "งั้นเหรอติว...เก็บเงินด้วยจ่ะ" เราออกจากร้านแล้วก็เดินไปร้านหนังสือด้วยกัน แต่น้าตุ๊กบอกกับฉันว่าติดธุระให้คุณติวอยู่เป็นเพื่อนฉันเลือกหนังสือ ส่วนน้าตุ๊กก็ให้กุญแจรถไว้กับคุณติวแล้วก็ขึ้นแท็กซี่ไป...ฉันมีความรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล ต้องมายืนอยู่กับคนที่ไม่ค่อยสนิท ทำอะไรก็ไม่ถนัด "หนังสือเล่มนี้เข้าท่าดี เอาไปอ่านดูไหมครับ" "หนังสืออะไรคะ..." "หนังสือเกี่ยวกับการบริหารไง เป็นเรื่องการครองใจคนในสำนักงาน ผมว่าเข้าท่าดี" ผู้ชายอะไรชวนผู้หญิงอ่านหนังสือเครียด ๆ ฉันนะงงไปหมด สงสัยจะแก่เรียนจนไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรแล้วมั้ง แต่ฉันก็รับหนังสือมาเปิดอ่านดู ก็เข้าท่าดีนะ ฉันจึงเลือกซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่านเวลาว่าง คุณติวพาซื้อของจนข้าวของเยอะแยะไปหมดต้องให้พนักงานร้านเอาหนังสือไปส่งที่รถ จากนั้นเขาก็พาฉันไปเที่ยวต่อที่สนามหลวง พาฉันมาดูคนเล่นว่าว เราทั้งคู่เล่นไม่เป็นเลย ก็เลยได้แต่นั่งมองว่าวที่อยู่บนท้องฟ้า... ฉันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ คนเราเพิ่งรู้จักกันวันแรกแต่กลับทำท่าเหมือนรู้จักกันมานานแสนนานทีเดียว เขาตามใจฉันทุกอย่าง ลักษณะของเขานี่ถอดแบบน้าตุ๊กมาเลยทีเดียว วันทั้งวันนั่งดูเขาเล่นว่าวกันจนบรรยากาศเริ่มมืดแล้วคุณติวจึงพาฉันแวะไปทานอาหารก่อนที่จะพาฉันมาส่งไว้ที่บ้านพี่ชาย ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่ออาศัยเราเขามา ก็เลยต้องกลับบ้านค่ำ พี่ชายฉันถึงกับมายืนรอหน้าบ้านทีเดียว "ไปไหนกับใครมา ทำไมกลับเอาป่านนี้" "เอ่อ...กิ...." "สวัสดีครับ คือผมเป็นลูกชายเจ้าของร้านที่น้องกิเขาไปทำงานอยู่น่ะ คือเราไปซื้อหนังสือเข้าร้านกันเลยกลับช้าไปหน่อย ขอโทษนะครับ แล้วที่คุณแม่ไม่มาด้วยเพราะท่านติดธุระน่ะครับ" คุณติวพูดซะยืดยาวพี่กอล์ฟจึงเข้าบ้าน ฉันยืนส่งคุณติวจนรถแล่นไปสุดสายตา วันนี้ฉันรู้สึกดีนะที่ได้ไปเที่ยวหลาย ๆ ที่ ฉันนอนอ่านหนังสือเล่มนั้นจนดึกแล้ก็เผลอหลับไป ตั้งแต่มีคุณติวก้าวเข้ามาในชีวิต ฉันก็รู้สึกว่าโลกใบนี้มันเป็นสีชมพูไปหมด ฉันไม่รู้ตัวหรอกนะว่ารู้สึกเกินเลยกับคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างไปแล้ว ตอนเย็นทุก ๆ วันศุกร์คุณติวจะขับรถมารับฉันทุกครั้งเพราะวันศุกร์คือวันหยุดของเขา คุณติวเป็นสจ๊วตอยู่สายการบินแอร์ไอทิสตี้ เขามีโครงการที่จะเปิดบริษัททัวร์ ก็เลยคิดโครงการกับฉันเพราะฉันก็กำลังเรียนมัคคุเทศก์อยู่ด้วย เมื่อวางแผนกันเป็นเวลา 2 ปีเต็มบริษัทก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เริ่มมีการก่อสร้าง คุณติวก็มักจะพาฉันไปดูการก่อสร้างอยู่เสมอ ๆ จนตอนนี้ฉันเรียนใกล้จะจบแล้ว พอฉันเรียนจบน้าตุ๊กก็เชียรให้ฉันไปเป็นเลขาของคุณติว