พระจันทร์ที่ ๒๘ มิถุนาย์ ๔๗ เรียงร้อยที่กระทรงการค้า ประเทศไทย ถึงคุณอันเป็นที่รัก. ราตรีกาลนี้ที่ผมกำลังนิ่งนึกถึงคุณ คุณกำลังคำนึงนึกถึงใครอยู่น่ะคนดี *-* จดหมายฉบับนี้อาจเป็นจดหมายฉบับแรกที่ผมส่งมาถึงคุณนับแต่วันที่เรากล่าวลากันอย่างเป็นทางการ ที่รักของผม (ขออภัยน่ะครับที่ผมอาจเอื้อมที่จะใช้คำนี้แด่คุณ เพราะจนเวลาล่วงมา ณ.บัดนี้ คุณยังเป็นหญิงอันเป็นที่รักของผมเสมอเสมอ แม้ถึงว่าสำหรับคุณ ผมเป็นเพียงเสี้ยวอดีตที่ผ่านพ้นไปหลายเพลาแล้วก็ตามที) ที่รักของผมวันนี้ในวันเวลาที่ความสำพันธ์เราได้สงบเงียบลงสิ้นแล้วเช่นนี้ ผมจึงได้กล้าที่จะส่งปรารถนาในหัวใจมาวางลงตรงหน้าคุณอีกสักครั้งหนึ่ง ... วันคืนที่ล่วงมาจนวันนี้ คุณสบายดีหรือไรที่รัก ... คุณอาจแปลกความรู้สึกที่ได้เห็นวลีแบบนี้จารึกผ่านถ้อยอักษรจากผมถึงคุณเป็นครั้งแรก ไม่แปลกหรอกที่รัก ที่ผมจะถามคุณด้วยวลีที่มิเคยถามคุณเลยสักครั้งเช่นจดหมายฉบับเก่าก่อนที่เคยสื่อส่งถึงคุณในกาลอดีตนั้น คงเป็นเพราะวันนี้ ทุกความคำนึงนึกยามเมื่อผมรู้สึกถึงคุณ ภาพแห่งความเป็นไปแห่งคุณ ช่างเลือนลางยิ่งที่รัก ผมจึงจะกล่าวแค่ปรารถนา ให้ชีวิตคุณงดงามอย่างเช่นที่ผ่านมา ก็หาทำให้ผ่อนความรู้สึกห่วงใยลงได้ไม่ ... คุณคงสบายดีน่ะที่รัก คงมีชิวิตที่งดงามดั่งที่คุณวาดหวัง สมปรารถนาดั่งที่คุณเลือกเป็น ...
ปีหนึ่งกับกว่าเศษเสี้ยวเดือนอีกนิดน้อย ที่เราแยกความเกี่ยวโยงถึงกัน ... เป็นหนึ่งปีที่ผมใช้เวลาทุกทุกวัน เก็บทุกเสี้ยววินาทีของความสำพันธ์เก้าปีที่ยาวนานที่แสนจะงดงามและเป็นดั่งภาพฝันลงไว้ให้ลึกเต็มห้องใจ ให้เต็มจนไม่เหลือเนื้อว่างแห่งความเจ็บร้าว ในวันที่เราต้องกล่าวคำลากันโดยมิมีทางเลี่ยงเป็นอื่นได้ในวันนั้น ... วันนี้ผมทำได้แล้วที่รัก ... ที่รักของผม ความรู้สึกแห่งรักในกาลเก่าที่ผมเคยมีถึงคุณ จนบัดนี้ยังเป็นภาพแห่งฝัน และรางวัลแห่งกาลเวลา ที่ผมแสนภาคภูมิใจเสมอเสมอ ... จงรู้เถิดคนดี คุณจักเป็นนางฟ้าตัวน้อย และเป็นเทพธิดาใจของผมนิรันดร์ไป ... นางฟ้าตัวน้อยของผม "วันนี้คุณจะเป็นอย่างไรบ้างน่ะ" นี่คือหนึ่งในความครุ่นคำนึงที่ใจผมประหวัดถึงคุณตลอดมาในหนึ่งปี ... คุณจะยังคงเป็นนางฟ้าผู้แสนดี มีดวงใจอันเบิกบาน เช่นวันวานรึไม่หนอ ผมได้แต่ถามใจ. ...
... คนดีของผม แปลก แต่จริง ที่ความพลาดหวังในสัมพันธภาพของเราที่กลายเป็นภาพฝันที่มิอาจเอื้อมได้ในอดีต ผมนั้นเคยเสียใจและเจ็บร้าวยิ่งแทบใจจะขาดรอน ... แต่ ณ วินาทีนี้ ที่รักของผม ผมกลับค้นพบความยินดีที่มิเคยหมายว่าจะเกิดขึ้นในหัวใจผม ว่า วันนี้การจากไปของคุณแม้มิใช่สิ่งที่ผมยินดีให้เกิดขึ้น แต่ทำให้ผมค้นพบคำว่า ... *รักจักงดงามเป็นนิรัดร์* ... วันนี้สำหรับเวลานี้ คุณงดงามเป็นนิรันดร์ในหัวใจผมยิ่งแล้วที่รัก และจะเป็นเช่นนี้ตราบเท่าที่จิตวิญญาณดวงนี้ของผมยังไม่สลายไป ...
... ความสำพันธ์ที่พังครืนลงในวันนั้น วันนี้ยิ่งทำให้ผมภาคภูมิในรักที่ผมมีถึงคุณ ให้ดวงใจแห่งรักนี้ได้รู้ว่ารักงดงามโดยมิมีความรู้สึกต้องครองคู่เป็นเยี่ยงไร .... คนดีของผม วันนี้ ทุกทุกวินาทีผมยังคิดคำนึงถึงคุณ ในทุกแรงปรารถนาดีไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่ากาลจะผ่านไปเนิ่นนานสักแค่ไหน คุณจงรู้เถิดว่า ทุกปรารถนานั้นยังคงมีให้คุณเสมอเสมอ ... ที่รักของผม ผมอยากเห็นทุกวันคุณมีแต่ความสุขน่ะคนดี แม้มีวันใดทุกท้อใจ ยากลำบาก ผมก็หวังใจให้คุณก้าวข้ามไปได้ ยิ้มสู้น่ะคนดี คนเก่งและคนจิตใจดีงามเช่นคุณต้องมีวันแห่งชัยชนะทุกทุกวัน ผมเชื่อมั่นเช่นนั้น เชื่อมั่นจริงจริง ...
... ที่รักของผม ผมปรารถนาจะถามไถ่และบอกเล่าเรื่องราวมากมายให้คุณรู้ ... แต่คงเป็นเหมือนทุกครั้งที่เมื่อร้อยถ้อยคราวใด ความรู้สึกที่ล้นหลั่งในใจก็บรรยายได้ไม่หมดสิ้นสักที.. ... ที่รักของผม ท้ายที่สุดแห่งแรงปรารถนา ... รอบหลายปีที่ผมอยากบอกคุณ ให้คุณจงรู้เถิดว่า คุณยังเป็นรักอันนิรันดร์ในใจผมเสมอ ... ผมขอบคุณความ "ภาคภูมิใจ" ที่คุณเคยมอบไว้ ขอบคุณความ "องอาจ" ที่คุณเคยให้ ทำให้ผมได้กล้ามีกล้าทำและกล้าเชื่อในทุกทุกสิ่ง ... แหละขอบคุณแรงบันดาลใจที่ช่วยให้ผมได้รู้จักผ่อนพักความรู้สึกนึกคิด และบันดาลให้ร้อยถ้อยคำในแรงปรารถนาของส่วนลึกในจิตวิญญาณที่ผมรู้สึกได้ ... ที่รัก ผมขอบคุณ ...
คนดีของผม ถ้าวันนี้มีสิ่งกังวลใจเกิดขึ้นบ้าง ในเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเราในใจคุณ ... ผมอยากบอกคุณน่ะคนดีที่รัก ว่าวันนี้ดวงใจผมสบายดียิ่งแล้ว ขอให้คุณอย่าได้รู้สึกผิดใดใดเลย ที่รักคงถึงท้ายที่สุดซะที แม้แรงปรารถนายังคาคับอยู่ในใจมากมาย เพราะยามที่ผมร้อยถ้อยถึงคุณเสมือนผมได้พบคุณอีกครั้งหนึ่ง ... ที่รักของผม ผมสารภาพว่าวันวานผมแอบใช้คุณเป็นแรงบันดาลใจเขียนจดหมายรักขึ้นมาฉบับหนึ่ง คงเป็นเพราะผมคิดถึงคุณในบรรยากาศรักอันอบอวลไปด้วยความหวานหยดของภาพยนต์ที่กำลังลงโรงในขณะนี้ ... ที่รัก ผมคิดถึงจดหมายรักของผมที่เคยส่งถึงคุณ คิดถึงหนังสือรวมถ้อยร้อยกวีที่ผมทำเพื่อคุณ ... วันนี้เป็นพวกเขาอย่างไรบ้างหรือ ฝากถามข่าวหน่อยเถอะคนดีว่าพวกเขาสบายดีหรือไม่ บอกเขาเหล่านั้นด้วย ว่าคนไกลคนนี้ ... คิดถึงรัก และหวงแหนหมดใจเช่นเดิม ..
ปล.1หนังสือเล่มใหม่ที่ผมเคยคิดอยากทำให้คุณแม้มิมีโอกาสได้มอบให้ แต่อยากเก็บดวงใจที่ร้อยถ้อยนำลงในงานนั้นมาให้อ่านเป็นคำคาราวะและคำกล่าวลา มอบแด่คุณน่ะคนดีที่รัก แด่หญิงสาวผู้เป็นที่รักนิรันดร ขอบคุณที่เคยเห็นคุณค่า ทำให้กล้าขบคิดให้เธออ่าน ขอบคุณสัมพันธภาพอันยาวนาน ที่งดงามตลอดกาลตลอดใจ มือที่กุมปากกาเนรมิตร คือความคิดคือหมึกจารึกไหล ใจสองเราคือสื่อสัมผัสใจ ที่พาไปทั้งสมองแหละสองมือ มือสองมือที่เธอถือหนังสืออ่าน สองสายตาที่เคลื่อนผ่านอ่านหนังสือ มือสองเรากำลังสัมผัสมือ ใจสองเรากำลังสื่อสัมผัสใจ
อาทิตย์ยังไม่ลาลับฟ้าเลยคนดี แต่ดวงฤดีจากใจที่รักคุณเป็นนิรันดร์ดวงนี้คงต้องกล่าวคำลาก่อนแล้ว แหละมิรู้ได้ว่าจะมีวันไหนได้มากล่าวคำทายทักสวัสดีคุณอีก. ขอให้คุณมีความสุข ปลหากมีข้อความใดรบกวนคุณเป็นประการใดขออภัยน่ะคนดี รักสม่ำเสมอ/แทนคุณแทนไท ถ้ารักคือความปรารถนาดี ผมก็มีปรารถนานั้นอย่างแน่นหนัก
28 มิถุนายน 2547 14:21 น. - comment id 74967
ขออภัยครับที่เขียนแรงปรารถนายืดยาว ขอบคุณที่เข้ามาด้วยน้ำใจครับ
28 มิถุนายน 2547 14:57 น. - comment id 74968
อ่า..เศร้า .. ซึ้ง .. ............................... เอ่อ..ท่าทางคนเขียนจะไม่ค่อยอยากจบจดหมายอ่ะนะ.. ท้ายที่สุดนี้ ...ต่ออีกครึ่งหน้า .. ท้ายที่สุดนี้ ...ต่อด้วยกลอนอีก 1 บท ... ง่า ...ฮะฮะ .. ต่ออีกฉบับละกันเนอะ ๆๆ อิอิ .............................. ไม่ได้เข้ามาด้วยน้ำใจอ่า .. เข้ามาด้วยเน็ตมหาวิทยาลัยต่างหาก 555
28 มิถุนายน 2547 17:27 น. - comment id 74972
ทะเลดาว..ตั้งใจมาชื่นชมผลงานของแทนคุณแทนไทค่ะ ประทับใจในความรักอันเป็นนิรันดร์ของแทนคุณแทนไทนะคะ ขอให้อยู่คู่ใจดวงงามตลอดไปนะคะ...
28 มิถุนายน 2547 17:39 น. - comment id 74973
แวะมาทักทายค่ะ
28 มิถุนายน 2547 23:06 น. - comment id 74988
กำลังดื่มกาแฟ เลยพอดีแวะมาอ่านเติมความหวานแทนน้ำตาลได้เป็นอย่างดี จ่าหน้าซองติดแสตมป์ส่งไปเลยครับ อ้ออย่าลืมใส่รหัสรักด้วยนะครับ
29 มิถุนายน 2547 01:08 น. - comment id 74990
แทนหัวใจให้รักเธอหนักแน่น แทนห่วงแสนห่วงหาว่าอยู่ไหน แทนน้ำคำอำลารักอาลัย แทนน้ำใจไมตรีตลอดกาล
29 มิถุนายน 2547 01:50 น. - comment id 74991
อืมม ........
29 มิถุนายน 2547 09:20 น. - comment id 74994
อ่า..เศร้า .. ซึ้ง .. ............................... เอ่อ..ท่าทางคนเขียนจะไม่ค่อยอยากจบจดหมายอ่ะนะ.. ท้ายที่สุดนี้ ...ต่ออีกครึ่งหน้า .. ท้ายที่สุดนี้ ...ต่อด้วยกลอนอีก 1 บท ... ง่า ...ฮะฮะ .. ต่ออีกฉบับละกันเนอะ ๆๆ อิอิ .............................. ไม่ได้เข้ามาด้วยน้ำใจอ่า .. เข้ามาด้วยเน็ตมหาวิทยาลัยต่างหาก 555 ถึง... ผู้หญิงสีม่วง ใช่ครับคุณยิ่งเขียนยิ่งจบไม่ลงครับ.... เลยต้องจบด้วยกลอนครับ โล่งใจไปที ขอบคุณที่มาครับ ขอให้เจอคนในความคิดถึงน่ะ อิอิ(มีแซว *-*)
29 มิถุนายน 2547 09:21 น. - comment id 74995
ถึง...ทะเลดาว ขอบคุณที่มาเยือนครับ
29 มิถุนายน 2547 09:21 น. - comment id 74996
แวะมาทักทายค่ะ ถึงคุณ- rin ขอบคุณครับ สำหรับเวลาที่มาทักทาย
29 มิถุนายน 2547 09:23 น. - comment id 74997
กำลังดื่มกาแฟ เลยพอดีแวะมาอ่านเติมความหวานแทนน้ำตาลได้เป็นอย่างดี จ่าหน้าซองติดแสตมป์ส่งไปเลยครับ อ้ออย่าลืมใส่รหัสรักด้วยนะครับ ถึง... คุณพี่ชัยชนะ งานนี้หวานขนาดน้ำตาลเลยรึครับ...แต่อาจเป็นน้ำตาลขมสำหรับใครบางคนครับ จึงมิกล้าส่งไปดอกครับ... ขอบคุณครับที่ให้เวลามาอ่าน ขอบคุณจากใจครับ
29 มิถุนายน 2547 09:28 น. - comment id 74998
แทนหัวใจให้รักเธอหนักแน่น แทนห่วงแสนห่วงหาว่าอยู่ไหน แทนน้ำคำอำลารักอาลัย แทนน้ำใจไมตรีตลอดกาล ถึงคุณsuprapai ร้อยถ้อยต่อดั่งนี้ครับคุณ แทนความขอบคุณทุกอารมณ์ ที่หวานบ่มให้รักงามเช่นนี้ แทนความเป็นไปทุกนาที ที่นับต่อแต่นี้...จะยืนนาน แทนความรักจักงามเป็นนิรันดร์ เป็นมากกว่าความผูกพันอันแสนหวาน เป็นนิรันดร์ในดวงจิตตลอกกาล จะยืนนานแน่นัก...สลักจินต์ ขอบคุณครับคุณที่มา กลอนความหมายดีครับ..... ขอให้รักคุณงดงามเป็นนิรันดร์ครับ
29 มิถุนายน 2547 09:29 น. - comment id 74999
อืมม ........ ถึงคุณ sun strom ขอบคุรครับคุณที่มาเยือน
29 มิถุนายน 2547 10:43 น. - comment id 75002
ความหมายดีมากๆเลยคะ แต่งอีกนะ {=^-^=}
29 มิถุนายน 2547 11:00 น. - comment id 75004
ความหมายดีมากๆเลยคะ แต่งอีกนะ {=^-^=} ตอบ...คุณ pepper_328 ขอบคุณครับคุณ ขอบคุณที่มาครับ....
29 มิถุนายน 2547 11:52 น. - comment id 75005
จดหมายถึงเพื่อนแทนไท.... (เมื่อกี้ไปตอบกลอนให้เพื่อนแล้วมีงานด่วนเข้ามาค่ะ...เลยมาตอบเรื่องสั้นให้เพื่อนช้าไปหน่อยนะคะ..) แทนค่ะ...ดาว่าระวีคงไม่ทิ้งจดหมายทั้งหมดของแทนหรอกค่ะ....แทนเป็นรักแรกของเธอเช่นกัน.....ขอให้เชื่อในความรักของเธอด้วย....ณ เวลานั้น...เธออาจจะตัดสินใจตามเหตุการณ์และสภาพแวดล้อม...มีใครบ้างไหมที่เคยถามความรู้สึกของเธอ..... ดาเชื่อว่า ณ เวลานี้ทุกครั้งที่เธอหลับตา...ยังมีแทนอยู่ในห้วงคำนึงของเธอเช่นกัน...... มีบางอย่างมากั้นกลางระหว่างแทนกับระวี....ดาไม่รู้ว่ามันคืออะไร..นอกจากแทนและระวีเท่านั้นที่จะรู้ได้.......เปิดใจเข้าหากันนะค่ะ...อย่างน้อยมันอาจจะทำให้ชีวิตของแทนมีความสุขขึ้นมาบ้าง....หลังจากที่โทษตัวเองมานาน...นะค่ะ.. ดาขอบคุณที่เพื่อนไว้ใจและเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง.....ชีวิตรักของเพื่อนช่างน่าสรรเสริญยิ่งนัก..เพื่อนทุ่มเททุกอย่างแม้แต่อนาคตให้กับความรัก...9 ปี ที่เดียวนะที่เพื่อนบูชาในความรัก..เฝ้ารอคอยและถนุถนอม...เพจเจอร์เป็นกลอนไปให้ทุกวันยังไม่นับจดหมายและไปรษณียบัตรที่เพื่อนส่งไปให้ทุกวัน.......แต่รักนั้นก็มาแพ้ระยะทางกับความไม่เข้าใจกันในบางเรื่อง... แทนค่ะ...ดานับถือที่แทนเลือกที่จะจดจำความงดงามของความรัก...บ่งบอกถึงจิตใจที่ดีงามของเพื่อน..... ดาขอให้เพื่อนสมหวังในความรักอันเป็นนิรันดร์นะค่ะ.... ดาขอโทษที่เขียนเสียยาว...และขอโทษที่นำช่วงหนึ่งของความรักเพื่อนมาเปิดเผย....แต่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ..มิได้มีเจตนาจะทำร้ายใครนะค่ะ... ท้ายนี้... ดาขอลาเพื่อนมา ณ ตรงนี้ล่ะกาน... คงจะไม่เข้ามาเวปนี้อีกนานเพราะอะไรเพื่อนคงทราบดี.....(มันจะแจ้งแก่ใจแล้ว)...แต่ดาก็จะเก็บสิ่งที่ดีๆของใครคนหนึ่งไว้เป็นนิรันดร์เช่นกันค่ะ... ดูแลตัวเองด้วยนะค่ะ.....ในความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา......ดาห่วงใยเพื่อนเสมอ.... ปล. เส้นทางชีวิตทางใหม่ที่เพื่อนจะเดินนั้น....ดาหวังว่าเพื่อนคงจะเลือกถูกทางนะค่ะ... Good luck to you.... The man who lucky in game but unlucky in love...... .............จะจดจำเพื่อนเป็นนิรันดร์.................
29 มิถุนายน 2547 13:43 น. - comment id 75006
ตอบดาหลา.... ขอบคุณครับที่เวียนแวะมา แม้จะทิ้งท้ายให้เพื่อนใจวูบหาย ไม่เป็นไรครับถึงอย่างไรคนได้รู้จักกันก็ยังเป็นเพื่อนที่ได้รู้จักกันเสมอเสมอครับ..... ขอบคุณคำพรและความปรารถนาดีทั้งมวลครับ..... เช่นกันแทนไทแทนคุณก็หวังใจให้ดาหลามีแต่วันที่ดีดีครับ.... อย่าเก็บความเลวร้ายที่รู้สึกไว้ จงคิดเสมอว่ารักก่อตัวขึ้นด้วยแรงปรารถนาดีทั้งสิ้น...จงมองในมุมที่ทำให้ใจเป็นสุขครับ... การได้รักบางทีจะสุขใจกว่าการถูกรักเป็นไหนไหน..... ส่วนเรื่องที่ดาบอกแทนเป็นแค่ส่วนเสี้ยวเดียวในชีวิตเท่านั้นแหละครับ มีมุมที่ยังมองไม่เห็นอีกมากมาย คงต้องรอเวลาเปิดตาเรายามที่ใจสงบนิ่งครับ..... ดูแลหัวใจตัวเองให้ดีดี.... นี่แหละมีพบก็มีจาก....แต่จะอยู่ในความจดจำจะมิคลายระลึกถึงครับ... ด้วยใจ
29 มิถุนายน 2547 19:39 น. - comment id 75013
โห้ยย.. เรนตาร้อน..อีกแล้วดิคะ.. ก็แบบว่า .. เรนเป็นเด็ก..ขี้อิจฉาด้วยดิ .. เฮ้อ พี่แทน.. เป็นผู้ชาย.. ที่โชคดีมากเลยคะ.. แบบ ..ใครๆ ..ก็รัก.. เรน..เป็น..กำลังใจ ..ให้พี่แทนนะคะ.. ค้นหา ..เหตุผล ..ในความรัก.. เรนว่า ..ยากจริงๆ ..ด้วยดิคะ..
29 มิถุนายน 2547 21:09 น. - comment id 75017
วันนี้จดหมายคงกลับมามีความหมาย ได้อีกครั้ง ........เพราะคุณ......... อยากเขียนจดหมายเช่นนี้ ถึงใคร ... สักคน
30 มิถุนายน 2547 14:21 น. - comment id 75024
ในกาลแห่งความคิดถึงคะนึงหา ผ่านการลายังพาให้นึกหวน ทุกสัมผัสสัมพันธ์ยังชักชวน ใจทบทวนความหลังอันฝังตรึง จากหนึ่งปีกับอีกกว่าเศษเสี้ยว ความดายเดียวเปลี่ยวรักที่ลึกซึ้ง ห้วงหทัยยังหวั่นไหวใฝ่รำพึง ระลึกถึงนางฟ้าผู้แสนดี เทพธิดาตัวน้อยจงรับรู้ ทุกกาลอยู่ความเป็นไปแห่งใจนี้ สัมพันธภาพอบอุ่นกรุ่นฤดี รักจักมีความงดงามเป็นนิรันดร์ ภายในแรงปรารถนาของส่วนลึก ทั้งรู้สึกศรัทธาและเชื่อมั่น คุณคือความภาคภูมิใจอันเสกสรรค์ ที่ผูกพันจิตวิญญาณด้วยหทัย ............................................................ ข้าพเจ้ามาทักทายจ้ะพี่ชาย ...ทุกความรู้สึกงดงามอย่างที่สุดจ้ะ ........เกินคำใดจะเอ่ยได้ดั่งใจ....ขอยืมถ้อยคำหน่อยนะจ้ะ :)
30 มิถุนายน 2547 14:21 น. - comment id 75025
ในกาลแห่งความคิดถึงคะนึงหา ผ่านการลายังพาให้นึกหวน ทุกสัมผัสสัมพันธ์ยังชักชวน ใจทบทวนความหลังอันฝังตรึง จากหนึ่งปีกับอีกกว่าเศษเสี้ยว ความดายเดียวเปลี่ยวรักที่ลึกซึ้ง ห้วงหทัยยังหวั่นไหวใฝ่รำพึง ระลึกถึงนางฟ้าผู้แสนดี เทพธิดาตัวน้อยจงรับรู้ ทุกกาลอยู่ความเป็นไปแห่งใจนี้ สัมพันธภาพอบอุ่นกรุ่นฤดี รักจักมีความงดงามเป็นนิรันดร์ ภายในแรงปรารถนาของส่วนลึก ทั้งรู้สึกศรัทธาและเชื่อมั่น คุณคือความภาคภูมิใจอันเสกสรรค์ ที่ผูกพันจิตวิญญาณด้วยหทัย ............................................................ ข้าพเจ้ามาทักทายจ้ะพี่ชาย ...ทุกความรู้สึกงดงามอย่างที่สุดจ้ะ ........เกินคำใดจะเอ่ยได้ดั่งใจ....ขอยืมถ้อยคำหน่อยนะจ้ะ :)
30 มิถุนายน 2547 16:34 น. - comment id 75027
โห้ยย.. เรนตาร้อน..อีกแล้วดิคะ.. ก็แบบว่า .. เรนเป็นเด็ก..ขี้อิจฉาด้วยดิ .. เฮ้อ พี่แทน.. เป็นผู้ชาย.. ที่โชคดีมากเลยคะ.. แบบ ..ใครๆ ..ก็รัก.. เรน..เป็น..กำลังใจ ..ให้พี่แทนนะคะ.. ค้นหา ..เหตุผล ..ในความรัก.. เรนว่า ..ยากจริงๆ ..ด้วยดิคะ.. ถึงน้องrain.. น้องเรนคนน่ารัก ตาร้อนผ่าวรึครับน้อง มามะเดี๋ยวพี่แทนเอาผ้ายินซับให้คลายร้อน.... ใครว่าน้องเรนเป็นเด็กขี้อิจฉาครับ พี่แทนว่าน้องน่ารักมากมาต่างหากครับ... ขอบคุณที่มาทักทายกันเสมอเสมอครับ ว่าแต่พี่แทนโชคดีตรงไหนกันน่ะน้องคนดี.... ขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้ทุกบ่อยครับ
30 มิถุนายน 2547 16:36 น. - comment id 75028
วันนี้จดหมายคงกลับมามีความหมาย ได้อีกครั้ง ........เพราะคุณ......... อยากเขียนจดหมายเช่นนี้ ถึงใคร ... สักคน ถึงคุณ...ketana ดีใจจังครับ ที่จดหมายกลับมามีความหมายอีกครั้งหนึ่ง เพราะคนตอกย้ำให้มั่นใจว่ายังมีความหมายครับ...ขอบคุณจากใจ.... อยากเขียนถึงใครเขียนซิครับ....คนนั้นคงยินดี.... ขอบคุณที่มาน่ะครับ ขอให้รักคุณงดงามเป็นนิรันดร์
30 มิถุนายน 2547 16:39 น. - comment id 75029
ในกาลแห่งความคิดถึงคะนึงหา ผ่านการลายังพาให้นึกหวน ทุกสัมผัสสัมพันธ์ยังชักชวน ใจทบทวนความหลังอันฝังตรึง จากหนึ่งปีกับอีกกว่าเศษเสี้ยว ความดายเดียวเปลี่ยวรักที่ลึกซึ้ง ห้วงหทัยยังหวั่นไหวใฝ่รำพึง ระลึกถึงนางฟ้าผู้แสนดี เทพธิดาตัวน้อยจงรับรู้ ทุกกาลอยู่ความเป็นไปแห่งใจนี้ สัมพันธภาพอบอุ่นกรุ่นฤดี รักจักมีความงดงามเป็นนิรันดร์ ภายในแรงปรารถนาของส่วนลึก ทั้งรู้สึกศรัทธาและเชื่อมั่น คุณคือความภาคภูมิใจอันเสกสรรค์ ที่ผูกพันจิตวิญญาณด้วยหทัย ............................................................ ข้าพเจ้ามาทักทายจ้ะพี่ชาย ...ทุกความรู้สึกงดงามอย่างที่สุดจ้ะ ........เกินคำใดจะเอ่ยได้ดั่งใจ....ขอยืมถ้อยคำหน่อยนะจ้ะ :) ถึงน้องยอดหญ้า น้องส่วที่แสนดีเสมอของพี่ชาย พี่มิรู้จะกล่าคำขอบคุณจากหัวใพ่ได้อย่างไรหมดสิ้นครับ กลอนงามมากครับ...พี่แทนซาบซึ้งครับน้อง... และอุ่นใจเสมอที่เห็นน้องพี่มาเยือนกันทุกคราวไม่เคยเปลี่ยนเลย.... บางอย่างอย่างอาจเปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งในตัวน้องสาวพี่ที่ไม่เคยเปลี่ยน พี่แทนขอบคุณครับ... จากใจทะเลสีน้ำเงิน... ปล...อภัยที่มิได้ร้อยต่อกวีงามน้องพี่
30 มิถุนายน 2547 21:10 น. - comment id 75035
โอ้โห ใช้คำแบบ ซึ้งเกินทีม อะ
1 กรกฎาคม 2547 12:04 น. - comment id 75043
คอยเฝ้า เฝ้ารอ คอยเพียงใคร จะมีไหม คนที่คอย จะมองหา จะมีไหม สักครั้ง เขามองมา ให้ฉันได้ สบตา ดูสักครั้ง พบเธอ เธอคือ คนที่รัก คนที่ฉัน ตระหนัก ณ ฝั่งฝัน เธอคือคน คนนั้น อบอุ่นพลัน เธอคือแสง ตะวัน อาบทาบทอ : อ่านแล้วซาบซึ้งค่ะ แวะมาทายทัก อาจจะช้าไปบ้าง ขออภัย :
1 กรกฎาคม 2547 16:15 น. - comment id 75048
โอ้โห ใช้คำแบบ ซึ้งเกินทีม อะ ถึง... นายกัว ขอบคุณที่ซึ้งใจในถ้อยคำครับ ขอบคุณที่มาเยือนครับ....
1 กรกฎาคม 2547 16:20 น. - comment id 75049
คอยเฝ้า เฝ้ารอ คอยเพียงใคร จะมีไหม คนที่คอย จะมองหา จะมีไหม สักครั้ง เขามองมา ให้ฉันได้ สบตา ดูสักครั้ง พบเธอ เธอคือ คนที่รัก คนที่ฉัน ตระหนัก ณ ฝั่งฝัน เธอคือคน คนนั้น อบอุ่นพลัน เธอคือแสง ตะวัน อาบทาบทอ : อ่านแล้วซาบซึ้งค่ะ แวะมาทายทัก อาจจะช้าไปบ้าง ขออภัย : ถึงคุณ.... ร้อยหนาม คิดว่าจะไม่มีใครหลงแวะเข้ามาเยือนแล้ว ยังมีมาอ่านอีก ดีใจมากครับ ขอบคูจาใจ บทกลอนที่มากมายด้วยความรู้สึกครับ...งามใจ และอบอุ่นใจครับ ที่มาเยือนกัน... มิมีคำใดจะกล่าวได้หมดใจ.... ถึงมิมีคำใดกล่าวได้หมดใจ ให้มากเท่าที่ใจรู้สึกนั่น แต่ถ้อยที่ร้อยรสพจฝากนั้น เป็นรำพันจัดสรรจากหัวใจ.... ขอบคุณอีกหนที่มาเยือนฝากคำชมชื่นไว้ให้มีแรงใจ....
8 มกราคม 2548 06:20 น. - comment id 80405
hej . du skriva jätte bra . det gilla jag .
4 มิถุนายน 2549 10:01 น. - comment id 91044
.. ..
