สวรรค์บันดาล
สุชาดา โมรา
ชีวิตในวัยเยาว์ของฉัน ฉันเติบโตมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์มากนัก ไม่เคยมีแม่และพ่อมาดูแล เพราะท่านต่างก็มีภาระที่จะต้องทำ แต่ฉันก็ยังจำได้ว่าทุก ๆ คนในบ้านรักฉันและดูแลฉันมาตลอด ถึงแม้ว่าฉันจะดื้อและซนเพียงใดแต่ท่านก็เลี้ยงดูฉันมาด้วยความยากลำบาก ไม่เคยแม้แต่จะบ่นว่าเหน็ดเหนื่อย และไม่เคยคิดจะนำฉันไปปล่อยเหมือนหมูเหมือนหมาด้วย
โอละเห่เอยเจ้าเนื้ออ่อนเอย อ้อนแม่จะกินนม แม่จะอุ้มเจ้าออกชม กินนมแล้วนอนเปลเอย เสียงเพลงที่เยือกเย็นกล่อมฉันให้หลับไหลอยู่ทุกวันจนฉันจำได้ดีว่าใครหนอที่นั่งไกวเปลกล่อมฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าฉันขาดความอบอุ่น เพราะฉันก็ยังมีย่าและอาอีกสองคนที่เปรียบเสมือนแม่ของฉัน ท่านคอยดูแลเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนให้ฉันเป็นคนดี ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันไม่เคยรู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่ของฉัน ฉันจึงรักพวกท่านมาก
ย่าเป็นคนชอบดูละครพื้นบ้านมากฉันจำได้ว่าตอนเป็นเด็กทุก ๆ วันเสาร์-อาทิตย์ฉันจะต้องตื่นมาแต่เช้าลุกขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ช่อง 7 เพื่อดูละครเรื่องแก้วหน้าม้า เหตุนี้แหละที่ทำให้ฉันมีความชื่นชอบวรรณคดีเป็นพิเศษ ทำให้ฉันติดตามดูละครพื้นบ้านที่ออกอากาศทุกเรื่อง
เมื่อฉันอายุสามขวบเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้ว แม่ของฉันกลับมาหาฉัน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่านั่นคือแม่บังเกิดเกล้าของฉัน ฉันรู้แต่ว่าใคร ๆ เขาก็ให้ฉันเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า อีเหว่า ที่จริงคำนี้เมื่อฉันมารู้ตอนโตก็คือ แม่ทิ้งฉันไปเพราะต้องกลับไปเรียนจึงปล่อยให้ฉันกลายเป็นภาระของย่าและอาทั้งสองคน ภายหลังเมื่อฉันได้รู้ว่าท่านเป็นแม่ฉันก็รู้สึกพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้อยากจะไปอยู่กับแม่ แม่หนูอยากไปอยู่กับแม่ ให้หนูไปนะไม่เอาหนูจะอยู่กับแม่!!! ตอนนั้นฉันโดนตีเกือบตาย ก้านมะยมฟาดที่น่องอ่อน ๆ ของฉันจนแตกเป็นแนวยาวไปโรงเรียนไม่ได้ ฉันจำได้ว่าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่เคยมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับแม่อีกเลย
จนกระทั่งฉันขึ้นชั้นประถมจึงได้มาอยู่กับแม่ ตอนนั้นฉันมีความสุขมากที่สุด มีความสุขจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี วางตัวไม่ถูกเพราะฉันไม่เคยอยู่กับแม่มาก่อน แม่เคยบอกกับฉันว่า เมื่อยามที่แม่ท้อง แม่ต้องคอยระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ อยากกินอะไรก็ไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกที่กำลังจะเกิดมา ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่ารักของแม่นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะกว่าแม่จะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนจนลูกเติบใหญ่ได้นั้น ท่านต้องเหนื่อยทั้งแรงใจแรงกาย ต้องอดทนสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข อยู่ดีกินดี ไม่เป็นภาระของสังคม
แม่คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งในโลกได้ ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระราชดำรัสไว้ว่า แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์นั้น ต้องไม่ลืมว่าที่บ้านก็มีพระอรหันต์อยู่องค์หนึ่ง เราจึงควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้ พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนักหากเอ่ยคำว่ารักให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง เพราะเราอาจจะโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพ และเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า ลูกรักแม่