คุณติวยังไม่ลาออกจากการเป็นสจ๊วตแต่คุณติวก็มักจะให้ฉันรักษาการแทนไปก่อนจนฉันเป็นงานทุกอย่างในบริษัท สามารถรู้และเข้าใจระบบโครงสร้างของบริษัทได้เป็นอย่างดี ฉันรู้สึกว่าฉันรักบริษัทนี้มากทีเดียว เพราะคนในบริษัทนี้ดูแลฉันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะมีคุณติวและน้าตุ๊กที่คอยเป็นห่วงเป็นใยฉันราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน... "เอ่อ...คุณกิผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ" "คะ" "ผมกำลังหนักใจมากเลย ผมอยากจะลาออกมาทำงานที่บริษัทแต่ว่า ผมก็รักการเป็นสจ๊วต ผมรักแอร์คนนึงเธอน่ารัก สวย อ่อนหวาน เธอเป็นคนสุภาพ ดูดีไปซะทุกอย่าง คุณว่าผมควรจะทำอย่างไรดี" ฉันรู้สึกว่ามันเจ็บแป๊บ ๆ เข้าไปในใจของฉัน แต่ฉันก็ตีหน้าเฉย ๆ เหมือนกับว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย "คุณก็ทำตามที่ใจคุณปรารถนาเถอะ...เพราะฉันคงจะไปห้ามคุณไม่ได้หรอก" คุณติวจึงไม่ลาออก ทีแรกฉันก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันแต่ตอนหลังฉันเริ่มชินชาเสียแล้ว เพราะฉันก็รู้ ๆ อยู่ว่าเจ้านายกับลูกน้องที่ไหนจะมารักกันได้ ฉันไม่กล้าบินสูงขนาดนั้นหรอก "คุณติวคะ คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ นี่มันไม่ใช่วันศุกร์นะคะ" "ผมทุกข์ใจ ผมหาทางออกไม่ได้แล้ว แอร์ที่ผมรักเธอมีสามีแล้ว ผมทำใจไม่ได้...เอือก" คุณติวดื่มเหล้าเมามายอยู่ในออฟฟิต ฉันทนไม่ได้จึงพยุงตัวออกมาจากบริษัทแล้วก็พาไปส่งไว้ที่บ้านของน้าตุ๊ก "กิ...ติวทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก" "สงสัยจะอกหักจากแอร์น่ะค่ะ" "โถ่...ลูก แม่บอกแล้วว่าแม่มีคนให้ลูกเลือกอยู่แล้วลูกจะไปรักคนอื่นทำไมกัน" น้าตุ๊กพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อย ๆ แล้วก็หันมามองหน้าฉัน ฉันจึงขอปลีกตัวกลับไปทำงานก่อน... คุณติวเป็นแบบนี้มานานหลายสัปดาห์จนฉันทนไม่ไหว "นี่คุณ รักอนาคตบ้างหรือเปล่า...เป็นบ้าไปแล้วหรือไงกัน เอาแต่เมา ๆๆๆแล้วก็เมาชีวิตจะเจริญได้ยังไงกัน ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกซะหน่อย ทำไมต้องทำฟูมฟายเป็นเด็ก ๆ ไปได้" "เธอจะมารู้อะไร ในเมื่อเธอไม่เคยอกหัก" "ทำไมฉันจะไม่เคยอกหัก ฉันอกหักก็เพราะมีผู้ชายแบบคุณอยู่บนโลกใบนี้เนี่ยแหละ" เขาถึงกับส่างเมาทีเดียว วันรุ่งขึ้นจึงไปลาออกแล้วก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้หรือเปล่า ว่าไอ้ที่ฉันพูดไปน่ะมันคือเขา แต่ฉันก็ยังเป็นคนเดิมที่วางมาดนิ่ง ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณติวเห็นฉันเหมือนน้องสาวคอยเอาใจใส่ฉันเสมอ ไปรับไปส่งไม่เว้นแต่ละวันจนคนที่บ้านคิดว่เราเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ "เนี่ยคุณกิ...