4 กรกฎาคม 2554 22:37 น. - comment id 124739
นิติการกองใดอยุติธรรม ระยับระยำและอัปปรีย์ ราชการงานเมืองจะเอาดี เสือกเลือกใช้พวกกาลีสีธนนท์ ประชาชนทำผิดเพียงนิดหน่อย ใช้กฎหมายเถื่อนถ่อยเข้าปลุกปล้น นายทุนชั่วทำเลวชัดเจนจน ถวายตนตะแบงบิดมิผิดไป เมื่อนึกอยากใช้กฎให้เป็นกฎ ก็ปรับบทให้เที่ยงธรรมก็ไม่ได้ ทำเคร่งครัดสัตว์ป่าขย่ำใคร ประชาชนคนยากไร้มันกล้าทำ ลืมคำสัตย์ปฎิญาณเมื่อกาลเก่า กลายเป็นเรื่องเปลืองเปล่าที่เขาย้ำ ให้มโนสุจริตคิดโดยธรรม สมองหมาปัญาซ้ำระยำบรรลัย แสวงหาอำนาจขาดสติ ลืมดำริองค์พ่อเคยสอนไว้ ว่านักยุติธรรมต้องย้ำให้ขึ้นใจ บรรดาใดต้องให้ได้เที่ยงธรรม ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพียงเพื่อได้สนองตอบกระสันส่ำ ดั่งสุนักหอนกำหนัดติดสัตว์กรรม ใช้มโนฝ่ายต่ำเข้าครอบครอง อับยศอดสูกูมิกล้า ไยถึงมาพบหมดสยดสยอง ต่อให้เนื้อฉาบทาบด้วยสีทอง กูก็มองว่าเป็นของสีอาจม นิติการกองใดอยุติธรรม ขอให้กรรมกระหน่ำใสให้สาสม เกิดกี่ชาติอย่าบังอาจรองบาทองค์ เป็นฝุ่นผงธุลีทรายอย่าหมายชิด ขอเดชะบารมีปกเกล้าข้า และสยามเทวาสถานสถิต ดลดาลให้ยุติชั่วทุกทิศ ไปสถิตเถลิงถวัลชั้นนรก ให้ตายตกตามกันทันตาเห็น ทุกผู้เป็นผู้ใช้กฎอย่างสกปรก และผู้เว้นหน้าที่ไม่สะท้านสะท้น พวกปิดปกคนชั่ว มิกลัวกรรม พวกรังแกคนยากลำบากแสน เหยียบไหล่แขนแทนฐานปากหวานฉ่ำ โกงประเทศ ขายหน้าที่ พลีร่างซ้ำ จงชดใช้การกระทำระยำเลวฯ
4 กรกฎาคม 2554 16:21 น. - comment id 124747
ได้เวลาคนไทยมีความสุข สี่ปีที่ความทุกข์มาถามหา นี้คือป้ายหลังแถลงคำสัญญา และคำสัจวาจาผู้มีชัย เคยเรียกเธอต่อไปต้องเรียกท่าน ขอให้นำทุกสิ่งสิ่งอันเอาใจใส่ การใดอันเร่งด่วนคนห่วงใย ขอให้พรรคเพื่อไทยใส่ใจทำ ทั้งข้าวยากหมากแพงค่าแรงถูก คอมพิวเตอร์ให้หลานลูกผูกใจย้ำ รถไฟฟ้ากี่สิบสายเสนอนำ สามร้อยบาทขั้นต่ำเพื่อแรงงาน ปริญญาระดับตรีมีรายได้ หมื่นห้าพันสัญญาไว้ให้เป็นฐาน รวยจะไม่กระจุกจะกระจาน เกษตรกรชาวบ้านมีงานทำ รื้อประกันรายได้ทั่วประเทศ นำมาประกันสนองเจตน์จำนงย้ำ ชาวไร่นาหน้าสู้ดินสิ้นทุกกรรม ข้าวจำนำหมื่นห้าเจ้าสองหมื่นหอม ทั้งไข่ไก่ เนื้อสัตว์ และผักสด ราคาคงไล่ลด อินเตอร์ให้ฟรีทั่วประเทศ ถมทะเลเพิ่มเขตดินสยาม
5 กรกฎาคม 2554 21:31 น. - comment id 124772
แฮ่มๆ ใส่แว่นซิครับ ขอโทษ คิดว่าใครขึ้งโกรธไปถึงไหน ถ้าหัวใจลองได้นึกรักใคร เธอไม่ต้องเหนื่อยใจมาง้องอน ถ้าฉันรู้ว่าใจสบายแล้ว ก็จะกลับหนุนตักแก้วเหมือนวันก่อน แต่วันนี้ใจยังรินรินรอน ขอห่างเธอไว้ก่อนเดี๋ยวอ่อนแอ อย่าขอโทษ ฉันอาจโฉดชั่วดีย่อมมีแน่ ขออภัยที่วันนี้ไม่ดูแล เพราะไม่อยากรังแกกระแสจินต์ ความนึกคิด ถึงได้เงียบเชียบสนิทในถวิล ที่โหยหาเหมือนฟ้าอยู่ไกลดิน แต่ไกลกลิ่นหอมล้นหลังฝนโปรย ใจหาย คิดวันอยู่ใกล้ให้หายโหย มาไกลกันนับวันยิ่งฝันโรย ต้องรีบโบยบินกลับไปรับคำ ว่าอภัย สารภาพความในที่ไหวส่ำ ในละเมอยังเผลอประจานจำ ชุ่มดวงตารินร่ำฉ่ำหมอนรอง คิดถึง ทรมานปานประหนึ่งอกขึ้งหนอง รู้แล้วว่าโลกนี้ที่ฉันปอง มีเธอนั้นหมายครองตลอดไป วันนี้ ฉันจักเล่าใจที่มีให้ฟังไหม ตั้งแต่เมื่อแรกพบผิแผกไป จนล่วงมานานไกลในหลายวัน ครั้งแรก ใจฉันแปลกเหมือนใครสมัยนั้น ที่เคยบอกว่าย่อยแยกกว่าใครกัน รู้ว่าใจสั่นสั่นรู้สึกดี ส่วนลึก ในรู้สึกส่วนถ้อยใช้สร้อยศรี- สุนทรคำมาซ้ำย้ำความมี ฉันจักพลีจำแนกแจกแจงใจ ครั้งแรก เราคือคนที่แปลกหน้ามาใหม่ มาทายทักรักไมตรีมีมาลัย คล้องประทับกันไว้ห้อมอารมณ์ มีน้ำใจโอบเอื้อเฟื้อน้ำมิตร สนมสนิทคิดว่าสนิทสนม ในจินต ภารภาพเหมือนฉาบมนต์ ฟ้าดาลดาลให้น้ำใจงาม เมื่อมีทุกข์ ก็ปลอบปลุกป่วนปั่นไม่หวั่นหวาม และเสมอไม่เคยจะเลยลาม ทุกนิยามความรู้สึกลึกลึกมี ยามป่วยเจ็บมาเยี่ยมเต็มเปี่ยมจิต อยูใกล้ชิดแม่นิดหน่อยไม่ถอยหนี ทั้งข้าวปลาอาหารบันดาดี ผลไม้หลากสีก็มีมา เธอเป็นหมอก็มาช่วยดูแล และปรับแก้ตามวิธี วิถีรักษา เธอเป็นเพื่อนเธอลำบากยังฝากยา เธอป่วยกว่ายังกล้ามาห่วงใย เธออยูไกลส่งใจมาช่วยปลอบ สนองตอบขอบคุณ ทำบุญใหญ่ ทั้งล้านนา ละโว้ สุโขทัย เมืองเชียงใหม่ ไม่ไร้น้ำใจเลย ถ้าฉันเขียนบรรยายให้หายซึ้ง คงนั่งถึงแก่เฒ่านะเจ้าเอ๋ย เธอขอโทษใจฉันไม่สบายเลย คนที่ควรเอื้อนเอ่ย คือฉันเองฯ ที่จริงสารภาพว่าผมอ่านแค่วรรคแรกวรรคเดียว แล้วหยิบจับความรู้สึกมาเขียนทันที คงมีพลิดพลาดและมิได้พาดพิงผู้ใดโดยจงใจ กล่าวถึงอารมณ์ที่ใหลมากองรวมและร่วมเป็นความรู้สึก พอเขียนจบก็อ่านอ่านคุณจนจบครับ ปล เขียนตอบในงานคุณโคลอน
6 กรกฎาคม 2554 21:22 น. - comment id 124781
เธอไม่ได้พ่ายแพ้แม้ไม่ได้ สมที่หมายตั้งใจในความหวัง ศรัทธาเธอค่ายังเลิศเลอยัง ที่จะใช้สอนสั่งกันต่อไป ถ้าเธอแพ้ฉันก็คงพ่ายแพ้ และอีกหลายล้านแดด้วยรู้ไหม อุดมการที่เธอใช้จารใจ คืออนาคตยิ่งใหญ่ที่ควรมี เห็นเธอน้อมพร้อมรับกับการแพ้ แต่เธออย่าท้อแท้ใช่แค่นี้ ในวันรุ่งพรุ่งนี้ก็ยังมี ขอแค่เธอเป็นคนดีเช่นที่เป็น เราจะยืนเคียงข้างระหว่างนี้ และก็นึกยินดีที่ได้เห็น เธอได้ชนะในสิ่งที่เธอเป็น รู้เถอะนั่นหละประเด็นที่เลือกเธอ ฉันไม่มีดอกไม้ให้หายท้อ และมิมีคำขอมาเสนอ มีแต่ถ้อยสร้ออยำลำนำ คำคนเซ่อ ว่านับเธอเป็นยอดคนไว้ดลใจ วันนี้เธออย่าอยู่อย่างผู้แพ้ ถ้าจะขอก็แค่นี้ได้ไหม ขอให้ยืนอยู่อย่างผู้มีชัย กับความภาคภูมิใจในตัวเอง เธอคือผู้ชนะ เป็นผู้ถือสัจจะอย่างครัดเคร่ง ใจเธอก็งดงามน่ายำเกรง เป็นนักเลงแสนสุภาพมิหยาบคาย ไม่ต้องใช้คำด่าเป็นอาวุธ ดวงตาเธอช่างพิสุทธ์มีความหมาย ในนามของคนที่เกิดมาเป็นชาย ทำอย่างไรถึงจะได้คล้ายคล้ายเธอ เธอไม่ได้พ่ายแพ้แม้ไม่ได้ สมเจตน์หมายที่ผลิตคิดเสนอ ฉันและเขา และเราและก็เธอ ชนะแล้วแน่เสมอ อุดมการฯ นี้มาลัยจากใจเปิดใจหน่อย เรารัดร้อยสร้อยสุนทรอักษรสาร มอบให้เธอระลึกไว้ใช้ใจจาร อีกไม่นานผู้แพ้จะมีชัย ตั้งใจจะเขียนให้ได้วันละสำนวน วันนี้อ่านงานบ้านคุณเลยเขียนสำนวนนี้ไว้ "ผู้ชนะในความพ่ายแพ้" ****จากแรงบันดาลใจคุณเญอมาล"
7 กรกฎาคม 2554 19:31 น. - comment id 124792
ที่รัก ที่นั่นมีสิ่งใดจักให้ช่วยบ้าง เมื่อคืนฉันฝันเห็นโลกเคว้งคว้าง มิเป็นอย่างที่คุ้นละมุนใจ ที่รัก อาณาจักรเธองามเสมอไหม ฉันได้แต่ไถ่ถามฟากฟ้าไกล ว่าโลกเธอสวยละไมใช่ไหมฟ้า ที่รัก ถ้ามีวันเหนื่อยหนักพักบ้างหนา ถึงฉันจะอยู่ไกลในสายตา รู้เถอะว่าเธอนี้ยังมีใคร ที่รัก ดอกไม้แย้มแต้มตักรักแต้มใส อินทนิน กลิ่นโมกข์ อย่าโศกไป นี่มาลัยข้ามฟ้ามาหาแล้ว ที่รัก ถนอมภักดิ์เอาไว้ให้แน่แน่ว รุ้งโค้งฝันวันฟ้าสวย ลมพริ้มแพรว ฉันพัดแผ่ว ริวริน ได้กลิ่นไหม ที่รัก เชื้อเชิญพักวักดื่มอาจลืมได้ ถ้าเธอมีอะไรไม่สบายใจ เถอะฝากความรู้สึกไว้กับสายลม ที่รัก เธอหนาวฉันก็จะถักฟ้าให้ห่ม ร้อนฉันก็จะฝากฝนไปพัดพรม ทุกข์ระทม อย่าได้ท้อขอมีแรง ที่รัก จะนานสักกี่กาลล้านปีแสง เรายังต้องรำเล่นเต้นแสดง จงรู้จักพลิกแพลง อารมณ์เธอ ที่รัก คำสัญญาจะแน่นหนักแน่แสมอ ถึงฉันใช่ชายประเสรืฐมิเลิศเลอ สำหรับเธอฉันยังพร้อม อย่ายอมนะฯ ปล. เวลาเราเหนื่อยๆ ถ้ามีใครสักคนให้กำลังใจ ผมว่ารู้สึกคงอุ่นชื่นขึ้นได้ วันนี้ผมพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งทางโทรศัพท์ทราบความทุกในใจเธอผ่านน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อน แม้ผมไม่ได้ใกล้เธอมาเป็นยี่สิบปีแล้ว แต่ผมยังรู้สึกห่วงใยเธออย่างประหลาดล้ำ ให้ตายเถอะ ผมไม่อยากให้เธอมีความทุกข์จริงๆเลย สำนวนนี้อาศัยอารมณ์ "เหนื่อย" ของคุณ ก่อนจะปล่อยความปรารถข้ามขอบฟ้าไป ผมว่าต้องมีพิมพ์ผิดตกหล่นบ้าง แต่อย่างไรก็จารด้วยใจเมื่ออ่านงานคุณจบครับ สำนวนเหนื่อย คุณทะเลใจ
8 กรกฎาคม 2554 21:26 น. - comment id 124808
เป็นอีกวันที่เหนื่อยเหลือเกิน แต่หลังจากเรียนรู้วิธีการปอกไข่ได้สำเร็จ ดูเหมือนว่าชีวิตจะปลอดโปร่งมากขึ้น สิ่งที่เคยสาหัส แลเห็นอย่างเข้าใจ และปล่อยวางได้มากทีเดียว เธอที่รัก ดีนะที่วันนี้เป็นวันศุกร์ และฉันก็มีความสุขซะด้วย กำลังจะเข้านอนพอดี พลันเสียงโทรศัพท์จากเธอก็ดังขึ้น ฉันประหลาดใจเล็กน้อย ที่เห็นหมายเลขนี้จากเธอในยามค่ำคืนแบบนี้ แต่อย่างไรหละ หมายเลขนี้แม้ฉันได้ลบทิ้งไปแล้ว แต่เมื่อปรารกฎขึ้นอีกครั้ง ฉันยังจำได้ว่าเป็นหมายเลขของเธอ เจ็ดปีแปดปีแล้ว เธอยังไม่เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์อีกหรือช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ สวัสดีครับ ฉันตอบรับเสียงเรียกเข้า ด้วยอารมณ์ของคนกำลังจะเคลิ้มหลับ การสนทะทนาระหว่างเราเริ่มขึ้น ฉันใช้ใจบันทึกปรารถนาใดใดก็ตามเอาไว้ ก่อนจะสะกดคำอวยพรและอำลาสวัสดีเธอ ขณะนี้ สองทุ่มห้าสิบสามนาที ฉันตั้งใจจะเขียนบทกวีวันละหนึ่งสำนวน สำหรับวันนี้ ฉันเขียนสำนวนนี้เมื่อวางสายจากเธอ "หักใจ" เสียงแว่วหวานผ่านมาดั่งว่าฝัน เวลานั้นยี่สิบนาฬิกากว่า โทรศัพท์บอกว่าเบอร์แปลกหน้า แต่ก็ยังคุ้นตาในความจำ นางสวรรค์ชั้นฟ้าเคยลาหาย มาทักทาย บอกใบ้เมื่อยามค่ำ อัปสรสาวกำลังจะฟ้อนรำ และเพลงเริงระบำ กำลังบรรเลง เหมือนความฝันแต่ก็ปล่อยให้เป็นฝัน เกรงความอัศจรรย์เข้าข่มเหง จึ่งยับยั้งชั่งรู้สึกของตัวเอง ตัดใจเกรงความเหมาะเพราะมิควร เคยอยากร่นขอบฟ้าเข้ามาหา เคยอยากหยุดเวลาถ้าคืนหวน เคยทิ้งท้ายรักทุกคำทุกสำนวน เคยปั่นป่วนทุกทีที่ได้ยิน และทุกครั้งที่ได้พบก็พบว่า ปรารถนาฉันยังอยู่มิรู้สิ้น เมื่อเราจากไกลและนานผ่านชีวิน ก็มิควรหวลถวิลให้หมิ่นไป ถ้าต้อง พบกันหลังวันพราก ตั้งแต่จบจนจากยากรู้ไหม กว่าจะสอนสั่งให้เรียนรู้ใจ เจอกันก็ไร้ความหมายในชาตินี้ เคยคิดให้เธอเป็นคู่ชีวิต แต่สิ้นสิทธิ์ผิดคาดมิอาจที่ จะเป็นได้ดั่งว่าประดามี ทบเท่าที่เคยพลีฤดีจาร วันนี้เธอก็มีคู่ชีวิต เป็นมิ่งมิตรงดงามทุกคำขาน ในนามคนที่เคยเป็นแค่เมื่อวาน ก็เกรงทุกพฤติการณ์ หาญสัมพันธ์ ขอบคุณที่นึกถึงในความคิด แต่บางสิทธิ์ก็ต้องพิศให้จิตส่ำ ยุวดี (ยุ-ว่า-ดี) กับพี่ สมควรทำ ฉันจึงจึงจำใจตัดบอกปัดเธอ เมื่อไม่ได้เจอกันในชาตินี้ ถ้าโชคดีโอกาสมีอยู่เสมอ แต่ขอให้ไม่เสื่อมศักดิ์ด้วยรักเธอ ถึงฉันเก้อต่อไปไร้ทางพบฯ
9 กรกฎาคม 2554 21:42 น. - comment id 124820
ว่าจะละทิ้งความรู้สึกเรื่องบ้านเมืองสักพัก แต่วันนี้ยังไม่หมดที่จะจารจดไว้ในความจำ วันนี้ทิ้งท้ายด้วยสำนวน "ฝาก" เมื่อเราพ้นเราผ่านกาลเลือกตั้ง ต่างก็คาดก็หวังดั่งใจว่า คำที่เขาให้คำมั่นเป็นสัญญา จะแปรเป็นสัจจาในความจริง ประชาชนประกาศแล้วในระบอบ ว่าคิดชอบมอบใจให้ผู้หญิง ผู้ซึ่งกล้าประกาศกล้ามาท้าชิง บอกว่าจะทำจริงทุกสิ่งไป เขาทำงานสองปีกว่าหมดหน้าที่ สี่สิบวันที่เธอมีวลีไว้ ว่าจะนำความสุขสู่ประเทศไทย ประชาชนชาวไทยก็ยินดี สิบสามล้านกับเกินกึงครึ่งประเทศ แสดงเจตน์สาม กอคอ ห้าสิบสี่ ประชาธิปไตยแบบที่ไทยอยากมี คือประชาธิปไตยที่ "เพื่อปวงชน" ของปวงชนและโดยประชาชน สองคำต้น หายไปไหนใคร่สับสน หรือว่านี้ชี้ชัดวัดชาติชน ส่วนใหญ่บนความอยากได้และอยากมี ลืมแก่นแท้ว่าต้อง โดยประชาชน คือทุกคนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องรอของแจกและของฟรี แต่ต้องมีวิถีที่พอเพียง เราลืมไปแล้วหรือวิถีนั้น ถูกวิถีปัจจุบันจัดสรรปันเบี่ยง ติดนิยามค่านิยม อารมณ์เอียง ไม่แท้เที่ยงเสี่ยงเพราะอยากกระดากจัง ฉันเกรงกาลผ่านไปไม่นานนี้ ถ้าทุกคนได้มีทุกที่หวัง แล้วประเทศล้มครืนน่าขื่นจัง ลูกหลานจะนึกชัง ฟังให้ดี มีตัวอย่างเกิดขึ้นในหลายประเทศ ยั่วกิเลศเช่นอุบายประเทศนี้ สุดท้ายหนี้ท่วมท้นล้นธานี และป่นปี้ ไปทั่วทั้งแผ่นดิน ฉันอยากให้ทุกคนนั้นร่ำรวย เห็นดีด้วยหากจะไร้ซึ่งหนี้สิน และมีทุนไว้ให้ทำมาหากิน แต่กลัวจะเหม่หมิ่นสิ้นหนทาง หรือว่าจริงเหมือนฝันแค่วันนี้ แต่ไม่อีกนานปีที่เราย่าง จะเหมือนลำเรือน้อยที่ลอยคว้าง ทุกคนต่างก็เห็นแก่ประโยชน์ตัว ไม่รู้จักจัดสะเบียงพอเลี้ยงชีพ หิวก็รีบโกยกินทุกสิ้นทั่ว สติมี มิได้จะคิดกลัว อบายมัวเข้าครอบคำตอบใจ และผู้นำก็แสวงอำนาจเข้า ก็มัวเมาเอาใจทุกอย่างไว้ ไร้ระเบียบและก็ไร้วินัย ใครอยากได้สิ่งใดก็ให้พลัน กลายเป็นเลือกผู้นำที่ทำเพื่อ- ประชาชน ล้นเหลือเชื่อไปนั่น ว่าต้องให้ ต้องฟรีไปทั้งนั้น อนิจจัง หลั่งแน่พระแม่ธรณี บรรพบุรุษสร้างสู้กู้ประเทศ จนกลายเป็นสยามเขตสง่าศรี ในแหลมทองใครไหนจะมากมี เท่าไทยที่เรานี้เคยมีมา อุดมสมบูรณ์ล้ำดังคำกล่าว ในนามีข้าว ในน้ำมีปลา เป็นคำโบราณที่กล่าวไว่ว่า เป็นเมืองทองเมืองท่า แหลมมลายู ในนามของประชนชนเสียงข้างน้อย ใจจะคอยส่งกำลังใจให้ไปสู่ รัฐบาลของนายกของคุณปู จงตรองดูนโยาบายก่อนสายไป อะไรที่ทำแล้วได้ประโยชน์ เราขอโปรดให้ท่านทำให้ได้ อะไรที่เกินกว่ากำลังไป อย่าฝืนยัดผลักไปให้เสียการ อธิบายเหตุผลที่ทำได้ และที่ทำไม่ได้อย่างห้าวหาญ คนไทยชอบคนจริงและทำงาน และมีเหตุผลจารทุกสิ่งทำ จงปกครองประชาชนคนในชาติ หนึ่งอำนาจ "ของปวงชน" ให้ยลย้ำ สองต้อง "โดยประชาชน" เป็นธงนำ และสามจำสุดท้าย "เพื่อประชาชน" ต้องยึดถือประชนชนเป็นเบื้องแรก ของ/โดย/เพื่อ ต้องแยกอย่าแปลกป่น เป็นไปเพื่อประแท้ของประชาชน ต้อง "โดยประชาชน" บนเท่าเทียม ไม่เอาใจฝ่ายนี้ลืมฝ่ายนั้น มาตรฐานสำคัญต้องเต็มเปี่ยม สิทธิ์เสรี/ภารดรภาพ อย่าสร้างเทียม สามประการต้องเยี่ยมเยียนประชาชน นิรัฐต้องใช้นิติธรรมมโนธรรม จงน้อมนำสุจริตมิผิดผล อย่าเลือกใช้กฎหมู่ของพวกตน จงเลือกใช้กฎสากลชนชื่นนาน ขอจงเป็นเช่นนักยุติธรรม สื่อสัตย์ สุจริตล้ำ เกินคำขาน บูชาความถูกต้องเป็นตำนาน มุ่งสืบสานประโยชน์สุขของปวงชน ปกครองมุ่งเพื่อประโยชน์คนส่วนมาก ใช่ปกครองจากต้องการส่วนใหญ่ล้น โดยดุลภาพทางความคิดยังผิดวน มีอคติ ประจำตนจนล้นพ้นจริง ประโยชน์ของชนในชาติเป็นสำคัญ ความต้องการส่วนใหญ่นั้น ใช่แรกยิ่ง จริงอยู่ที่ต้องฟังความเห็นที่ประชากาเลือกจริง แต่อย่าได้ทอดทิ้ง ความจริงไป เมื่อได้พ้นได้ผ่นกาลเลือกตั้ง มาดู มาฟัง ทิศทาง ยังไม่ได้ ข้อต่อรองอำนาจยังมากมาย กว่าจะถึงนโยบายที่ขายตน เมื่อท่านได้รัฐบาลบริหารประเทศ จักแสดงเจตน์ วิพากเหมือนทุกหน ดีจักดี มิมีป้ายให้ปี้ป่น แสดงออกตามวิธีประชนชน คนรักไทยฯ
10 กรกฎาคม 2554 21:32 น. - comment id 124828
ถ้าพรุงนี้ไม่มีคนที่เรารัก และเราจักย้อนอดีตได้หรือไม่ ชีวิตนี้จะอยู่เพื่อสิ่งใด ถ้าหัวใจก็ไร้ซึ่งความหวัง เมื่อใครย่ำยีความเป็นเธอ แปลกที่ใจเสมอใครสอนสั่ง ในโลกนี้มีแบบเธอกี่คนบ้าง ฉันเคว้งคว้าง อยากกะไร้หัวใจ เมื่อพรุ่งนี้ถ้าเราไม่มีเธอ จะหาเจอแบบเธอได้ที่ไหน ฉันรักเธอยิ่งล้นท้นฤทัย จักถวายชีพไว้ เป็นสัญญา ฉันเห็นคนดูหมิ่นความเป็นเธอ แต่ลอยคอเสนอสยายหน้า ฉันนับมันเป็นศัตรูของฉันนะ และฉันจะเด็ดชีพมันถ้าฉันเจอ ฉันไม่ยอมให้ใครล่วงเกินอีก จะหั่นฉันเป็นกี่ซีกได้เสมอ ฉันร่มเย็นเช่นนี้ได้เพราะมีเธอ และจักปกป้องเสมอด้วยชีวิต แม้ฉันจะมิได้เป็นองครักษ์ เช่นทหารผู้พิทักษ์ เทพสถิตย์ ผู้มาอยู่บนแดนดินดั่งนิมิต แต่ชีวิตน้อยนิดนี้พลีให้เธอ วันนี้เรายังมีคนที่เรารัก มีสิ่งใดฉันจักแลกเสมอ เอาชีวีฉันซิ พลีแด่เธอ ฉันเสนอให้ฟ้าดินได้ยินยง เธอยังเป็นคนที่เรารักยิ่ง เป็นเทวะองค์จริงใช่สิ่งหลง และอยากให้เธอนั้นยังอยู่คง ไม่ประสงค์ให้เป็นเช่นตำนาน ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีคนที่เรารัก ใจหายนักหากปล่อยวันนี้ผ่าน ฉันขอหยุดเวลานี้แค่วันวาน เพราะเกรงกาลเปลี่ยนไปของพรุ่งนี้ ปล. ขณะเขียนใจห่อเหี่ยว และน้ำตาเหมือนจะรินใหล ถ้าพรุ่งนี้มาถึงจริง ฉันก็คงต้องมีส่วนรับผิดชอบที่ทำวันนี้ไม่เต็มที่ ปกป้องเธอไม่เต็มกำลัง ที่รักของฉัน ฉันโชคดีที่เกิดมามีเธอ แต่เธออาจโชคร้ายที่เกิดมามีคนไม่ได้เรื่องเช่นฉัน ฉันขอโทษ รักเธอประเทศไทย
11 กรกฎาคม 2554 17:02 น. - comment id 124834
ที่จริงผมไม่นึกอยากตอบโต้คำชมของคุณเท่าใดนัก ภาษาของคุณช่างเชยแสนเชย ผมอยากขบขันในบางถ้อยคำของคุณเพราะรู้ว่านั่นคือมุขตลก แต่ห่างไกลศิลปินตลกที่ผมชื่นชมเยอะ เอาเถอะนับว่ายังมีความพยายาม คนเรียนจบปอสามทำได้แค่นี้ก็น่ารักแล้ว ความจริงคือว่า เมื่อคุณไป แต่ผมจะคิดว่าคุณยังอยู่ พรุ่งนี้ก็เช่นกันเราอาจขาดติดต่อไป แต่จงรับรู้ไมตรียังอยู่ คุณอาจกำลังมองมา นั่นไง อยู่นั่น ที่ซึ่งมนุ์ผู้อับโชคไม่อาจเข้าใจได้ว่าเป็นอย่างไร ทุกอย่างจะจารในความทรงจำและมโนจริตของเรา (หรือของผมเพียงลำพัง) ยิ่งปล่อยให้ความรู้สึกดิ่งลึกลงไป เราอาจได้เห็นวันเวลาที่ผ่านมาสุขสงบเงียบอยู่ที่นั่นมากมาย จดหมายลาตาลายของคุณ ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า ผมดึงวันเวลาที่คุณควรเป็นส่วนตัวมามากพอสมควร ครานี้น้าสาวคุณมาเมืองไทยขอให้มีความสุขกับวันแห่งครอบครัวนะ และด้วยไมตรีที่คุณมอบ ผมได้แต่สนองน้ำใจคุณทั้งมวลที่มีโดยหวังวาดให้คุณและคนที่คุณรักและรักคุณมีวันเวลาดีดี สำหรับบทกวี ผมตั้งใจเขียนให้ได้วันละหนึ่งสำนวน แม้ว่าบางวันไม่ได้สักสำนวน ได้แต่ความรู้สึกที่ไม่สมรู้สึก และไม่อาจจบกระบวนความคิดได้หลายชิ้นอัน สำหรับวันนี้ เพิ่งจบการการสอบสวนเมื่อครู่ อ่านข้อความของคุณ เลยเขียนสำนวนนี้มาหา มโนใจ นั่นอะไรอยู่ในสายลมหนอ พัดพาใครมาเล่นล้อกับความว่าง อารมณ์เอยเอ๋ยว่าช่างเบาบาง ลางทีก็ขวัญคว้างอย่างน่ากลัว แต่ยินดีที่ยังมีสิ่งนี้บ้าง ในความเปล่าว่าง ใช่ร้างทั่ว มีอะไรบ้างว่าไม่น่ากลัว ถึงไม่ถ้วนไม่ทั่วทุกที่ทาง สายลมริ้วรินรายดั่งสายน้ำ นกเช้าเล่นเต้นรำเมื่อฟ้าสาง ในความเงียบเฉียบเย็นเช่นนี้บ้าง ใช่อยู่อย่างเหงาเหงาเพียงลำพัง มีอะไรใหลอยู่ในสายจิต นั่นฉันเห็นน้ำมิตรมิคิดหวัง เพียงหยดน้ำหยดลงทรงพลัง ใจก็ซ่านซึ้งจังลำพังเรา เธอจะหายไปไหนใช่เรื่องโศก และไมตรีแห่งโลกใช่โศกเศร้า บรรดาสิ่งดีดีมีนานเนาว์ บรรดาเรานิจเนิ่นเกินการไกล ฉันหลับตาวันเวลาก็มาพบ มโนนพน้อมเห็นเป็นวันใส ในส่วนหลับลุ่มลึกรู้สึกใน ฉันพบสุขหลับใหลข้างในนั้น ในส่วนลึกของจิตในสำนึก เป็นรู้สึกลึกกว่ารู้สึกนั่น อยู่ในจิตสนิทแน่นเป็นแก่นกัน เหนือโลกของความฝันและความจริง ทุกไมตรีที่มอบถ้าบอกว่า วาสนาของฟ้าและทุกสิ่ง ที่เฉลยเอ่ยตอบมอบอุ่นอิง ว่าเรามีบางสิ่งน่ายินดี นั่นอะไรอยู่ในสายลมหนอ มาเล่นล้อริมแก้มเหมือนแต้มสี ให้มีวันเช่นนั้นวันเช่นนี้ และได้มีวันดีดีอย่างที่เป็น แทนคุณแทนไท
12 กรกฎาคม 2554 22:54 น. - comment id 124875
ศักดิ์ศรีไม่ได้อยู่ที่การได้รับเกียรติ แต่ศักดิ์ศรีอยู่ที่ควรได้รับเกียรติหรือไม่ มันผู้ใดใช้ประชาชน เป็นกลวิธี เพื่อเถลิงอำนาจ... มันผู้นั้นสมควรกลายเป็นอากาศธาตุไป... บางที่ความดีที่เรายกย่อง อาจเป็นความชั่วช้าในวันหน้าก็เป็นได้ ฉะนั้นอย่าลำพองและคาดหวังจะเป็นวีรบุรุษในใจใคร สำหรับบางคนที่รักรา เราอาจเป็นเทพบุตรเทพธิดาแบบไม่ทราบเหตุผล แต่สำหรับหลายคนที่ชังเรา เราหละคือซานตาลและแมดร้ายตัวจริง วันที่เขาคิดว่าโลกจะแตก มนุษย์ยังไม่ตื่นกังวลเท่าส่วนเล็กน้อยในวันที่ไวรัสเล่นงาน ไอ และมีน้ำมูกทั้งวัน นั่นหละ เราธรรมชาติของสัตว์โลกจะตื่นตระหนกกับภัยที่มาถึงตัวแล้วเท่านั้น มากว่าอนาคตที่ยังใช้คำว่าอาจจะ... เพราะเราหวังว่าเราอาจจะไม่อยู่ในอาจของอนาคตนั้น เมื่อเธอเดินจากไป โลกไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากวันที่ก่อนมีเธอเดินเข้ามา ฉะนั้น ฉันจะมัวรำพันรำพึงสิ่งใดเล่า สำหรับความไม่เคยมีที่ไม่มีในวันนี้ ถ้า ความรัก ส่งกลิ่นได้ โลกนี้คงมีมวลผึ้งอีกนับแสนล้านเท่า- แต่นี่ความรักแค่รู้สึกได้ ยังมีแมงเม่ามิรู้กี่พันล้านตัว ทุกคนต่างคิดวาความรักของตนเองยิ่งใหญ่ ทั้งแท้ที่จริงแล้ว มันเป็นละอองเล็กๆของความรักในโลกสีน้ำเงินใบนี้ ผมอาจไม่ได้เป็นพ่อคน เลยไม่รู้ว่าการเป็นพ่อที่ดีต้องทำอย่างไร แต่ผมได้เป็นลูกแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้วาลูกที่ดีต้องทำอย่างไร (เป็นพ่อที่ดีไม่ได้ แต่เป็นลูกที่ดีได้) พระพุทธองค์ไม่เคยดลบันดาลสิ่งใดให้ใคร อยากได้อะไรจงทำเอาเอง อย่ารอพระรอเจ้าดลบันดาล ความสัมพันธ์ต้องพอดี คือหลอมก็ไม่สบายคับก็อึดอัด ล้มเหลวเมื่อไหร่ อย่าลืมพาหัวใจกลับไปยังที่ที่จากมา เราอาจตกรอบได้หลายเวลา แต่อย่าตกรอบเวทีชีวิต ถ้าจินตนาการแล้วมีความสุข ถึงแม้จินตนาการนั้นจะเลื่อนลอย เคว้งคว้าง และเศร้าโศกบ้าง ฉันขอให้เธอแอบกินจินตนาการอันแสนเจ็บปวดนั้นต่อไป แล้วเธอจะแข็งแรงขึ้น การได้พูดความจริง ขอโทษ และให้อภัย เป็นองค์ประกอบของความรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่าความซื่อสัตย์ คนเราไม่สามารถหนีเงาตัวเองพ้นฉันใด ย่อมวิ่งหนีหัวใจ หนีความต้องการที่เป็นปรารถนาล้ำลึกไม่ได้ฉันนั้น-หนุ่มสาว ที่เปรียบเสมือนคู่รักก็เช่นกัน ไม่ว่าจะพยายามโกหกตัวเอง พยามทำในสิ่งที่ตรงข้ามที่ใจบัญชา เพียงสุดท้าย... ก็ยอมปราชัยแก่ความปรารถนาของหัวใจ
13 กรกฎาคม 2554 21:56 น. - comment id 124943
http://www.youtube.com/watch?v=bJwSxXTiL9I&feature=player_embedded#at=122
14 กรกฎาคม 2554 09:12 น. - comment id 124957
คุณรู้สึกเหมือนผมไหม ว่าเรากำลังอยู่ในสังคมข่าวสารการเมืองที่เหมือน "ศาลาโกหก" เพราะแวดวงการเมืองไม่มีใครพูดความจริงกันแล้ว และถือว่าการเอาตัวรอดไปวันๆ กับคำถามที่ต้องตอบสังคมนั้นเป็นมาตรฐานใหม่ของประเทศชาติ คนไทยต้องใช้อารมณ์ขันระดับเซียน จึงจะไม่เกิดอาการเครียดเกินกว่าที่จะประทังชีวิตไปวันๆ เพราะไม่รู้ว่าใครจงใจปล่อยข่าวใครสร้างข่าว เพื่อให้ผลสุดท้ายเป็นไปตามที่ตนต้องการ โดยไม่เกรงใจว่าแต่ละอย่างแต่ละประโยคที่พูดนั้น จะเป็นการดูถูกเหยียดหยามปัญญาของคนไทยทั่วไปเลยแม้แต่น้อย นักการเมืองที่เคยบอกว่า "จะไม่ร่วมตั้งรัฐบาล" กับพรรคโน้นพรรคนี้ วันนี้ "กระโดด" เข้าใส่อย่างไร้ความเขินอาย การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีทำที่ไหนไม่รู้ แต่ผู้คนพากัน "บินไปต่างประเทศ" กันจ้าละหวั่น เขายืนยันว่า รัฐบาลตั้งที่กรุงเทพฯ แต่ข่าวกะเก็งใครจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนมาจากข้างนอกทั้งสิ้น คนไทยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่ได้ยินจากปากของผู้กำลังจะมีอำนาจนั้นเป็นคนละเรื่องกับที่คนมีสติปัญญารับรู้ ไม่ต่างกับเราอยู่ใน "ศาลาโกหก" ที่ทุกคนรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไรแต่ใช้ "เรื่องโกหก" เป็นมาตรฐาน และที่น่าทึ่งกว่านั้น คือ ทุกคนปฏิบัติตนเหมือนกับว่าสิ่งที่แถลงจากนักการเมืองนั้นเป็นเรื่อง "จริง" ของวันนี้ หรือไม่ก็เออออห่อหมกกันไปวันๆ เพราะคนที่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรก็หมดความรู้สึกที่จะตั้งคำถาม เพื่อเรียกร้องหาความเป็นจริงอีกต่อไป พาดหัวหนังสือพิมพ์บอกว่าคนนั้นคนนี้จะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ เพราะนักการเมืองไปต่อรองกันที่นั่นที่นี่กับคนนั้นคนนี้ คนอ่านหนังสือพิมพ์รู้ว่าเป็นอย่างที่ออกข่าว แต่เมื่อมีเสียงยืนยันว่าคนตัดสินใจอยู่ที่กรุงเทพฯ นี่เอง ก็หาได้มีใครออกมาทัดทานคัดค้าน เพราะ "ความจริง" วันนี้มีหลายชุด อยู่ที่คุณเลือกเชื่อชุดไหน และจะเก็บชุดไหนเอาไว้ในลิ้นชักก่อน เราต่างอยู่ใน "ศาลาโกหก" วันนี้เพราะเป็นความสุขที่ไม่ต้องอยู่กับความจริง เพราะความจริงเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องตั้งคำถามต่อเนื่อง ซึ่งจะนำไปสู่การค้นพบที่ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้ยินได้ฟังนั้นไม่อาจจะนำมาปฏิบัติได้ วันนี้ เริ่มได้ยินถี่ขึ้นแล้วว่าคำมั่นสัญญาแต่ก่อนเก่านั้น อาจจะไม่สามารถนำมาทำให้เป็นความจริงสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ได้ เมื่อเราเป็นประชากรของ "ศาลาโกหก" ใครพูดอะไรที่เรารู้ว่าไม่จริงก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าใครจะพูดความจริงกับเรา...เราจึงสบายใจที่ไม่ต้องเผชิญกับความจริง เพราะแม้เรื่องโกหกนั้น หากพูดซ้ำๆ บ่อยๆ เข้าก็สามารถกลายเป็น "เรื่องจริง" ได้ ในโลกของศาลาโกหกนั้นข้อ "แก้ตัวน้ำขุ่นๆ" เป็นหลักปฏิบัติปกติ และการสัญญาระหว่างหาเสียงนั้น หากไม่นำมาปฏิบัติเมื่อได้ "อาณัติ" จากผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งแล้ว ก็ยังสามารถอ้างได้ว่านั่นเป็นเพียง "เทคนิคการหาเสียง" เท่านั้น ที่ "ศาลาโกหก" นั้น บางครั้งคนซื่อคนตรงก็ถูกมองว่าเป็นชนกลุ่มน้อย เพราะคนที่ได้ดิบได้ดีเป็นคนพลิกพลิ้วด้วยชิวหา และลีลาที่ลื่นไหล เพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุดจากการเอาความจริงมาเล่นแร่แปรธาตุต่อหน้าธารกำนัลอย่างไม่มีความขวยเขินสะเทิ้นอายแต่ประการใดทั้งสิ้น จะว่าไปแล้วชาวประชา "ศาลาโกหก" ส่วนนี้ก็ดูเหมือนจะโล่งใจที่ไม่ต้องยึดติดกับจริยธรรม และความถูกต้องเป็นธรรม เพราะนั่นดูเหมือนจะเป็นมาตรฐานใหม่ที่กติกาการเมืองใหม่ กำลังกำหนดให้เป็นไป แม้ว่า "อาณัติ" ของ "เสียงส่วนใหญ่" จะต้องการ "ความจริง" จากสังคมทุกๆ ด้านก็ตาม แต่สำหรับวันนี้ คนที่ยึด "ศาลาโกหก" เป็นปราการของตนยังนึกว่าตนคือผู้กำหนดชะตากรรมของคนค้นหาความจริงได้ อ้าว ท่านไม่ได้ยินเสียงร้องก้องกังวานว่า "ศรีธนญชัยจงเจริญ!" หรือ?