หลังจากที่ฉันได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่ได้ระยะเวลาหนึ่ง แม่ก็ต้องจากฉันไปเพราะท่านแยกทางกัน ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่าฉันกำลังสูญเสียสิ่งที่ฉันถวิลหามาตลอดชีวิต ฉันคร่ำครวญหาแม่จนไม่เป็นอันกินอันเรียน เมื่อฉันได้อ่านเสภาขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่ท่านสุนทรภู่ได้แต่งไว้นั้นมีความว่า
เจ้าพลายงามความแสนสงสารแม่ ชำเลืองแลดูหน้าน้ำตาไหล
แล้วกราบกรานมารดาด้วยอาลัย ลูกเติบใหญ่คงจะมาหาแม่คุณ
แต่ครั้งนี้มีกรรมจะจำจาก ต้องพลัดพรากแม่ไปเพราะไอ้ขุน
เที่ยวหาพ่อขอให้ปะเดชะบุญ ไม่ลืมคุณมารดาจะมาเยือน
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว
แม่วันทองของลูกจงกลับบ้าน เขาจะพาลว้าวุ่นแม่ทูนหัว
จะก้มหน้าลาไปมิได้กลัว แม่อย่ามัวหมองนักจงหักใจ
เสภาบทนี้มีอิทธิพลต่อฉันเหลือเกิน ฉันมีความรู้สึกถึงการที่แม่จากฉันไปโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะมีโอกาสได้เจอแม่อีกหรือไม่ เวลาที่ฉันอ่านตอนนี้ทีไรทำให้ฉันต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่สักที ฉันมีความรู้สึกเหมือนตัวฉันเองเป็นพลายงามที่กำลังจะต้องจากแม่ไป มันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ และเศร้าใจยิ่งนัก ยิ่งฉันได้อ่านความต่อจากนั้นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกปวดร้าวในใจอย่างที่สุด เพราะตลอดระยะเวลาที่ฉันอยู่กับแม่มาเพียงไม่กี่ปีฉันก็มีความผูกพันธ์กับแม่บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีความผูกพันธ์กันมากนัก แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในใจของฉันเสมอ และฉันก็ยังไม่เคยพูดสักทีว่า ฉันรักแม่มาก
ฉันนึกถึงนางวันทองที่แสดงความรักต่อลูกในวรรณคดีอย่างเห็นได้ชัดคือตอนที่นางวันทองจัดของไปรับลูกที่วัด แล้วพาไปส่งที่ท่าเกวียน ให้พลายงามเดินทางไปหาย่าทองประศรี
ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะลำพังนางวันทองเองคงไม่สามารถคุ้มครองลูกให้ปลอดภัยจากขุนช้างได้ สองแม่ลูกอำลากันอย่างเศร้าสร้อย ตอนนี้แหละฉันรู้สึกว่าชีวิตของพลายงามมีอะไรที่คับคล้ายคับครากับชีวิตของฉันเหลือเกิน จึงทำให้ฉันต้องหยิบยกบทเสภาตอนนี้ขึ้นมาด้วย ความว่า
นางกอดจูบลูบหลังแล้วสั่งสอน อำนวยพรพลายน้อยละห้อยไห้
พ่อไปดีศรีสวัสดิ์กำจัดภัย จนเติบใหญ่ยิ่งยวดได้บวชเรียน
ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ เจ้าจงอุตส่าห์ทำสม่ำเสมียน
แล้วพาลูกออกมาข้างท่าเกวียน จะจากเจียนใจขาดอนาถใจ
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์ โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
เมื่อยามที่ฉันท้อแท้ คิดถึงแม่ขึ้นมาคราใดบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนนี้มักจะเป็นเพื่อนในยามนี้ได้ทุกที จนฉันรู้สึกว่าเสภาตอนนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรแม่จะกลับมาหาฉัน และเมื่อไรที่ฉันกับน้องชายจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่สักทีฉันรอคอยวันนั้นมานานเหลือเกิน
แต่ ณ เวลานี้แม่ได้กลับมาหาฉันแล้ว เราอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่าที่ฉันอยากจะให้มีก็ตามแต่ฉันก็มีความสุขมาก เปรียบดั่งสวรรค์บันดาลให้แม่ต้องกลับมาดูแลลูก ๆ อีกครั้ง ชั่วชีวิตนี้ฉันไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจากจะขอให้ฉันได้อยู่กับแม่ตลอดไปฉันก็พอใจและมีความสุขที่สุดแล้ว