พนักงานต้อนรับคนใหม่ของเราน่ารักดีนะ ผมว่าผมน่าจะจีบเธอนะ" "ก็ตามใจคุณเถอะ" ฉันรู้สึกเฉยชาต่อเรื่องนี้ เพราะเขามักจะเอาเรื่องสาว ๆ มาปรึกษากับฉันอยู่เสมอ แต่ก็มักจะแฮ้วทุกที ฉันต้องคอยมีหน้าที่เป็นศิลานีให้เขาปรึกษาอยู่เรื่อย ๆ จนเขาพอใจ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไรเขาถึงจะหันมาดูฉันบ้าง แต่ก็คงชาติหน้าตอนบ่าย ๆ นั่นแหละ "วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษนะกิ ช่วงหน้าหนาวแบบนี้ผมอยากจะชวนคุณไปเที่ยวเชียงใหม่จริง ๆ ไปชมพระธาตุ ไปดูสาวเชียงใหม่ แหมมันท่าจะสนุกพิลึกนะ...ไปกันนะ" "แล้วมีใครไปกันบ้างล่ะ" "ก็มีผมกับคุณแม่ แล้วผมก็เลยชวนคุณไปด้วยเพราะเห็นเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน" "จะบ้าเหรอ...พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ" "เสียหายยังไง..." ฉันเงียบแล้วก็ทำหน้าแดง ๆ เดินหนีไป นั่งทำงานต่อจนเย็น "ไปกับผมนะ...นะนะนะ..." เขามาอ้อนวอนให้ฉันไปราวกับเด็ก ๆ จนฉันต้องตอบตกลง แต่ต้องให้เขาไปขอร้องคุณแม่กับพี่กอล์ฟ เพราะมันไม่ดีถึงจะมีแม่เขาไปด้วยก็ตามเถอะใครมองมันก็จะยังไง ๆ อยู่นะ... เขามาขอร้องที่บ้าน ที่บ้านตอบตกลงแล้ววันรุ่งขึ้นก็ขนข้าวของไปกัน อากาศที่นี่สวยจริง ๆ แหละ เราเดินทางมากันถึง 3 วันกว่าจะมาถึงเชียงใหม่เพราะคุณติวต้องขับรถมาตลอดทาง แวะพักที่โรงแรมตั้งแต่สุโขทัยไปเลย ฉันมีความรู้สึกว่าเหมือนฉันเป็นลูกสาวคนหนึ่งของน้าตุ๊กทีเดียว... "คืนนี้พักที่นี่ก่อนละกัน" คุณติวพาเข้าไปในรีสอร์ทแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ จองบ้านพักหลังนึง ฉันอยู่ห้องข้าง ๆ คุณติว ส่วนน้าตุ๊กอยู่ห้องชั้นบน ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะต่างที่ต่างทาง... ฉันนอนอย่างไม่ค่อยมีความสุข ฉันรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่ ฉันจึงค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ "อื้อ...อื้อ...อื้อ..." ฉันพยายามส่งเสียงร้องแต่ใครคนนั้นเอามือมาปิดปากฉันไว้ ฉันพยายามดิ้นยังไงเขาก็ไม่ปล่อย ฉันรู้แน่ว่านั่นเป็นผู้ชายแน่ ๆ แต่ฉันต้านแรงไม่ไหวแล้ว ฉันจะทำยังไงดี... "อย่าเอะอะโวยวายนะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก ผมเอง...ติวไง" ฉันถึงกับแทบช็อกทีเดียวเมื่อรู้ว่าเป็นคุณติว แต่ฉันก็ไม่ปิปากร้องเพราะเขาสั่งห้ามฉันไว้ เขาค่อย ๆ เดินไปเปิดไฟแล้วก็มานั่งคุยกับฉัน "กิ...ออกไปข้างนอกกันไหม ไปดูดาวกัน เขาว่าดาวที่นี่สวยกว่าที่อื่นนะ" "สวยกว่ายังไงคะ" "ก็มันสูงและโล่งไง ไปดูให้ได้เชียว" ฉันเดินออกจากห้องไปกับคุณติว ทีแรกฉันตกใจแทบแย่นึกว่าเขาจะมาทำอะไรซะอีก แต่ตอนนี้โล่งใจแล้วละเพราะเขามาดี "ทำไมถึงชวนฉันมาดูดาวคะ...