14 กรกฎาคม 2554 09:38 น. - comment id 124960
บทเพลงแห่งความตาย แล้วเมื่อการจากลาได้มาถึง เนื้อกายหนึ่งซึ่งเคยสง่าศรี สิโรราบต่อพระแม่ธรณี และเป็นฝุ่นผงธุลีไม่มีกาย ท่ามกลางบทสวดบนศาลา ภาพคุ้นตาญาติสนิทมิตรสหาย กุสลา ก้องส่งปลงความตาย เมื่อเกิดได้ก็ดับได้อนิจจัง ในความเศร้า เรา-เขา ยังเขลาอยู่ ไม่สดับรับรู้บาลีสั่ง ได้แต่พุ่มพนมไหว้ ฟังได้ฟัง ดีเด่นดังนั่งแถวหน้าตั้งท่าโต ได้แสดงอำนาจบารมี แขกเหรื่อมาวันนี้มีมากโข ศักยภาพขายวัดเป็นกิโล พุทโธ โถ ความดีไร้วี่แวว มโหรีปี่กลองร้องฟ้องว่า ความดีได้หายหน้าไปหมดแล้ว ไม่มีใครพูดถึงเจ้านกแก้ว ผู้จากแล้วว่าทำดีมีสิ่งใด บทเพลงอห่งความตายเงียสงบ บทบาลีสวดศพจบลงได้ และแขกเหรื่อก็ค่อยทยอยไป เหลือต่ธูปที่ไร้คนเหลียวแล ณ วัดสุวรรณ เมื่อคำวาน / แทนคุณแทนไท
14 กรกฎาคม 2554 16:27 น. - comment id 124974
"ของฝากจากใจ" แหล่งที่มาจากเว็บ http://www.kaweeclub.com/b28/t414/ ................................................ @กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง เป็นมนุษย์@ @ ก่อนจะเป็นอะไรในโลกนี้ ทั้งเลวทรามต่ำดีถึงที่สุด ก่อนจะสวมหัวโขนละครชุด คุณต้องเป็นมนุษย์ก่อนอื่นใด @ คุณจะต้องรู้จักการเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ชุดเครื่องแบบที่สวมใส่ ไม่ใช่ยศตำแหน่งแกร่งฉไกร หากแต่เป็นหัวใจของคุณเอง @ ใจที่มีมโนธรรมสำนึก ใจที่รับรู้สึกตรึกตรงเผง ใจที่ไม่ประมาทไม่ขลาดเกรง ใจที่ไม่วังเวงการเป็นคน @ เมื่อนั้นคุณจะเป็นอะไรก็ได้ เป็นผู้น้อยผู้ใหญ่ได้ทุกหน มโนธรรมสำนึกรู้สึกตน ต้องตั้งตนให้เป็น คือ เป็นมนุษย์! =============================== @พิราบกับอสรพิษ@ @ งูพิษคืออสรพิษ ย่อมฤทธิ์มากย่อมร้ายมาก จัดฉากและหลบฉาก ขย้ำกลืน ขยอกกลืน @ ฝูงนกและลูกนก ก็ตกตื่น ก็แตกตื่น ขัดขืนก็สุดขืน กับเขี้ยวงู และพิษงู @ นกพิราบกับฝูงพิราบ รวมกลุ่มสู้ เข้าต่อสู้ บินพรูกันพร้อมพรู ร่วมส่งเสียง ประสานเสียง @ พันธุ์งูกับพวกงู ก็กรูเคียงเข้าข้างเคียง แลนเรียงตะกวดเรียง เข้าล้อมนก เข้าล่านก @ เค้าแมวคือเค้าแมว ค่อยผงกหัวผงก ร้องนรกนี่คือนรก อย่ารุนแรง หยุดรุนแรง @ นิทานคือนิทาน ย่อมแสดงสิ่งไม่แสดง เชิญแถลงสิเชิญแถลง ว่าเรื่องจริงนี้ ไม่จริง! เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พฤ ๖/๑๑/๕๑ ===================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง วารีดุริยางค์ แทบฝั่งธารที่เราเฝ้าฝันถึง เสียงน้ำซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียง จักรวาลวุ่นวายไร้สำเนียง โลกนี้เพียงแผ่นภพสงบเย็น เพื่อชื่นชมรมณีย์กับชีวิต ที่จะคิดที่จะทำตามคิดเห็น ระเรื่อยเรื่อยเฉื่อยฉ่ำลืมลำเค็ญ ลืมความเป็นปรัศนีของชีวิต หางนกยูงระย้าเรี่ยคลอเคลียน้ำ แพนดอกฉ่ำช้อยช่อวรวิจิตร งามดั่งเปลวเพลิงป่ามานิรมิต สร้อยโสภิตอภิรุมพุ่มหัวใจ เพรชน้ำค้างค้างหล่นบนพรมหญ้า เย็นหยาดฟ้ามาฝันหลงวันใหม่ เคล้าเคลียหยอกดอกหญ้าอย่างอาลัย เมื่อแฉกดาวใบไผ่ไหวตะวัน มโหรีจากราวป่ามาเรื่อยรี่ ราชินีแห่งน้ำค้างจะห่างหัน ฝักต้อยติ่งแตกจังหวะประชันกัน จักจั่นจี่เจื้อยรับเรื่อยร้อง ลมระเริงลู่หวิวพลิ้วระลอก สัพยอกยอดไม้ไปลิ่วล่อง แล้วใบไม้ก็ไหวส่าย ขึงข่ายกรอง ทอแสงทองทอดประทับซับน้ำค้าง ดอกไม้ป่าปรุงกลิ่นประทิ่นป่า อบบุหงามาลัยทั่วไพรกว้าง หอมจนหอบหัวใจไปเคว้งคว้าง เคลิ้มถวิลกลิ่นปรางอบกลางทรวง ผีเสื้อสวยแต้มสีที่กลีบแก้ม ชมพูแย้มแดงระยับสลับม่วง ก้านเกสรอ่อนฉ่ำน้ำผึ้งรวง หยาดหยดพวงพุ่มระย้าจากคาคบ และเราลิ้มรสหวามของความหวาน จากสายธารที่ไหลไม่รู้จบ จากสายใจไหลย้อนซอกซอนซบ เงียบสงบระงับลงตรงมุมนี้ เลิกความคิดขันเข่งปรุงแต่งจิต เลิกชีวิตวุ่นวายในทุกที่ เลิกเดือดร้อนดิ้นรนคนไยดี ไม่ต้องมีปรารถนาในอารมณ์ ฟังต้นไม้สายน้ำย้ำให้หยุด หยุดเสียทีเถิดมนุษย์หยุดสะสม หยุดปรุงแต่งแสร้งตามความนิยม สร้างสังคมโสโครกโลกจึงร้อน จงหยุดชมชื่นใจในใจเถิด ทุกสิ่งเกิดก่อไว้ในใจก่อน สมมติจากหัวใจไปทุกตอน ใจจึงซ่อนทุกสิ่งจริงลวงไว้ สงสารใจ ใจเจ้าเอ๋ยไม่เคยนิ่ง วนและวิ่งคืนและวันหวั่นและไหว เหมือนถูกกายกำบังกักขังใจ ใจจึงได้ดิ้นรนทุกหนทาง กลางคืนคอยเป็นควันอั้นอัดไว้ ครั้นกลางวันก็เป็นไฟไปทุกอย่าง ร่างกายถูกผูกพันสรรพางค์ เป็นสื่อกลางแก่ใจรับใช้การ เมื่อใจทุกข์กายก็ต้องทนครองทุกข์ ครั้นใจสุขกายก็สุขสนุกสนาน วนเวียนหว่างทุกข์สุขทุกวันวาร แล้วสะสมสันดารการเป็นคน ทุกวิถีที่ใจได้เที่ยวท่อง ล้วนขึ้นล่องอยู่ระหว่างกลางปลายต้น ที่โคจรของใจไม่เคยจน ไม่เคยพ้นไม่เคยพรากจากวงจร ใจจึงหน่ายจึงเหนื่อยจึงเมื่อยล้า วุ่นผวาว่อนไหวถูกไล่ต้อน เกิดแล้วก่อล่อแล้วเร้นเย็นแล้วร้อน ไม่พักผ่อนเพียงสักคราวเฝ้าแฟบฟู รู้และเห็นเป็นไปตามใจอยาก จึงเหมือนฉากขวากขวางกำบังอยู่ หยุดเสียทีหยุดเสียเถิดเปิดประตู เพื่อได้รู้และได้เห็นตามเป็นจริง ขอกายเจ้าจงเป็นเช่นต้นไม้ ยืนอยู่ได้โดยภพสงบนิ่ง เพื่อแผ่ร่มและเป็นหลักให้พักพิง แต่งดอกพริ้งผลัดฤดูอยู่ชั่วกาล และใจเจ้าจักเป็นเช่นสายน้ำ ใสเย็นฉ่ำชื่นแล้วไหลแผ่วผ่าน เพื่อเลี้ยงชีพชโลมไล้ให้เบิกบาน เพียงพ้องพานผิวแผ่วแล้วผ่านเลย อิสระเสรีที่จะไหล ด้วยเพลงไพเราะล้ำร่ำเฉลย ชมดอกไม้สายลมพรมรำเพย และชื่นเชยกับชีวิตทุกทิศทาง วงของน้ำทำประกายกับสายแดด ร้อนจะแผดเผาทรายพริบพรายพร่าง ราวกากเพชรเกล็ดโปรยโรยระวาง หาดกรวดกว้างกลางน้ำเริ่มคร่ำครวญ ไม่ใยดีปรีดาประสาโลก ไม่ทุกข์โศกเสียใจหรือไห้หวน มีความสุขอยู่ทุกยามตามที่ควร ไม่ปั่นป่วนไปตามความเร่าร้อน รู้จักเพียงพอดีที่จะรับ ความเกิดดับธรรมดาอุทาหรณ์ พร้อมรู้สึกตามวิสัยไปทุกตอน เหมือนทุกก้อนกรวดทรายย่อมคล้ายกัน =============================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง บนลานอโศก หยาดน้ำแก้วเกาะกลิ้งกิ่งอโศก โลกทั้งโลกลอยระหว่างความว่างเปล่า มีความรื่นร่มเย็นแผ่เป็นเงา ลมแผ่วเบาบอกลำนำคำกวี เราพบกันฝันไกลในความรัก เริ่มรู้จักซึ้งใจในทุกที่ มีแต่เรามิมีใครในที่นี้ ใบไม้สีสดสวยโบกอวยชัย อยากให้รู้ว่ารักสักเท่าฟ้า หมดภาษาจะพิสูจน์พูดรักได้ เต็มอยู่ในความว่างกว้างและไกล คือหัวใจสองดวงห่วงหากัน หลับตาเถิดที่รักเพื่อพักผ่อน ฟังเพลงกลอนพี่กล่อมถนอมขวัญ ใจระงับรับใจในจำนรรจ์ ต่างแพรพันผูกใจห่มให้นอน โอ้ดอกเอ๋ยดอกโศกตกจากต้น เปียกน้ำฝนปนทรายปลายเกษร โศกสำนึกหนาวกมลคนสัญจร นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะร่อนลง เมตตาแล้วแก้วตาอย่าทิ้งทอด ช่วยให้รอดอย่าปล่อยบินลอยหลง จะหุบปีกหุบปากฝากใจปลง จะเกาะกรงแก้วกมลไปจนตาย งามเอยงามนัก แฉล้มพักตร์ผ่องเหมือนเมื่อเดือนฉาย งามตาค้อนคมเยื้องชำเลืองชาย ลักยิ้มอายแอบยิ้มงามนิ่มนวล จะห่างไกลไปนิดก็คิดถึง ครั้นดื้อดึงโดยใจก็ไห้หวน ถนอมงามห้ามใจควรไม่ควร ให้ปั่นป่วนไปทุกยามนะความรัก ผีเสื้อทิพย์พริบพร้อยลอยแตะแต้ม เผยอแย้มยิ้มละไมใจประจักษ์ ทุกกิ่งก้านมิ่งไม้เหมือนทายทัก ร้อยสลักใจเราให้เฝ้ารอ ฝันถึงดอกบัวแดงแฝงผึ้งภู่ คล้ายพี่อยู่เป็นเพื่อนในเรือนหอ ชื่นเสน่ห์เกษรอ่อนละออ โอ้ละหนอหนาวนักเอารักอิง ในห้วงความคิดถึงซึ่งเงียบเหงา ใจสองเราเลื่อนลอยอย่างอ้อยอิ่ง คอยคืนวันฝันเห็นจะเป็นจริง โลกหยุดนิ่งแนบสนิทในนิทรา ร่มอโศกสดใสในความฝัน ร่มนิรันดร์ลานสวาทปรารถนา ร่มลำธารสีเทาเจ้าพระยา และร่มอาณาจักร.....ความรักเรา ====================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง หวานคมเคียว... เอนระนาบอาบน้ำค้างกลางแดดหนาว ทอดรวงยาวยอดระย้าราน้ำใส ละลานรอบขอบฟ้าคราพลิ้วใบ เพียงพรมใหญ่ไหวระยาบทาบเปลวทอง เพรียกเพลงเรือเมื่อสางหมอกจางสี ระเรื่อยรี่เลียบลัดตัดชายหนอง สาวเจ้าพายย้ายเยื้องชำเลืองมอง หนุ่มก็พร้องเพลงเกี่ยวเกี้ยวแก้กัน โอ้ช่อทิพย์รวงทองชะน้องเอ๋ย พี่ควงเคียวเกี่ยวเกยไม่เคยหวั่น หวาดแต่ใจเจ้าไม่จริงมิ่งแจ่มจันทร์ จะเกี่ยวค้างเสียกลางคันเท่านั้นเอย ฯ สาวสะเทิ้นเอิ้นเอ่ยเผยโอษฐ์โอ้ ดอกโสนริมนาพี่ยาเอ๋ย จะลดเลี้ยวเกี่ยวใจน้องไม่เคย ที่ไหนเลยจะเชี่ยวเท่าคนเจ้าชู้ ฯ เพลงรักแว่วแผ่วหวานกังวานหวิว ทั้งทุ่งทิวทั่วใกล้ไกลเกินกู่ นกร่ายฟ้ามาเรียงเคียงริมคู สาวหนุ่มคู่คลอแข่งร่วมแรงงาน เขาเริงรื่นลงแขกแลกแรงเรี่ยว ต่างจับหน้าคว้าเคียวเกี่ยวผสาน ล้วนข้าวงามอร่ามกอคลอน้ำนาน เขาขานบอกออกอุทานหวานคมเคียว ========================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง ลำนำแห่งเจ้าพระยา พิณสายรุ้งร่ายประเลงเพลงความหลัง แม่ปิงวังยมน่านผสานสาย พรมวารีดุริยางค์หลั่งระบาย เล่านิยายยืดยาวเจ้าพระยา สร้างสายทิพย์ชโลมไทยให้ชื่นฉ่ำ สร้างสายธรรมค้ำจุนบุญรักษา สร้างสายธารอุดมทัศน์เอื้อศรัทธา สร้างชีวาวิญญาณธารอารมณ์ มิ่งมหาวารีแห่งชีวิต เนรมิตหวานชื่น และขื่นขม กระแสธารมารดาค่าน้ำนม กระแสตรมน้ำตาค่าความรัก กำจรเอื้องเมืองแม่แควสี่สาย มากำจายเจ้าพระยามหาศักดิ์ ร่ายลำนำน้ำใจไม่ผ่อนพัก อาณาจักรธารพระจันทร์นิรันดร ขวัญเจ้าเอยเจ้าพระยาขวัญหล้าแหล่ง ชื่นบานแข่งขวัญฟ้าอ่าอัปสร เชิญขวัญชมชื่นใจในสาคร ฟังเพลงกลอนกล่อมขวัญบรรเลงลอย ลมเมืองร้อนโรยมาจากนาข้าว ฉ่ำเนื้อสาวสไบกรองทองสายสร้อย เสียงขลุ่ยตามลำน้ำค่ำคืนคอย ให้เคลิ้มคล้อยปล่อยใจไปถึงดาว เพชรน้ำฝนหล่นแล้วแก้วปรากฏ หวานยิ่งรสผึ้งรวงแห่งทรวงสาว ระเอิบเอมอิ่มหวังยั่งยืนยาว เริ่มเรื่องราวรังรองของชีวี เพลงเรือรักเรือเร่จะเห่หาว โอ้ลมหนาวเจ้าพระยาฟ้าเปลี่ยนสี ดาวเดือนต่างดวงตาในราตรี ลอยนทีประทีปทิพย์กระพริบพริ้ม ลำนำแห่งเจ้าพระยานี้อาถรรพณ์ กล่อมชีวันหวั่นไหวให้เอิบอิ่ม ระลอกน้อยลอยพยักเหมือนลักยิ้ม ประทับพิมพ์พักตร์แทนแผ่นดินไทย เจ้าพระยาคือนิยามแห่งความรัก อาณาจักรศักดิ์ศรีที่ฝันใฝ่ สัญลักษณ์ลำนำแม่น้ำใจ รวมอยู่ในทุกที่ที่มีเธอ ================ กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง นกขมิ้น เขาคลอขลุ่ยครวญเสียงเพียงแผ่วผิว ชะลอนิ้วพลิ้วผ่านจากมานหมอง โอดสะอื้นอ้อยอิ่งทิ้งทำนอง เป็นคำพร้องพริ้งพรายระบายใจ โอ้ดอกเอ๋ยเจ้าดอกขจร นกขมิ้นเหลืองอ่อน จะนอนไหน ค่ำลงแล้วแนวพนาและฟ้าไกล เจ้านอนได้ทุกเถื่อนท่าไม่อาทร แล้วหวนเสียงเรียงนิ้วขึ้นหวิวหวีด เร่งอดีตดาลฝันบรรโลมหลอน ถี่กระชั้นสั่นกระชากใจจากจร ระเรื่อยร่อนเร่มาเป็นอาจิณ โอ้ใจเอ๋ยอ้างว้างวังเวงนัก ไร้แหล่งพักหลักพันจะผันผิน เพิ่มแต่พิษผิดหวังยังย้ำยิน ระด่าวดิ้นโดยอนาถแทบขาดใจ ข้าเคยฝันถึงฟ้ากว้างกว่ากว้าง ฝันถึงปางทับเปลี่ยวเรี่ยวน้ำไหล ถึงช่อเอื้องเหลืองระย้าคาคบไม้ ในแนวไพรนึกเหมือนเป็นเพื่อนเนา รู้รสแรงแห่งทุกข์และสุขสิ้น บนแผ่นดินแผ่นเดียวเปลี่ยวและเหงา จิบน้ำใจจนทั่วเจียนมัวเมา ไร้ร่มเงารังเรือนและเพื่อนตาย เขาเคลียนิ้วเนิบนุ่มเสียงทุ้มพร่า เหมือนหวนหาโหยไห้น่าใจหาย เจ้าขมิ้นเหลืองอ่อนนอนเดียวดาย จะเหนื่อยหน่ายหนาวน้ำค้างที่กลางดง เสียงฉับฉิ่งหริ่งรับขยับเร่ง จะพรากเพลงเพื่อนยินสิ้นเสียงส่ง เขาเบือนนิ้วผิวแผ่วแล้วราลง เสียงนั้นคงเน้นครางอย่างห่วงใย เจ้าดอกเอยดอกขจรอาวรณ์ถวิล นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน เขาวางขลุ่ยข่มน้ำตาว้าเหว่ใจ ตอบไม่ได้ดอกหนาข้าคนจร ======================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง เพียงความเคลื่อนไหว ชั่วเหยี่ยวกระหยับปีกกลางเปลวแดด ร้อนที่แผดก็ผ่อนเพลาพระเวหา พอใบไม้ไหวพลิกริกริกมา ก็รู้ว่าวันนี้มีลมวก เพียงกระเพื่อมเลื่อมรับวับวับไหว ก็รู้ว่าน้ำใสใช่กระจก เพียงแววตาคู่นั้นสั่นสะทก ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ โซ่ประตูตรึงผูกถูกกระชาก เสียงแห่งความทุกข์ยากก็ยิ่งใหญ่ สว่างแวบแปลบพร่ามาไรไร ก็รู้ได้ว่าทางยังพอมี มือที่กำหมัดชื้นจนชุ่มเหงื่อ ก็ร้อนเลือดเดือดเนื้อถนัดถนี่ กระหืดหอบฮวบล้มแต่ละที ก็ยังดีที่ได้สู้ได้รู้รส นิ้วกระดิกกระเดี้ยได้พอให้เห็น เรี่ยวแรงที่แฝงเร้นก็ปรากฏ ยอดหญ้าแยงหินแยกหยัดระชด เกียรติยศแห่งหญ้าก็ระยับ สี่สิบปีเปล่าโล่งตลอดย่าน สี่สิบล้านไม่เคยเขยื้อนขยับ ดินเป็นทรายไม้เป็นหินจนหักพับ ดับและหลับตลอดถ้วนทั้งตาใจ นกอยู่ฟ้านกหากไม่เห็นฟ้า ปลาอยู่น้ำย่อมปลาเห็นน้ำไม่ ไส้เดือนไม่เห็นดินว่าฉันใด หนอนย่อมไร้ดวงตารู้อาจม ฉันนั้นความเปื่อยเน่าเป็นของแน่ ย่อมเกิดแก่ความนิ่งทุกสิ่งสม แต่วันหนึ่งความเน่าในเปือกตม ก็ผุดพรายให้ชมซึ่งดอกบัว และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว มันอาจขุ่นอาจข้นอาจหม่นมัว แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน พอเสียงร่ำรัวกลองประกาศกล้า ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย ========================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง การเมือง "การเมืองไม่ใช่เรื่องธุรกิจ การเมืองไม่ใช่คิดแต่จะได้ การเมืองไม่ใช่การค้ากำไร การเมืองไม่ใช่ใช้แต่เกมกล การเมืองไม่ใช่บ้าแต่อำนาจ การเมืองไม่ใช่ศาสตร์แห่งเหตุผล การเมืองไม่ใช่การกดขี่คน การเมืองไม่ใช่ตนใหญ่คนเดียว การเมืองไม่ใช่เรื่องของการเล่น การเมืองไม่ใช่เข่นกันด้วยเขี้ยว การเมืองไม่ใช่ตามกันกรูเกรียว การเมืองไม่ใช่เลี้ยวไปลงคู การเมืองต้องเป็นเรื่องการเสียสละ การเมืองคือภาระของทุกผู้ การเมืองเรื่องส่วนรวมร่วมรับรู้ การเมืองต้องต่อสู้เพื่อส่วนรวม การเมืองต้องมีธรรมเป็นเข็มทิศ การเมืองต้องมีจิตสำนึกร่วม การเมืองต้องโปร่งใสไม่กำกวม การเมืองต้องท้นท่วมศรัทธาอุทิศ การเมืองต้องเคารพความเห็นต่าง การเมืองต้องสรรค์สร้างเสรีสิทธิ์ การเมืองคืออำนาจขจัดพิษ การเมืองคือชีวิตประชาชน ! " ====================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง รบศึก รบสื่อ ๏ เผด็จศึกไม่เผด็จสาร พวกอันธพาลแผลงอิทธิผล ใช้สื่ออันแสนกล มาพ่นพิษขยายพิษ ๏ เอาเงินเป็นตัวตั้ง ก็รั้งถูกให้เป็นผิด ขาดธรรมเป็นเข็มทิศ จึงตะบิดตะแบงตะบัน ๏ สงครามสนามสื่อ ใครตาซื่อใครตาสั้น ได้เน้นได้เห็นกัน ณ กลางควันสงกรานต์ไฟ ๏ เผาบ้านและเผาเมือง ทั้งเผาชาติให้บัลลัย ทุรยำน้ำมือใคร ที่เถื่อนถ่อยสุดสามานย์ ๏ มีสื่อต้องใช้สื่อ และใช้สารให้เป็นสาร ที่เท็จต้องประจาน แลที่จริงต้องแจกแจง ๏ รบศึกต้องรบสื่อ ต้องร่วมมือทะมัดทะแมง สัจธรรมต้องสำแดง ชนะใจ ชนะจริง !. เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พฤ. ๑๖/๔/๕๒. ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/nowwarat/2009/04/17/entry-1 ============================= กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง กาฬจักร ๏ กาฬจักร ๏ ?ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา ไพร่ฟ้าประชาชนและมนตรีฯ? ๏ รัตนโกสินทร์ สถาปนา กรุงเทพทวาราวดีศรี สองร้อยยี่สิบเจ็ดกาลบรรจบปี มีใดมีไม่มี พึงพิจารณ์ ๏ ไพร่ฟ้าประชาชนและมนตรี ยังไม่มีวันสุขเกษมศานต์ ตราบที่ยังมีเผด็จการ ชูคอแผ่พังพานอสรพิษ ๏ แฝงมาในทุนทรราช ขึ้นสู่อำนาจตระบัดบิด เอาเงินต่อเงินตั้งทุกทางทิศ ธุรกิจการเมืองเรื่องเดียวกัน ๏ ยกประชาธิปไตยขึ้นบังหน้า แท้อัตตาธิปไตยอยู่เต็มขั้น นายว่าขี้ข้าพลอยผสมพันธุ์ ไม่รู้เท่ารู้ทันที่เป็นธรรม ๏ กำแพงแห่งทุนทรราช ทหารหุ่นเป็นกระดาษถูกอัดขยำ อมาตยาละล้าละลังนั่งงึมงำ ใครจะกรำศึกกล้ากับประชาชน !. ..................................... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/nowwarat/2009/04/04/entry-1 ======================================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง ตีงู ๏ ตีงู ๏ ๏ อาชญากรผู้ปล่อยนกพิราบ ปากกาดอกกุหลาบเคยเขียนถึง เมื่อวันที่นกพิราบถูกจับตรึง ในข่ายขึงแห่งกรงเผด็จการ ๏ วันนี้นกยังถูกขังยังหลงกรง ยังเวียนวงดงด่านเพดานด้าน แต่วันนี้ไม่เหมือนกันกับวันวาน มีงูใหญ่ใจหาญประจันกรง ๏ มันเลื้อยล้อมพร้อมแผ่แม่เบี้ยร้าย ชูหัวส่ายสะกดจิตพ่นพิษสง พิราบน้อยค่อยเคลิ้มเริ่มงวยงง จึงยังคงจับคอนอยู่โคลงเคลง ๏ ใครจะปล่อยนกพิราบในวันนี้ ในวันที่พายุระงมอยู่ขรมเขรง ฤาจะรอกรงกรังผุพังเอง ฤาจะเร่งทุบกรงให้กรงพัง ๏ ทุบกรงก่อนฤๅจะสู้ทุบงูก่อน เมื่อพิราบได้ร่อนสู่ฟ้าหวัง พิราบแห่งเสรีอันจีรัง ทุบอะไรก่อนหลังพึงยั้งคิด ๏ ตั้งสติให้ดีตีงูก่อน แล้วจึงค่อยถอดกลอนที่ขัดติด เร่งรู้เหตุเภทพาลอสรพิษ อย่ากลับทิศผิดท่ามาตีนก !. ............................... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พฤ.๒๖/๓/๕๒ ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/nowwarat/2009/03/27/entry-1 ======================= กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง การเมืองใหม่ ๏ การเมืองใหม่ ๏ ๏ ปฏิรูปสภารัฐ แล้วจัดตั้งสภาราษฎร์ สมบูรณาญาประชาชาติ เป็นประชาธิปไตย ๏ หนึ่งสภาตัวแทน สองสภาทางตรง ต่างอยู่ใต้ร่มธง ประเทศไทย ๏ คือสภาคู่ขนาน ต่างช่วยคานช่วยค้ำ ต่างถือธงแห่งธรรม เป็นธรรมาธิปไตย ๏ ช่วยกันเลือกตัวแทน และช่วยกันเลือกตัวเรา ร่วมกลมเกลียวกลมเกลา ร่วมเข้าใจ ๏ ช่วยกันเลือกที่จริง ช่วยกันทิ้งที่เท็จ ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือเศกได้ ๏ การเมืองเก่าเน่าขนาด ไม่อาจแก้ปัญหา ต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา เถิด การเมืองใหม่ !. ............................... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/nowwarat/2009/05/31/entry-1 ====================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง สภาไทย ๏ สภาไทย ๏ ๏ ปฏิรูปรัฐสภา สถาปนาการเมืองใหม่ ผู้แทนประชาไทย จะต้องแบ่งออกเป็นสอง ๏ หนึ่งคือเขตพื้นที่ ซึ่งต้องมีตามคัลลอง สองคือตัวแทนของ กลุ่มอาชีพเลือกขึ้นมา ๏ แบ่งเขตแบ่งพื้นที่ ตามที่มีตามอัตรา เลือกตั้งโดยประชา ไปตามเขตไปตามควร ๏ อาชีพอันหลากหลาย จำแนกไปเป็นกระบวน เลือกตั้งไปตามส่วน อันอาชีพจะพึงมี ๏ อนึ่งชนชาติส่วนน้อย และผู้ด้อยโอกาสดี เขาคือประชาชี พึงต้องมีตัวแทนเขา ๏ นี้คือสภาใหม่ สภาไทยผู้แทนเรา พึงรู้อย่าดูเบา สมบูรณ์แบบสภาจริง !. ............................... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/nowwarat/2009/05/24/entry-1 ===================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง พฤษภาประชาชน ๏ พฤษภาประชาชน ๏ ๏ สิบเจ็ดปีสิบเจ็ดพฤษภา จากสองห้าสามห้าถึงห้าสอง วิกฤติเหตุต่างขั้นต่างครรลอง ไม่ใช่จบที่เรียกร้องปรองดองดัน ๏ นั่นเป็นเรื่อง ?ขุนศึก? เล่นยึกยัก จึงเกิดมีผู้พิทักษ์ตั้งหลักมั่น นี่เรื่อง ?ทุนทรราช? ฉกาจฉกรรจ์ เข้าฮึกโหมโรมรันกินบ้านเมือง ๏ เป็นเรื่องร่วมทุจริตบิดตะกูด เรื่องอาจมหล่มคูถกับหนอนเขื่อง ฉกประชาธิปไตยไปยักเยื้อง ล้วนคือเรื่อง ?ตัวกู? และ ?ของกู? ๏ เป็นวิถีบันดาลการเมืองเก่า ในน้ำเน่าเขาวงกตน่าอดสู มุ่งเสวยอำนาจขจัดศัตรู ฉวยเข้าชูประชาชนปล้นประชา ๏ จะกี่ปีกี่เปลี่ยนก็เปลืองเปล่า ถ้ายังใช้วิธีเก่าแก้ปัญหา ถึงแก้บทแก้กฎกติกา ก็ฉีกไปใช้มาหน้าเดิมเดิม ๏ ปฏิรูปการเมืองยกเครื่องใหม่ จะต้องใช้พลังประชาเข้ามาเสริม พวกผีเน่าโลงผุต้องรุประเดิม ล้วนต้องเริ่มต้องรื้อด้วยมือเรา !. ............................... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/nowwarat/2009/05/17/entry-1 ===================
19 กรกฎาคม 2554 20:16 น. - comment id 125115
~ฝานซอกใจ ~ อยากจะผูกคอตายหมายพิสูจน์ แทนคำพูดเถียงปราชญ์ชาติต่างต่าง ว่ารักแบบบริสุทธิ์ดุจน้ำค้าง ยกเป็นอย่างเยี่ยงได้ไม่เคยมี กามเทพมีธนูอยู่สามดอก แผลงตรึกตรอกซอกใจเลือดไหลปรี่ แต่ละครั้งฝังสลักให้ภักดี โรยธุลีรักรัดหัทยา ดอกแรกเห็นเป็นไฟใหม้เริงผลาญ นามสะท้านสะท้อนธาตุปรารถนา จะร้อนรุมกลุ้มกลัดอัดอุรา ในดวงตาพร่าผุดจุดประกาย ดอกที่สองสรวมนามความอิจฉา จะวางท่าวางทีมีความหมาย แวดระวังตั้งแง่แต่ทางร้าย หิวกระหายหึงหวงหน่วงกมล ดอกสุดท้ายกลายวิโยคความโศกเศร้า พิษรักเร้าเผาแดเป็นแผลป่น คล่าวน้ำตาต่างนามตามยุบล ทิ้งขื่นข้นปนหวานเป็นถ่านไว้ ฉะนี้รักเร้นจอง ณ ห้องจิต โลมน้ำพิษและน้ำผึ้งจึงหวั่นไหว เหมือนคมมีดกรีดผ่านฝานซอกใจ มีม่านฝันและควันไฟในดวงตา ~โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์~ ========================= ~ความรักของ...เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์~ ความรัก ไม่ต้องการ แค่วันเดียว ความรัก ไม่ต้องเกี่ยว กับวันไหน ความรัก ไม่ต้องมี เวลาใด ความรัก ไม่ต้องใช้ ให้ใครชี้ ความรัก ไม่ต้องมี ข้อวิจารณ์ ความรัก ไม่ต้องการ การกดขี่ ความรัก ไม่ต้องให้ ใครตราตี ความรัก ไม่ต้องมี เส้นพรมแดน ความรัก ไม่ต้องรอ ข้อพิสูจน์ ความรัก ไม่ต้องพูด ตามแบบแผน ความรัก ไม่ต้องการ การตอบแทน ความรัก ไม่ต้องแค่น หัวใจคน ความรัก ไม่ต้องการ การเป็นต่อ ความรัก ไม่ต้องรอ ขอเหตุผล ความรัก ไม่ต้องย้ำ ความมีจน ความรัก ไม่ต้องทน ที่จะรัก ================== http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W2358358/W2358358.html ลูกข่าง ของเล่นและความรัก ฉันอกหักตามระเบียบเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่แววสังเวชซากเศษหวัง ธงปราชัยชักปราดขึ้นพาดบัง ความจริงจังทั้งสิ้นจึงชินชา เหวี่ยงลูกดิ่งทั้งสายด้วยปลายนิ้ว มันวู่หวิวลิ่ววงลงหวือหวา แล้วล้อสายร่ายกลับรับขึ้นมา เกลียวเชือกพาพันสายเป็นหลายเกรียว สัมผัสเนียนความหน่วงที่พวงนิ้ว เฉื่อยเฉื่อยฉิวฉิวโรยโรยเสียวเสียว เกลียวเชือกบิดสะบัดอยู่เพียงครู่เดียว ความแน่นเหนียวหน่วงสายคลี่คลายวง ในความหมุนวุ่นวายคล้ายลูกข่าง คือความว่างวิ่งวนบนความหลง อารมณ์เอิบเคลิบเคลิ้มเริ่มงวยงง เมื่อความคงที่กลายเกลียวสายใย สายสวาทขาดลงตรงจุดนี้ ความหวังคลี่คลายวงจากหลงใหล พลังรักลดตามความเป็นไป พันธะใจจึงสุดจะยุดยื้อ อารมณ์คือเครื่องเล่นเป็นนามรูป ย่อมวาบวูบเวียนตามความยึดถือ เมื่อใจแตกแหลกยับลงกับมือ ใครเล่าคือคนที่ขยี้มัน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ========================= น้ำตา ปาดน้ำตาจากแก้มแต้มกระดาษ เป็นประกาศกลอนแปดแผดศัพท์เสียง ทดความแค้นแทนความช้ำร่ำเจรียง ท้นเอ่อเพียงอกพังคั่งคับใจ เสียแรงออมอารมณ์ข่มความคิด คำน้อยนิดหนึ่งสะเทือนไม่เคลื่อนไข ใครจะหมิ่นเมินหมางก็ช่างใคร นี่ไฉนมาช้ำเพราะคำเธอ รักแสนรักภักดีกี่ปีแล้ว ทุกรอยแนวใจนั้นมั่นเสมอ เหมือนไม่พอพิสูจน์พูดสิเพ้อ ไหนจะเอออวยให้เข้าใจกัน อารมณ์เอ๋ยโอ้ว่าอารมณ์รัก หลายเลศนักนึกให้เหนื่อยใจฝัน เจ็บไม่จำทำลายค่ามาทุกวัน สารพันพยายามนะความรัก ขอบคุณ แด่น้ำตาปร่าปวดรวดร้าวนี้ และโศกที่สะเทือนใจได้ประจักษ์ รสอารมณ์ขมหวานที่พานพัก เพิ่มแรงผลักผลิตกลอนขจรขจาย น้ำตาหยดหนึ่งนี้มากมีค่า ประมวลมาเหมือนฝากมากความหมาย เตือนให้ลุกปลุกให้สู้อย่างผู้ชาย และระบายเลบงแต้มแก้มเวลา เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ======================= กรองกานท์ เบิกฝันบายศรี ขวัญที่ตกหาย อยู่ยางยูงราย พลัดพรายขวัญเจ้า เชิญมาสู่เมือง ย่างเยื้องขวัญเข้า อยู่เหย้าเนานอน ฟังกลอนกล่อมเอย ๚ วังเวงกลอนกล่อมมาเพลาดึก เสนาะนึกลำนำร่ำเฉลย เพลงเสภามาเตือนไม่เลือนเลย ลมรำเพยพัดเคล้าแต่เบาบาง ว่า โอ้พิมพ์นิ่มนวลของเณรแก้ว เจ้าไปแล้วจะรำลึกถึงพี่บ้าง ฤๅงามปลื้มแม่จะลืมน้ำใจจาง แต่ครุ่นครางครวญคิดจนค่อนคืน เสภาแผ่วแว่วผ่านผสานศัพท์ เอื้อนขยับย้ายทอดออดสะอื้น เสียงโทนทับกรับผสมมากลมกลืน อารมณ์รื่นเรื่อยฟังวังเวงใจ กระทั่ง แทบต้นกระทุ่มพุ่มชัฏ หลีกลัดเริงรามหนามไหน่ ค่อยย่องตามช่องพนมไม้ เข้าใกล้เห็นพิมพ์ผู้ดวงตา นั่งร้อยบุปผชาติสะอาดโฉม งามประโลมน่ารักเป็นหนักหนา จะดูไหนเปล่งปลั่งทั้งกายา ดังนางฟ้าลอยฟ้อนฉะอ้อนงาม จะใคร่ทักด้วยรักกำเริบทรวง ยังหนักหน่วงไม่เคยก็คิดขาม ปากสั่นหวั่นจิตแต่คิดความ ขยับปากแล้วก็คร้ามประหม่าใจฯ โอ้หวานนักน้ำคำที่ร่ำเรื่อง ไม่เปล่าเปลืองแรงจิตที่คิดไข เพลินคะนึงถึงพิมพิลาไล มนต์รักในไร่ฝ้ายมิคลายคลา อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา นางก้มอยู่กับตักซบพักตรา เฝ้าวอนว่าไหว้พลางพ่อวางพิมฯ ถวิลหวามความรักแรกมักร้อน จะผันผ่อนพิษไข้ไม่พออิ่ม กระนี้หนอหนุ่มสาวคราวแรกลิ้ม ก็เปี่ยมปิ้มสำลักกระอักใจ เงยหน้าขึ้นเถิดเจ้าพิมเพื่อน แก้มเปื้อนมาจะเช็ดน้ำตาให้ฯ ฟังสำนวนกระบวนถ้อยที่ร้อยไว้ แทบจะไขว่คว้าภาพกำซาบทรวง ครั้นครองคู่ชูชิดเหมือนมิตรใหม่ จะจากพิมเพียงใจให้เป็นห่วง ไม่ล่วงวันทันเดือนร้างเรือนรวง เกินตักตวงน้ำตามาบรรยาย รุ่งเช้าหนาวเสียงชะนีร้อง จะหวาดว่าเสียงน้องอยู่จนสายฯ โอ้พิมเพื่อนเหมือนจะสิ้นชีวินวาย เมื่อหนาวกายใครจะกอดให้พิมนอน ลมตระหลบกลบเสียงสำเนียงกล่อม เสนาะน้อมนึกเสน่ห์เสภาหลอน หลับไม่ลงงงงวยด้วยมนต์กลอน มาเสียดซอนซึมกมลจนตื่นตา ประกายกลอนกลเก็จเพชรน้ำเอก ที่สรรเศกสรวมร้อยสร้อยภาษา ขอกอบเก็บกานท์กรองของเก่ามา ประดับประดาเวี่ยไว้ในวงวรรณ ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้วฯ ขอฝากแก้วกรองกานท์บรรสานสรร ให้หอมหวนอวลกลิ่นกระแจะจันทน์ เป็นกำนัลน้ำใจด้วยไมตรี เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เสภาเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ========================= บนนิ้วนางของกาลเวลา มาจะเห่เสภาช้าเจ้าหงส์ ปีกเจ้าอ่อนร่อนลงที่ดงฝ้าย หอมดอกไม้มาผสมเมื่อลมชาย หอมละม้ายเหมือนเนื้อเจ้าเจือจันทน์ หลับตาเถิดที่รักเพื่อพักผ่อน ฟังเพลงกลอนพี่กล่อมถนอมขวัญ มีกลอนไทยธรรมดามาจำนรรจ์ สารพันเพ้อพล่ามไปตามใจ พระจันทรจรแจ่มกระจ่างแจ้ง ส่องแสงช่อชูดูไสว นางแย้มแย้มยิ้มอยู่ริมไพร เหมือนทีไร่ฝ้ายพิมเจ้ายิ้มแย้ม ซ่อนชู้ชูช่ออรชร เหมือนเราซ่อนเป็นชู้คู่แฉล้ม ซ่อนกลิ่นส่งกลิ่นประทิ่นแกม เหมือนกลิ่นแก้มโฉมยงเมื่อส่งตัว เล็บมือนางกางกลีบกระทัดรัด เหมือนมือเจ้าปรนนิบัติพัดวีผัว บานเย็นบานสะพรั่งฝั่งสระบัว เหมือนเย็นเจ้าเย้ายั่วอยู่กับน้อง มะลิวัลย์พันระกำขึ้นแกมจาก ได้สามวันกรรมพรากไปจากห้อง จำปีเคียงโศกระย้าผกากรอง พี่โศกเศร้าเฝ้าตรองกว่าสองปี อบเชยเผยกลิ่นกลั้วสุกรม วันนี้ได้เชยชมสมสุขพี่ สาวหยุดกุหลาบอาบอวลดี ขอหยุดชมจูบที เถิดสาวน้อย โอ้ว่าวันหวานฉ่ำเหมือนจำได้ ลงเล่นน้ำดำไล่ในสระสร้อย หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย เด็ดสายบัวหักห้อยเป็นสร้อยบัว วิมานไม้ชายสระพระไทรโศก ใบช่วยโบกบังเดือนเลือนสลัว หนาวน้ำค้างน้ำคำฉ่ำระรัว กลัวแสนกลัว กลัวสลายกระจายไกล นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว คีรีรอบขอบเคียงเหมือนเวียงชัย อยู่ร่มไม้เหมือนปราสาทราชวัง เคยสำเนียงเสียงนางสุรางค์เห่ มาฟังเรไรแซ่ต่างแตรสังข์ เคยมีวิสูตรรูดกั้นบนบัลลังก์ มากำบังใบไม้ในไพรวัน หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์ ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย เดือนจะดับดวงไปในความมืด ดาวจะชืดจืดแสงแห่งหิ่งห้อย ชวาลาจะลาดับไปลับลอย และเวลาเริ่มคล้อย ค่อยค่อยคลาย ลืมตาเถิดที่รัก พักเหนื่อยแล้ว มาชมแก้วเกลื่อนทางเขาวางขาย สิ้นสุนทรท่านแล้วแก้วกระจาย เศษกรวดทรายก็เกลื่อนแสงขึ้นแข่งแวว เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ======================== "ใบศรี" เหมือนไข่มุกเมื่อหล่นบนจานหยก วณิพกพ่ายสิ้นเพียงยินเสียง มธุรสโอษฐ์ฉะอ้อนประอรเอียง ดาลเผดียงดาเลศเนตรอนงค์ รอยลักยิ้มริมแก้มเมื่อแย้มยิ้ม พิศยิ่งพิมพ์ใจพึงตะลึงหลง ช้อนชม้ายชายมาพาพะวง อยากผจงจุมพิตสนิทนวล เกล้ากระหวัดรัดเกี้ยวเกลียวเกศแก้ว รอยไรแนวเนียนระดับรับถี่ถ้วน เจ้าปักปิ่นปัทมาค่าเคียงควร ชดช้อยชวนเชยหวังระวังแวง เทียบทุกคำที่เขียนคือเทียนไข ผู้เผาไหม้ตัวเองเพื่อเปล่งแสง ยิ่งค่าความงามเทิดเจิดแจรง ยิ่งเสียดแทงหัทยางค์ให้ร้างเลย อย่าให้เหมือนใบศรีที่เบิกขวัญ พอเสร็จพลันเป็นใบตองนะน้องเอ๋ย ถนอมหน่อยอย่าลอยร้างไปอย่างเคย เก็บไว้เชยเมื่อช้ำเช็ดน้ำตา ฯ ( คำหยาด - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) =============================== ฉิมพลี จะกอดแก้วด้วยกลอนขจรกรุ่น เป็นอกหนุนอุ่นเนื้อเมื่อนอนหนาว แล้วร้อยดาวเรียงดวงเป็นรวงดาว สว่างพราวกะพริบพริ้มชมฉิมพลี ประจงจูบกลางใจไกลกระเจิด ลอยเตลิดล่องหล้ามาเรื่อยรี่ อิสินธรผ่านสุทัศน์ข้ามนัทธี พี่จะชี้พลางเชิญให้เพลินชม สีทันดรจรดลลอยด้นดั้น หลากสีสันชลาลัยพิไลสม หมู่มังกรนาคเกี้ยวกันเกลียวกลม ติมิงค์ล่มธารหลั่งถั่งทลาย ครั้นข้ามพ้นสัตตภัณฑ์ทิวบรรพต ประมาณหมดพระสุเมรุเขม้นหมาย วิทยาธรเยือนเหมือนนิยาย คนธรรพ์รายอสุรินทร์กินรา เลียบวิมานโลมละไมในนิมิต อันโสภิตวิจิตรพ้นบนเนินผา แล้วดำดั้นอโนดาตดาษดา บุษบาเบิกบานสะท้านใบ พลันฉิมพลีวิมานไพรไม้งิ้วผัน ทั่วทวีปหิมวันต์ก็หวั่นไหว วิชชุแปลบแปลบ เปรี้ยง เปรี้ยงเปรี้ยงไป จนอ่อนใจกระเจิงจัดอัศจรรย์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ===================== คืนหนึ่งในแควน้อย แพไม่ไผ่ไหลผ่านน่านน้ำน้อย ระเรื่อยลอยหลามหลากจากป่าเปลี่ยว ผ่านเงื้อมผาผงาดง้ำน้ำควั่นเกลียว เกาะ แก่ง เรี่ยว เลี้ยวอ้อมค้อมคุ้งแคว เดือนลอยทวนทิวฟ้าขึ้นมาแล้ว ประกายแพรวพรายระยับจับกระแส ไกลแสนไกลในสายหมอกระลอกแร เรืองร่างแหหิ่งห้อยพร้อยไม้น้ำ ในดงดึกลึกเร้นเห็นทิวเขา เป็นเงาเงางำทับชระอับอ่ำ หมู่ยางยูงยืนซึมอยู่คลึ้มคล้ำ ยะเยียบฉ่ำเฉียบหนาว ณ ราวไพร หริ่งเรไรร่ายไม้พิไรกล่อม ประโลมอ้อมราตรีที่หลับใหล นกละเมอเพ้อผวามาไกลไกล แพไม้ไผ่ผ่านเลียบอย่างเงียบงัน ภาพเช่นนี้นึกเห็นเป็นเพียงภาพ ยังกำซาบซึ้งจิตยามคิดฝัน คิดถึงคนเคยพร่ำเพ้อรำพัน เมื่อไรกันคืนเช่นนี้จะมีมา โอ้แม่กลองเมืองกาญจน์บันดาลจิต ให้หวนคิดคืนครองแม่กรองจ๋า อย่าหลงมนต์เมืองเขาเจ้าพระยา เพี้ยง วาจาจงขลังยินยังเธอ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ===================== แปดสิบปีรพีพร ....