เห็นเมื่อเย็นบ่นว่าอยากจะชวนผู้หญิงที่นั่งทานกาแฟอยู่ในร้านค็อฟฟี่ช็อฟไปดูดาวไงคะ" "อย่าพูดมากเลยเดินตามมาดีกว่านะ" ฉันเดินตามเขาไป จนเขามาหยุดอยู่ที่ลานโล่ง ๆ มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวที่เรายืนอยู่ ฉันเห็นดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า หมู่หิ่งห้อยก็บินวนไปวนมาเป็นกลุ่มใหญ่ ช่างสวยงามเหลือเกิน...ฉันรู้สึกว่าถ้ามีคนที่รักฉันพาฉันมาเที่ยวและมาดื่มด่ำบรรยากาศ ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นี่ก็คงจะดีไม่น้อยเทียวละ ฉันมัวแต่ยืนฝันอยู่เสียนานเทียว "กิ...นั่นไงสิ่งที่ผมให้คุณมา คุณดูนั่นสิ สาวน้อยคนนั้น คุณช่วยผมหน่อยสิ ไปชวนเธอมาที่นี่แล้วก็ให้นั่งคุยกับผมหน่อย" อ๋อ...ก็เพิ่งรู้เดียวนี้นี่เองว่าเรากลายเป็นแม่สื่อไปแล้ว...ไม่น่าเชื่อเลย อุตส่าห์ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เห็นประโยชน์เราตรงนี้นี่เอง...เรานี่มันบ้าไปแล้วเหรอนี่ ให้เราเดินมาทั้ง ๆ ที่ใส่ชุดนอน เฮ้อ... น้ำค้างก็ลงแต่ก็ต้องจำใจทนหนาวหน่อยเดินไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นจนสามารถพาเขามาหาคุณติวจนได้ คืนนี้คุณติวเลยได้เธอไปควงแถมยังได้เธอไปนอนเคียงข้างด้วย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะยอมคุณติวง่าย ๆ แบบนี้... แต่ฉันก็ได้เพื่อนใหม่นะคือเพื่อนของคุณเพียงตาคนที่ฉันไปหว่านล้อมให้ไปคุยกับคุณติว ฉันจึงสนิทกันเพราะเหตุการณ์มันพาไป "คุณชื่ออะไรครับ" "คุณบอกฉันก่อนสิคะ..." "ผมปลิวครับ" "ฉันกิค่ะ" "มาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ" "ค่ะ...แล้วคุณล่ะคะ" "ก็หลายครั้งอยู่ครับ ผมติดใจตั้งแต่มาเที่ยวกับแฟนคนแรกแล้วจนตอนนี้เลิกลากันไปก็ยังมาเที่ยวอยู่ ที่จริงผมมากันหลายคนแต่ยายเพียงตาน่ะสิชวนผมมาเพราะอยากจะเจอหน้าแฟนคุณไง" "ไม่ใช่...เขาเป็นเจ้านายฉัน ไม่ใช่ฟงแฟนอะไรหรอก" ฉันถึงกับตอบเสียงหลงทีเดียว ฉันคุยกันจนเริ่มรู้สึกว่าง่วงมาก ๆ ก็เลยเดินกลับบ้านหลังที่พักอยู่ คุณปลิวก็เลยมาส่ง เราแลกที่อยู่กันจากนั้นพอเช้าขึ้นมาเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แต่น้าตุ๊กน่ะสิเสียความรู้สึกมาก ๆ ที่คุณติวเอาคุณเพียงตาเข้ามานอนด้วย น้าตุ๊กถึงกลับช็อกทีเดียว เลยจะขอกลับกรุงเทพฯก่อน แต่คุณติวไม่ยอม น้าตุ๊กเลยไม่พูดกับคุณติวเลย... ฉันนะสงสารคุณติวและสงสารน้าตุ๊กมาก ๆ เลย ครอบครัวที่สงบสุขกลับแย่เพราะผู้หญิงคนเดียว ที่จริงฉันก็โทษตัวเองอยู่เหมือนกันที่เป็นสื่อให้น้าตุ๊กต้องหมางใจกับลูกชาย ฉันนี่มันบ้าจริง ๆ ...การเที่ยวครั้งนี้เลยกล่อยเพราะสถานการณ์ไม่ค่อยดี พอกลับมาได้สามวันคุณปลิวก็ติดต่อมา เรานัดเจอกันบ่อยครั้งจนคุณติวไม่ค่อยพอใจหาว่าฉันอู้งาน ฉันก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาโกรธทำไมเพราะว่าฉันไม่เห็นว่าฉันจะใช้เวลางานตรงไหนเลย แต่คุณติวกลับแสดงออกจนน่าเกลียด "นายอีกแล้วเหรอ ว่างนักไง...ถึงได้มาชวนเลขาของผมไปเรื่อยเลย" "คุณ...นี่มันเลิกงานแล้วนะครับจะใช้แรงงานกันไปถึงไหนกัน" "นาย...." คุณติวถึงกับพูดไม่ออกเลยเมื่อถูกคุณปลิวตอกกลับซะหน้าแหกทีเดียว... เดี๋ยวนี้คนที่ไปรับไปส่งฉันทุกวันก็คือคุณปลิว เพราะคุณติวเธอไม่ค่อยว่างนัก อีกอย่างฉันก็รบกวนเขามามากแล้วเหมือนกัน มีเพื่อนใหม่ก็ดีนะอาศัยเขากลับบ้านทุกวันจนที่บ้านเริ่มพูดแปลก ๆ "เสน่ห์แรงนะเนี่ย เดี๋ยวก็เจ้านายมาส่ง เดี๋ยวก็คุณปลิวลูกเจ้าของหนังสือพิมพ์มาส่ง เอ...มันยังไง ๆ อยู่นา...สรุปชอบคนไหนนะเรา..." พี่กอล์ฟมักจะแซวแบบนี้เป็นประจำจนฉันเริ่มรู้สึกเขิน ๆ แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามเดิม คุณปลิวเข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันมากขึ้น เป็นเวลา 1 ปีเต็มที่เรารู้จักกันมา เขาเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง แต่ก็มีคนที่ทำท่าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร คือคุณติว เขาชอบทำหน้าเบ้ทุกทีที่คุณปลิวมา ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรจงเกลียดจงชังเขาจังเลย...เฮ้อ...ฉันเห็นแล้วก็ปวดหัว "ถามจริง ๆ เถอะคุณเป็นแฟนหมอนั่นเหรอ" "จะบ้าเหรอคุณติว...ฉันน่ะนะ...ไม่อาจเอื้อมค่ะฉันมันคนเดินดินไม่สมควรจะบินสูงหรอก อย่างดีถ้าจะหาแฟนก็หาที่มัรระดับเดียวกันจะดีกว่า เขาจะได้ไม่ดูถูกเราจริงไหมคะ" คุณติวถึงกับเบรครถกระทันหันทีเดียว... "อุ้ย....!!!...เบรคทำไมคะ" "คุณเคยชอบผมไหม" "หา........................!!!!" ฉันถึงกลับอึ้งทีเดียว แต่เขาก็ย้ำกับฉันอีกครั้ง "คุณเคยชอบผมไหม" "ก็คุณเป็นเจ้านายฉันจะให้ฉันไม่ชอบได้ยังไงกัน" "ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...ผมถามว่าคุณน่ะรักผมไหม...." หัวใจฉันเต้นรัวราวกับลูกสูบทำงานเกินปกติ ฉันรู้สึกตัวชาหน้าชาแดงกล่ำไปหมด แล้วฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร "ถ้าคุณไม่ตอบผมถือว่าคุณ OK.นะ" "เอ่อ....ฉันไม่รู้จะตอบยังไงค่ะ..." "ก็พูด ๆ มาสิ" "ฉันเป็นผู้หญิงนะ...แล้วจะให้ฉันมาพูดอะไรแบบนี้ได้ไงกัน" เขาไม่พูดต่อแต่ก็ขับรถยาวทีเดียว ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพาฉันไปไหนแต่ฉันรู้ว่าเขาต้องไม่ทำอะไรฉันเพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษ เขาขับรถจนฉันหลับไป พอมาโผล่อีกทีก็เส้นทางไปเชียงใหม่แล้ว "นี่มันอะไรกันคะ..." "ผมเห็นคุณชอบที่สวย ๆ ผมก็เลยพาคุณมาสร้างบรรยากาศหน่อย หรือว่าคุณไม่ชอบ" "แต่ฉันยังไม่ได้ขออนุ..." "ผมขออนุญาติคุณแม่คุณแล้วละ...คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะ และผมก็เตรียมเสื้อผ้ามาให้คุณเรียนบร้อยแล้วรวมทั้งของใช้ส่วนตัว" "คุณ..." ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย เขาพาฉันมาพักที่รีสอร์ทที่เดิม พาฉันไปพักห้องที่เดิม แล้วก็ชวนฉันไปดูดาวเหมือนเดิม "คุณนัดกับคุณเพียงตาไว้เหรอ..." "เปล่า...นี่คุณผมมาแค่เรานะไม่ใช่จะมาหาเศษหาเลยกับคนอื่น" "ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีน่ะแหละ" ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่พอฉันเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยดาวเต็มท้องฟ้า หิ่งห้อยบินเป็นกลุ่มใหญ่ดูเพลินตาแบบนี้ก็ชวนให้ฉันหยุดคิดเรื่องทุกเรื่องแล้วก็นั่งมองดูดาวอย่างมีความสุข "คุณรู้ไหมว่าผมชอบคุณตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าคุณเลย" "หือ..." "พอผมเห็นหน้าคุณผมก็รู้ได้เลยว่านี่แหละสะเป็กผม" "อือ..." "ผมขอโทษนะที่ทำตัวเป็นเพลบอยโดยไม่คิดถึงจิตใจของคุณ...คุณแม่ท่านอยากให้เราแต่งงานกัน แต่ว่าผมมันมัวห่วงแต่ความสำราญอย่างผู้ชายที่ไม่เอาไหน ผมขอโทษคุณด้วยนะกิ" "หาอะไรนะ..." "นี่คุณไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอ" ฉันส่ายหน้าคุณติวก็เลยโกรธเดินหนีไป ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาพูดอะไรเพราะฉันมัวแต่นึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ของครอบครัวฉัน ฉันอยากให้คุณแม่มาเห็นที่นี่จังเลย... จนไม่ได้ฟังที่คุณติวพูด แต่พอเขาเดินไปได้พักหนึ่งเขาก็กลับมา "นี่จะไม่ง้อเลยเหรอ งอนนะ" ฉันถึงกับหัวเราะเลยละเพราะไม่คิดว่าเขาจะงอนเป็น ผู้ชายอะไรขี้งอนไปได้ ดูสิจะให้ผู้หญิงง้อ ไม่เอาด้วยหรอก ท่าจะบ้า ลูกคุณหนูนี่ก็เอาใจยากจริง ๆ เลยนะ "อ่ะง้อก็ได้" "ไหนล่ะที่บอกว่าง้อ" "ก็นี่ไง....ง้อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ฉันหัวเราะขึ้นมาเขาก็เลยเอามือมาขยี้หัวฉัน "แต่งงานกับผมนะ" ประโยคนี้ถึงกลับทำให้ฉันอึ้งมากที่สุด เพราะฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้กับฉัน และฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขารักฉัน ทั้ง ๆ ที่ปกติเขาไม่มีท่าทีที่แสดงออกมาเลยว่ารักฉัน ฉันแต่งงานได้ 3 ปีก็ท้อง แต่สุขภาพของฉันไม่แข็งแรงเลยแท้งง่าย หมอบอกให้พักผ่อนมาก ๆ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อฉันกำลังบ้างาน ฉันท้องครั้งต่อมาก็แท้งอีก สรุปแล้วฉันท้องมาถึง 5 ครั้งแล้วก็แท้ง 5 ครั้งทำให้เขาหมดกำลังใจ วันหนึ่งเขาล้มป่วยลง เพราะข้าวปลากินไม่ตรงเวลา ปวดท้องอยู่บ่อย ๆ พอไปตรวจก็ทราบว่าเขาเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว ฉันเป็นห่วงเขามากเลย คอยดูแลเขามาโดยตลอด เมื่อฉันรู้ว่าเขาจะไม่อยู่กับฉันแน่ ๆ ฉันก็ยิ่งเสียใจมากแต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ข้างใน ฉันรู้สึกผิดจริง ๆ เลย "กิ...