ถ้วนแปดทศวรรษ แห่งสุวัฒน์วรดิลก ปากกาปกาศก ประกาศสัจธรรมสมัย ...ผ่านยุคอันยงยุทธ์ แลผ่านบุษปมาลัย ผ่านใจมาสู่ใจ ผู้ประจักษ์ทิพอักขรา ...มีกระดาษเป็นมงกุฎ มีอาวุธเป็นปากกา มีฉัตรเป็นประชา มีบัลลังก์เป็นหนังสือ ...เป็น "ศิวะ รณชิต" รุทธิฤทธิ์อันบันลือ "รพีพร" ขจรระบือ "สุวัฒน์ วรดิลก" นาม ...เป็นแสงแห่งศรัทธา เป็นปัญญาสง่างาม เป็นศรีแห่งสยาม แลเป็นศักดิ์แห่งศิลปิน ...เป็นนามอันอมตะ ผู้ทระนง ณ ธรณิน เป็นดาวแห่งแผ่นดิน ประดับไว้ในใจนิรันดร์. เนวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ข้างคลองคันนายาว, เดลินิวส์ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ===================== สวัสดีบัณฑิต จากหนังสือ "คำหยาด กว่าที่วันเช่นวันนี้จะมีนั้น เราผ่านวันอันหนักมานักหนา และระหว่างวันวารที่ผ่านมา คือศรัทธาสีทองของชีวิต หอมกลิ่นร่ำจำปีที่ชะฝน เหมือนมิ่งมนต์มาร้อยสร้อยสายจิต กลีบน้ำแก้วแวววามความเป็นมิตร หล่อความคิดความหวังเราตั้งไว้ ช่อฉัตรคูนเหลืองระย้าในหน้าหนาว ระฆังดาวเริ่งดังกังวานไหว ลมหนาวล่องโรยละมุนอุ่นแรงใจ ทางที่ไกลใกล้เห็นเป็นความจริง ดนตรีจากเจ้าพระยามาขับกล่อม เพลงสนพร้อมผิวลมพรมอ้อยอิ่ง ร่มวันในหน้าร้อนผ่อนพักพิง ความหวังยิ่งพริ้งเพริดนำเชิดชู เราผ่านวันอันหนักมานักหนา ในรั้วอาณาจักรของนักสู้ ช่วงความหวังคืนวันหากหันดู คล้ายเดินดูในระหว่างทางม้าลาย ด้วยรอยแย้มยิ้มละไมในวันนี้ เสื้อคลุมสีดำพลิ้วริ้วเฉิดฉาย หางนกยูงยอดรักร่วงทักทาย เหลืองแดงรายรับขวัญบัณฑิตโดม ============================= เพลงขลุ่ยเหนือทุ่งข้าว เป็นบทกวีของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่จดจำได้ ถ้าจำไม่ผิด ตีพิมพ์ครั้งแรกใน วารสาร พาที ราวปี พศ. ๒๕๒๐ "วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ ปลูกตาลโตนดเจ็ดต้น เจ้าขุนทองไปปล้น ป่านฉะนี้ไม่เห็นมา" ขลุ่ยข้าครวญหวลโหยระโอยโอด พิไลโรธนาการสะท้านพร่า เป่าคำหอมเหินลิ่วขึ้นปลิวฟ้า แล้วทอดช้าเฉื่อยฉ่ำประจำยาม พอพระพายชายพัดก็ชัดชื่น ยิ่งดึกยิ่งดื่นไม่ขื่นขาม ทุ่งนี้นานี้มีนาม ของหวงเขตห้ามอย่าข้ามกัน ข้าวงามน้ำดีทุกปีมา แผ่นดินข้าข้าก็รักหนักมั่น ปู่ย่าพ่อลูกผูกพัน เลือดเนื้อทั้งนั้นที่ในดิน ใบข้าวพลิ้วพริ้วระเนนเป็นคลื่นข้าว ใบตาลกราวกรากลมระงมถิ่น กระท่อมน้อยคร่ำคร่าอยู่อาจิน หอมกลิ่นข้าวใหม่มาจางจาง คดข้าวใส่ห่อไปรอรับ ขุนทองเจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง เพลงขลุ่ยแผ่วครื้นสะอื้นคราง ไม่มีร่างไม่มีเงาเจ้าขุนทอง ตะวันรุ่งเรื่อแลงจนแดงเลือด แผ่นดินเดือดคูน้ำก็คล้ำหมอง เพลงขลุ่ยขาดห้วงท่วงทำนอง เสียงตะโกนกู่ก้องมาไกลไกล เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ========================== เนาวรัตน์ ร่ายสดในเวทีอภิปราย "มีเม็ดทรายนับไม่ถ้วนจำนวนทราย คนทั้งหลายนับไม่ถ้วนในคุณค่า เม็ดทรายแกร่งก็เพราะผ่านกาลเวลา คนจะกล้าก็เพราะผ่านการอดทน ถ้ามือเราแบวางอยู่อย่างนี้ โลกจะหยุดอยู่กับที่ทุกแห่งหน แต่ถ้ามือกำหมัดในบัดดล โลกจะหมุนเริ่มต้นตามมือเรา" เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ================================= ขอกายเจ้าจงเป็นเช่นต้นไม้ ยืนอยู่ได้โดยภพสงบนิ่ง เพื่อแผ่ร่มและเป็นหลักให้พักพิง แต่งดอกพริ้งผลัดฤดูอยู่ชั่วกาล และใจเจ้าจักเป็นเช่นสายน้ำ ใสเย็นฉ่ำชื่นแล้วไหลแผ่วผ่าน เพื่อเลี้ยงชีพชโลมไล้ให้เบิกบาน เพียงพ้องพานผิวแผ่วแล้วผ่านเลย ======================== http://www.kaweeclub.com/b28/t414/15/ ...... แม่พิมพ์ใจ ........ จากหนังสือ รวมบทกวี "คำหยาด" ของ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ หาดทรายนิ่มพิมพ์ใจใครคนหนึ่ง คนผู้ซึ่งแสนรักเธอหนักหนา ทุกเม็ดทรายคือทุกคำจำนรรจา หนักกว่าฟ้าหนากว่าน้ำล้ำแผ่นดิน จะถักร้อยสร้อยทรายสายสวาท ขออำนาจปรารถนาอย่ารู้สิ้น ดนตรีคลื่นครื้นเครงต่างเพลงพิณ กล่อมให้ยินและให้ย้ำคำว่ารัก หัวใจเธออยู่ที่นี่หรือที่ไหน โปรดฟังใจฉันแจงแจ้งประจักษ์ แม้ใจสองพ้องใจได้พิงพัก จะสลักรักล้นบนฟองทราย เพลงสนพริ้วหวิวว่าเชิญมาพัก ฟังเพลงรักลอยลมชมเดือนหงาย ทิวมะพร้าวแผ่วพยักโบกทักทาย เล่านิยายแย้มยวนชวนใจพิมพ์ ฝันว่าเธอทอดร่างกลางเกลียวคลื่น แล้วเริงรื่นระรวยกายบนทรายนิ่ม เพลงจุมพิตแผ่วประทับหลับตาพริ้ม และเดือนยิ้มแย้มละไมในฟากฟ้า หาดทรายนิ่มพิมพ์ใจใครคนนั้น คนผู้ฝันใฝ่รักเธอนักหนา แผ่นทรวงทรายซับคลื่นสะอื้นลา คือดนตรีแห่งน้ำตามาพิมพ์ใจ =================== ...ตรงมุมที่ไม่มีใครเอาใจใส่..... บทประพันธ์ของ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ จากหนังสือ คำหยาด ฝันถึง.... ฝ่ามือหนึ่งซึ่งลูบไล้บนใบหน้า ด้วยความรักและปรานียิ่งชีวา จะหลับตาผ่อนพัก บนตักนั้น เมื่อเวลาที่คอยคล้อยมาถึง วันนั้นซึ่งสดใสเหมือนในฝัน อากาศคงสดชื่นในคืนวัน ลมคงผันพัดเอื่อยเฉื่อยเฉื่อยโชย เสียงเห่กล่อมเป็นลำนำด้วยคำเพราะ หวานเสนาะเจื้อยแจ้วคงแผ่วโผย มาเอื้อปลุกปลอบปลิดที่อิดโรย ลบระโหยรอยระแหง แห่งชีวิต เพื่อบางทีฉันคงหลับลงได้ บนตักใครคนหนึ่งผู้ซึ้งจิต พร้อมฝ่ามือไล้เลื่อนเหมือนนิมิต ด้วยความรักกล่อมสนิทให้นิทรา ขณะดาววาววิบพริบตาถี่ และเดือนที่ยิ้มละไมในเวหา ฉันทรุดลงตรงนี้หรี่หลับตา ฝันถึงมือนั้นมา พยาบาล ====================== รถด่วนเที่ยวสุดท้าย .... จาก หนังสือ"คำหยาด" บทประพันธ์ของ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เพียงคิดพลาดคาดผิดไปนิดหน่อย คุณต้องพลอยคอยค้างบนทางเปลี่ยว โอ้อาภัพอับจนเพียงคนเดียว จะนึกเหลียวไหนเล่าน่าเหงาใจ เพราะหลงเด่นเล่นตัวมัวถือสิทธิ์ ทะนงจิตคิดเลือกและเสือกไส จนโอกาสพลาดหมดรถผ่านไป จึงตื้นใจตันจิตอนิจจา เสียดายเอยเคยหวงอ้อมทรวงอุ่น หมดละมุนเมื่อขาดปรารถนา เสียดายฝันอันสวยด้วยศรัทธา หมดคุณค่าฝันค้างร้างคนครอง ต่อนี้ไปใจคุณจะครุ่นคิด สำนึกสิทธิ์ขอบเขตเพศสนอง ประตูรั้วหัวใจใช่คานทอง สลักคล่องช่องกว้างคือทางดี ละพยศลดทะนงลงเสียบ้าง เปิดหนทางพลางคอยไม่ถอยหนี รอรถหลงคงเหลือถ้าเผื่อมี คว้าทันทีที่หมายท้ายขบวน โอ้ดาวเลือนเดือนรางบนทางเปลี่ยว เพียงดายเดียวดึกลงคงกำสรวล คอยจนท้อชะลอฝันอย่างรัญจวน คอยรถด่วนขบวนเดียวเที่ยวสุดท้าย ======================= ...มาลัยลั่นทม...... บทประพันธ์ของ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ จากหนังสือ คำหยาด ลั่นทมบานหว่านรายชายเฉลียง คิดถึงเสียงสังคีตกรีดผสาน หอมกลิ่นเย็นมาเยือนเหมือนวันวาน เคยคลอขานขลุ่ยรับเสียงขับครวญ เอื้อนกังวานหวานทอดออดสะอื้น หลับตาตื่นใจฝันให้ปั่นป่วน ว่าหอมดอกราตรีเคยชี้ชวน โอ้ลำดวนจะด่วนร้างไปห่างกัน ลมหนาวปรายส่ายสั่นลั่นทมอ่อน อารมณ์ว่อนวุ่นเหลิงกระเจิงขวัญ หนาวสำนึกอยู่ฉะนี้ทุกวี่วัน ทิพย์สุคันธาเอ๋ยเจ้าเคยลอย ลั่นทมดอกน้อยนี้มีเจ้าของ เกินจะปองจองปลิดจำจิตปล่อย หอมแต่กลิ่นยินแต่ลมตรมแต่น้อย ชื่นก็คอยคิดเตือนเลือนระงับ เก็บดอกฉ่ำน้ำค้างกลางกอหญ้า วาสนาเราหนอเพียงคลอขับ รวยรวยรื่นชื่นเชยจะเลยลับ ยิ่งนับนับวันเนิ่นเหินห่างไกล อนาถ ชอบแต่วาดวิมานหวังเพื่อพังไหว พิษผิดหวังทั้งรู้อยู่กับใจ เมื่อมาได้ระทมก็สมแล้ว =========================== เดือนดับในดวงตา บทกวีของ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ จากหนังสือ คำหยาด ให้คิดถึงเพียงใดใจจะขาด ก็มิอาจไปตามความคิดถึง ห้ามมาหาแต่อย่าห้ามความคะนึง จะดื้อดึงโดยถ้อยร้อยรำพัน คิดเสมอเมื่อใจใฝ่ถึงเขา สายตาเศร้าเฝ้าเตือนว่าเหมือนฝัน แววอาวรณ์อ่อนหวานผสานกัน เหมือนจำนรรจ์จำนนท้นอาลัย จะตัดพ้อต่อว่าประสารัก ใจก็ทักท้วงห้ามตามวิสัย จงมองตาตาจะเตือนว่าเหมือนใจ ถ้าแจ้งได้ก็จะแจ้งไม่แฝงเงา รู้ทั้งรู้ว่ารักจักให้ทุกข์ ใจยังรุกเร้าหลอกให้บอกเขา ช่างไม่เข็ดหรือไรนะใจเรา เขามีเจ้าของแล้วในแววตา เคยนั่งเศร้าเดาใจเธอไม่ออก จนตาบอกบ่งเล่ห์เสน่หา ใจที่หวังพลั้งผิดระอิดระอา วอนตาอย่าเยือนผสานแววหวานเลย =========================== ๏ กรรมซ้ำกรรมซัด ๏ ๏ ความผิดมิใช่เกิดจากกฎหมาย ความร้ายมิใช่เกิดจากกล่าวหา ความเลวมิใช่เกิดจากดวงชะตา ความชั่วช้ามิใช่เกิดจากดวงดาว ๏ ทำผิดก็เพราะตนปล้นกฎหมาย ทำร้ายเพราะตนทำใช่คำกล่าว ทำเลวเพราะตนเลวทุกเรื่องราว ทำชั่วสาวสู่ตนเพราะตนทำ ๏ ทำดีมันก็ดีอยู่ในตัว ทำชั่วมันก็ชั่ววันยังค่ำ ใช่ทำชั่วได้ดีที่เลิศล้ำ ทำชั่วกลับได้นำเป็นความดี ๏ ทำชั่วฉ้อโกงกลืนหมื่นแสนล้าน ก็ประจานเงินชั่วทั่วทุกที่ เป็นชั่วหมื่นแสนล้านประมาณมี ชั่วจะตีตราชั่วกับตัวเอง ๏ จึงทำชั่วย่อมชั่วทำดีดี ไม่ต้องมีใดระดมมาข่มเหง ให้อุ้มตนอุ้มตัวชั่วกระเตง ไปตามเพลงวิปริตผิดทำนอง ๏ ?กรรม? ก็คือ "การกระทำ" ที่ย้ำชี้ ทำดีดีชั่วชอบตอบสนอง ทำอย่างไรได้อย่างนั้นตามครรลอง อย่าลำพองก่อกรรมชั่วซ้ำเลย!. =========================== ๏ แด่แม่พังกำไล ๏ ๏ "พ่อเมื้อเมืองคง เอาพงเป็นเหย้า อึดปลาอึดเข้า ขวัญเจ้าตกหาย ๏ ขวัญอ่อนร่อนเร่ ว้าเหว่สู่กาย อยู่ปลายยางยูง ท้องทุ่งท้องนา ๏ ขวัญเผือเมื้อเมิน ขอเชิญขวัญพ่อ ฟังซอเสียงอ้อ ขวัญพ่อเจ้าจ๋า ๏ ข้าวสวยเต็มพ้อม ข้าวป้อมเต็มป่า ขวัญเจ้าจงมา สู่กายพลายเอยฯ" ๏ แม่พังกำไล คัลไลสู่ฟ้า ถิ่นเหย้าทุ่งหญ้า แม่ลาแม่เลย ๏ จำโซ่จำสาย ค่ายเก่าคาเกย งวงงาง่าเงย ระงมกันตรึม ๏ โลกแล้งแรงฤทธิ์ วิกฤติกล่นเกลื่อน สูรย์จันทร์ฟั่นเฟือน เดือนดับทับทึม ๏ แม่สืบแม่สร้าง กลางกาลอึมครึม กลางโหดกระหึ่ม ย่างยาตรหยัดยง ๏ บุญคุณแม่นัก ปกปักรักษา เป็นบ้านเมืองมา จากป่าจากดง ๏ ตกทุกข์ตกยาก ประจากประจง ใครเลยเล่าหลง ลืมพังกำไล ๏ สะเนงเกลกู่ฟ้า มารับแม่พัง เถิดอยู่เถิดยัง หมดห่วงบ่วงใย ๏ ขวัญแม่มาอยู่ คู่แผ่นไผทไทย ใจใครฤาใหญ่ เท่าใจแม่พัง ====================== ๏ เจ้ากรรม-นายเวร ๏ ๏ เจ้าก่อกรรมทำกรรมเป็นความผิด ทุจริตบ้านเมืองถึงเคืองเข็ญ ล้วนสาหัสมากมายหลายประเด็น เจ้าจึ่งเป็น ?เจ้ากรรม? มิใช่ใคร ๏ ผู้รับกรรมซ้ำซากอยู่หนักหนา คือประชาตาดำดำถูกยำใหญ่ ส่วนนายผู้รู้เห็นความเป็นไป แต่ไม่ยอมทำอะไรแหละ ?นายเวร? ๏ เจ้าก่อกรรมจะ ?ตัดกรรม? กระไรได้ ตกกระไดพลอยโจนโดนตาเถร เล่นคว่ำบาตรหงายบาตรประหลาดพิเรนทร์ ไม่เคยมีก็มาเกณฑ์ให้เป็นมี ๏ มารับผลกรรมเก่าเถิด ?เจ้ากรรม? มารับโทษที่กระทำขะลำผี เทวดาฟ้าดินได้ยินดี เป็นเศรษฐีฟอกถ่านอายบ้านเมือง ๏ ส่วน ?นายเวร? เล่นอะไรยังไม่รู้ จะออกหมู่ออกจ่าล้วนหน้าเหลือง กระดานเก่าหมากเก่าก็เปล่าเปลือง เป็นขิงอ่อนเคี้ยวเอื้องเยื้องยึกยัก ๏ สงสารแต่ปวงประชาต้องหน้าดำ ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติหนัก ระวังเถิด ?นายเวร? เล่นล้วงลัก จะถูกผลัก ให้เป็น.... ไอ้เวรตะไล!. =============================== ๏ ไวรัสโลก ๏ ๏ เชื้อไวรัสหวัดร้ายใช้หน้ากาก ปิดจมูกปิดปากพอป้องได้ แต่งูพิษฤทธิ์ร้ายที่ในใจ ใช้อะไรป้องได้ไม่รู้เลย ๏ รู้ระมัดหัดระวังล้างมือก่อน กินของร้อนช้อนกลางอย่าวางเฉย พอขจัดหวัดได้สบายสะเบย ป้องงูร้ายส่ายเสย นี่สุดรู้ ๏ ให้เห็นผิดเป็นถูกไปทุกเรื่อง เอาการเมืองเขื่องข้อเข้าต่อสู้ จะโกงบ้างช่างปะไรอย่าไปดู ขอได้อยู่ได้กินก็ยินดี ๏ นี่คืองูพิษร้ายฉิบหายนะ เห็นสวะเป็นสวรรค์อันผิดที่ เอาเงินเป็นพระเจ้าเข้าต่อตี วิปริตผิดวิธีที่ควรเป็น ๏ ว่าไวรัสหวัดร้ายพอได้ยล ไวรัสคนคุกคามยิ่งย้ำเข็ญ ปล่อยให้โลกบอบช้ำระยำเย็น จะเน่าเหม็นไปทั้งเวิ้งจักรวาล ๏ ดวงอาทิตย์จึงชักหน้ากากปิด กันโลกพิษแพร่ภัยไวรัสผ่าน ให้หมู่ดาวป้องกันโลกอันธพาล โดยบันดาลสุริยคราส ประกาศเตือน !. =========================== กระทงเอ๋ยกระทงทุน โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ๏ กระทงเอ๋ยกระทงทุน พอเงินหมุนเจ้าก็ลงกระทงเหมา มากลายเป็นกระทงที่หลงเงา ลอยอยู่ในคลองเก่าเน่าน้ำลาย ๏ เอาบ้านเมืองมาเล่นเป็นผักปลา พิสูจน์ด้วยราคาที่ซื้อขาย นายทุนลอยกระทงทุนอยู่วุ่นวาย กระทงทุนท้าทายคนไทยเอยฯ ๏ กระทงเอ๋ยกระทงทาส สนตะพายผูกขาดอนาถหนอ ล้วนเขากางตั้งคอกไว้คอยรอ ใครคอกใหญ่ก็เป็นต่อได้ตั้งเมือง ๏ กระทงทาสร้อยทาสสมมาดหมาย กระทงสายผูกสายไปต่อเนื่อง ทั้งธูปเทียนใบตองต้องเปล่าเปลือง รังแต่เรื่องรกขยะกระทงเอยฯ ๏ กระทงเอ๋ยกระทงไท อยู่ที่ไหนหนอกระทงจงเป็นหลัก จงเรืองแรงแห่งเทียนเวียนพิทักษ์ ช่วยกันผลักกระทงทาสกระทงทุน ๏ จงใจไททุกไทยไสวสว่าง เพ็ญนภางค์กระจ่างตาไร้ฝ้าฝุ่น จงฝ่าคลื่นฝนลมรู้สมดุล ช่วยเจิมจุนใจไทยเป็นไทเอยฯ. ======================== กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง รากเลือด มีเลือดต้องมีเนื้อ มีเนื้อหามีเหตุผล มิใช่เลือดละเลงมนต์ เป็นมนต์ดำดั่งสำแดง มิใช่ของที่ต่ำช้า มาราดรดสยดแสยง เลือดเนื้อและเหงื่อแรง แหละควรค่าอันคนคง มิใช่ใช้มาเชิดชั่ว ให้เลือดตัวต้องตกลง เซ่นวักสังเวยองค์ อวมารที่โกงเมือง ผิดกฎว่ากฎผิด เข้าตะบิดตะแบงเบือง เอาคนมาเป็นเครื่อง บูชาทุนอันสามานย์ เสียดายทุกสายเลือด ล้วนทรงค่ามหาศาล มาอุจาดประจานพาล จำเพาะคนเพียงคนเดียว ! รากเลือด วันอาทิตย์ ที่ 21 มีนาคม 2553 เวลา 0:00 น ==============================
26 กรกฎาคม 2554 22:51 น. - comment id 125239
จดหมายเหตุประเทศไทย
26 กรกฎาคม 2554 22:52 น. - comment id 125240
1........ ในคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ (มีนาคม สิงหาคม 2489) เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ในวาระปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดสุดท้ายตามรัฐธรรมนูญ ฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ดังมีเนื้อหาสำคัญบางตอนว่า ● นายกฯ ปรีดีเริ่มด้วยการน้อมสำนึกและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ● ท่านอธิบายย้อนหลังไปถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ว่าคณะราษฎรมารู้ภายหลัง ยึดอำนาจแล้ว 6 วันว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่ แต่ทรงถูกที่ปรึกษา ข้าราชการชั้นสูง และ บุคคลคนหนึ่ง ทัดทานไว้คณะราษฎรมิได้รู้พระราชประสงค์ มาก่อน จึงทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปโดยบริสุทธิ์ใจ มิได้ช่วงชิงกระทำดังที่มีผู้ปลุกเสกข้อเท็จจริง ให้เป็นอย่างนั้น ● ท่านขอซักซ้อมความเข้าใจถึงหลักประธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งคณะราษฎรได้ขอพระราชทาน มาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ประชาธิปไตยต่างจากอนาธิปไตย , มีผู้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยผิด เอาอนาธิปไตยเข้ามาแทนที่ นับเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ● ประชาธิปไตยนั้นมีระเบียบ ยึดตามกฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ● ส่วนอนาธิปไตยขาดระเบียบ ขาดศีลธรรม กฎหมายและความซื่อสัตย์สุจริต ใช้สิทธิเสรีภาพ โดยไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมายหรือศีลธรรม โดยไม่สุจริต ก่อให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ● ที่สำคัญเมื่อประชาธิปไตยเสื่อมก็นำไปสู่ อนาธิปไตย เผด็จการฟัสซิสต์ ในที่สุดเหมือนอิตาลีสมัยมุสโสลินี ● ฉะนั้นหากไม่เอาเผด็จการ ก็ต้องป้องกันขัดขวางอนาธิปไตย ต้องให้ประชาธิปไตยมีระเบียบเรียบร้อย ● ข้าพเจ้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลายมาเป็นศัตรูของระบอบประชาธิปไตย...ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ ที่จะให้ผู้ใดเชื่อข้าพเจ้า โดยไม่มีค้าน ข้าพเจ้าต้องการให้มีค้าน แต่ค้านโดยสุจริตใจไม่ใช่ปั้นข้อเท็จจริงขึ้น ● เมื่อสุจริตใจถึงต่างแนวทางก็ร่วมมือกันได้ แม้แนวทางที่จะเดินไปสู่จุดหมายจะเป็นคนและแนว แต่ในอวสานเราก็พบกันได้ ตัวนายกฯ ปรีดีเองกับเจ้านายหลายพระองค์ต่างแนวทาง แต่เพื่อส่วนรวม ของประเทศชาติเหมือนกัน ก็ร่วมมือกันได้ ถึงบางท่านจะต่อต้านคณะราษฎร แต่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าจริงก็ร่วมมือกันได้ เพราะนายกฯ ปรีดี เคารพในความซื่อสัตย์ หากตัวร้ายคือพวกที่อ้างชาติบังหน้า แต่ความจริงทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว อิจฉาริษยา ● โดยสรุป นายกฯ ปรีดีปฏิเสธอนาธิปไตยและเผด็จการ ท่านเรียกร้องให้สร้าง ระบอบประชาธิปไตย พรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ
26 กรกฎาคม 2554 22:55 น. - comment id 125247
วันนี้ดึกเช่นเคย แต่แวะมาจารจดหมายเหตุไว้ ต่อจากเมื่อครู่
26 กรกฎาคม 2554 22:56 น. - comment id 125248
ทว่ากระบวนการสร้าง ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ ที่นายกฯ ปรีดีคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (9 พฤษภาคม พ.ศ.2489) อันท่านถือว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ เพราะพฤฒสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนเป็นผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้นมา อีกทั้งพฤฒสมาชิก สมาชิกสภาผู้แทน และรัฐมนตรีต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ (มาตรา 24 , 29 , 66) นั้น ต้องประสบโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่และสะดุดหยุดชะงักไปเนื่องด้วยกรณีสวรรคตด้วยพระแสงปืนของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 หลังจากนั้นบ้านเมืองก็ระส่ำระสาย มีผู้ฉวยโอกาสจากกรณีสวรรคตปั้นเรื่องมดเท็จกล่าวร้ายป้ายสีอาจารย์ปรีดีและพวก ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกขยายตัวรุนแรงกว้างขวางออกไป ท่ามกลางภาวะวิกฤติเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพงโจรผู้ร้ายชุกชุม นักการเมืองและข้าราชการทุจริตคอร์รัปชั่น และนายทหารถูกปลดประจำการถึงราว 1 ใน 5 ของทั้งหมดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ระบบการเมืองไทยก็ย่างเข้าสู่สภาพการณ์วิกฤติที่ : 1. ชนชั้นนำสูญเสียฉันทมติว่าอะไรคือเป้าหมายร่วมกันของบ้านเมือง (the loss of elite consensus) 2. ระบอบการเมืองต่างๆ ที่ผ่านมาล้วนขาดพร่องความชอบธรรมในสายตากลุ่มพลังการเมืองสำคัญ ไม่กลุ่มใดก็กลุ่มหนึ่ง (the lack of political legitimacy) 3. ความรุนแรงและฆาตกรรมทางการเมืองกลายเป็นวิธีการที่ทุกกลุ่มฝ่ายใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยไม่เคารพกฎกติกาทางการเมือง (political violence & murders) 19 พฤษภาคม พ.ศ.2490 พรรคประชาธิปัตย์เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายกฯ ถวัลย์ 7 วัน 7 คืน โดยถ่ายทอดเสียงการประชุมทั่วประเทศ แม้รัฐบาลถวัลย์จะชนะเสียงไว้วางใจในสภาฯ (86:55 งดออกเสียง 16 คน) และได้กลับมาบริหารประเทศต่อ แต่ความน่าเชื่อถือก็เสื่อมทรุดลงในสายตาสาธารณชนอย่างหนัก เมื่อประกอบกับการปลุกม็อบเคลื่อนไหวโค่นรัฐบาลนอกสภาฯ ของกลุ่มฝ่ายต่างๆ ก็ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะอนาธิปไตยไปทุกที่ ในที่สุดคณะรัฐประหารอันประกอบด้วยอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่นอกราชการ (เช่น พลโทผิน ชุณหะวัณ , นาวาเอกกาจ เก่งระดมยิง , พันเอกเผ่า ศรียานนท์) กับนายทหารกุมกำลังระดับนายพันในราชการ (เช่น พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ , พันโทประภาส จารุเสถียร) ก็ยึดอำนาจในนาม ทหารของชาติ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 โดยความร่วมมือเห็นพ้องและอธิบายแก้ต่างของนักการเมืองและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านสมัยนั้น เป็นอันปิดฉากความพยายามสร้างความปรองดองผ่าน ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยความสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ และเปิดทางแก่ ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แทน การปรองดองกับประชาธิปไตยรอบที่ 3 : ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าเป็นการปกครองที่ถือเอาข้างมากแต่เสียงเท่านั้น เพราะถ้าเอาโจร 500 คน มาประชุมกับพระ 5 องค์ และเสนอญัตติให้อภิปรายกันว่าจะไปปล้นเขาดีหรือไม่ดี เมื่อลงมติกันทีไร โจร 500 ต้องลงมติไปปล้นเขาเพราะเอาชนะพระได้ทุกที แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความเลยว่ามติของเสียงข้างมาก ที่ให้ไปปล้นเขานั้นเป็นการถูกต้องด้วยทำนองคลองธรรม... การปกครองโดยเสียงข้างมากที่เรียกว่าประชาธิปไตย จะต้องไม่ถือเกณฑ์เอามากแต่เสียงเป็นใหญ่ ยังต้องมาด้วยวิชาความรู้ ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง และความสุจริตซื่อสัตย์ต่อประชาชนด้วยจึงจะเป็นการปกครองที่ดี เพื่อประโยชน์ความสุขสมบูรณ์ของประชาชนพลเมืองสมชื่อประชาธิปไตย... บุคคลที่เป็นกลางและไม่เห็นด้วยกับการใช้อำลังเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ต้องยอมจำนวนต่อเหตุผลฝ่ายคณะปฏิวัติ 9 พฤศจิกายน (พ.ศ. 2490 - ผู้เขียน) ก็เพราะเหตุอันเดียวกันนี้ และต้องยอมรับว่าถ้ารัฐประหารแบบธรรมปฏิวัติวันที่ 9 พฤศจิกายน ไม่เกิดขึ้นเสียก่อน ด้วยผลที่ไม่มีการหยาดโลหิตของคนไทยแม้แต่หยดเดียวนั้นแล้ว การปฏิวัติแบบโลกาวิสาศนองเลือดที่ 30 พฤศจิกายน (หมายถึง แผนการมหาชนรัฐ โคมลอยที่คณะรัฐประหาร 9 พฤศจิกายน กล่าวอ้างเผยแพร่โดยปราศจากพยานหลักฐานแท้จริงที่เชื่อถือได้ ผู้เขียน) ก็จะบังเกิดขึ้น... ผมไม่นิยมระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ในฐานะนักประชาธิปไตย ผมต้งการให้มีพระมหากษัตริย์ ผมถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์อย่างสุดชีวิตจิตใจและหวังว่าสถาบันกษัตริย์จะสถิตสถาพรสืบไป ชั่วกัลปาวสาน ระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิผลที่สุดไว้ให้เราป้องกันเผด็จการ ตราบใดที่อำนาจสูงสุดยังอยู่กับพระมหากษัตริย์และฉะนั้นจึงปลอดพ้นเงื้อมมือของพวกมักใหญ่ใฝ่สูง ทางการเมืองแล้ว ตราบนั้นก็จะไม่มีความปรารถนาในหมู่นักการเมืองที่จะเป็นจอมเผด็จการ ถ้อยแถลงข้างต้นซึ่งถูกแสดงไว้ต่างกรรมต่างวาระกันระหว่างปี พ.ศ. 2490 2491 โดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ทั้งในฐานะคอลัมนิสต์นามปากกา แมลงหวี่ และในฐานะประธานกรรมาธิการ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2492 สะท้อนทรรศนะเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยแบบยึดเสียงข้างมากเป็นที่ตั้ง (majoritarian democracy) รัฐประหาร แบบธรรมปฏิวัติ 9 พฤศจิกายน 2490 และฐานะของสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทยเป็นอย่างดี หลายประเด็นในนั้นได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในคลังแสงวาทกรรมอมตะ เสรีราชานิยม (liberal royalism) ของพลังอนุรักษ์นิยม นิยมเจ้า ในสังคมการเมืองไทยที่ฟังคุ้นหูจวบจนปัจจุบัน และด้วยฐานะบทบาทสำคัญของหม่อมเสนีย์ ทรรศนะดังกล่าวย่อมสะท้อนถ่ายออกมาผ่านทางตัวบทมาตราต่างๆ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งรัฐสภาที่พรรคประชาธิปัตย์ยังกุมเสียงข้างมากได้ลงมติตราไว้ ณ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492 แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะสูญเสียอำนาจบริหารไปตั้งแต่รัฐบาลนายกฯ ควง อภัยวงศ์ถูกคณะทหารทำ รัฐประหารทางจดหมาย โดยจี้ให้ลาออกเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2491 แล้วก็ตาม ดังจะเห็นได้จากมาตรา 2 ในหมวด 1 บททั่วไปของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ตราว่า : ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ข้อความข้างต้นอาจถือเป็นความพยายามแนวใหม่ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม นิยมเจ้า ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ในอันที่จะหาสูตรทางการเมืองเพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งการปรองดองระหว่างกลุ่มผู้ปกครองในระบอบเดิมกับประชาธิปไตย และมันได้กลายเป็นระเบียบการเมืองสถาปนาของประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในกาลต่อมา อาทิ : มาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปฏิรูปการเมือง พุทธศักราช 2540 กับมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับลงประชามติ พุทธศักราช 2550 มีข้อความตรงกันทุกถ้อยกระทงความว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิไยว่าฉบับแรกจะถูกฉีก ส่วนฉบับหลังจะถูกสร้าง โดยรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุล (คปค.) ก็ตาม ข้อความดังกล่าวมิเคยปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับใดๆ ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2492 เลย ไม่ว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 , รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) , รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489) และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490) การถือกำเนิดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2491 อันประกอบด้วยสมาชิก 40 คน จากการเลือกตั้งของรัฐสภา และยกร่างโดยกรรมาธิการซึ่งเลือกจากสมาชิกสภาร่างฯ ด้วยกันเอง 9 คน และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แกนนำพรรคประชาธิปัตย์เป็นประธานนั้น เป็นผลลัพธ์สืบเนื่องโดยตรงจากรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ที่โค่นรัฐบาลของนายกฯ พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และขับไล่รัฐบุรุษอาวุโส ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ออกจากประเทศไทย มาตราอื่นๆ ที่น่าสนใจในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ยังมีอาทิเช่น มาตรา 6 ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ มาตรา 11 พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารทั้งปวง มาตรา 13 พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคนหนึ่ง และองคมนตรีอีกไม่มากกว่าแปดคน ประกอบเป็นคณะองคมนตรี คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา 14 การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีก็ดี การให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งก็ดี ให้เป็นตามพระราชอัธยาศัย... มาตรา 59 กำลังทหารเป็นของชาติ อยู่ในบังคับบัญชาสูงสุดของพระมหากษัตริย์ ไม่ขึ้นต่อเอกชน คณะบุคคลหรือพรรคการเมืองใด มาตรา 60 กำลังทหารพึงใช้เพื่อการรบหรือการสงคราม หรือเพื่อปราบปรามการจลาจล และจะใช้ได้ก็แต่โดยกระแสพระบรมราชโองการ เว้นแต่ในกรณีที่มีประกาศใช้กฎอัยการศึก การใช้กำลังทหารเพื่อช่วยเหลือราชการอื่น ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย มาตรา 61 เอกชนก็ดี คณะบุคคลก็ดี พรรคการเมืองก็ดี จะใช้กำลังทหารไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมเป็นเครื่องมือในทางการเมืองมิได้ ทหารและบุคคลอื่นในสังกัดฝ่ายทหารในระหว่างรับราชการประจำจะเป็นสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง หรือแสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใดๆ มิได้ มาตรา 77 ร่างพระราชบัญญัติใดพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือมิได้พระราชทานคืนมาภายในเก้าสิบวัน รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภาลงมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของทั้งสองสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานลงมาภายในสามสิบวัน ก็ให้นำพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว มาตรา 82 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกมีจำนวนหนึ่งร้อยคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเลือก และแต่งตั้งจากผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน และมีอายุไมต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ซึ่งทรงพระราชดำริเห็นว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิโดยมีความรู้ความชำนาญในวิชาการหรือกิจการต่างๆ อันจะยังประโยชน์ให้เกิดแก่การปกครองแผ่นดิน ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 174 ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงพระราชดำริเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตามมาตรา 173 กระทบถึงประโยชน์ได้เสียสำคัญของประเทศหรือประชาชน และทรงพระราชบดำริเห็นสมควรให้ประชาชนได้วินิจฉัย พระมหากษัตริย์ย่อมทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะให้ประชาชนทั่วประเทศออกเสียงเป็นประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบด้วยร่างรัฐธรรมนูญนั้น ในการให้ประชาชนออกเสียงเป็นประชามติพระมหากษัตริย์จะได้ตรงตราพระราชกฤษฎีกาภายในกำหนดเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายใน พระราชกฤษฎีกานั้นต้องกำหนดวันให้ประชาชนออกเสียงภายในเก้าสิบวันซึ่งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรและให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ...