จะร้องก็ร้องออกมาเถอะ อย่าฝืนเก็บไว้คนเดียวเลย" ตอนที่คุณติวบอกฉัน ฉันถึงกลับปล่อยโฮออกมาทีเดียว ฉันไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะอยู่เพื่ออะไรในเมื่อตอนนี้คนที่ฉันรักคนหนึ่งกำลังจะจากฉันไปแล้ว... ฉันต้องอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้างไม่มีใคร บ้านที่เคยอยู่เคยเห็นหน้ากันทุกวัน ต้องมีอันต้องขาดใครคนใดคนหนึ่งไป ฉันหมดกำลังใจที่จะทำงานต่อไปจริง ๆ "ผมไม่เป็นไรหรอกกิ...ทำใจสบาย ๆ ถือว่าเรามีกรรมร่วมกันมาเท่านี้ รักษาสุขภาพนะกิอย่าหักโหมจนเกินไป ผมรักคุณนะ กิ...ผม" คำพูดคำสุดท้ายมันทำให้ชีวิตฉันจมดิ่งอยู่กับความหลัง ฉันจำคำพูดทุกคำของเขาได้ดี คุณติวคุณเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด แต่ฉันกลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อคุณเลย ฉันกอดแม่ของเขาร้องไห้จนถึงวาระสุดท้ายที่ฉันต้องเผาทั้งเขาและแม่ของเขา ฉันรู้สึกว่าฉันอ้างว้างเดียวดายที่สุด ชีวิตของฉันเหลือเพียงฉันคนเดียว... ฉันยังคงเก็บถาพวันวานของเราไว้เสมอ...คุณติว คุณแม่ตุ๊กฉันรักทั้งคู่มากเลยค่ะ ลาก่อนนะคะขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขติด้วยเถิด แล้วฉันก็เอากระดูกและขี้เถ้าไปลอยอังคารที่กลางทะเล ฉันหวังแค่เพียงฝันถึงเขาทุกวันก็พอแล้ว... จบแล้วค่ะกับเรื่องสั้นทั้ง 4 ภาค ตั้งแต่ภาคแรก เรื่อง คนที่ไม่เคยสำคัญ ภาคสอง " มรสุมทางใจ ภาคสาม " พ่ายให้แก่...เธอ และภาคสุดท้าย " วันวาน... เป็นอย่างไรบ้างคะ สมกับที่รอคอยหรือเปล่า...ขอบคุณนะคะที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ ถ้าอยากให้ต่อภาค 5 โปรดเขียนมาบอกด้วยนะคะว่าจะให้แต่งเรื่องของใคร หรือจะให้เพื่มตอนไหน...อยากให้มีตัวละครชื่ออะไรอีกช่วยบอกนะคะ ต้องการให้แต่งแนวไหน จะจัดให้ค่ะ และจะไปเก็บข้อมูลมาแต่งให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ... ...............ขอบคุณค่ะ.....................
18 กรกฎาคม 2547 18:04 น. - comment id 75560
จริงเหรอที่บอกว่าจะตามใจ งั้นเที่ยวนี้ทำเรื่องของโก้มั่งดิ นะนะเดี๋ยวจะเมล์ไปหานะ
18 กรกฎาคม 2547 18:06 น. - comment id 75561
ขอบอกเลยว่าสุดยอดมาก ๆ แต่อยากให้กินางเอกของเรื่องจบแบบ happy ได้ไหม อยากให้มีคู่ ต่อในภาค 5 นะ ไม่ต้องเขียนเรื่องผมในภาค 5 ก็ได้แค่ขอให้กิจบแบบสวย ๆ หน่อยนะขอร้อง แต่ถ้าเรื่องต่อไปมีผมอยู่ด้วยก็ดีนะ
18 กรกฎาคม 2547 18:25 น. - comment id 75563
อ่านนานมากแต่ก็โอเคง่ะ แล้วจะติดตามเรื่องราวต่อไปอีก
19 กรกฎาคม 2547 12:43 น. - comment id 75578
เรื่องสนุกมากเลยนะคะ อ่านจบแล้วก็อยากที่จะอ่านต่อเรื่อย ๆ แต่งมาอีกนะคะ จะรออ่าน