27 กรกฎาคม 2554 22:34 น. - comment id 125272
เพลงคนดีไม่มีวันตาย version ธีร ไชยเดช http://www.youtube.com/watch?v=JsjSM0x9e-o&feature=player_embedded#at=155
27 กรกฎาคม 2554 22:21 น. - comment id 125275
ข่าวสำคัญ จดหมายเหตุประเทศไทย เย็นวันนี้ 27 กรกฎาคม 2554 ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมืดครึ้มเหมือนฝนกำลังตั้งเค้า ประหนึ่งเป็นการอาลัยครั้งสุดท้ายต่อการสิ้นพระชนม์ของ "เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ" พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 6) ตลอดพระชนม์ชีพ 85 พรรษา พระองค์ทรงเป็นราชนารีในมหาจักรีบรมราชวงศ์ มิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง ตราบจนถึงวาระสุดท้ายของพระองค์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติเมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2468 เวลา 12.52 น. ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง ก่อนที่สมเด็จพระบรมชนกนาถจะเสด็จสวรรคตในอีกหนึ่งวันต่อมา ขณะที่ประสูตินั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรอย่างหนักอยู่บนพระแท่น ทรงทอดพระเนตรพระราชธิดาเป็นครั้งสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ เพราะในคืนนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต พระนม (แม่นม) ของสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 คือ คุณบุปผา พนมวัน ณ อยุธยา ซึ่งเป็นพระนมโดยตำแหน่ง เพราะสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในรัชกาลที่ 6 เสวยพระกษิรธาราจากพระชนนี มีคณะพยาบาลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ถวายอภิบาลในเบื้องต้น จากนั้นจึงมีคณะพระอภิบาลจำนวน 12 คน ซึ่งเป็นอดีตคุณพนักงานในรัชกาลที่ 6 โดยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าอภิบาลจนทรงเจริญพระวัยพอสมควร พระนามพระนามของสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นั้นได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2468และมีคำนำพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ (ภาติกา หมายถึง หลานสาวที่เป็นลูกสาวของพี่ชาย) โดยก่อนหน้านี้มีการสมโภชน์ ได้มีการคิดพระนามไว้ 3 พระนาม ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชอรสา สิริโสภาพัณณวดี, สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนจุฬิน สิริโสภิณพัณณวดี และสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ท้ายที่สุด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเลือกพระนามสุดท้ายพระราชทาน เมื่อทรงพระเยาว์หลังจากประสูติแล้วไม่นาน สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ได้ทรงย้ายไปประทับ ณ ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อทรงเจริญวัยขึ้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงว่าสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ จะไม่มีสถานที่ทรงวิ่งเล่นเพราะในพระบรมมหาราชวังมีบริเวณคับแคบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายออกมาประทับ ณ พระตำหนักสวนหงษ์ พระราชวังดุสิต ซึ่งเป็นที่กว้างขวางร่มรื่น แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เหมาะแก่การสำราญพระอิริยาบถของสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ ขณะสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ยังทรงพระเยาว์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงพระเมตตาเอาพระราชหฤทัยใส่ดูแลทั้งด้านพระอนามัยและความเป็นอยู่มาโดยตลอด ด้วยเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงพระประชวรหนักนั้น ได้มีพระราชดำรัสกับสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าว่า ขอฝากลูกด้วย ต่อมา สมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้ายังได้มีพระราชกระแสถึงเรื่องนี้ไว้ว่า เจ้าฟ้านี่ ฉันตายก็นอนตาไม่หลับ พระมงกุฎฝากฝังเอาไว้ หลังจากความวุ่นวายทางการเมือง เมื่อเกิดเหตุการกบฎบวรเดชและการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ผ่านพ้นไป พระนางเจ้าสุวัทนาฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดให้สร้างตำหนักที่ประทับ สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯขึ้น บนที่ดินริมถนนราชสีมาตัดกับถนนสุโขทัยแล้วเสร็จใน พ.ศ.2477 พร้อมกับพระราชทานนามตำหนักแห่งนี้ว่า สวนรื่นฤดี เมื่อประทับในสวนรื่นฤดีได้ระยะหนึ่ง พระนางเจ้าสุวัทนาทรงสังเกตได้ว่า พระอนามัยของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ มีลักษณะพิเศษ เช่น ทรงมีความสามารถทางด้านการคำนวณ การจดจำทิศทางและความสนใจจดจ่อต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่ผิดแผกจากเด็กสามัญทั่วไป จึงมีพระดำริจะทรงพาสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯไปทรงศึกษาต่อ และไปประทับรักษาพระองค์ ณ ประเทศอังกฤษ โดยทรงประทับ ณ ตำหนัก แฟร์ฮิลล์ เมืองแคมเบอร์เลย์ ครั้นเมื่อพระอนามัยของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ดีขึ้น และสภาวะการในประเทศไทยเป็นปกติสุขเรียบร้อย กอปรกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวรแล้วระยะหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ และพระนางเจ้าสุวัทนาฯ จึงเสด็จกลับมาประทับในประเทศไทยเป็นการถาวร เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนพ.ศ. 2502 พระราชกรณียกิจสำคัญที่ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติด้วยพระวิริยภาพมาโดยตลอด ที่สำคัญคือ การปฏิบัตพระราชกรณียกิจแทนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในโอกาสต่างๆ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ได้ทรงรับสถาบันและองค์กรต่างๆ ไว้ในพระอุปถัมภ์เป็นจำนวนกว่า 30 แห่ง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ มีพระปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจ ดังปรากฏในพระดำรัสที่พระราชทานในงานฉลองพระชนมายุ 61 พรรษา เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 ณ วชิราวุธวิทยาลัย ความตอนหนึ่งว่า ฉันขอกล่าวต่อท่านทั้งปวงว่า จะพยายามบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์แก่บ้านเมือง ด้วยความจงรักภักดีต่อบ้านเกิดและต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระประมุขของชาติ ทั้งจะได้รักษาเกียรติศักดิ์แห่งความเป็นราชนารีในมหาจักรีบรมราชวงศ์ไว้ชั่วชีวิต
27 กรกฎาคม 2554 22:27 น. - comment id 125276
ต่อจาก 49 ปรากฏว่า ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 อันเป็นสูตรการปรองดองระหว่างกลุ่มผู้ปกครองในระบอบเดิมกับประชาธิปไตยที่ออกแบบโดยพรรคประชาธิปปัตย์ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านอย่างกว้างขวางจากฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าคณะรัฐประหาร 9 พฤศจิกายน 2490 , รัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงคราม , สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดสหพรรคฝ่ายรัฐบาล , สื่อสิ่งพิมพ์ , ขบวนการคอมมิวนิสต์ , และกลุ่มอาจารย์ปรีดีกับพวก ฯลฯ ว่า : ● ถอยหลังเข้าคลองสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ● ฟื้นอำนาจเก่าของคณะเจ้า ● ละเมิดหลักการแห่งระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยโดยเอาพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเมืองการทหารมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อพระเกียรติยศและฐานะ รัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวถึงรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 ไว้ในข้อเขียนเรื่อง ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ (2517) ว่า : (5) รัฐธรรมนูญฉบับ 2492 เป็นอำมาตยาธิปไตยครบถ้วนทั้งบทถาวรและบทเฉพาะกาล เพราะบทถาวรกำหนดไว้ว่า วุฒิสมาชิกเป็นผู้มีพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งโดยประธานองคมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ และบทเฉพาะกาลได้ยกยอดวุฒิสมาชิกซึ่งได้รับแต่งตั้งตามฉบับ 2490 (ใต้ตุ่ม) ให้เป็นวุฒิสมาชิกตามฉบับ 2492 ด้วย ส่วนนายกฯ จอมพลป. พิบูลสงครามสมัยนั้นแสดงความเห็นสั้นๆ ว่า : ในฐานะที่เป็นผู้ก่อการ 75 นั้น ใจผมยังรักรัฐธรรมนูญ 2475 อยู่นั่นเอง 2 ปี 8 เดือนต่อมา ภายหลังกลุ่มพลังต่อต้านอำนาจคณะรัฐประหารในกองทัพถูกกวาดล้างหมดสิ้นเสี้ยนหนามเหลือเพียงนักการเมืองฝ่ายค้านในรัฐสภา คณะรัฐประหารที่ประสงค์จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 เพื่อขยายอำนาจฉุกเฉินของฝ่ายบริหารแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ดังใจ ก็ได้ทำ รัฐประหารทางวิทยุกระจายเสียง ด้วยการอ่านแถลงการณ์ยึดอำนาจผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 แล้วนำรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ที่นายกฯ จอมพลป. มีใจรักกลับมาใช้ใหม่ ขณะเดียวกับที่เรือโดยสารที่ประทับของพระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จนิวัตจากสวิตเซอร์แลนด์กำลังแล่นเข้าสู่น่านน้ำไทย ส่งผลให้ ระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สะดุดชะงักไปร่วม 2 ทศวรรษระหว่างประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมของจอมพลป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2494 2500) และระบอบเผด็จการทหารอาญาสิทธิ์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับจอมพลถนอม กิตติขจร ประภาส จารุเสถียรในเวลาต่อมา (พ.ศ. 2501 2506 2516) การปรองดองกับประชาธิปไตยรอบที่ 4 : ระบอบประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลาฯ หนังสือ Chronicle of Thailand : Headline News since 1946 (2009) ของสำนักพิมพ์ Bangkok Post ได้บันทึกข่าวเด่นในประเทศข่าวหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2517 ไว้ที่หน้า 201 พร้อมภาพประกอบเป็นรูป ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทูลเกล้าฯ ถวายร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงลงพระปรมาภิไฑย รายงานข่าวกล่าวว่า: รัฐธรรมนูญถูกประกาศใช้ พร้อมสัญญาว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง 7 ตุลาคม กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงจรดจารปากกาลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของประเทศภายหลังการปกครองของทหารถูกโค่นลง 51 สัปดาห์ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ปูทางแก่การเลือกตั้งใหม่และการเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ก่อนจะทรงลงพระปรมาภิไธย พระองค์ทรงคัดค้านมาตราหนึ่งที่ให้อำนาจประธานองคมนตรีในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา พระองค์ตรัสว่าสถาบันกษัตริย์ควรอยู่เหนือการเมือง อนึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไปหลายมาตราแล้ว รวมทั้งลดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงเหลือ 18 ปี เพื่อเอาใจนิสิตนักศึกษา เค้าความเดิมเกี่ยวกับมาตราที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคัดค้านในบันทึกข่าวข้างต้นมีอยู่ว่า หลังเหตุการณ์นักศึกษาประชาชนลุกฮือโค่นเผด็จการทหารเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 คณะรัฐมนตรีชุดนายกรัฐมนตรีสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ยกร่างรัฐธรรมนูญและเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อันประกอบด้วยสมาชิก 299 คน มีที่มาจากสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ 2,347 คน หรือที่เรียกกันว่า สภาสนามม้า เพราะสมาชิกมากมายจนต้องใช้สนามม้านางเลิ้งเป็นที่ประชุม ที่ได้เลือกกันขึ้นเองหลังเหตการณ์ 14 ตุลาฯ ปรากฏว่า มาตรา 105 ในส่วนที่ 2 ว่าด้วยวุฒิสภาของร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวระบุว่า : มาตรา 105 วุฒิสภาประกอบด้วย สมาชิกจำนวนหนึ่งร้อยคน ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความชำนาญในวิชาหรือกิจการต่างๆ อันจะยังประโยชน์ให้เกิดการปกครองแผ่นดิน และมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด ทั้งไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 117 และมาตรา 120 คณะองคมนตรีเป็นผู้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่งมีจำนวนสามร้อยคนเป็นบัญชีลับเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้ง การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนลับ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อได้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแล้วให้ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภานำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นปรับปรุงแก้ไขร่างดังกล่าว จนสภาฯ ลงมติเห็นชอบผ่านและนำขึ้นทุธลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2517 ดังบันทึกข่าวข้างต้น โดยมาตรา 105 ในร่างเดิมถูกแก้ไขปรับปรุงเป็นมาตรา 107 ซึ่งนอกจากข้อแตกต่างเรื่องเกณฑ์อายุ , คุณสมบัติ , ลักษณะต้องห้ามและการเรียงลำดับพลความปลีกย่อยแล้ว แทบจะเหมือนกันทุกถ้อยกระทงความกับมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 เมื่อ 25 ปีก่อน ดังตารางเปรียบเทียบด้านล่าง มาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญ 2492 มาตรา 107 แห่งรัฐธรรมนูญ 2517 มาตรา 82 วุฒิสภา ประกอบด้วย สมาชิกมีจำนวนหนึ่งร้อยคน ซึงพระมหากษัตริย์ทรงเลือก และแต่งตั้งจากผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน และมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ ซึ่งทรงพระราชดำริเห็นว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีความรู้ความชำนาญ ในวิชาการหรือกิจการต่างๆ อันจะยังประโยชน์ให้เกิดแก่การปกครองแผ่นดิน ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 107 วุฒิสภา ประกอบด้วย สมาชิกจำนวนหนึ่งร้อยคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความชำนาญในวิชาการหรือกิจการต่างๆ อันจะยังประโยชน์ให้เกิดแก่การปกครองแผ่นดิน มีคุณสมบัติตามมาตรา 117(1) และ มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์ ทั้งไม่เป็นบุคคล ผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 116 และมาตรา 118 ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา ความเปลี่ยนแปลงจากมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญต้นแบบ ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พ.ศ. 2492 มาสู่การที่พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวทรงคัดค้านมาตรา 107 แห่งรัฐธรรมนุญ พ.ศ. 2517 ทำให้ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2518 ได้มีการแก้ไขวรรคสองไปเป็น ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสอนงพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา นั้น สะท้อนแนวพระราชบดำริเกี่ยวกับบทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่ได้ทรงสรุปไว้หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ว่า : จำไว้ว่า สถาบันจะลงไปเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวได้เมื่อเกิดสุญญากาศทางการเมืองจริงๆ อย่าง 14 ตุลาฯ แต่เมื่อได้ก้าวลงไปจัดการทางช่องว่างดังกล่าวหมดไปแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องรีบกลับไปอยู่เหนือการเมืองอย่างเดิมโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้พร้อมจะได้ลงมาช่วยได้อีก ถ้าหากเกิดสุญญากาศขึ้นมาอีกทั้งนี้ หมายถึง ส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เมื่ออำนาจทหารที่เข้ามาขีดคั่น เว้นวรรค ตัดตอนระเบียบแห่งการปรองดองทางการเมืองในแบบ ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นานถึง 2 ทศวรรษถูกผลักไสออกไปด้วยพลังนักศึกษาประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ระเบียบดังกล่าวก็ถูกรื้อฟื้นสถาปนาขึ้นใหม่โดยมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 เป็นหลักหมาย อย่างไรก็ตาม หากขยายขอบข่ายการวิเคราะห์จากตัวบทลายลักษณ์อักษรไปครอบคลุมเนื้อนัยทางการปฏิบัติที่เป็นจริง ก็จะพบว่าบุคลิกลักษณะของ ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แบบหลัง 14 ตุลาฯ แปลกต่างอย่างน่าสังเกตตจากแบบหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 เท่าที่พอประมวลได้ในชั้นต้นจากงานวิชาการระยะหลังบางชิ้น มีข้อแปลกต่างเด่นๆ อยู่ 3 ประการด้วยกัน กล่าวคือ : 1) พระราชอำนาจมีลักษณะไม่เป็นทางการ มากกว่าจะเป็นตัวบทกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่เป็นทางการ 2) ฐานะตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของนายกรัฐมนตรีผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร 3) บทบาทหน้าที่สำคัญของนักนิติศาสตร์ในการอธิบายหลักนิติธรรมและความชอบธรรม ลักษณะของประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลาฯ : 1) พระราชอำนาจ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ชี้ให้เห็นในบทความ รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย (ตีพิมพ์ครั้งแรกในศิลปวัฒนธรรม พฤศจิกายน พ.ศ. 2534) ว่าในสังคมการเมืองไทย แม้รัฐธรรมนูญฉบับทางการที่ทำด้วยกระดาษสมุดไทยจะถูก ฉีกทิ้ง หรือยกเลิกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมที่ไม่เป็นทางการกลับยืนยงคงกระพัน ฉีกไม่ได้ทำลายไม่หมด เพราะฝังหยั่งรากลึกอยู่ในระเบียบวิธีคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ชอบที่ควรของผู้คนในสังคมไทย สังคมการเมืองไทยกลับมารื้อฟื้นเขียนรัฐธรรมนูญฉบับกระดาษทางการขึ้นใหม่เมื่อไร มันก็มักเดินอยู่ในกรอบในร่องในรอยรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมที่ไม่เป็นทางการอยู่ดีนั่นเอง ความเชื่อมโยงระหว่างรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมกับลักษณะที่ไม่เป็นทางการของพระราชอำนาจได้ถูกประมวลสรุปไว้อย่างชัดเจนโดย ธงทอง จันทรางศุ ในวิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยของเขาเรื่อง พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ (เขียนเมื่อ พ.ศ. 2529 พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก พ.ศ. 2548) ว่าลักษณะสำคัญของการใช้ (สิ่งที่ธงทองเรียกว่า) พระราชอำนาจทั่วไป ซึ่งแสดงออกเป็นรูปธรรมในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการทั่วประเทศปัจจุบันได้แก่ : 1) พระราชอำนาจทั่วไป ไม่ได้มีบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญฉบับใด (หรือนัยหนึ่ง unconstitutionalized ผู้เขียน) 2) แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เข้าใจตรงกันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าเป็นพระราชอำนาจที่มีอยู่จริง (หรือนัยหนึ่งเป็นอำนาจที่รองรับโดย traditiln & universal consensus และมีลักษณะ actual ผู้เขียน) 3) นับเป็นพระราชอำนาจส่วนสำคัญที่สุดในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญเท่าที่ปรากฏในปัจจุบัน จากนี้จะเห็นได้ว่าตามการวิเคราะห์ข้างต้น พระราชอำนาจทั่วไป อันเป็นพระราชอำนาจส่วนสำคัญที่สุดในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น มีสถานะและการดำรงอยู่ที่เป็นอิสระต่างหากจากสถานะและการดำรงอยู่ของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับกระดาษที่เป็นทางการ ลักษณะอันเป็นปฏิทรรศน์ (paradox) ของพระราชอำนาจดังกล่าวจึงอยู่ตรงที่ว่าความคงกระพันชาตรี ฉีกไม่ได้ และยืดหยุ่นอ่อนตัวของพระราชอำนาจนี้เกิดจากลักษณะไม่เป็นทางการของพระราชอำนาจ หรือนัยหนึ่งเกิดจากความที่พระราชอำนาจไม่ได้มีที่มาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับกระดาษทางการใดนั่นเอง ดังที่ธงทองได้สรุปและเสนอแนะไว้ตอนท้ายวิทยานิพนธ์ว่า : (2) หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มาแล้ว ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญบางฉบับ ได้มีสมาชิกรัฐสภาเสนอแนวคิดที่จะถวายพระราชอำนาจในส่วนที่เป็นบทบัญญัติลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญให้เพิ่มพูนหรือชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อน เช่นกรณีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2517 เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์ได้ปรากฏเป็นที่แจ้งชัดแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าตัวบทรัฐธรรมนูญในส่วนที่ว่าด้วยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เท่าที่มีอยู่ในเวลานี้ (หมายถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 ผู้เขียน) ดูจะเป็นการเหมาะสมและพอเพียงแล้ว ไม่ควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมแต่ประการใดพระราชอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในส่วนที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ควรคงไว้ในลักษณะที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรต่อไป ด้วยสามารถอ่อนตัว (flexible) เข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผันแปรไปแต่ละยุคสมัยได้ ดังที่ผู้เขียนได้สรุปไปแล้วในตอนต้นว่า พระราชอำนาจในส่วนนี้จะทรงใช้ได้ในขอบเขตเพียงไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ข้อ คือ ความจงรักภักดีของราษฎรพระบารมีของพระมหากษัตริย์ และลักษณะของรัฐบาลประกอบกัน หากนำพระราชอำนาจในส่วนนี้ไปบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรที่แจ้งชัดแล้ว ก็จะมีลักษณะที่กระด้าง (rigid) อาจไม่เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองได้ สมดังกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันที่เคยพระราชทานสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อนึ่ง ลักษณะไม่เป็นทางการของพระราชอำนาจในระบอบประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลาฯ ยังอาจเห็นได้จากเครือข่ายในหลวงหรือเครือข่ายข้าราชบริพารผู้จงรักภักดีด้วย หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2518 2519) เคยให้สัมภาษณ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรายชื่อบุคคลที่เป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน และประชาชนที่เป็นเครือข่ายของพระองค์ ขณะเสด็จต่างจังหวัด พระองค์........
28 กรกฎาคม 2554 12:55 น. - comment id 125289
เนื้อเพลง คนดีไม่มีวันตาย แม้ไม่มีใครรู้ แต่เรารู้ รู้ว่าเรานั้น ทำเพื่อใคร ไม่ว่าวันพรุ่งนี้ มันจะเป็นเช่นไร ก็จะไม่เสียใจ กับสิ่งที่เราได้ทำ ฟ้าและดินไม่เห็น ไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นซักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตา ไม่ว่าดีร้าย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี ขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใด แม้แต่ลมหายใจ ก็ยอมพลี โลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดี ศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี คนดีไม่มีวันตาย... ............................................................
28 กรกฎาคม 2554 13:07 น. - comment id 125291
ประโยคกินใจ ขุนรองปลัดชู http://www.youtube.com/watch?v=dPSegB2qF7U&feature=related ยุคนี้มันไม่มีใครเห็นแก่บ้านเมืองจริงๆหรอก........... เกล้าผมอยากรู้นัก..มีใครคิดถึงเรื่องของแผ่นดินกันบ้าง...... ................................. แผ่นดินมันกำลังอ่อนแอ....อ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนเรือนใกล้จะพัง คานใกล้จะขาด เสาผุกร่อน เพราะปลวกมอดมันเจาะกินใน ถ้าพวกเราไม่ช่วยกัน วันนึง ถ้ามันต้องเผชิญกับพายุร้าย แม้นแรงเพียงนิด มันก็ไม่แคล้วต้องพังทลายลง........
30 กรกฎาคม 2554 01:27 น. - comment id 125305
เขาว่า สำนวนผมมารยาปั่นกระทู้ สร้างภาพให้ผู้คนเข้ามาดู เขาอดสูพฤติการณ์ผ่านผมทำ ปั่นกระทู้ ผมเพิ่งรู้ว่ามีค่าราคาล้ำ ก่อนหน้านี้สามร้อยคนมาเยือนนำ และได้อ่านถ้อยคำในสำนวน เสียดายต้นฉบับสดหาย เลยเขียนใหม่ ผู้ชมมาสามร้อยกว่าน่าตกใจ ผมจะกลายเป็นอะไรให้ตอบด่วน จะได้เป็นนักเขียนเชี่ยวกระบวน และพามวลชนมาทำระยำใด เขียนสำนวนล่อคนให้มาอ่าน ลบความเห็นที่จารก็ทำไม่ได้ นี่บ้านเราหรือบ้านของผู้ใด ไย จักทำอะไร ต้องให้ใครตรอง ขอโทษ มิตรไมตรีที่มาด้วยเคยคุ้น อาจทำให้เป็นสมุนคนจองหอง และคุณอาจโง่เง่าเป็นสันดานดอน ก็เมื่อตอนคลิกเข้าอ่านผ่านสายตา ผู้ดูแล โปรดปรับแก้ตัวเลขคนชมเถิดหนา แทนคุณนี้หมดสิ้นแล้วปัญญา เพราะเกรงว่าผองเพื่อนจะโง่งม ถ้าปรับแก้ไม่ได้ก็ช่วยบอก จะได้ป่าวประกาศตอกให้เหมาะสม หากท่านใดคิดมาอ่านตามอารณ์ พิจารณาให้เหมาะสม ผมหวังใจ เขาว่าผมได้คนมาชมเยอะแล้ว ก็จะลบความเห็นตามแนวทางใหม่ นี่เพิ่งทราบว่านี่คือมาตรฐานของบางใคร เรียกคนมาเยอะๆไว้ โอ้ใจเขา หลอกผองเพื่อนว่าสำนวนนี้มีค่า โดยเขาตราถ้ามาเยือนตามเพื่อนเข้า มิได้มีสมองตรองก่อนคลิกเอา ความว่างเปล่าดูแค่คนสนใจงาน แถมส่งผมเข้าเป็นสมาชิก ของพรรคที่มีอภิสิทธิ์ผู้พ่ายผ่าน ถ้าเข้าได้ผมคงเข้าไปตั้งนาน แต่ที่นั่นใช่โรงทานที่แจกฟรี น่าทึ่ง หรือว่าอึ้งกำจับนวนสามร้อยนี้ แล้วหลายร้อยและหลักพันทำไงดี ต้องปั่นกันอย่างไรดีให้มีคน ถ้าการเขียนสำนวนชวนคนอ่าน มีโทษฐานลวงหลอกปลิ้นปลอกป่น น่าจะให้กระกระบวนการ แก้ไขและแก้จน ฟ้องร้องบนสิ่งสถิตยุติธรรม เลือกเอาได้จะฟ้องใครหาความจริง เพื่อนผองจะได้สิ่งความจริงย้ำ ว่าแทนคุณ ปั่น ปั่น ปั้นปั่นคำ ใช่เล่ล้ำให้คนโง่มาหลงกล ผู้ตรวจการแผนดินก็ดีนะ หรือตรวจเงินก็เข่าท่าน่าได้ผล ไม่ก็ให้ ปปช ตรวจต่อจน รวบรวมผลส่งให้อัยการ ใช่ตำรวจสีกากีก็ดีได้ ท่านจะได้สืบสอบให้รอบด้าน ศาลอาญา ศาลปกครอง ก้พร้อมพาน ศาลฎีกา ตุลาการรัฐธรรมนูญ หรือจะใช้กระบวนการแก้ไขไม่แก้แค้น มาสอบแทนคุณแทนไทใช่เสียสูญ แล้วหากสอบข้อเท็จจริงว่ามีมูล ขอล่องจุ้นไปอยู่ไหนให้ไกลเกิน ยิ่งถ้ามีชี้ชัดว่าทำผิด และต้องติดคุกไทยมันขัดเขิน เพราะกลัวเกรงมาตรฐานซะเหลือเกิน ด้วยบังเอิญมีตัวอย่างข้างดูบน แต่ถ้าไม่มีมูลไร้ความผิด ระบบได้สถานสถิตจิตสุขล้น ผลมาดี ระบบมีชื่นกมล ผลสุดทน ระบบฟ้องสองมาตรฐาน เขาว่า มีคนบ้าปั่นกระทู้ล่อผู้ผ่าน จึงเข้าใจตัวเลขนั้นเหมือนวิมาน และคงเป็นมาตฐานของบางคน
2 สิงหาคม 2554 18:09 น. - comment id 125368
http://www.youtube.com/watch?v=3pGDu_KiFj4&feature=related เสียงในความเงียบ
3 สิงหาคม 2554 21:46 น. - comment id 125414
เขียนตอนนนี้ "เดิมเดิม" ตื่นขึ้นมาหน้าที่ก็รอท่า ในรอบวันเวลายี่สิบสี่ ชั่วโมงนั้นที่เราเท่าคนอื่นมี หกเดือนนี้ไม่เหมือนที่เคยทำ มีโอสถรสขื่นไว้ฟื้นไข้ จากโรคาพยาภัยใจไหวส่ำ หลังอาหารเช้าเย็นเป็นประจำ และเย็นย่ำค่ำก่อนนอนอีกที กินไปเพื่อควบคุมคุ้มอาเพท ขณะเจตน์จำนงถึงตรงนี้ หัวใจชักจะเริ่มเต้นถี่ถี่ เป็นลางดีบอกอาการกำลังมา สวัสดีเพื่อนรักจัดหนักหน่อย อย่าท้อถอยโถมทัพพร้อมรับหน้า ขอให้หนักกว่าที่เคยเป็นนะ ผู้แพ้จะต้องไปกันซะที ไม่อยากเป็นผู้ชนะบ้างเหรอเพื่อน ฉันชักเลือนว่าแพ้เป็นเช่นไรนี่ กำลังกายของกันอาจไม่ดี แต่ใจกันนี่ซียังมีแรง กันแพ้นายแค่สามยกที่รบนะ นายน่าจะหาวิธีที่กล้าแข็ง กุลยุทธ์ของนายควรพลิกแพลง กันอาจแสร้งลองแพ้ให้ชัยกับนาย คืนนี้อยู่กับกันให้เนิ่นหน่อย มาแล้วอย่าด่วนถอยท่าทีหาย โจมตีกันให้หนักจักปางตาย กันอยากให้นายทำได้ก่อนสายไป ถ้ากันเลือกความพ่ายแพ้แก่ใครได้ กันอยากมอบให้ไว้แก่นายใหม่ อยากไปเริ่มตรงจุดนั้นวันเจอไง เราจะได้ทบทวนกระบวนยุทธ์ แต่คืนนี้กันนอนบนหมอนเก่า กับนายซึ่งเปลี้ยเปล่าเป็นที่สุด ถ้ามีดีก็จงสำแดงยุทธ์ ทรมานกันให้สุด ให้หลุดลอย กันอยากเห็นสวรรค์ในชั้นฟ้า ว่าจะมีเทวากี่มากน้อย นางอัปสรที่งามเพริศว่าเลิศลอย กันจะค่อยละเลียดลิ้มชิมให้เพลิน หรือไม่ไแน่อาจได้เยือนปรโลก ว่าทุกโสกยังไม่ได้ห่างเหิน จะชอใช้ชั้วกัปกัลป์ขอท่านเชิญ กันไม่เยินยอยก ตนว่าดี ขอเข้านอนก่อนหนาเจ้าเพ่อนอยาก ถ้าคิดอยากคุยกันกับกับกันต่อ ได้ทั้งคืนถึงเช้ากันจะรอ ถ้ากันกันพ่าย กันแค่ขอรอนิดนะ หัวใจกันกันพร้อมยอมแพ้แม้ไม่เชื่อ ว่านายจักอำนาจเหนือของกันว๊ะ แต่หากนายมีทีเด็ดสำเร็จนะ กันขอร่ำลาลาพระในเรือนกัน ขอลาแม่ลาพ่อผู้ก่อเกื้อ ลาพี่น้องร่วมเลือดเนื้อให้เชื้อสรรค์ ลายายปู่ อาน้า อาจารย์นั้น ถ้าสหายที่รักกันมาหลายปี จะบอกเขาว่ากันจะไปรอ ไปสร้างอารณาจักรที่ไม่มีหมอวิเศษศรี มีแต่เราดวงจิตที่เสรี วาสนามีเราคงได้พบกัน นอนเสียทีตามีมองพร่าเลือน หัวใจช่างขยับเยื่อนไม่เหมือนฝัน มือเท้าเริ่มไร้ควบคุมภูมิคุ้มกัน มาเถิดมาโรมรับกันอีกคืน ปล วันนี้ ซัดยา รวมกอนนอน 9 เม็ด ราตรีสวัสผู้มีความแน่นอนในชีวิต ปล... ถ้าคุณยามาอ่านฝากขอบคุณสนุกและประทับใจมากครับ ปล... ถ้าคุณฝนมาอานอย่าวิตกไป ผมเขียนตกหล่นขณะจิตเริ่มพร่าเลือน. ปล... ถ้าคนช่างฝันมาอ่าน เราอาจไม่ได้พบกันอีก จงจดจำไว้ ปล.... ถ้าครเข้ามาอ่าน ขอให้สุขภาพแข็งแรงทุกคนครับ ปทนคุณแทนไท 21.46 น
4 สิงหาคม 2554 21:54 น. - comment id 125442
เป็นบางวัน เสี้ยวนั้นของวินาที ส่วนหนึ่งของชั่วโมง และละเอียดหนึ่งของวันคืน ในความอึกทึก ฉันไม่พบความผิดปกติใดในหัวใจ นอกจาก... ความแผ่วเบาจนแทบจะว่างเปล่า ความเงียบ เกาะกุมหัวใจฉันแล้ว ขณะที่ความสนุกสนาน กำลังเริงร่าในความอึกทึกรอบข้าง เมื่อฉันมองฟ้า หัวใจฉันสัมผัสได้แต่ความเทาทึบ อับโชค และไร้วาสนา แสงแดดยามเช้า สาดทะแยงม่านเมฆ ทะลุมาถึงหัวใจอันหม่นเศร้าของฉัน พระอาทิตย์ยามเย็น ลาลับไปพร้อมกับความโสกดายที่ฉันเพิ่งผ่าน นั่นหละ ความรู้สึก และความอัศจรรย์ของหัวใจ ร้ายกาจ เป็นมัจจุราชจากพรของพระผู้สร้างโดยแท้ ยินดี ผิดหวัง เสียใจ ดีใจ... อัศจรรย์นักที่ทำให้ทุกข์ทรมานได้เพียงนี้ รึว่า ความเปล่าว่าง และความเงียบ กำลังบอกเล่า และชี้นำแสงสว่างที่ฉันไม่เคยได้เห็น แล้ววันใดหละ ที่จะได้พบ เป็นอะไรไป แค่คิดก็ทุกข์อีกแล้ว.... อนิจจัง แทนคุณแทนไท
9 สิงหาคม 2554 15:56 น. - comment id 125539
ผมขอใช้สรรพนามเรียกอดีตนายกคนดังว่า "ทักกี้" ละกัน 1.ทักกี้ให้เมียไปประมูลที่ดินที่รัชดา(ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐที่ยึดมา)แต่ขัดกับกฎหมายของปปช. โดย เขาห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐและคู่สมรสเข้าไปประมูลทรัพย์สินของรัฐ *สรุป เมียทักกี้ ทำผิดกฎหมายสมควรติดคุก* 2.คดีซุกหุ้น คือ ประมาณว่าทักกี้มีหุ้นอยู่ แล้วดันโอนไปให้ลูก ให้คนใช้ ที่ทักกี้ทำอย่างงี้ก็เพราะว่าเพื่อปกปิดไม่ให้คนรู้ว่าตนเองมีทรัพย์สิน(ที่โกงมา) เยอะ 3. หลีกเลี่ยงภาษี โดย ทักกี้ ได้โอนหุ้นให้กับ น้องเมีย โดยไม่เสียภาษี (คนอื่นเขาเสียกันหมด แหม) ทักกี้ ได้สั่งเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรแก้ระเบียบว่า ถ้าโอนหุ้นหรือทรัพย์สินให้ญาติ เพื่อสงเคราะห์ญาติผู้นั้นไม่ต้องเสียภาษี (สงเคราะห์ บ้าไรเป็น พันล้าน ญาติคุณทักกี้แดก ข้าวชุบทองเป็นอาหารเหรอครับ) 4.แก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ ให้ตนเอง โดยก่อนที่ทักกี้จะได้เป็นนายก ทักกี้ได้สัมปทาน(เหมา)สัญญาณดาวเทียมจากรัฐ ระบุสัญญาเป็นเวลา 30 ปี หลังจากทักกี้ได้ซื้อเสียงจนเป็นนายกแล้ว ทักกี้ก็แก้กฎหมายเพื่อเอื้อผลประโยชน์ต่อบริษัทของทักกี้ กฏหมายเดิมบัญญัติไว้ว่า ห้ามต่างชาติถือหุ้นเกิน 25%(เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ) ทักกี้ไม่พอใจอยากได้เงินมากกว่านั้น (โลภ มาก) จึงแก้กฏหมายเปลี่ยนเป็นต่างชาติถือหุ้นได้ 49% (*0*แม่เจ้า! ) พอวันนี้แก้กฏหมายเสร็จ วันต่อมากพี่แกก็ขายหุ้นเลย( - -") รวมมูลค่าเงินที่บริษัทของทักกี้ได้รับคือ 7 หมื่นกว่าล้านบาท 5.แก้ระเบียบเกี่ยวกับการเสียภาษีเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจตนเอง(AIS) เดิม AIS ต้องเสียภาษีให้กับ ทศท.( TOT สมัยนี้) โดยเสียภาษี ร้อยละ 1 บาท 50 สตางค์ ทักกี้รับไม่ได้จึงแก้กฏหมาย(อีกและ - -*) เปลี่ยนเป็น AIS ไม่ต้องเสียภาษีซักบาท โดยทักกี้คุงอ้างว่าเป็นการลงทุนในพื้นที่ธุรกันดาร เอิ่ม... เกี่ยวไรคับแถไปเรื่อยยิ่งกว่าอุทุมพร พ่อกรูเงินเดือน 2 หมื่น ยังเสียภาษี บริษัทเอ็งได้เป็นพันๆล้านแม่งไม่เสียซักบาท แต่ที่ผ่านการอนุมัติเพราะมันเป็นนายก 6.สั่งให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(Exim bank) ให้พม่ากู้เงิน 4 พันล้านบาท เพื่อให้พม่านำเงินไปซื้อสินค้าในกลุ่มบริษัท ชินเซดเทอร์ไรซ์(โทดคับ ตกอังกิด - -") โดยเงินจำนวนนี้ Exim bank ได้ไปกู้มาจากสิงคโปร์ต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ7.5 แต่ทักกี้ดันเอาเงินจำนวนนี้ไปให้พม่ากู้ โดยพม่าเสียดอกเบี้ยร้อยละ 4 จึงเกิดบทสนทนาระหว่าง Exim bank และ ทักกี้คุง Exim bank : เฮ้ย! ไหง gu เสียดอกเบี้ยเยอะกว่าฟะ ทักกี้คุง : ฟายยย ถ้าเสียดอกเบี้ย เยอะกว่า meng แล้วพม่ามันจะมากู้มั้ย Exim bank : อ่าว!แล้วทำไม meng ถึงต้องเจาะจงให้พม่ากู้ละ ให้คนอื่นกู้ก้อด้ายนิ ทักกี้คุง : อย่าโง่น่า meng อะ ก้อพม่ามันจะมาซื้อ สินค้า บริษัท gu อะ(AIS และเครือ) Exim bank : เฮ้ย งี้ gu ก้อเจ๊งดิ (ส่วนต่างของดอกเบี้ย) ทักกี้คุง : เรื่องของ meng 55555+++++ Exim bank : olo ไม่เปนไร เพราะ ลูกพี่ gu รัฐ (ชื่อเต็มรัฐบาล ) ต้องช่วย gu อยู่แล้ว 55+ พี่ รัฐ : นั่น! งานเข้า gu - -" แต่ก็นะ น้องรัก อ่ะ! ไม่ช่วยไม่ได้ (รัฐบาลต้องค้ำประกัน Exim bank โดยเอาเงินจากคลังไปจ่าย) ผลสุดท้าย พี่รัฐ : T^T ตังกรูรรรรรรรรรรรรรรรรร (เงินของประชาชน) ทักกี้คุง : แหะ ๆ หวานแผล่บๆ 7. ดาวเทียม(ต่อเนื่องจากข้อ 4)ตามสัญญาระบุว่า ทักกี้จะต้องสร้างดาวเทียมขึ้นมา 3 ดวง เพื่อผลประโยชน์ต่อประเทศไทย พอ ทักกี้ เป็นนายกเขาเสือกไม่ทำ ดาวเทียม ดวงที่ 3 แต่ดันไปทำ ดาวเทียมที่ชื่อ IP STAR เรื่องก็คือ ไอ่ดาวเทียมดวงนี้นะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ประเทศไทยมากนัก แต่กลับเอาสัญญาณไปขายให้พวก อินเดีย พม่า ลาว เขมร ... ได้เงินเป็นหมื่นๆล้านเข้าบริษัทของทักกี้เองแบ่งให้รัฐนิดๆ ซึ่งตามหลักกฏหมายแล้วดาวเทียม IP STAR จะสร้างขึ้นมาได้ ต้องเปิดประมูลสัมปทานใหม่ พูดง่ายๆคือให้มีนักลงทุนอื่นๆ เข้ามาแข่งขัน ว่าใครจะให้ประโยชน์ แก่รัฐมากที่สุดคนนั้นถึงจะได้ไป เพราะ พื้นที่ๆ ดาวเทียมโคจรอยู่ก็ถือเป็นทรัพย์สินของหลวง *ทรัพย์สินของหลวง = พื้นดิน อากาศ (รวมถึงพื้นที่ๆดาวเทียมอยู่) แร่ธาตุ ในพื้นดิน* ถ้าใครยังงง ก็ขอ Ex. สมมุติว่า เราไปเจอแร่ทองคำที่สวนหลังบ้านของเราเราจะขุดทองพวกนั้นมาทำประโยชน์ไม่ได้ เราจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อเราได้สัมปทาน ประมูลมาได้เท่านั้น แต่ถ้าถามว่าถ้าคนอื่นสัมปทานได้ละ แน่นอน บ้านของคุณก็ต้องมีสิทธิในการรับส่วนแบ่งด้วยเช่นกัน สรุป ถ้าเราเจอ แร่ทองคำ หรือแร่ธาตุในดิน ขุดมาใช้เองไม่ได้ผิดกฏหมาย ก็คือถ้าจะขายเองก็อย่าให้ตำรวจรู้ เดี๋ยวโดนจับ - -"
9 สิงหาคม 2554 16:02 น. - comment id 125540
การใช้กฎหมายที่ขัดต่อกฎหมายในประเทศเยอรมันเป็นความผิดอาญาฐานหนึ่ง เรียกในภาษาเยอรมันว่า Rechtsbeugung ประมวลกฎหมายอาญาเยอรมัน มาตรา 336 บัญญัติเกี่ยวกับความผิดฐาน Rechtsbeugung ว่า "ผู้พิพากษาผู้ใดพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นคุณหรือเป็นโทษกับฝ่ายใดโดยการบิดเบือนกฎหมายต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี" (คำว่า "ผู้พิพากษา" ในภาษาไทยใช้กับผู้ที่ใช้อำนาจตุลาการในศาลยุติธรรม ส่วนผู้ที่ใช้อำนาจตุลาการในศาลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง หรือศาลทหารเราเรียกว่า "ตุลาการ") ความผิดฐานที่เรียกว่า Rechtsbeugung อาจแปลว่า "ความผิดฐานบิดเบือนกฎหมาย" หรือถ้าจะแปลให้สะใจก็ต้องแปลว่า "ความผิดฐานหักดิบกฎหมาย" ความผิดฐานนี้เป็นความผิดดั้งเดิมในประมวลกฎหมายอาญาเยอรมันทีเดียว กล่าวคือ การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายเป็นความผิดอาญามาโดยตลอดตั้งแต่ก่อนสงครามโลก เมื่อเราพูดถึงการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าพนักงานในการยุติธรรมแล้วในกฎหมายอาญาของไทยเราก็ย่อมจะหมายถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 201, 202 ซึ่งการทุจริตประพฤติมิชอบดังกล่าวนี้ก็เป็นการกระทำที่เป็นความผิดอาญาตามกฎหมายอาญาเยอรมันเช่นเดียวกันและเป็นความผิดอาญาในทุกประเทศ แต่ความผิดฐานบิดเบือนกฎหมายในกฎหมายอาญาเยอรมันนั้น ไม่มีในกฎหมายอาญาของไทยเรา ความผิดฐานบิดเบือนกฎหมายเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมที่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับของกำนัลหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้กฎหมายอย่างไม่ตรงไปตรงมาที่ไม่มีของกำนัลเข้ามาเกี่ยวข้อง การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย คือ การกระทำที่ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้ง และในกรณีที่กฎหมายอาจตีความได้หลายอย่าง การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายก็คือการตีความกฎหมายที่เกินเลยขอบเขตที่ยอมรับได้ในทางวิชาการ การกระทำที่เป็นการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายเคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทยเรา เช่น กรณีการตีความกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการพ้นตำแหน่งของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (ดู คณิต ณ นคร "ศาลรัฐธรรมนูญกับการตีความกฎหมาย" มติชนสุดสัปดาห์ ปีที่ 19 ฉบับที่ 985 วันที่ 6 กรกฎาคม 2542 หรือใน นิติธรรมอำพรางในนิติศาสตร์ไทย สำนักพิมพ์วิญญูชน กันยายน 2548 หน้า 49) ในบทความนี้ผู้เขียนจึงจะได้การวิเคราะห์ถึงการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญที่แม้จะได้ถูกยกเลิกไปแล้วต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับนักกฎหมายและผู้ใช้กฎหมายทั้งหลาย อนึ่ง ในบทความนี้เมื่อผู้เขียนกล่าวถึง "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" ผู้เขียนหมายถึง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ.2540 ที่เพิ่งถูกยกเลิกไปในการยึดอำนาจการปกครอง และเมื่ออ้างถึง "ราชกิจจานุเบกษา" ผู้เขียนหมายถึง ราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 118 ตอนที่ 77 ก วันที่ 7 กันยายน 2544 อันเป็นราชกิจจานุเบกษาที่ลงพิมพ์คำวินิจฉัยของศาลศาลรัฐธรรมนูญใน "คดีซุกหุ้น" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งมีอยู่ 3 เล่ม อิทธิพลในทางการเมืองต่อนักกฎหมาย คงต้องยอมรับกันได้กระมังว่าขณะเมื่อครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญยังคงมีอยู่นั้น ความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนต่อศาลรัฐธรรมนูญมีปัญหาอยู่มากทีเดียว ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรแรกและเป็นองค์กรที่สำคัญที่เกิดขึ้นหลังจากปฏิรูปการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทยเรานั้นประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 5 คน ตุลาการศาลปกครองสูงสุดจำนวน 2 คน นอกนั้นเป็นผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์จำนวน 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์จำนวน 3 คน ดั่งนี้ โครงสร้างของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทยเราในหลักการใช้ได้ดีทีเดียว เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างเอกภาพของอำนาจตุลาการโดยมีผู้พิพากษาศาลฎีกาและตุลาการศาลปกครองสูงสุดร่วมประกอบเป็นส่วนหนึ่งแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวินิจฉัยคดีด้วย ระบบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของเราจึงเป็น "ระบบกึ่งเปิด" ทำนองเดียวกับศาลสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น คงต้องยอมรับกันอีกต่อไปว่าสังคมไทยเรานั้นเป็นสังคมที่นำไปสู่ระบบอุปถัมภ์ได้ง่ายมาก เพราะสังคมไทยเป็นสังคมครอบครัว การเลือกสรรบุคคลในองค์กรอิสระจึงอาจถูกอิทธิพลภายนอกซึ่งก็คืออิทธิพลทางการเมืองแทรกได้ง่าย และเพื่อเป็นการป้องกันการเล่นพรรคเล่นพวกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนจึงได้ฝากความหวังไว้กับวุฒิสภาว่าจะเป็นกลางในทางการเมืองที่เพียงพอ แต่แล้วความเป็นกลางในทางการเมืองของวุฒิสภาก็ถูกตั้งคำถามจากสังคมอยู่ไม่น้อย ความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนต่อวุฒิสภาจึงมีปัญหาอยู่มากเช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ การเลือกและให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดแรกนั้นกระทำโดยวุฒิสภาที่มีอยู่เดิมที่มาจากการแต่งตั้งอันมี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานวุฒิสภา และจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นทำหน้าที่ความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดแรกก็เริ่มมีปัญหา ต่อมาเมื่อผู้ทรงคุณวุติสาขานิติศาสตร์ว่างลงหนึ่งคนและคณะกรรมการสรรหาได้เสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์จำนวน 2 คน ให้วุฒิสภาทำการเลือกตามกติกา บุคคลที่กรรมการสรรหาเสนอให้วุฒิสภาคัดเลือก คือ ดร.ไพศิษฐ์ พิพัฒนกุล นิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุน นิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาเอกทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแห่งกรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และ นายศักดิ์ เตชาชาญ ซึ่งมีวุฒิทางกฎหมายชั้นปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เท่านั้น แต่ผลปรากฏว่า ดร.ไพศิษฐ์ พิพัฒนกุล ไม่ได้รับการคัดเลือก ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกคือ นายศักดิ์ เตชาชาญ กรณีนี้จึงทำให้ผู้เขียน (และอาจมีผู้อื่นด้วย) มีคำถามอยู่ในใจตลอดมาว่ามาตรฐานผู้ทรงคุณวุฒิทางนิติศาสตร์ของวุฒิสภานั้นวัดกันอย่างไร กระแสสังคมและอิทธิพลในการเมืองต่อนักกฎหมายนั้น ผู้เขียนเคยประสบมาแล้วด้วยตนเองในขณะดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดระหว่างปี พ.ศ.2537 ถึง 2540 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดี ส.ป.ก.4-01 ความรุนแรงของกระแสสังคมและอิทธิพลในการเมืองในคดีดังกล่าวนี้นั้นมีสูงมาก จนผู้เขียนซึ่งเป็นข้าราชการประจำเกือบเอาตัวไม่รอด ความเป็นอิสระของผู้พิพากษาหรือตุลาการ ความเป็นอิสระของผู้พิพากษาหรือตุลาการ (Independence of the Judiciary) นั้น เป็นหัวใจของการกระทำหน้าที่ของผู้พิพากษาหรือตุลาการ และเป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการทั้งหลายจักต้องตระหนัก ในอดีต ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ และองค์คณะอีกท่านหนึ่งถ้าจำไม่ผิดคือ อาจารย์โพยม เลขยานนท์ ได้ตัดสินจำคุกคนขนาดรัฐมนตรีมาแล้ว ท่านทั้งสามจึงได้รับการกล่าวขวัญถึงตลอดมา ผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นจะหวั่นไหวกับอิทธิพลใดๆ และกระแสสังคมไม่ได้โดยเด็ดขาด ผู้พิพากษาหรือตุลาการจักต้องตั้งมั่นในความเป็นอิสระของตน แต่ในอดีตปรากฏว่าอย่างน้อยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยส่อให้เห็นถึงความอ่อนไหวของตนต่อกระแสการเมืองและกระแสสังคม เพราะในคำวินิจฉัยส่วนตนของ นายอนันต์ เกตุวงศ์ ในคดีที่รู้จักกันทั่วไปว่า "คดีซุกหุ้น" ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา มีข้อความตอนหนึ่งว่า "สำหรับความกังวลใจที่ปรากฏในสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศที่ว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกภายในรัฐธรรมนูญใหม่ทิ้งปัญหาที่ต้องขบคิดอยู่ 2 ประการคือ ถ้าผู้ถูกร้องไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปรัฐบาลชุดแรกที่มีเสถียรภาพในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทยก็อาจจะสั่นคลอน แต่ถ้าตรงกันข้ามผู้ถูกร้องพ้นข้อกล่าวหาจากกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากข้อวินิจฉัยเดิม มาตรการต่างๆ ที่ใช้กำจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในระยะยาวก็จะไม่มีประสิทธิภาพนั้น ขอยืนยันว่าความกังวลใจดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยคำร้องตามมาตรา 295 ไปแล้วเพียง 8 เรื่องเท่านั้น และยังไม่มีข้อเท็จจริงในคำร้องใดเหมือนกับกรณีของผู้ถูกร้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องทรัพย์สินที่เป็นหุ้น ส่วนกรณีของ นายประยุทธ มหากิจศิริ นั้นได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ที่เป็นบัญชีเงินฝากธนาคารกับที่ดินทั้งของนายประยุทธเอง และของคู่สมรสมีจำนวนน้อยกว่าที่ไม่ได้ยื่น และไม่มีกรณีเรื่องหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงแตกต่างในประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงกับผู้ถูกร้องโดยชัดเจน" (ดู ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 2 หน้า 441) ถ้อยคำที่ได้ยกมานี้เป็นถ้อยคำที่ผู้เขียนเห็นว่าไม่ชอบที่ปรากฏในคำวินิจฉัยใดๆ ของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ "คดีซุกหุ้น" นี้มีประเด็นพิจารณาเพียงสองประการ คือ เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยชี้ขาดหรือไม่ และหากเป็นคดีอยู่ในอำนาจศาลรัฐธรรมนูญแล้ว กรณีก็จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ข้อเท็จจริงฟังได้หรือไม่ว่าผู้ถูกร้องได้กระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 ฉะนั้น เหตุผลใดๆ ที่หยิบยกขึ้นมากล่าวในคำวินิจฉัยชอบที่จะต้องเป็นเหตุผลโดยตรงในการรับฟังและในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานเท่านั้น ยิ่งถ้อยคำที่ว่า "ขอยืนยันว่าความกังวลใจดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยคำร้องตามมาตรา 295 ไปแล้วเพียง 8 เรื่องเท่านั้น" ด้วยแล้วยิ่งไม่ชอบที่ปรากฏในคำวินิจฉัยเลย การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและจิตวิทยาคำให้การพยานบุคคล เกี่ยวกับ "คดีซุกหุ้น" ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น ผู้เขียนได้เคยวิเคราะห์ปัญหาข้อกฎหมายมาบ้างแล้ว โดยผู้เขียนได้วิเคราะห์ว่า ในคดีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็น "ศาลพิจารณาพิพากษาเฉพาะข้อกฎหมาย" (Review Court) ไม่ใช่ "ศาลพิจารณา" (Trial Court) (ดู คณิต ณ นคร "ศาลรัฐธรรมนูญในคดียื่นบัญชีทรัพย์สิน" มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 23 และ 24 มีนาคม 2544 หรือใน รัฐธรรมนูญกับกระบวนการยุติธรรม สำนักพิมพ์วิญญูชน มิถุนายน 2549 หน้า 80) โดยที่ใน "คดีซุกหุ้น" นี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานด้วย ผู้เขียนจึงจะวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวนี้ต่อไป ตามหลักกฎหมายนั้น การนั่งพิจารณาคดีของศาล (รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญด้วย) ต้องมีผู้พิพากษาหรือตุลาการครบองค์คณะ และผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งมิได้นั่งพิจารณาคดีใดจะทำคำพิพากษาหรือวินิจฉัยคดีนั้นไม่ได้ (ดู รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน มาตรา 236) หลักกฎหมายดังกล่าวนี้ย่อมตรงกับหลักตรรกศาสตร์อันเป็นหลักสำคัญในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน กล่าวคือ ผู้ที่จะชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานได้ต้องเป็นผู้ที่ได้สัมผัสพยานหลักฐานต่างๆ มาด้วยตนเอง เพราะหากให้ผู้ที่มิได้สัมผัสกับพยานมาโดยตรงด้วยตนเองเป็นผู้ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแล้ว ก็ย่อมจะไม่สามารถที่อธิบายและให้เหตุผลด้วยศาสตร์ใดๆ ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบุคคล เพราะความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลก็ดี ความสามารถในการจดจำของพยานบุคคลก็ดี เหล่านี้ผู้ชั่งน้ำหนักพยานบุคคลต้องสัมผัสกับพยานบุคคลโดยตรงด้วยตนเอง กล่าวคือ พยานบุคคลต้องให้การต่อหน้าตน แต่ทางปฏิบัติในอดีตของศาลยุติธรรมของไทยเราได้มีการทำผิดหลักการเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอดจนต้องเน้นย้ำหลักการนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ดู คณิต ณ นคร กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พิมพ์ครั้งที่ 7 สำนักพิมพ์วิญญูชน กุมภาพันธ์ 2549 หน้า 241-252) อย่างไรก็ตาม แม้จะได้มีหลักการดังกล่าวในรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่ใน "คดีซุกหุ้น" ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกล่าวหานั้น นายศักดิ์ เตชาชาญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเพิ่งได้รับเลือกเข้าไปทำหน้าที่และไม่ได้สัมผัสพยานบุคคลใดๆ ในคดีโดยตรงด้วยตนเอง แต่ก็ได้เข้าร่วมในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวด้วย การกระทำของ นายศักดิ์ เตชาชาญ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือขัดต่อกฎหมายอย่างแจ้งชัด เป็นการกระทำที่เป็นการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายนั่นเอง การกระทำของ นายศักดิ์ เตชาชาญ ดังกล่าวนี้แม้ในปัจจุบันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดทางอาญา ผู้เขียนก็เห็นว่าเป็นการบั่นทอนความเชื่อถือศรัทธาของศาลรัฐธรรมนูญไปไม่น้อย http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=MDQzODIwMTA0OQ==&srcday=MjAwNi8xMC8yMA==&search=no จาก : คณิต ณ นคร คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ - 21/10/2006 15:08
9 สิงหาคม 2554 16:04 น. - comment id 125541
วิบากกรรม อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ภายหลังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ลงมติไม่รับอุทธรณ์ คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ด้วยคะแนน 103 ต่อ 4 เสียง และงดออกเสียง 12 ดังนั้น ถือว่า มหากาพย์ไตรภาค ของการยึดทรัพย์ ครั้งมโหฬารของนักการเมืองไทย ก็ต้องจบสิ้นลง และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ กับสังคมการเมืองไทย ที่นักการเมือง ต้องพึ่งระวัง เมื่อคิดจะกระโดดมาเล่นการเมือง การชี้ชะตาครั้งนี้เริ่มขึ้น เมื่อ นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมใหญ่ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ชั้นตั้งแต่ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ ประธานแผนกทั้ง 9 แผนก รวมทั้งสิ้น 142 คนเพื่อประชุมใหญ่พิจารณาเรื่องจะรับอุทธรณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ใน คดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่ ตามที่ทนายจำเลยยื่นหลักฐานใหม่ ปรากฏว่า นัดนี้ มีผู้พิพากษาศาลฎีกาเข้าประชุมเพียง 119 คน ขาดไป ถึง 23 คน แต่ผู้เข้ามาประชุมดังกล่าว เกินกึ่งหนึ่ง คือ 91 คน ดังนั้น จึงสามารถทำการประชุมได้ จึงเริ่มประชุม และลงเอยด้วยเสียงขาดลอย ศาลฎีกาลงมติไม่รับอุทธรณ์ คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน เปิดฉากคดีดังของหน้าการเมืองไทย
9 สิงหาคม 2554 16:15 น. - comment id 125543
ประวัติองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์"ทักษิณ" องค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทักษิณ 7.6 หมื่นล้านบาท 1.นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกจากองค์คณะผู้พิพากษาให้เป็นเจ้าของสำนวนนั้น ก่อนที่จะถูกเลือกเป็นเจ้าของสำนวนคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิน ครั้งนี้ นายสมศักดิ์ เคยปฏิบัติหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่ยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาแล้ว 2 คดี โดยนายสมศักดิ์ร่วมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา ตกเป็นจำเลย ซึ่งคดีดังกล่าวนายสมศักดิ์ เป็นเสียงข้างมาก 1 ใน 5 เสียงที่พิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 และเห็นควรให้ลงโทษจำคุก 2 ปี นอกจากนี้นายสมศักดิ์ ยังเคยเป็นหนึ่งในผู้พิพากษาองค์คณะพิพากษาคดีที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ตกเป็นจำเลยคดีทุจริตออกโฉนดที่ดิน ต.คลองด่านด้วย ซึ่งนายสมศักดิ์ เป็นองค์คณะเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 สียงเช่นกันที่ตัดสินว่า นายวัฒนา กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ฐานใช้อำนาจในตำแหน่งที่ข่มขู่ จูงใจเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการให้ออกโฉนดที่ดินให้พวกนายวัฒนาโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ให้จำคุก 10 ปี ทั้งนี้สำหรับนายสมศักดิ์ ก่อนที่เป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาและได้รับเลือกจากที่ประชุมศาลฎีกามาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ได้รับราชการเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมตำแหน่งสูงสุดท้ายประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา โดยนายสมศักดิ์ ได้รับเลือกเป็นองค์คณะพิจารณาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดา ฯ ขณะดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อเนื่องมาจนเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ขณะที่นายสมศักดิ์ ยังเคยเป็นประธานคณะกรรมการไต่สวน คำร้องของ พล.ต.อ. ประทิน สันติประภพ ประธานกรรมาธิการวิสามัญปราบปรามการทุจริตของวุฒิสภา ที่กล่าวหา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) 9 คน ชุดที่มี พล.ต.อ. วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ เป็นประธานฯ ว่า กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีที่ป.ป.ช. ออกระเบียบและกำหนดค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนให้กับตนเอง ก่อนที่คดีดังกล่าวศาลศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะรับไว้พิจารณาและพิพากษาว่า กรรมการ ปปช. ทั้งเก้า กระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ 2542 โดยพิพากษาให้จำคุกกรรมการ ปปช. คนละ 2 ปีแต่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี 2.นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกานั้น ในช่วงหนึ่งของการเป็นข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ได้เลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เข้าไปปฏิบัติหน้าที่เป็นตุลาการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ฯ ฉบับชั่วคราว ปี 2549 หลังจากมีการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ซึ่งขณะนั้นนายธานิศ ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา โดยระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ นายธานิศ ได้ร่วมพิจารณาพิพากษาคดียุบพรรคไทยรักไทยด้วย ขณะที่การทำหน้าที่ตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทยแม้ตุลาการรัฐธรรมนูญจะมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคการเมือง แต่นายธานิศ เป็น 1 ใน 3 ตุลาการรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยว่าจะนำประกาศ คปค.ฉบับที่ 27 มาย้อนหลังใช้บังคับเพื่อกำหนดโทษการตัดสิทธิ์การเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี และหลังจากทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ได้โอนย้ายกลับมาเป็นข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม และได้รับเลือกปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา เมื่อปี 2552และได้รับเลือกที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์นี้ ซึ่งนายธานิศนั้น ในช่วงชีวิตการรับราชการเคยเป็นอัยการผู้ช่วย และได้สอบจนเป็นผู้พิพากษา ซึ่งระหว่างรับราชการนายธานิศได้เป็นหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลภาษีอากรกลาง ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา เลขานุการศาลฎีกาในยุคนายศักดา โมกขมรรคกุล อดีตประธานศาลฎีกาและอดีตองคมนตรี เป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรีและผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ โดยนายธานิศ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้พิพากษา ถือเป็นปรมาจารย์ทางประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาผู้แต่งตำรา ป.วิอาญา และเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนติบัณฑิตยสภา เขียนคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐานไว้ 86 คดี 3.นายพิทักษ์ คงจันทร์ ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกเป็นองค์คณะ แทนนายบุญรอด ตันประเสริฐ อดีตประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา ที่ขอถอนตัวจากการเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษายึดทรัพย์ เนื่องจากป้องกันข้อครหาการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีบุคคลภายนอกล่วงรู้คำพิพากษาคดีจัดซื้อต้นกล้ายางพาราที่นายบุญรอด เป็นเจ้าของสำนวนก่อนหรือไม่ โดยนอกจากเป็นองค์คณะนี้แล้ว นายพิทักษ์ ยังได้รับเลือกเป็นองค์คณะพิจารณาสำนวนคดีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวบรวมรายชื่อใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องมายังศาลฎีกาตั้งองค์คณะ ถอด ป.ป.ช. ทั้งคณะ 9 คน ออกจากตำแหน่ง กรณีถูกกล่าวหาปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่ชี้มูลความผิดการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดล้อมหน้าอาคารรัฐสภา มิชอบด้วยกฎหมาย กระทำทำผิดวินัยร้ายแรง และกรณีมีมติไล่นายตำรวจที่สลายม็อบออกจากราชการ 4.นายพงศ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกานั้น เคยเป็นหนึ่งในองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว หรือหวยบนดิน โดยนายพงศ์เทพ เคยดำรงตำแหน่งสูงสุดเป็นประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ก่อนที่จะเป็นผู้พิพากษาอาวุโสและได้รับเลือกให้มาเป็นองค์คณะตัดสินคดียึดทรัพย์ 5.นายอดิศักดิ์ ทิมมาศย์ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา ได้รับเลือกเป็นองค์คณะแทนนายปัญญารัตน์ วิระยะวานิช ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา และนายอดิศักดิ์ ยังเป็นองค์คณะพิจารณาสำนวนคดีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวบรวมรายชื่อใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องมายังศาลฎีกาตั้งองค์คณะ ถอด ป.ป.ช. ทั้งคณะ 9 คน ออกจากตำแหน่ง กรณีถูกกล่าวหาปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่ชี้มูลความผิดการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดล้อมหน้าอาคารรัฐสภา มิชอบด้วยกฎหมาย กระทำทำผิดวินัยร้ายแรง และกรณีมีมติไล่นายตำรวจที่สลายม็อบออกจากราชการ 6.ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 7.นายประทีป เฉลิมภัทรกุล ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นองค์คณะคดียึดทรัพย์ และองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแปลงภาษีสรรพสามิต ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยโดยคดีดังกล่าวพักการพิจารณาคดีชั่วคราวจนกว่าจะได้ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหลบหนีคดีอยู่มาพิจารณาคดี 8.นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกานั้น เคยได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงค์ ปล่อยกู้ให้รัฐบาลพม่า ที่ คตส. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำเลย แต่คดีต้องพักการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราวเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ระหว่างหลบหนี นอกจากนี้นายกำพล ยังเป็นหนึ่งในองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีหวยบนดินด้วย 9.นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา นั้นหลังจากดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ก็เพิ่งจะได้รับแต่งตั้งขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานศาลฎีกาเมื่อ ต.ค.2552 ซึ่งนอกจากคดียึดทรัพย์ นายไพโรจน์ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแปลงภาษีสรรพสามิต ขณะที่ด้านวิชาการนายไพโรจน์ ได้เป็นกรรมการเนติบัณฑิตยสภาในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วย
9 สิงหาคม 2554 16:23 น. - comment id 125544
คำวินิจฉัยส่วนตนของผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้ง 9 คนในคดี พ.ต.ทงทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีร่ำรวยผิดปกติและมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ให้ทรัพย์สิน 46,373,687,454.70 บาทตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำมาเผยแพร่เพื่อให้สาธารณชนและวงวิชาการด้านกฎหมายได้ศึกษาเพื่อประโยชน์แก่วงการนิติศาสตร์ต่อไป ปรากฏว่า ในองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน มีเสียงเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงไว้ซึ่งหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ"ซุกหุ้น"ชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้น ขณะที่ ประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ทำให้รัฐเสียหาย เสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีการกระทำดังกล่าว โดยเสียงข้างน้อย 1 เสียงคือ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา ส่วนประเด็นการให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินนั้น องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ อย่างรก็ตามเมื่อพิจารณาประเด็นว่า ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจำนวนเท่าใด องค์คณะฯเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เห็นว่า ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินบางส่วน(46,000 ล้านบาท) ขณะที่เสียงข้างน้อย 2 เสียงคือ นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา และนายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เห็นว่า ควรให้ทรัพย์สินตามคำร้องทั้งหมด 76,000 ล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดิน
9 สิงหาคม 2554 16:32 น. - comment id 125545
สรุป คำวินิจฉัยส่วนตนของผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้ง 9 คนในคดี พ.ต.ทงทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีร่ำรวยผิดปกติและมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ให้ทรัพย์สิน 46,373,687,454.70 บาทตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำมาเผยแพร่เพื่อให้สาธารณชนและวงวิชาการด้านกฎหมายได้ศึกษาเพื่อประโยชน์แก่วงการนิติศาสตร์ต่อไป ปรากฏว่า ในองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน มีเสียงเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงไว้ซึ่งหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ"ซุกหุ้น"ชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้น ขณะที่ ประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ทำให้รัฐเสียหาย เสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีการกระทำดังกล่าว โดยเสียงข้างน้อย 1 เสียงคือ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา ส่วนประเด็นการให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินนั้น องค์คณะฯมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์ อย่างรก็ตามเมื่อพิจารณาประเด็นว่า ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจำนวนเท่าใด องค์คณะฯเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เห็นว่า ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินบางส่วน(46,000 ล้านบาท) ขณะที่เสียงข้างน้อย 2 เสียงคือ นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา และนายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เห็นว่า ควรให้ทรัพย์สินตามคำร้องทั้งหมด 76,000 ล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดิน
9 สิงหาคม 2554 16:34 น. - comment id 125546
1.ปกปิดอำพรางหุ้น โดยผ่านนอมินี ประเด็นวินิจฉัยผู้ถูกกล่าวหาปกปิดอำพรางหุ้นหรือไม่ วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ ยังถือหุ้นไว้ แต่ปี 2549 รวบรวมหุ้นทั้งหมดขายให้เทมาเส็ก โดยมีการโอนหุ้นให้กับผู้คัดค้านหลายคนจริง ผู้ถูกกล่าวหาแม้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 แล้ว ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจดำเนินนโยบายและแต่งตั้งกรรมการในบริษัทชินคอร์ปจริง การควบคุมนโยบายของผู้ถูกกล่าวหาผ่านทางคณะกรรมการบริษัทชินคอร์ปจริง มีมติเป็นเอกฉันท์ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 มีหุ้นในเทมาเส็กจริง การขายหุ้นให้พี่น้องมีพิรุธ ไม่มีใครจ่ายเป็นเงิน ทั้งที่จริงๆ มีเงินจ่ายได้ แต่กลับจ่ายเป็นตั๋วสัญญา อีกทั้งยังเป็นผู้รับเงินปันผลตามบัญชีบ.แอมเพิลริช ที่มีเงินปันผลเข้าบัญชีระหว่างปี2546-2548 จำนวน 1,000 ล้านบาท ศาลจึงมีมติเอกฉันท์ว่าผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถือหุ้นใหญ่กว่า 1,400 ล้านหุ้นของบ.ชินคอร์ป ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทั้งสองสมัย มติเอกฉันท์ 2.การแปลงสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป วินิจฉัยว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไป 6 หมื่นล้านเศษ มีมติด้วยเสียงข้างมาก ผู้ถูกกล่าวหา ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ตราพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ทำให้ชาติเสียหาย มติเสียงข้างมาก 3.กรณีปรับลดส่วนแบ่งรายได้ในระบบบัตรเติมเงิน (Prepaid) วินิจฉัยว่า การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้วยการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD)เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส )มติเสียงข้างมาก 4.กรณีการใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง) วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง) และปรับลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมระหว่างกสท.กับ DPC เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับชินคอร์ปฯ และเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นให้เทมาเส็กไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นเทมาเส็ก 5.กรณีดำเนินการธุรกิจดาวเทียมโดยไม่ชอบ วินิจฉัยว่า การละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพี สตาร์, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 รวมถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัทชินแซทเทิลไลท์ ก่อนจะขายให้แก่เทมาเส็ก เป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และไทยคม มติเสียงข้างมาก
9 สิงหาคม 2554 20:23 น. - comment id 125549
"เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกู ไปประกาศให้คน รู้ว่า กู กรมหลวงชุมพร เขตตอุดมศักดิ์ ผู้เปนโอรสของ พระปิยะมหาราช ขอประกาศให้พวกมึง รับรู้ไว้ว่า แผ่นดินสยามนี้บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้ ไอ้ อี มันผู้ใด คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็วก่อนที่กูจะสังหาร ผลาญสิ้นทั้งโคตร ให้หมดเสนียด ของแผ่นดินสยามอันเปนที่รักของกู ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใด ให้เรากำเนิดมา แผ่นดินใด ให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเปนสุข มิให้ อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น" ข้าแต่พระสยามเทวาธิราช พระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง เทวดารักษาเศวตฉัตร และเทพยาดาอารักษ์ทั้งหลายอันรักษาภูมิภาคขอบขัณฑะสีมามณฑลแห่งประเทศไทยนี้ โปรดดลบันดาลให้ อ้ายอีผู้ใด ที่ไม่หวังดีต่อแผ่นดินทั้งหลาย จงพินาศฉิบหายตายตกไปตามกัน แม้นมันผู้นั้นมิตายก็ขอให้ทำการสิ่งไรไม่เจริญงอกงาม ให้เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมราศรี ทั้งนี้อย่าให้พ้นในสามวัน อย่างให้ทันในสามเดือน อย่างให้เคลื่อนในสามปี เพื่อความผาสุก ของสมณพราหมณาจาร์ยไพร่ฟ้าประชาราษฎร ส่ำสัตว์จัตุบททวิบาท และความวัฒนาสถาวรของประเทศไทยสื่บไปในกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ.. บันทึกกรมหลวงชุมพรฯ
11 สิงหาคม 2554 21:36 น. - comment id 125593
ตีสองหน้า อ้างประชาธิปไตยนำ สำรอกถ้อยคำเน้นย้ำธรรม ร่ายรำ ตีฆ้องร้องโฆษณา อ้างพระธรรมคำสอนศาสดา โอดโอ้วิชชาปัญญาเลิศหล้า นักเลงปอสี่อยู่กลางทุ่งนา ทั้งเก่งทั้งกล้า ปิดบังตัวตน ผู้ใดคิดต่าง ช่างไร้ยางอาย ง่ายดาย ใช่ปากพ่นพ่น งำงัม ฮัมหงาว ให้ทุกทั่วคน สัปะดี้สัปะดน กล่าวร้ายโจมตี ข่าวเต้าข่าวจริงไร้สิ่งประกัน โพทนาโจษจัญตีไข่ใส่สี ตาบอดสองข้างในเรื่องควรที่- จะ้ต้องรู้ดีใครจาบจ้วงใคร คนที่แสนรักทำไรได้ ถึงผิดกฎหมายไร้ข้อสงสัย หาข้อแก้ต่าง ข้างคูข้างใคร หรือเทียบว่าร้ายน้อยกว่าบางคน ขึ้นรถสีแดงขับแซงซ้ายขวา
11 สิงหาคม 2554 22:47 น. - comment id 125597
ตีสองหน้า อ้างประชา-ธิปไตยนำ สำรอก ถ้อยคำ เน้นย้ำธรรม ร่ายรำ ตีฆ้อง ร้องโฆษณา อ้างพระธรรม คำสอนศาสดา โอดโอ้วิชชา ปัญญาเลิศหล้า นักเลงปอสี่ อยู่กลางทุ่งนา ทั้งเก่งทั้งกล้า ปิดบังตัวตน ผู้ใดคิดต่าง ช่างไร้ยางอาย ง่ายดาย ใช่ปากพ่นพ่น งำงัม ฮัมหงาว ให้ทุกทั่วคน สัปะดี้สัปะดน กล่าวร้ายโจมตี ข่าวเต้าข่าวจริง ไร้สิ่งประกัน โพทนาโจษจัญ ตีไข่ใส่สี ตาบอดสองข้าง ในเรื่องควรที่- จะ้ต้องรู้ดี ใครจาบจ้วงใคร คนที่แสนรัก ทำไรก็ได้ ถึงผิดกฎหมาย ไร้ข้อสงสัย หาข้อแก้ต่าง ข้างคูข้างใคร หรือเทียบว่าร้าย น้อยกว่าบางคน ขึ้นรถสีแดง ขับแซงซ้ายขวา ก็โพทนา สีนั่นสีโน่น ป้านป้ายสีขาว อย่าง่าวแย้งยล จงเชื่อคำบน หลังป้ายรถเป็น รถนี้สีขาว ราวสาวแรกแย้ม ไม่ต้องแตะแต้ มแง้มตาแลเห็น สิ่งที่ควรเชื่อ คือถ้อยคำเน้น เชื่อเถิดจริงเช่น ที่รจนา ลงป้ายรถเมย์ หลบแดดแผดเผา ฟังเรื่องบอกเล่า ในศาลาว่า ฝนตกเย็นจริง ยิ่งกว่าพรฟ้า แล้วก็มองหน้า หลบตากันไป ความจริงความเท็จ รู้อยู่เต็มอก ศาลาโกหก ปกปิดปากไว้ ทั้งที่ใจรู้ อดสูเสียดาย อายก็แสนอาย บัดสีตัวเอง เดือนตากฝนร้อน ที่ตกจากฟ้า ไหนว่าฝนหว่า ช่างร้อนชิบเผง อยากจะต่อยหน้า แต่ยังกริ่งเกรง ศาลานักเลง คุมวิญญาณเลว ถึงบ้านหลังน้อย คอยลูกคอยท่า ที่บ้านปัญญา ชื่อว่าล้มเหลว เพิ่งปลูกสร้างใหม่ เสร็จอย่างรวดเร็ว อยู่ที่ปากเหว น่าเสี่ยงน่ารอ อาบน้ำประแป้ง ตราลมตราแล้ง สวดมนต์สาปแช่ง พระพุทธะขอ วิบัติบรรลัย ใครไม่สอพลอ ด่าแม่ล่อพ่อ สาปส่งพงศ์พันธ์ ทำตัวเป็นผู้ ทรงรู้ทรงศีล พฤติการพลิกลิ้น ส่งกลิ่นโชยฉ่ำ หลงติดตัวตน พร่ำบ่นพร่ำย้ำ กระทบเทียบกระทำ มิสำรวมใด แสดงให้เห็น เช่นคนทั่วถ้วน ที่ต่างก็ล้วน รักโกรธเกลียดได้ ฉันนี้ฉันนั้น ต่างกันกระไร อย่าเทียวสอนใคร จงสอนตัวเอง ตีสองหน้า บิ่นบ้าบอดใบ้ เกลียดใครก็หมาย ป้ายร้ายข่มเหง รักก็กรานกราบ ซึ้งซาบวังเวง แม้แต่บทเพลง ส่งศพยังพบดี วันนี้เป็นพระ พรุ่งนี้เป็นโจร วันพระอ่อนโยน วันโจร ขย่ำขยี่ ให้ศีลให้พร ยามจีวรมี แต่ให้อัปรย์ ยามมีมีดปืน อยากทำสิ่งใด จงใช้ใจเถิด อย่าอายที่เกิด ทำเลิศทำฝืน แสดงตัวตน อยู่บนจุดยืน บาปบุญไม่คืน เกลื่อนกลืนหายกัน คิดชั่วจงชั่ว อย่ามัวเหนียมอาย คิดดีคิดร้าย อย่าได้หวาดหวั่น รักษาภาพไว้ จะให้ใครกัน เมื่อใจเท่านั้น ที่รู้ จริง-ลวง รถสีอะไร ใช้ใจไม่เห็น ตาเปิดให้เป็น เห็นอย่าได้ห่วง ไม่ต้องมาล่อ ไม่ต้องมาลวง ผี พรหม ยมฯ ปวง ท่านรู้ดีแล บ้านนี้มีชายที่เกิดเดือนห้า ผูกตุ๊กตา เอาไว้ช่วยแก้ หญิงสาวบ้านนี้ สีผิวกาละแมร์ เด็กบ้านนี้แท้ อ่อนแอทั้งเพ ลวงล่อล่อหลอก เพื่อบอกไรกัน ความกลัวเท่านั้น ทำกันเด่นเด่ ความจริงอยู่ใน ดุจน้ำทะเล เค็มแต่ตาเข มองน้ำใสไป ตีสองหน้า อย่างประชา อย่างประเทศไทย อย่างคนจนยาก และคนสิ้นไร้ อย่าอดีตชาติ สิ่งที่ไม่ใคร จะรับรู้ได้ เพราะตายหมดแล้ว ชื่นชมคนตาย หลบหลู่คนอยู่ ทำภูมิความรู้ เหมือนเพชรเก็จแก้ว แค่หินดินใส ที่พอมีแวว คิดว่าเลิศแล้ว ล้ำกว่าใครใด เกิดบนแผ่นดิน ใกล้สิ้นชีวิต ยังเบ่งถูกผิด ให้เที่ยงไม่ได้ เอาดีลบเลว ได้ดีกันไป มันก็ชั่วร้าย เท่าเทียมเท่ากัน นี่เขียนอะไร ไยไม่พ้นหนา ดุลยภาพครูบาอาจารย์จรัลนั่น เชื่อก็ต้องเร่งพิจารณามัน บนมโนปั่นป่วน ไร้อคติใด รักโลถโกรธหลง ปลงหมดทั้งสี่ ไม่ยึดติดที่ ตัวตนคนไซร้ แต่ยึดเท็จจริง สิ้งย้ำเยือนใจ คิดเห็นสิ่งใด จะได้เที่ยงธรรม
13 สิงหาคม 2554 01:01 น. - comment id 125609
http://www.youtube.com/watch?v=rrCLItHcU70&feature=related ปริญญาขี้ยา http://www.youtube.com/watch?v=ZXL4htlCNbY สันกาลาคีรี http://www.youtube.com/watch?v=IOZxNAYTqGE&playnext=1&list=PL06428BB4A07C5906 บ่าวผมยาว - แสง ธรรมดา.เพื่อชีวิต http://www.youtube.com/watch?v=6AO7yrR1DfQ&playnext=1&list=PL06428BB4A07C5906 นายหัวครก - แสง ธรรมดา.เพื่อชีวิต
13 สิงหาคม 2554 15:45 น. - comment id 125619
๏ บ้านเมืองไม่ใช่เวทีมวย ที่ตัดสินกันด้วยการต่อสู้ หมัดต่อหมัดฟาดฟันเข้าพันตู เพื่อให้รู้ผลแค่แพ้ชนะ ๏ บ้านเมืองไม่ใช่ลานกีฬา เอาคนมาตะโกนกันลั่นเอะอะ เอาชนะให้ได้ไม่ลดละ ไม่บันยะบันยังใดทั้งนั้น ๏ บ้านเมืองไม่ใช่แดนประหาร บ้านเมืองไม่ใช่ลานการแข่งขัน บ้านเมืองไม่ใช่อวดประกวดกัน บ้านเมืองไม่ใช่ดันเพื่อคนใด ๏ จงอย่าใช้บ้านเมืองเป็นเวที เพื่อรักษาบารมีไว้ให้ได้ เพื่อฟอกผิดพิสดารบานตะไท สร้างโจราธิปไตยให้รุ่งเรือง ๏ ก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตย ต้องเหยียบขั้นบันไดใช่ครกกระเดื่อง อย่าใช้เสียงประชาชนมาปล้นเมือง อย่าสร้างเรื่องชั่วฉลหลอกคนไทย! ...................... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
14 สิงหาคม 2554 21:11 น. - comment id 125632
สารบัญพาดหัวข่าว วันอาทิตย์ ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554 1.)'ปู'ปัดไม่มีหารือ'ทักษิณ'เสนอตัวทูตการค้า 2.)"สุรพงษ์" ปลื้ม รบ.ญี่ปุ่นไฟเขียว ทักษิณ เข้าประเทศ 3.)'ความท้าทาย'บทแรก..คืนพาสปอร์ตทักษิณ 4.) 'ธิดา'รับร้องเยียวยาแดงศพละ10ล. 5.) "กล้านรงค์" ลั่นไม่ลำบากใจพท.ไทยเป็นรัฐบาล 6.)คอป.เสนอเยียวยาผู้บาดเจ็บ-ตายจากเหตุชุมนุมมากกว่าสงเคราะห์ 7.)ปชป.จับตาปลุกผีแก่งเสือเต้น 8.)ที่มาของวันสารทจีน 9.)เปิดแผนพัฒนาแหล่งน้ำ ทุ่ม1.7ล้านล้านชง"ปู" แก้"ท่วม-แล้ง"ซ้ำซาก !! 10.)ธิดาย้ำธาริตต้องลาออกชี้มีส่วนได้เสียคดีแดง ................................................ NEWS TODAY Sunday 14th , August 2011 suthichaiyoon.com Quotes of the Day ** "เวลานี้บ้านเมืองเราบอบช้ำ เสียหาย หยุดนิ่งมีปัญหารอบด้านด้วยพื้นฐานหลัก จากคนเสื่อมถอย ยึดประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนร่วมเมื่อส่วนร่วมเสียหาย ไม่ว่า เสื้อสีไหนจะชนะ แต่สิ่งที่แพ้คือประเทศดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญ หากเราหวังพึ่งคน ยุคนี้ไม่ได้ ต้องปลูกฝังที่เยาวชนสถานศึกษา ผมตั้งความหวังว่า น.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนใหม่ ย้ำว่าจะเข้ามาแก้ไขไม่แก้แค้นนั้น ก็ขอให้ทำ สมกับคำพูด " ปราโมทย์ โชติมงคล ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ..................................................................... 1.)'ปู'ปัดไม่มีหารือ'ทักษิณ'เสนอตัวทูตการค้า วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ** ที่เชียงใหม่ช่วงเช้าวันนี้ (14 ส.ค.) "ยิ่งลักษณ์" ปัดไม่มีการหารือเรื่อง "ทักษิณ" เสนอตัวทูตการค้า ย้ำคืนพาสปอร์ตแดง"อดีตนายกฯ" เป็นหน้าที่ "สุรพงษ์" พิจารณา ยืนยันแถลงนโยบายรัฐบาลก่อน 15 วันแน่ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมตรี ให้สัมภาษณ์ถึงแถลงนโยบายรัฐบาล ว่า ยืนยันว่าก่อน 15 วันแน่ นอน ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสนอตัวเป็นทูตการค้าเพื่อเจรจากับต่าง ประเทศนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่มี ไม่มีการคุยกันถึงเรื่องนี้เลย เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีภารกิจของท่านอยู่แล้ว ส่วนกรณีการออกพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท. ทักษิณนั้น ขอยืนยันในเจตนารมณ์เดิมว่า ตนไม่มีนโยบายในการทำเรื่องนี้ ซึ่ง เป็นเรื่องของกระทรวงต่างประเทศ ขอให้กระทรวงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ทำ ประโยชน์ให้แก่ทุกคน และที่สำคัญเป็นไปตามหลักนิติธรรมด้วย เมื่อถามว่า ได้มีการสอบถาม นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ถึง การคืนพาสปอร์ตแดงให้พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนไม่ มีนโยบายที่จะทำในเรื่องนี้ เป็นหน้าที่ของกระทรวงที่จะพิจารณาอย่างเท่าเทียม กันทุกคน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาไหว้อัฐิบรรพบุรุษ ที่วัดโรงธรรม สามัคคี ในอ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ว่า การลงพื้นที่เพื่อดูปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม ครั้งนี้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่และดีที่สุดเพื่อพี่น้องประชาชน ส่วนหลังจากเสร็จภาระ กิจการลงพื้นที่ที่จ.พิจิตรแล้วยังไม่ได้วางแผนจะลงพื้นที่ไหนต่อ แต่จะติดตาม ความคืบหน้าการแก้ปัญหาน้ำท่วมและประเมินว่าพื้นที่ไหนต้องเข้าไปดูแลต่อ นอกจากนี้ ในครม.ได้สั่งการให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงลงพื้นที่ดูไปดูแลช่วย เหลือประชาชนแล้ว หลังจากนี้คงมีการทำรายงานเข้ามา โดยเฉพาะผู้ว่าราชการ แต่ละจังหวัดได้ขอทำรายงานเพื่อติดตามการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ส่วนการให้ความช่วยเหลือที่มองว่ายังล่าช้าและไม่ทั่วถึง นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่กลไกการทำงาน วันนี้ได้วางกลไกติดตามและบูรณาการศูนย์ช่วย เหลือโดยมีศูนย์ฮอตไลน์ 1111 ของสำนักนายกฯ เพื่อให้ประชาชนที่ประสบภัย และต้องการความช่วยเหลือแต่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่สามารถโทรมา ได้ รวมทั้งได้ได้คุยกับหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยในการป้องกันในพื้นที่ที่ คาดว่าจะเกิดอุทกภัยซ้ำอีก ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ส่วนที่จ.แม่ฮ่องสอนที่เส้นทางถูกตัดขาด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐมนตรีคมนาคมรับปากจะลงไปกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เส้นทาง คมนาคมกลับสู่ภาพปกติเร็วที่สุด ผู้สื่อข่าวถามว่าในการประชุม ครม.อังคารนี้ จะหารือเรื่องการแก้ปัญหาอุทกภัย หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งแต่วันนี้แต่ละหน่วยงานทำเต็มที่ แล้ว และกำลังตั้งคณะทำงานติดตามเพิ่มขึ้น ซึ่งมีคณะทำงานติดตามปัญหาด้าน สาธารณะภัยอยู่แล้วแต่ตนเองจะเข้าไปกำกับให้รวดเร็วขึ้นเพื่อช่วยเหลือในส่วนที่ จะต้องตัดสินใจเร่งด่วน ส่วนการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ต้องทำทั้งสองส่วน คือ การวางแผนป้องกันและ เตือนภัยให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมความพร้อม โดยการวาง มาตรการป้อนกัน ส่วนการแก้ปัญหาต่อไปคงต้องวางแผนระยะยาวเพื่อหา มาตรการป้องกันน้ำท่วม เช่น วางแผนปลูกป่า และวางระบบเขื่อนป้องกันน้ำท่วม นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับการอนุมัติงบใหญ่คงต้องหารือกับเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่เบื้องต้นในส่วนของจังหวัดก็มีงบช่วยเหลือที่สามารถ อนุมัติได้ทันที รวมทั้งงบประมาณของแต่ละกระทรวงเราก็ทำกันเต็มที่ สำหรับ การช่วยเหลือในขั้นต่อไปคงต้องมามาประเมินว่าจะใช้งบกลางมาช่วยเหลือได้ อย่างไร "ขอกลับไปประเมินงานอีกครั้ง แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้มีปัญหาหรือติดขัดเงื่อนไข เรื่องการใช้เงินเพราะผู้ว่าราชการมีงบประมาณช่วยเหลือที่อนุมัติได้ตามอำนาจ อยู่แล้ว แต่การจ่ายเงินชดเชยคงรอหลังน้ำลดเพื่อมาประเมินและกำหนดกติกา การช่วยเหลือไม่ให้ล่าช้า สำหรับการแถลงนโยบายคาดว่าภายในวันที่ 15 สิงหาคมนี้"นายกรัฐมนตรีกล่าว 2.)"สุรพงษ์" ปลื้ม รบ.ญี่ปุ่นไฟเขียว ทักษิณ เข้าประเทศ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554 สำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่าง ประเทศ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกรณีรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าประเทศญี่ปุ่นเป็นกรณีพิเศษ โดยนายสุรพงษ์ระบุว่ารู้สึกดีใจที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะอนุญาตพ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศ เพราะแสดงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของญี่ปุ่นและไทย ต่อจากนี้อยากทำให้ความ สัมพันธ์ของ 2 ประเทศมีความแน่นแฟ้นขึ้นไปอีก 3.)'ความท้าทาย'บทแรก..คืนพาสปอร์ตทักษิณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยหลังสามารถจัดตั้งรัฐบาล 300 เสียง ได้เป็นผลสำเร็จ และมีนายกรัฐมนตรี ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังพบกับ "ความท้าทาย" บทแรก ที่เชื่อว่าจะต้องปลดพันธนาการทั้งหลายทั้งปวงที่ร้อยรัดอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้หรือไม่ และรวมถึงปลดพันธนาการทั้งหลายทั้งปวงที่ร้อยรัดอยู่กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ได้หรือไม่ สำหรับพันธนาการกับคนเสื้อแดงนั้น คำตอบ สะท้อนออกมาได้จากการแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร 3 คน ถือว่า ไม่มีแกนนำคนเสื้อแดง ได้รับตำแหน่ง สำหรับพันธนาการกับคนเสื้อแดง คำตอบยังสะท้อนได้จากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ที่ไม่มีแกนนำคนเสื้อแดงหลุดเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีชื่อแกนนำหลายคนเป็นแคนดิเดทรัฐมนตรี สิ่งนี้ถือว่า พันธนาการเชิงตอบแทนด้วยตำแหน่งทางการเมือง ถือว่านายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย ได้ตัดขาดกันกับคนเสื้อแดง หมดสิ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ยังพันธนาการในด้านที่เกี่ยวโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ยังต้องพิสูจน์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยกล่าวถึง สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามกับเธอว่าการเป็นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย และเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี ถึงประเด็นที่เกี่ยวกับพี่ชายของเธอว่า "สิ่งแรกที่พรรคต้องดำเนินการ ไม่ใช่นิรโทษกรรม ตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ ซึ่งการนิรโทษกรรมต้องมองย้อนไปตั้งแต่เหตุการณ์ 19 กันยายน ปฏิวัติที่ผ่านมา ซึ่งทุกฝ่ายต้องมานั่งคุยกัน ดูความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เสมอภาคทุกภาคส่วน และอาจมีคณะกรรมการส่วนกลางขึ้นมาดูแล สุดท้ายผู้ชี้ขาด คือ ประชาชน ส่วนเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนหนึ่งในประชาชนที่ต้องพิจารณาด้วย ไม่มีสิทธิพิเศษ ดิฉันก้าวเข้ามาในพรรคเพื่อไทย ต้องการมาทำงานให้กับสังคม และทางพรรคไม่ยินยอมหากเข้ามาดำเนินการเพียงคนเดียว เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ บทสรุปสุดท้าย คือ ประชาชนเป็นผู้กำหนดชี้ขาด เช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งนี้" "หลังรัฐประหาร 2549 มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของการเมืองเป็นอย่างดี แม้ผ่านมา 5 ปี ประชาชนยังคิดถึงพี่ชาย และนโยบายเก่าๆ จึงรู้สึกว่าครอบครัวเป็นหนี้ประชาชน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง ไม่ได้เข้ามาเล่นการเมือง แต่เสนอตัวมารับใช้ประชาชน อยากเห็นประเทศมองข้ามความขัดแย้งแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และอยากเห็นความสามัคคีปรองดองในชาติ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณ ว่า พรรคพร้อมสร้างความปรองดอง ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ประชาชน" นอกจากนั้น ในวันที่ 8 ส.ค. โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวภายหลังรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ว่า "ดิฉันขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ที่ให้โอกาสดิฉัน ซึ่งถือว่าเป็นพันธสัญญาทางใจ ให้ตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ด้วยความภาคภูมิใจ ดิฉันจะมุ่งมั่น สร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน" บัดนี้ ประชาชนได้เชื่อมั่นในสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวไว้ว่าจะไม่ทำเพื่อ "กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง" แต่คล้อยหลังได้ 3 วัน (11 ส.ค.) มีรายงานว่า กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีคำสั่งภายในรวมถึงการจัดเตรียมเอกสารต่างๆ พร้อมทั้งศึกษาถึงช่องทางทางกฎหมายที่จะให้มีการคืนหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลังมีความเป็นไปได้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ จะให้ดำเนินการเรื่องนี้หลังนั่งเก้าอี้ทันที นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงเรื่องนี้ (13 ส.ค.) หลังปล่อยให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ว่า กรณีกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มแดงให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า "ส่วนตัวยังไม่ได้เข้าไปทำงานในกระทรวง ซึ่งจะเข้าไปทำงานในวันที่ 17 สิงหาคม หากกระทรวงเตรียมเรื่องนี้ ผมก็จะหยิบยกขึ้นมาดู เพราะข่าวที่ออกไป ผมไม่ได้รับทราบเรื่องเลย ซึ่งผมจะดูความถูกต้องเป็นหลัก สิ่งไหนที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำโดยใช้ประเด็นทางการเมือง ผมคิดว่าไม่ควรจะดำเนินการในลักษณะเช่นนั้น เพราะกระทรวงการต่างประเทศ มีวัฒนธรรม มีประเพณีที่ดีงามมาโดยตลอด เราต้องดำเนินการในสิ่งที่ถูกต้อง" สำหรับเรื่องนี้ สืบเนื่องมาจากในสมัยที่ นายกษิต ภิรมย์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เป็นผู้ลงนามยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. 2552 โดยอ้างเหตุผลว่า รัฐบาลสามารถยกเลิก หรือถอนหนังสือเดินทางบุคคลที่ทำความเสียหายให้กับประเทศได้ และจากเหตุการณ์วันที่ 11 เม.ย. 2552 ที่กลุ่มคนเสื้อแดง บุกเข้าโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช จนต้องยกเลิกการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลตัดสินใจถอนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผลจากการถอนพาสปอร์ตดังกล่าว ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปประเทศที่สาม ด้วยหนังสือเดินทางไทยไม่ได้ นอกจากจะเดินทางกลับประเทศไทย ด้วยการไปขอให้สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ของไทยในประเทศนั้นๆ ออกเอกสารเดินทางชั่วคราว ที่เรียกว่า "ซีไอ" ให้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม การถอนพาสปอร์ตนี้ไม่ได้กระทบกับความเป็นสัญชาติไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด ครั้นมาดูข้อกฎหมาย การคืนพาสปอร์ตให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำได้หรือไม่ ต้องมาดูว่า การยกเลิกพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ อาศัยช่องทางหรือระเบียบกฎหมายใด ในการออกหรือเพิกถอนหนังสือเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศ อาศัยฐานจากระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 โดยอาศัยอำนาจตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2545 มิได้เป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติแต่อย่างใด ทั้งนี้ ตามระเบียบดังกล่าว ในฐานะนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิที่จะได้หนังสือเดินทางทูต (ระเบียบข้อ 6 (5)) และในฐานะประชาชน ก็มีสิทธิที่จะได้หนังสือเดินทางของบุคคลทั่วไป (พาสปอร์ตแดง-ระเบียบข้อ 13) อย่างไรก็ตาม ระเบียบดังกล่าวให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ (ระเบียบข้อ 23) พนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อปรากฏภายหลังว่า (1) ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นผู้ซึ่งขาดคุณสมบัติที่จะขอหนังสือเดินทางประเภทนั้น (2) ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางให้ดังกรณีต่อไปนี้ หนึ่ง เมื่อได้รับแจ้งว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรจะออกหนังสือเดินทางให้ สอง เมื่อผู้ร้องเป็นผู้ที่ศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายอื่นสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร สาม เมื่อผู้ร้องกระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติทางราชการ ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญ หรือแสดงเอกสารหลักฐาน (3) มีเหตุอันเชื่อได้ว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางได้หนังสือเดินทางนั้นมาโดยมิชอบ (4) หนังสือเดินทางนั้นได้มีการแจ้งว่าสูญหายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เกิดเหตุแล้ว หรือผู้ถือได้ร้องขอให้ยกเลิกเพื่อขอหนังสือเดินทางชนิดเดียวกันเล่มใหม่ (5) หนังสือเดินทางนั้นอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้ถือหนังสือเดินทางโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร (6) ทางราชการได้ทดรองจ่ายเงินช่วยเหลือส่งตัวผู้ถือหนังสือเดินทางกลับประเทศไทย และผู้ถือได้ทำสัญญากับทางราชการว่า จะชดใช้เงินจำนวนที่ทางราชการได้ทดรองจ่ายไปคืนให้ทางราชการ แต่ผู้ถือยังไม่ได้ชดใช้เงินคืนให้แก่ทางราชการจนครบตามเงื่อนไขในสัญญา (7) พิจารณาเห็นว่า หากให้ผู้ถือหนังสือเดินทางยังคงอยู่ในต่างประเทศต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศได้ จากระเบียบดังกล่าวเห็นได้ว่า เงื่อนไขในการ "เพิกถอนหนังสือเดินทาง" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหลายประการ อาทิเช่น 1. เมื่อได้รับแจ้งว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งกรณีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหมายจับ ในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี ในคดีซื้อที่ดินที่ดินถนนรัชดาภิเษก จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และหมายจับรวม 5 คดี คือ 1. คดีการปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าให้แก่รัฐบาลพม่า 4 พันล้านบาท 2. คดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง 3. คดีหวยบนดิน 4. คดีก่อการร้าย และ 5. คดีซื้อที่ดินถนนรัชดาภิเษก 2. อยู่ในต่างประเทศต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศได้ แม้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีหมายจับในคดีอาญาอีกหลายคดีและเป็นคดีที่ถึงที่สุดแล้ว โดยกระบวนการ คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้กำกับการฝ่ายตำรวจสากล กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ ประชุมร่วมกัน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2553 ได้สรุปเกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดีก่อการร้าย ว่า ดีเอสไอ จะทำหนังสืออย่างเป็นทางการเพื่อแจ้งไปยัง 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการส่งหมายจับตามที่ศาลอาญาได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้ โดยให้สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้พิจารณาส่งหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน ตามห้วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนด้านกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แจ้งไปยังประเทศสมาชิก 187 ประเทศ ตำรวจสากล เพื่อให้ทราบถึงหมายจับคดีดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ดำเนินการระหว่างประเทศการแจ้งเวียนเบื้องต้นไปยังประเทศต่างๆ จากนั้นจึงจะเป็นขั้นตอนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในลำดับต่อไป ถ้ากระทรวงการต่างประเทศ จะคืนหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ จริง จะตอบคำถามเรื่องนี้แก่สาธารณชนอย่างไร โดยเฉพาะคำถามเรื่อง "พันธนาการ" รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในด้านที่เกี่ยวโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มิอาจตัดขาดจากกันได้ ใช่หรือไม่ คม ชัด ลึก 4.) 'ธิดา'รับร้องเยียวยาแดงศพละ10ล. ** 14 ส.ค. นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานนปช. กล่าวถึงการต่อสู้เพื่อประกันตัวผู้ต้องขังกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำอีกเกือบ 100 คน ว่า ขณะนี้พวกเราส่วนหนึ่งได้เป็นรัฐบาลและรัฐมนตรี แต่คนที่ต่อสู้ร่วมกันมาอีกจำนวนหนึ่งยังติดอยู่ในคุก และยังมีเพื่อนที่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่ง ในบทบาทของรัฐบาลต้องทำงานให้ดีที่สุด ขณะที่ภาคประชาชนต้องไม่ทิ้งเพื่อน จะเสวยสุขทั้งๆที่เพื่อนยังติดคุกอยู่ไม่ได้ เรื่องการเยียวยาและการทวงคืนความยุติธรรมจึงต้องเดินหน้าต่อไป คนเสื้อแดงให้โอกาสรัฐบาลได้ทำงานเพื่อเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จากนั้นค่อยมาทำในสิ่งที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน นั่นคือการเยียวยาความยุติธรรม ส่วนกรณีที่แกนนำนปช.เรียกร้องเงินเยียวยาให้กับผู้เสียชีวิตศพละ 10 ล้านบาทนั้น นางธิดา กล่าวว่า เป็นประเด็นที่พูดกันมานาน โดยในช่วงของการหาเสียงพรรคเพื่อไทยก็ได้เปิดประเด็นและพูดเอาไว้เช่นกัน แต่ในเรื่องตัวเลขที่เหมาะสมกับการเยียวยานั้น สามารถปรับลดให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความสูญเสียจริงได้ ซึ่งยังเป็นรายละเอียดที่ต้องนำไปหารือร่วมกันอีกครั้ง เราดีใจและยินดีที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ แต่ไม่สบายใจที่ผู้หญิงอีกหลายคนยังติดอยู่ในคุก และบางคนยอมรับสารภาพเพราะต้องการให้จบๆเรื่องไป หลังจากนี้บทบาทของนปช.จะขับเคลื่อนในเรื่องการทวงคืนความยุติธรรม ทั้งในเรื่องการยื่นประกันตัวและการต่อสู้แก้ข้อกล่าวหาให้กับคนเสื้อแดง โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสมัชชาประชาชน ซึ่งทุกวันนี้พวกเขาต่อสู้เชิงอุดมการณ์มากกว่าผลประโยชน์ ประชาชนมีวินัยมากขึ้นและจดจำคำพูดของแกนนำและนโยบายในการหาเสียงของนักการเมือง ดังนั้นแกนนำหรือนักการเมืองจะพูดแบบส่งเดชไม่ได้ ถึงเวลาเหมาะสมจะมีการติดตามทวงถามการปฏิบัติตามนโยบายที่ประกาศไว้ รักษาการประธานนปช. กล่าว 5.) "กล้านรงค์" ลั่นไม่ลำบากใจพท.ไทยเป็นรัฐบาล 14 สค. 2554 16:13 น. นายกล้านรงค์ จันทิก คณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า เสนอให้ ป.ป.ช.แถลงข่าวถึงความคืบหน้าคดีสำคัญๆ ในสิ้นเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายน เนื่องจากมีคดีที่มีการดำเนินการไปมากแล้วมีหลายคดี อาทิ คดีทุจริตสอบเข้านายอำเภอ คอมพิวเตอร์ ฝ่ายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเขาแพง สำหรับความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นนั้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่หลายคนติดภารกิจเรื่องการคัดคนไปทำหน้าที่ ป.ป.ช.จังหวัด ทำให้เสียกำลังคนไปดูราว 100 คน ขณะที่ ป.ป.ช.จังหวัดนั้นก็เปิดทำการไปแล้ว 9 จังหวัด และจะทยอยทำเพิ่มตามไปอีก ส่วนตนเองนั้นไม่ได้มีความลำบากใจอะไรต่อรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย เพราะทำงานตามหน้าที่ กรรมการ ป.ป.ช.ทำงานอะไรออกมา ก็ต้องสามารถตอบคำถามหรือชี้แจงได้ และยืนยันว่า ไม่มีการจ้องจับผิด ที่ผ่านมาก็เห็นแล้ว เช่น คดีรถดับเพลิง ป.ป.ช. ก็ดำเนินการไปตามหลักฐานทั้งหมด กรุงเทพธุรกิจ 6.)คอป.เสนอเยียวยาผู้บาดเจ็บ-ตายจากเหตุชุมนุมมากกว่าสงเคราะห์ วันที่ 14 สิงหาคม 2554 17:14 น. นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวถึงการเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมก่อความไม่สงบในปี 2553 ว่า คอป.ประชุมร่วมกันหลายครั้งและเห็นตรงกันว่า ควรมีการชดเชยเยียวยามากกว่าเกณฑ์การชดเชยเยียวยาหรือสงเคราะห์ตามกรอบกฎหมายปกติ จำเป็นต้องมีคณะกรรมการพิเศษขึ้นพิจารณาและงบประมาณพิเศษ หรือเฉพาะกิจเพื่อจ่ายเยียวยาความเสียหาย เนื่องจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นกรณีพิเศษไม่ใช่เหตุปกติทั่วไป จึงคำนึงถึงผลกระทบหลายด้าน การเยียวยาต้องครอบคลุมถึงการเสียโอกาสในชีวิต การเยียวยาให้กับญาติพี่น้องซึ่งรวมถึงการเยียวยาสภาพจิตใจ โดยรายงานฉบับที่ 2 ของคอป.จะเสนอต่อรัฐบาลในช่วงปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนนี้ สำหรับเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาความเสียหาย ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 กำหนดให้จ่ายเงินค่าตอบแทนค่ารักษาพยาบาลตามความเสียหายจริง เยียวยาการเสียชีวิตตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ค่าจัดการศพ 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 30,000 บาท และเยียวยาความเสียหายอื่นไม่เกิน 30,000 บาท ปชป.จวกแกนนำคนรักอุดรเตรียมยื่นประกันเสื้อแดงไม่เหมาะ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายขวัญชัย สาราคำ หรือ ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร เตรียมยื่นประกันตัวผู้ต้องหาคนเสื้อแดง 25 คน ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี โดยอ้างว่าได้รับสัญญาณที่ดีจาก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ว่า ทราบว่าพล.ต.อ.ประชาได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่ได้มีแนวคิดดังกล่าว อย่างไรก็ตามคิดว่าหากรัฐบาลจะดำเนินการในเรื่องนี้ก็ไม่เหมาะสม เพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายเพิ่งเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ หากมาทำเฉพาะประเด็นดังกล่าวก่อนถือว่าไม่ถูกต้อง ส่วนกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ชอบแต่จับผิดนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เราจับแต่สิ่งที่ผิดอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าไม่ได้ทำผิดก็ไม่ต้องกลัวหรือวิตกกังวล ไม่อยากตอบโต้กันไปมา แต่ขอยืนยันในการทำหน้าที่ตรงนี้ ส่วนการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาลแล้ว ช่วงระหว่างวันที่ 26-28 สิงหาคมนี้พรรคประชาธิปัตย์จะจัดสัมมนาเพื่อหารือและร่วมกันกำหนดทิศทางการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน รวมทั้งเตรียมการจัดตั้งครม.เงาเพื่อตรวจสอบการทำงานรัฐบาล โดยกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จะเป็นผู้กำหนดและวางแผนร่วมกัน เทพไทชี้รมว.ยธ.ไม่มีสิทธิ์ไฟเขียวประกันตัวนปช. นายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงกรณีจะยื่นประกันตัวเสื้อแดงและการอ้างว่ารมว.ยุติธรรมให้ไฟเขียวนั้นว่า ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการให้ประกันหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าวอยู่ในดุลพินิจของศาล รมว.ยุติธรรมก็ไม่มีสิทธิ์ไปกดดันหรือดำเนินการใด ๆ ได้ ไม่อยากจะให้แกนนำเสื้อแดงเหิมเกริมเมื่อรัฐบาลของตัวเองเข้าบริหารประเทศ และจะต้องดำเนินการให้ได้ดั่งใจทุกอย่าง จนทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่า คนเสื้อแดงในขณะนี้ใหญ่คับบ้านคับเมือง ส่วนกรณีที่นางธิดาเรียกร้องให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลาออก เนื่องจากเป็นคู่ขัดแย้งแต่มาทำคดีนปช. นายเทพไท กล่าวว่า นายธาริตเป็นข้าราชการประจำ ที่ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ถ้าฝ่ายบริหารเห็นว่านายธาริตอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ไม่มีความเหมาะสมก็เป็นสิทธิ์ของผู้บังคับบัญชาที่จะโยกย้ายได้ตามความเหมาะสม แต่ไม่ใช่ปล่อยให้รักษาการประธานนปช. ซึ่งเป็นองค์กรเถื่อนออกมาชี้นิ้วบังคับให้ข้าราชการต้องลาออกตามใจตัวเอง หากรัฐบาลชุดนี้ยังดำเนินการตามข้อเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง บ้านเมืองก็จะวุ่นวายเหมือนกับหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เพราะรัฐบาลดำเนินการภายใต้การชี้นำของกลุ่มมวลชนนอกสภาและให้คนกลุ่มนี้ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย และไม่มีหลักประกันสำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่เคยบอกว่า จะแก้ไขไม่แก้แค้นหากยังทำงานภายใต้การชี้นำของกลุ่มคนเสื้อแดง ก็แสดงว่ารัฐบาลชุดนี้จะแก้แค้นโดยจะไม่แก้ไขปัญหาของบ้านเมือง นายเทพไท กล่าว ส.ว.ชี้คืนพาสปอร์ต"ทักษิณ"รัฐบาลอายุสั้นแน่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศจะคืนหนังสือเดินทางทางการทูต (พาสปอร์ตแดง) ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องนี้ต้องตอบคำถามของสังคมให้ได้ แม้ว่าการอนุญาตหรืองดอนุญาตหนังสือเดินทางทางการทูต สามารถทำได้โดยออกเป็นกฎกระทรวงก็ตาม ขณะที่ตามระเบียบของการออกหนังสือเดินทางสำหรับบุคคลทั่วไป ได้มีข้อละเว้นไม่อนุญาตออกให้บุคคลที่ต้องโทษคดีอาญา แต่ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้จะเป็นถึงอดีตนายกฯ แต่ถูกศาลพิพากษาให้มีความผิดและถูกจำคุกจากคดีที่ดินรัชดา และขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณก็อยู่ระหว่างการหลบหนี และยังมีคดีความที่ศาลยังไม่พิพากษาอีก เช่น โดนข้อหาผู้ก่อการร้าย ในฐานะผู้บงการการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ทั้งนี้ตนมองว่าความพยายามเร่งรีบดำเนินเรื่องที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นสิ่งที่ทำให้อายุของรัฐบาลสั้นลง เพราะสังคมกำลังจับตาว่ารัฐบาลชุดใหม่จะทำประโยชน์ให้กับคนคนเดียวหรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวม นอกจากนี้ ตนทราบมาว่ารัฐบาลชุดใหม่ได้พยายามยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อมาบังคับใช้แทนรัฐธรรมนูญ 2550 ในเบื้องต้นนั้นจะแก้ไขไม่ให้มีสมาชิกวุฒิสภาแบบสรรหา หรือ หากคงไว้ให้มี ส.ว.สรรหา จะกำหนดคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้ที่มาจากฝ่ายการเมือง อาทิ ผู้นำรัฐบาล, ปลัดกระทรวง, ประชาชน เพื่อสกัดไม่ให้ส.ว.ที่เป็นฝ่ายคัดค้านรัฐบาลหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาทำหน้าที่ เบื้องต้นคาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะทำสำเร็จ เพราะถือครองเสียงข้างมากในสภาฯ และวุฒิสภาอยู่แล้ว "ธาริต"ชี้ดีเอสไอไม่ค้านประกันแดง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เตรียมยื่นประกันตัวผู้ต้องขังกลุ่มคนเสื้อแดงต่อศาลจังหวัดอุดรธานี ว่า ที่ผ่านมาดีเอสไอไม่ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวของผู้ต้องขังเสื้อแดง โดยปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการพิจารณาของศาล การอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่จึงเป็นดุลพินิจของศาล เผยไม่เคยเพิกเฉยคดีเสื้อแดงกล่าวโทษมาร์ค-สุเทพ ส่วนกรณีที่คนเสื้อแดงเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือรัฐบาลที่ออกคำสั่งสลายการชุมนุมจนนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนนั้น นายธาริต กล่าวว่า ดีเอสไอไม่เคยนิ่งเฉยหรือละเว้นการสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่อำนาจการสอบสวนและดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ผ่านมาเมื่อประชาชนเข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการฝ่ายความมั่นคง ประมาณ 5-6 เรื่อง ดีเอสไอได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และได้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้ารับทราบว่ามีประชาชนยื่นเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษ จากนั้นจึงได้รวบรวมเอกสารหลักฐานเบื้องต้นส่งให้ป.ป.ช.รับไปพิจารณาทั้งหมดแล้ว ซึ่งรวมถึงกรณีที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ในส่วนของป.ป.ช.ก็ไม่ได้เพิกเฉย ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นไต่สวนและได้ทยอยเรียกพยานเข้าให้ปากคำไปแล้วหลายปาก เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครไปติดตามทวงถามถึงความคืบหน้าเท่านั้น ดีเอสไอรอฟังกต.ยกเหตุผลใดถอนหมายจับทักษิณ ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศจะขอหารือกับหน่วยบังคับใช้กฎหมาย เพื่อถอนหมายจับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายธาริต กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นหนังสือขอหารืออย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศ จึงไม่สามารถให้ควา
15 สิงหาคม 2554 14:01 น. - comment id 125636
อยากถามว่า เสื้อแดงเลวตรงไหน นี่คือคำถามของแกนนำเสื้อแดงระดับกลางๆที่ชื่อนายสมชาย ไพบูลย์ ที่ถามไปยังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย จนกระทั่งถึง พตท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่แห่งดูไบ ว่าเหตุใดใยจึงไม่เอาแกนนำคนเสื้อแดง อาทิ เช่น จตุพร ณัฐวุฒิ หรือ หมอเหวง เป็นรัฐมนตรี แต่ไม่มีคำตอบจากผู้ที่ส่งคำถามไป ก็เขาไม่อยากให้เป็น ก็ต้องยอมรับสิ หน้าตา+ราคา=ยี้ นี่อาจเป็นคำตอบได้ หากเอามาเป็น แผนการปรองดอง เพื่อนำไปสู่นิรโทษกรรม จะเกิดได้หรือ ก็จุดประสงค์ใหญ่ของทักษิณ คือ กลับบ้่านแบบไม่ผิดกฎหมาย กับ เอาทรัพย์สินที่ถูกยึดกลับคืนมา เรื่องแบบนี้จะต้องทำแบบเนียนๆ แล้วประสานกับอีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ คือ ฝ่ายของตนต้องเดินเข้าไปหา ไม่ใช่ให้เขาบอกให้ไปหา แล้วหากแกนนำเสื้อแดง ที่ผลงานผ่านๆมาโอเวอร์แอ๊คชั่นซะขนาดนั้น ใครอยากที่จะให้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ตรงนี้ เพื่อภาพรูปลักษณ์ ทักษิณต้องทำ ไม่ว่าด้วยความจำเป็น หรือ ตั้งใจ เชื่อว่า เรื่องเยียวยาเบื้องต้นเล็กๆน้อยๆคงมีการช่วยเหลือกันบ้าง แต่ประเภทจะเอาแบบโน้นแบบนี้ คงให้ไม่ได้ 91 ศพ เรื่องนี้ ขบวนการเสื้อแดงหวังมากๆที่จะให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยนายกยิ่งลักษณ์ ภายใต้เงาทาบทาของทักษิณ นำคนผิดมาลงโทษ ไม่ว่าจเป็นขั้วอำนาจเก่า หรือ ฝ่ายความมั่นคงขณะนี้ ซึ่งคนเสื้อแดงได้สรุปแล้วว่าใครผิด แบบประเภทไม่ต้องรอบทสรุปของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) แล้วทักษิณนายกหลังม่านจะยอมไหม ถ้ายอม ก็คือ การแตกหักอย่างไม่ต้องมาคุยกันกับกองทัพ ในส่วนกองทัพหล่ะ ตรงนี้เชื่อว่า ที่อยู่นิ่งๆ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าทักษิณจะมาไม้ไหน อย่าลืมว่า การทำหน้าที่ตรงนั้น หากอยู่ในขอบเขตของกฎหมายที่ได้ให้อำนาจไว้ ถือว่าไม่ผิด ถ้าเกินไปกว่านั้น ก็ต้องรับผิด แต่การนี้เชื่อว่า ผลคือไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องนี้จะค่อยเงียบหายไปตามสายลม ก็ทักษิณไม่อยากไปมีเรื่องให้ต้องเหนื่อยหนักหนาสาหัสอีกต่อไปแล้ว เขาอยากจะกลับบ้านเต็มที การประสานสัมพันธ์ โดยอ้างเอาความปรองดองบังหน้า คือวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ ใจจ อึ้งภากรณ์ได้เขียนบทความชื่อว่า ข้อตกลงระหว่างเพื่อไทยกับอำมาตย์ มีข้อความที่น่าสนใจว่า เราเริ่มเห็นภาพของ ข้อตกลง ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ ระหว่างอำมาตย์กับพรรคเพื่อไทย เพื่อให้พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้ และเพื่อให้แกนนำเพื่อไทยถูกกลืนกลับไปเป็นพรรคพวกของอำมาตย์เหมือนเดิม เพราะพรรคไทยรักไทยในอดีตก็เคยเป็นพวกเดียวกับอำมาตย์ก่อนที่จะทะเลาะกัน อำมาตย์กีดกันไม่ให้เพื่อไทยตั้งรัฐบาลยาก เพราะเสียงประชาชนชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยแสดงความยินยอมที่จะ ปรองดอง แบบยอมจำนนต่ออำมาตย์ เพื่อแลกกับการไม่ถูกล้ม โดยการสัญญาว่าจะไม่เปลี่ยนอะไรมากมายในสังคมไทย สรุปแล้วในอดีตเราเห็นรัฐประหาร ๑๙ กันยา ตามด้วยรัฐประหารผ่านศาล และปัจจุบันเราเห็นรัฐประหารที่สาม ผ่านการกดดันและการปรองดองจอมปลอม และผ่านการหักหลังเสื้อแดง เสื้อแดงอาจถือว่าพวกเขาคือผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ที่นำพาพรรคเพื่อไทยกลับมามีอำนาจ ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายก ทักษิณได้สมความตั้งใจ แต่สิ่งที่เขายังไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็็นอย่างไร คือหากทักษิณไม่ทำตามความต้องการ แล้วจะเป็นอย่างไร จะยกตัวเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระหรือ จะไปยืนอยู่ฝั่งฟากคนละฝั่งกันหรือ ไม่อิหลักอิเหลื่อกันบ้างหรือไร ก็เคยรับใช้สุดลิ่มทิ่มประตูกันขนาดนั้น แล้วเพาเวอร์จะมีเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาทักษิณคือกระเป๋าเงินใบใหญ่ๆ ถ้าบีบคั้นกดดันหนักๆบางที นายทุนคนนี้ชักรำคาญ เดี๋ยวจะพาลเลิกคบด้้วย จะเสียหายมากมาย แล้วต่อไปจะเดียวดายนะ เสื้อแดงที่รักทั้งหลาย ก็ตอนนี้ เป็นไปได้ที่รูปการณ์อาจออกมาแนวนิยามว่า"บุญคุณไม่ีทดแทน ความแค้นไม่ชำระ"เมื่อนั้นไม่ต้องบอกว่าจะสุขสมหวัง เห็นทีจะหลักหักกันถ้วนหน้าก็อาจเป็นได้ ใครจะไปรู้ จะเป็นกำแพง อาจเป็นแค่นั่งร้าน ที่งานเสร็จแล้ว ถูกยกออกไปตั้งที่อื่น แบบนี้ จะสมน้ำหน้าดีมั๊ย
15 สิงหาคม 2554 14:25 น. - comment id 125637
"เดิมเดิม" ตื่นขึ้นมาหน้าที่ก็รอท่า ในรอบวันเวลายี่สิบสี่ ชั่วโมงนั้นที่เราเท่าคนอื่นมี หกเดือนนี้ไม่เหมือนที่เคยทำ มีโอสถรสขื่นไว้ฟื้นไข้ จากโรคาพยาภัยใจไหวส่ำ หลังอาหารเช้าเย็นเป็นประจำ และเย็นย่ำค่ำก่อนนอนอีกที กินไปเพื่อควบคุมคุ้มอาเพท ขณะเจตน์จำนงถึงตรงนี้ หัวใจชักจะเริ่มเต้นถี่ถี่ เป็นลางดีบอกอาการกำลังมา สวัสดีเพื่อนรักจัดหนักหน่อย อย่าท้อถอยโถมทัพพร้อมรับหน้า ขอให้หนักกว่าที่เคยเป็นนะ ผู้แพ้จะต้องไปกันซะที ไม่อยากเป็นผู้ชนะบ้างเหรอเพื่อน ฉันชักเลือนว่าแพ้เป็นเช่นไรนี่ กำลังกายของกันอาจไม่ดี แต่ใจกันนี่ซียังมีแรง กันแพ้นายแค่สามยกที่รบนะ นายน่าจะหาวิธีที่กล้าแข็ง กุลยุทธ์ของนายควรพลิกแพลง กันอาจแสร้งลองแพ้ให้ชัยกับนาย คืนนี้อยู่กับกันให้เนิ่นหน่อย มาแล้วอย่าด่วนถอยท่าทีหาย โจมตีกันให้หนักจักปางตาย กันอยากให้นายทำได้ก่อนสายไป ถ้ากันเลือกความพ่ายแพ้แก่ใครได้ กันอยากมอบให้ไว้แก่นายใหม่ อยากไปเริ่มตรงจุดนั้นวันเจอไง เราจะได้ทบทวนกระบวนยุทธ์ แต่คืนนี้กันนอนบนหมอนเก่า กับนายซึ่งเปลี้ยเปล่าเป็นที่สุด ถ้ามีดีก็จงสำแดงยุทธ์ ทรมานกันให้สุด ให้หลุดลอย กันอยากเห็นสวรรค์ในชั้นฟ้า ว่าจะมีเทวากี่มากน้อย นางอัปสรที่งามเพริศว่าเลิศลอย กันจะค่อยละเลียดลิ้มชิมให้เพลิน หรือไม่ไแน่อาจได้เยือนปรโลก ว่าทุกโศกยังไม่ได้ห่างเหิน จะขอใช้ชั่วกัปกัลป์ขอท่านเชิญ กันไม่เยินยอยก ตนว่าดี ขอเข้านอนก่อนหนาเจ้าเพื่อนอยาก ถ้าคิดอยากคุยกันกับกันต่อ ได้ทั้งคืนถึงเช้ากันจะรอ ถ้ากันช้ากัน แค่ขอรอนิดนะ หัวใจกันกันพร้อมยอมแพ้แม้ไม่เชื่อ ว่านายจักอำนาจเหนือของกันว๊ะ แต่หากนายมีทีเด็ดสำเร็จนะ กันขอร่ำลาลาพระในเรือนกัน ขอลาแม่ลาพ่อผู้ก่อเกื้อ ลาพี่น้องร่วมเลือดเนื้อให้เชื้อสรรค์ ลายายปู่ อาน้า อาจารย์นั้น ลาสหายที่รักกันมาหลายปี จะบอกเขาว่ากันจะไปรอ ณ อาณาจักรที่ไร้หมอวิเศษศรี มีแต่เราดวงจิตที่เสรี วาสนาเรามีคงพบกัน นอนเสียทีตาดีมองพร่าเลือน หัวใจช่างขยับเยื่อนไม่เหมือนฝัน มือเท้าเริ่มไร้ควบคุมภูมิคุ้มกัน มาเถิดมาโรมรับกันอีกคืน
15 สิงหาคม 2554 20:44 น. - comment id 125643
เมื่อได้พบ ก็ประสบพบเห็นเช่นใครว่า ความรักนั้นเป็นเช่นนี้เช่นนั้นนา แปลกไปจาก ปรารถนาที่เคยมี ยิ่งได้รัก ยิ่งแปลกจากเคยรู้จักรักหรือนี่ ช่างผิแผกแยกค่าประดาดี เธอคนนี้ เท่านั้นไม่เหมือนใคร เมื่อต้องจาก การพลัดพรากยากต่อทำใจได้ แต่ถึงกายจะห่างกันแสนไกล จะรอข้ามภพไปจนได้เจอ ที่รัก นี่คือถ้อยร้อยถักรักเสมอ เธออยู่ไหนในแดนใดใจละเมอ ฉันไม่เก้อ ไม่เศร้า มี "เรา" ไง
16 สิงหาคม 2554 15:06 น. - comment id 125661
เมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมา อังกฤษเป็นประเทศที่มีทั้งการปฏิบัติและเรียกร้อง ให้หลายๆ ประเทศ มีความเชื่อมั่นในเรื่องสิทธิมนุษยชนค่อนข้างสูงกว่ามาตราฐานที่ประเทศอื่นๆ ทำกัน ดังนั้น อังกฤษจึงมีบุคคลหลากหลายเชื้อชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยในฐานะที่เป็น พลเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสืบเนื่องจากเรื่อง สิทธิมนุษยชน ค่อนข้างมาก เมื่อวันเวลาผ่านไป อังกฤษจึงมีพลเมืองพันธุ์พิเศษที่เกิดขึ้นใน ๓ ลักษณะ คือ (๑) เกิดจากผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัยดังกล่าวแต่งงานกันเอง, (๒) เกิดจากคนเหล่านั้นไปแต่งงานกับชาวอังกฤษที่แท้จริง และ (๓) เกิดขึ้นจากกฎหมายเรื่องเชื้อชาติของอังกฤษเอง ซึ่งมีคู่แต่งงานต่างชาติหลายร้อยคู่ มาคลอดบุตรในอังกฤษเพื่อเอาสัญชาติติดตัวไป บุคคลทั้ง ๓ ส่วนนี้ คนอังกฤษในส่วนที่มองโลกในแง่ร้าย มักจะเรียกกันว่าพวก HOME GROWN (เป็นการเรียกตามสหรัฐฯ ที่มีคนสัญชาติอเมริกันไปร่วมก่อเหตุ ๙/๑๑ ด้วย โดยสหรัฐฯ เรียกว่า HOME GROWN TERRORIST) การที่มีวัฒนธรรมอย่างหลากหลายปะปนกันเช่นนี้ ควรเป็นเรื่องที่ดี แต่กลับเป็นผลร้ายต่ออังกฤษครับ เพราะวัฒนธรรมหลักคือ ความเป็นผู้ดี ของอังกฤษ ซึ่งค่อนข้างโดดเด่นและแข็งแรง ลงมาถึง สำเนียงการพูด นั้น ได้กีดกั้นวัฒนธรรมอันหลากหลายดังกล่าว ไม่ให้เข้ามาผสมปนเปกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของอังกฤษโดยอัตโนมัติ จึงทำให้เกิดชมรม, สมาคม เชื้อชาติต่างๆ รวมตัวยึดแน่นกันมากกว่า วัฒนธรรมอังกฤษ คนเกือบครึ่งหนึ่งที่เกิดในอังกฤษ แต่มีที่มาจากประเทศอื่นๆ จึงไม่เคยคิดว่าอังกฤษ ซึ่งเป็นสถานที่เกิดนั้นเป็นภูมิลำเนาของตนเองที่จะต้องรักใคร่ ปกป้อง ดูแลแต่อย่างใด ท่ามกลางกลิ่นอายและวัฒนธรรมของความเป็นเมืองผู้ดี ที่ทั่วโลกกล่าว ขวัญถึง ความภาคภูมิใจในวงดนตรีสี่เต่าทอง, เจมส์บอน ๐๐๗, ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกส์ อันลือชื่อ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่สร้างความภูมิใจให้กับ คนอังกฤษ เรื่องเหล่านี้แม้จะสามารถดึงดูดหล่อหลอมกลุ่ม HOME GROWN ส่วนใหญ่ให้ยอมรับว่า ตนเองเป็นชาวอังกฤษ ได้ แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนส่วนน้อยกลับอกหักต่อวัฒนธรรมเหล่านี้ บางคนก็รุนแรง บางคนก็พอกล้ำกลืนได้ เมื่อ ๗ ก.ค. ๔๘ กลุ่มบุคคลที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอังกฤษ ในกลุ่มHOME GROWN ได้รับการชักชวนและสนับสนุนทางการเงินจากลุ่มอัลไกด้า ได้ลอบวางระเบิดขึ้นในกรุงลอนดอนพร้อมๆ กัน ๓ จุด เป็นผลทำให้มีผู้เสียชีวิตไป ๕๐ คน ได้รับบาดเจ็บอีกประมาณ ๗๐๐ คน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หน่วยงานทางด้านความมั่นคงของประเทศอังกฤษ ก็จับตาดูการเคลื่อนไหวของบุคคลที่มีสัญชาติอังกฤษ แต่มีเชื้อสายมาจากผู้อพยพเข้าเมืองที่ได้รับอนุญาตให้เป็นพลเมืองของประเทศอังกฤษอย่างใกล้ชิด และหวาดระแวงตลอดมา ความเข้มงวดตรงจุดนี้เริ่มจุดความไม่พอใจขึ้นในกลุ่ม HOME GROWN ขึ้นมาในระดับหนึ่ง ความไม่พอเพียงของมนุษย์เรา อยากได้แล้วอยากได้อีก ไม่มีที่สิ้นสุด จึงมีการตักตวงทรัพยากรจากโลกที่เราอยู่ไปอย่างมากมายตลอดเวลา ไม่มีการหยุดพัก จนมีการพูดกันว่า มีโลกเพิ่มขึ้นมาอีกสัก ๒-๓ โลก ก็ยังจะไม่พอกับการบริโภคของคน ในขณะที่ปรัชญา เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป โดยมีพื้นฐานมาจากการศรัทธาต่อศาสนาพุทธ แต่ก็เป็นส่วนน้อยมากๆ ดังนั้น สหรัฐฯ และยุโรปจึงก้าวต่อไปกับระบบทุนนิยมอย่างเต็มตัวและเต็มที่ครับ สภาพการตกต่ำทางเศรษฐกิจ จึงคืบคลานเข้ามาหาทั้ง ๒ ทวีปนั้น อย่างช้าๆ แต่มั่นคง อังกฤษนั้นก็เป็นประเทศหนึ่งที่ตกอยู่ในฐานะการตั้งรับทางเศรษฐกิจมาหลายปีแล้ว ฝรั่งเศส ก็เริ่มจะได้รับผลบ้างเช่นกัน คงเหลือเยอรมันประเทศเดียวที่ประคองตัวอยู่ได้อย่างมั่นคง แต่จะยืนอยู่ได้อย่างไรในอนาคต ถ้าประเทศรอบข้างล้มลงหมดแล้ว ชาวอังกฤษเป็นชาติที่ดูกันภายนอกแล้ว มีภาพพจน์ดีกว่าชาติอื่นๆ ทั้งรสนิยมและฐานะความเป็นอยู่ แต่ปรากฏว่ามีชาวอังกฤษจำนวนมากกว่า ๑๐ ล้านคน พักอาศัยอยู่ในแฟลตที่รัฐบาลสร้างขึ้น ทั้งในรูปของการเช่าในราคาที่ถูกกว่าเอกชน และอยู่อาศัยฟรี ซึ่งรวมไปถึงครอบครัวของคนอังกฤษรุ่นใหม่ที่อพยพมาจากที่ต่างๆ ด้วย และยังมีที่พักอาศัยเป็นย่านสลัมชานเมืองอีกหลายสิบแห่ง ดังนั้นในข้อเท็จจริงแล้ว คนอังกฤษก็ไม่ได้ร่ำรวยไปกว่าคนไทยสักเท่าไร เพียงแต่ว่ารัฐบาลเขาโกงน้อยกว่ารัฐบาลเราเท่านั้นครับ จึงมีงบประมาณลงไปสู่ประชาชนมากมายจนประชาชนติดเป็นนิสัย เมื่อภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจคืบคลานเข้ามา การตัดระบบสวัสดิการต่างๆ ก็เริ่มมีมาตรการกำหนดออกมาเป็นระยะ ความไม่พอใจของประชาชนทั่วไปจึงเกิดขึ้น แต่ประชาชนกลุ่ม HOME GROWN กลับไม่พอใจมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เพราะ (๑) เขาเข้ามาอยู่ในประเทศอังกฤษก็คุ้นเคยกับระบบสวัสดิการเหล่านี้ ที่มีรัฐบาลป้อนเข้าปากอยู่แล้ว และ (๒) กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน จึงรู้สึกเดือดร้อนมากขึ้นอีก และเริ่มมองพ่อค้าและคนชั้นกลางที่เข้ามาอาศัยค้าขายอยู่ในอังกฤษว่า เป็นตัวดูดเลือดพวกเขาไป โดยไม่ดูว่า พ่อค้าเหล่านั้นต้องทำมาหากินขยันขันแข็งขนาดไหนจึงจะได้เงินตอบแทนกลับ มาเป็น ภาษีไปเลี้ยงพวกเขา อีกทอดหนึ่ง กรณีนี้ก็เหมือนกันทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ที่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมทำมาหากิน รอรัฐบาลลงไปช่วยเหลือแต่เพียงอย่างเดียวแล้วก็เยินยอว่ารัฐบาลดี ดังนั้นสภาพความขัดแย้งระดับต่ำระหว่างรัฐบาลกับคนจน, ระหว่างคนต่างชาติที่ทำมาหากินกับคนจน ระหว่างคนรวย และคนชั้นกลาง กับคนจน จึงเกิดขึ้นทั่วไปในอังกฤษ เมื่อมีการตรวจค้นยาเสพติดจากพ่อค้ารายย่อยคนหนึ่ง ในย่านคนจนทางเหนือของกรุงลอนดอนขึ้น จนเป็นเหตุให้พ่อค้ายาเสียชีวิต การจลาจลซึ่งรอโอกาสอยู่นานแล้วจึงเกิดขึ้น ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้ว จากข้อเท็จจริงเหล่านี้จะเห็นได้ว่า ปัญหาทั้งหมดมีที่มาที่ไปของมันอยู่แล้ว มีกองฟืนชุบน้ำมันรออยู่แล้ว อย่าไปโทษ Social Network เลยว่าเป็นผู้ร้าย เพราะความจริงแล้วมันเป็นเพียง เครื่องมือการสื่อสารชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่เวลาที่ใช้โซเชียลมีเดีย เป็นตัวกระจายข่าวให้ยุติการจลาจลในตอนจบ ทำไมไม่ชมมันบ้าง ปัญหาแบบนี้จะเกิดขึ้นในไทยได้ไหม ตอนแรกต้องขอพูดให้เข้าใจก่อนว่า จลาจลที่อังกฤษ กับจลาจลที่ราชประสงค์ของเรานั้น แตกต่างกันแบบฟ้ากับดินเลยครับ ทั้งเรื่องวัตถุประสงค์, แรงจูงใจ, เรื่องเชื้อชาติ ฯลฯ ดังนั้นการพิจารณาว่าเรื่องแบบอังกฤษจะเกิดขึ้นได้ในเมืองไทยหรือไม่นั้น จะต้องหยิบต้นเหตุของปัญหาที่มาจากผู้อพยพเข้าเมือง ซึ่งมีอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมากมาพิจารณาดูเป็นหลัก ประเทศไทยในปัจจุบันนี้ มีแรงงานต่างชาติและลูกหลานที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมากกว่า ๖ ล้านคนครับ มีการตั้งสมาคม, แบ่งกลุ่มตามภูมิลำเนา, มีศูนย์กลางติดต่อ บางคนแต่งงานกับคนไทยก็มีจำนวนพอสมควร คนพวกนี้เริ่มก่อจลาจลย่อยๆ หลายครั้งตามแนวชายแดนไทย ครั้งล่าสุดที่ปราจีนบุรี ส่วนการก่ออาชญากรรมนั้นไม่ต้องพูดถึง นับครั้งไม่ถ้วน ลูกหลานคนพวกนี้ที่เกิดในเมืองไทยจึงมีลักษณะเป็น HOME GROWN เช่นกัน ส่วนหนึ่งได้สัญชาติเลย อีกส่วนหนึ่งร้องขอสัญชาติไทยจากหน่วยงานต่างๆ หรือขอผ่าน NGO คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดในไทยแต่ไม่เคยนึกว่าไทยเป็นภูมิลำเนาที่จะต้องรัก ต้องปกป้อง หวงแหน ปัญหาของแรงงานต่างชาติจึงไม่ใช่ปัญหาของตำรวจเพียงผู้เดียว แต่เป็นปัญหาระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงโดยตรงครับ ถ้าแยกงานตรวจคนเข้ามืองออกมาให้หน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจทำ เราอาจจะพบว่ายอดคนหลบหนีเข้าเมืองอาจมีมากพอๆ กับประชากรของกรุงเทพฯ ก็ได้ ชีวิตมนุษย์เรานั้นตามปกติแล้วมีทุกข์มากกว่าความสุข พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ชีวิตนี้เป็นทุกข์ เพราะความผิดหวังต่างๆ ก็เป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์ เมื่อเกิดแล้วอยากได้อะไรไม่ได้ดังใจก็เป็นทุกข์ นั่นคือความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วครับ เมื่อรู้ว่าจะพบกับความทุกข์ ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ป้องกัน มองให้เห็นทุกข์ มองให้เห็นอย่างชัดเจน แล้วปลงตก (ไม่ใช่ยอมแพ้) หลังจากนั้นก็หาหนทางแก้ไข ถ้าเราเห็นทุกข์นั้นได้ชัดเจน การแก้ไขก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ เรื่องจลาจลในลอนดอน ถ้าเรามองไปที่ โซเชียลมีเดีย เป็นต้นเหตุแล้ว แก้ไขอะไรก็ไม่สำเร็จแน่ ส่วนประเทศไทยนั้นต้องรอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนครับ ถึงจะลงมือแก้ไข เรื่องนี้มีนัยยะเดียวกันกับ การก่อการร้ายสากล ซึ่งจ่อคอหอยกรุงเทพฯ อยู่แล้วครับ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีหน่วยงานอะไรเข้ามาดูแลให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที นี่ผมก็ทำให้ผู้อ่านเกิดทุกข์อีกแล้วครับ พล.ท.นันทเดช
17 สิงหาคม 2554 22:39 น. - comment id 125747
ก่อนนอน เก็บอุทธาหรสอนความจำ เอาอดีตมาจารย้ำ ผลลัพท์คือกรรมในวันนี้ เราอยู่ได้อย่างไร ถ้าอยู่เพื่อหายใจไหวถี่ถี่ ดีห่าง ชั่วบ้าง ก็ช่างมี ไม่ยินร้ายยินดีที่พบเจอ ดึงความกล้าหาญออกมา ยกศรัทธาให้ยืนยงคงเสมอ มีวันนี้ไม่ใช่เพราะเพ้อเจ้อ แต่เพราะเคยมีเธอ พลีกายใจ มาเถิดมาใจข้าจงกล้าสู้ มาเถิดมาเพื่อนกูสู้กันไหม มันมารุกเราแล้วชื่อแผ้วภัย เราต้องดันมันออกไปให้ไกลพลัน จับมือกันให้มั่นเหมือนวันเก่า ทุกมือเราผสานเข้าอย่าหวาดหวั่น แม้ต้องพลีชีวีกี่ชีวัน จะปกบ้านป้องถิ่นนั้นไม่หวั่นเกรง บินหลา ร่อนถลาเล่นลม เขาข่มเหง บนถนนสายนี้มีเสียงเพลง มาเถิดมาร้องบรรเลงให้ก้องไพร ให้ดังไปถึงขุนเขาไกลลาส ให้สะท้านสะเทือนฟาดถึงเขาใหญ่ ให้ก้องฟ้ากัมปนาทประกาศไท นี่เสียงชนคนส่วนใหญ่ ใช่บงการ บนถนานสายนี้มีชื่อว่า ปฎิบัติการหาญกล้าผู้กล้าหาญ "เพชรเกษม สีหนึ่ง" อุดมการ รวมพลขับไล่ผู้รานด้ามขวานเรา นอนก่อนหนา พรุ่งนี้ฟ้าเปิดมาขออย่าเศร้า ลุกขึ้นเถิด เพื่อนผองพี่น้องเรา มาปลุกเร้า สึกนึกรักแผ่นดิน
17 สิงหาคม 2554 22:48 น. - comment id 125748
ถ้ากาล กลับกันฉันไม่อยู่ ก็มิรู้ว่าเธอจะอยู่ได้ไหม ขอให้เธอเข้มแข็งมีแรงใจ และอยู่เป็นแสงไฟให้คนมี คนไม่มีชีวิตหมดสิทธิแล้ว ได้เกิดมาก็มากแล้วชีวิตนี้ บรรดาใดที่เคยทำเป็นความดี ขอให้ผลบรรดานี้มีแด่เธอ ถ้าพรุ่งนี้กาลกลับ จงรับเถิด ภูมิใจที่ได้กำเนิดมาเสมอ ในอุ้มของเลือดเนื้อเชื้อสายเธอ ฉันขอเจอแต่เธอทุกชาติไป เขียนกลอนไว้เผื่อวันรุ่งของพรุ่งนี้ ฉันไม่มีชีวิตอยู่จงรู้ไว้ ว่าฉันนั้นจะจากเธออย่างสบาย ด้วยหัวใจลูกผู้ชายรักแผ่นดิน
18 สิงหาคม 2554 10:21 น. - comment id 125755
ห่วง ฉันทำได้แค่ห่วงอยู่ห่างห่าง ในระหว่างที่เธอนั้นไม่อยู่ เป็นอย่างไรอีกฝั่งเกินหยั่งรู้ เธอต่อสู้เพื่อป้องผืนแผ่นดิน จะรอวันเธอกลับนะผู้กล้า แม้นชะตาลิขิตมิหมดสิ้น คงได้เจอะเจอกันหวังในจินต์ เฝ้าถวิลด้วยห่วงดวงหทัย เมื่อเธอนั้นมีจิตเสียสละ ฉันก็จะมิห้ามฤาถามไถ่ อยู่ข้างหลังคอยส่งกำลังใจ แม้เธอไม่ต้องการการรอคอย ณ ที่หนึ่งที่เธอร่วมฟันฝ่า อุดมการณ์แกร่งกล้าเกินจักถอย ฉันเข้าใจมิทักท้วงเพียงน้อย มองตะวันค่อยคล้อยลับลาไกล ...........................................
18 สิงหาคม 2554 21:47 น. - comment id 125774
ความฝันอันสูงสุด http://www.youtube.com/watch?v=2XbKXev1XXQ
22 สิงหาคม 2554 13:20 น. - comment id 125835
เที่ยงนี้ สิทธิ เสรี และความหวัง กำลังกู่ก้องร้องเสียงดัง ข่มเขา ขื่นคลั่ง สั่งฟ้าดิน เรามีสิทธิ์คิดเห็นเป็นตามกฎ แต่มิใช่ทั้งมวลหมดงดงามสิ้น กฎกำหนดสิทธิ์บางสิทธิ์ผิดทิศถิ่น จนเกินเลยบิดบิ่นระบออบไป สิทธิ์ที่คนมีมาแต่กำเนิด สิทธิ์เกิดตามเกณฑ์อายุไข สิทธิ์ในความเสมอภาคความเป็นไท สิทธิ์ได้รับปฎิบัติใด เท่าเทียมกัน มีสิทธิ ต้องรักษาซึ่งสิทธิ ได้ตรองตริกันบ้างอย่างไรนั่น เช่นสิทธิการศึกษาพื้นฐานนั้น กี่คนกันยึดมั่นเป็นหลักการ มีสิทธิหลายอย่างตามระบอบ กระบวนการกฎหมายมอบรสหวาน ให้สิทธิ เท่าเทียมเหมือนแจกทาน การเลือกตั้ง ก็ตั้งฝันหวานสิทธิ์เท่ากัน คนรู้สิทธิพื้นฐานแต่กำเนิด มิเคยเกิดสำนึกรู้สึกนั่น เช่นสิทธิการศึกษาหน้าที่นั้น กี่คนกัน เมินเฉยละเลยไป เมื่อไม่ใช้สิทธิการศึกษา ประถมสาม มัธยมห้า ท่าไม่ไหว ไม่ใช้สิทธิพื้นฐานละเลยไป แต่อยากใช้สิทธิ์ตามกฎบทกฎเกณฑ์ กติกา กำหนดบทศักดิ์สิทธิ์ ให้กำหนดทางทิศประเทศเล่น ใช้อายุมาวัดจำกัดเป็น สมองไม่ต้องเน้นไม่ใช้งาน ในประเทศที่คนค่อนประเทศ มีขอบเขตความคิดอ่านขั้นพื้นฐาน รู้หน้าที่มีศึกษาปัญญาญาณ จะคิดการสิ้งใดส่วนใหญ่ดี บางประเทศชนชาติค่อนประเทศ ติดกิเลศเห็นแก่ตัวไร้ศักศรี การศึกษาพื้นฐานใช่ว่าดี ไยให้มีมติชี้ วิถีเดิน เมื่อไพร่เลวออกเสียงเยี่ยงบัณฑิต เลวคือไร้มโนจิตคิดตื้นเขิน ตัวแทนชาติก็ฟาดฟ้าจนยับเยิน ใดต่ำเกินเชิญทำได้เป้าหมายพัง ประชาเอย ประชาธิปไตยสวย มีอยู่ในเมืองที่ป่วยด้วยล้าหลัง พุทธโทษว่าเช่นนี้แหละอนิจจัง กรรมเวรสั่งให้เห็นให้เป็นไป ศริสบอกว่าให้ศัทราในพระเจ้า ผิดที่พงศ์ที่เผ่าเขลาใช่ไหม อิสลามบอกโลกนี้ช่างประไร โลกหน้ามีโลกใหม่ให้งดงาม เที่ยงนี้ สิทธิ เสรี ยังไหวหวาม ฝันว่าให้โลกสวยด้วยนิยายนิยาม แต่สมองยังไล่ตามลิงบาบูน มนุษย์ชาติไหนหนอไปเลือกตั้ง สิบแปดแดดแผดเสียงดังถึงฝั่งนู่น ถึงประเทศที่การรู้บริบูรณ์ แต่ประเทศนี้ปฏิกูลพูนพ้นนคร ถ้าสิบแปดมีสิทธิชี้ทางชาติ บาบูนก็สิบแปดอาจได้เลือกก่อน เพราะบางคนโง่กว่าสัตว์ในสันดอน การศึกษาปัญญาอ่อน น้อยกว่าลิง ถ้าวัดที่อายุแล้วได้สิทธิ์ เราคงหลงทางคิดผิดทุกสิ่ง การศึกษาน่านำมาแอบอิง ได้ปลดปลิง ผีเปรต ทุเรศสภา สิงยังหาอาหารอยู่บ้านป่า หน้าหนาวก็รู้ว่าต้องเตรียมท่า เสบียงก็รู้จักเก็บ ไม่รอฟ้า น้ำท่วมมา ไม่ร้องหาอาหารใคร คนบางคนต้องรอแต่ของฟรี และทุกปีรอของแจก จากการได้ ซ้ำๆ โดยไม่ต้องทำการใด มีหนี้ก็ขอรัฐได้ยกให้ฟรี ประชาเอย เสรีประชาชน อยากหายจนหรือไม่หลังเที่ยงนี้ ไปพูดคุยกับลิงดูสักที ว่าอยู่ได้อยู่ดีเพราะสิ่งใด ก่อนใช้สิทธิก็จงทำหน้าที่ ก่อนเสรีก็จงมีวินัยไว้ รู้หน้าที่ แล้วสิทธิ มีวินัย ประเทศจะพ้นภัยจากไพร่เลว
22 สิงหาคม 2554 23:23 น. - comment id 125873
เพียงงีบพักชั่วครั้งฤาพลั้งเผลอ ...................................... ลืมตา อย่ากะพริบ แม้ไกลลิบหลับตาถึง ใกล้ไกลแค่คำนึง ดาวดึงส์ บึ้งบาดาล... จากท้องพ่อท้องแม่ถึงท้องโลก แค่หลับตาก็ถึงโศกโลกประหาร เพียงหลงฟังเสียงหนึ่งดังกังสดาล จากทิพย์พิมมานสถานใด? แค่ร้อยกลแสนกลบนบนโลกเศร้า แต่หากกลนรกเล่าจะสักกี่เท่าอสงไขย กล่อมกลจนโลกสิเผลอใจ หลับลึกถึงเบื้องใด ณ โลกันตร์ ขวัญเอยขวัญแม่แต่สานสร้าง แม่เห่เจ้าไปสุดทางร้างสิ้นขวัญ หนาวเอยหนาวอกนรกทัณฑ์ หนาวสุดขั้วชั่วชั้นอเวจี.. ฟังสิ-เสียงนรกแตก เคลื่อน-ครืน กระแทกแหลกแล้วทั้งธาตุสี่ มันถาโถมโหมยกปฐพี มันผ่าอกแม่ธรณีมาพรากเธอ แข็งขืนตาไว้เถิดลูกรัก เพียงงีบพักชั่วครั้งฤาพลั้งเผลอ ชั่วเศษเสี้ยวหลับตาพริ้มละเมอ สุดเผลอตาตื่นฟื้นิทรา จงตระหนักเถิดลูกรัก สวรรค์กวักมือเรียกฤานรกเพรียกหา เทพแท้ฤามารแปลกปลอมมา หลอกหลอนหูตาให้พร่าเลือน อดีตปัจจุบันอนาคต ฤากลเก่ากำหนดราวภาพเหมือน กี่ครั้งหลั่งธารโศกโลกสะเทือน ผืนดิน-ผาเขยื้อนลุกลม-ไฟ เบื้องนี้ฤาเบื้องหน้าบังตาเรา ประวัติศาสตรเก่าๆซำรอยไหน.. วัฏจักรจำหลักเหตเภทภัย ฤาหมุนเวียนมาใหม่กับเวลา.. บางรอยจารึกผนึกซ่อน บางลี้ลับทับซ้อนซ่อนปริศนา บางมืดดำอำพรางยุคมายา ซ่อนบางอุบาทว์บ้าอุบัติพลัน! ขวัญเอยขวัญอ่อนนอนใกล้แม่ หากวิญญาณเจ้าสิไกลแท้แค่เจ้าฝัน ปลิดห้วงดวงจิตปลิดชีวัน หลับชั่วกัปกัลป์นิรันดร...... (อันดามันบันทึกร้อยวันสึนามิ-เนชั่นสุดสัปดาห์-18เมษา48)
24 สิงหาคม 2554 23:51 น. - comment id 125879
ถ้าน้องเจ็บ พี่ไยจักจะเก็บอารมณ์ไหว น้ำตาว๊ะ เป็นบ้าไหลทำไม หรือบอกความขืนไข้ในใจเรา เขาไม่รักเราอย่างที่ควรรัก แน่นอนนัก ผลักเราเป็นคนเศร้า ความทุกข์นั้นแม้เพียงแค่แผ่วเบา แต่สะท้านสะเทือนเข้าไปถึงทรวง เมื่อน้องเจ็บ ไยพี่ต้องกดเก็บความเป็นห่วง ถ้อยที่เคยพร่ำย้ำทุกสิ่งปวง มาถามทวง ว่ายังจำสักคำไหม คนหมองหม่น ไม่แปลกหรอกหากหมองจนอยากร่ำไห้ เพราะบางคนยังแกล้งแสดงใจ ร้องร่ำไห้ได้ทั้งที่ไม่มีใจ ไม่ถามว่าวันนี้ สบายดีหรือ เพราะข้อความที่สื่ออารมณ์ไว้ ในนามของคนที่คอยห่วงใย ขอถามว่า มีอะไรก็บอกมา แวะมาบ้านน้อง แลละแล้วอารมณ์ก็ล่องลอย
23 สิงหาคม 2554 06:56 น. - comment id 125924
27 สิงหาคม 2554 21:28 น. - comment id 126022
แม้ว่าพ่อตายเธอก็ลูกพ่อ ความรักของมนุษย์สุดห้ามใจ ยากนักที่จะหายาขนานใดมาถอนรักได้ นอกจากอาศัยกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมและกฎหมายมาค้ำจุน กระนั้นมิวายที่มนุษย์แหกคอกแหกกรอบค่านิยมประเพณีกระทบต่อเหตุผลทางศีลธรรมและกฎเกณฑ์ของบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากปีหนึ่งไปสู่ปีหนึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไป กิเลสตัณหาของมนุษย์ไม่อาจถูกฉุดหรือเหนี่ยวรั้งจากความตกต่ำปล่อยให้ความรู้สึกทางอารมณ์เข้ามาบงการให้ฝืนใจยับยั้งจากบทเรียนแห่งการผิดพลาดของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่าไม่ได้ดั่งใจคิด บทกวีแห่งความระทมถูกวาดไว้เป็นจินตนิยายของกวีหรือนักเขียนผู้โด่งดังในเรื่อง "หนึ่งชายสองหญิง" จึงถูกสร้างเป็นอมตะนิยายจนอาจพูดได้ว่าเป็นอมตะนิรันดร์กาลเกิดขึ้นอ่านไม่รู้เบื่อ หญิงหนึ่งอาจสมหวังมีใบทะเบียนสมรสไว้เป็นหลักประกัน หญิงหนึ่งเล่าได้หลักประกันอะไรทางกฎหมาย นอกจากความรักที่หนึ่งชายคนนั้นมอบให้ แต่ไม่เสมอไปหากเธอหลงเชื่อจดทะเบียนสมรสซ้อน กลายเป็นเรื่องจดทะเบียยซ้อนซ่อนรัก ความรู้สึกในทางบันเทิงอารมณ์ยามว่างเว้นกับความขมขื่นของชีวิตที่เวียนว่ายอยู่ในทะเลบาปของสามชีวิตย่อมอยู่คนละมุม อีกมุมหนึ่งของชีวิตหนึ่งที่ไม่เคยสุนทรีย์กับชีวิตที่เกิดขึ้นต้องทุนทุกข์ทรมานใจตั้งแต่จำความได้ ถูกเพื่อนล้อในโรงเรียนว่าลูกไม่มีพ่อ จนเขาหรือเธอเติบโตเป็นหนุ่มสาวบนถนนชีวิตที่โหดร้าย มีแม่คนหนึ่งเธอเป็นพ่อในเวลาเดียวกันอยู่ใกล้ชิดไม่ห่าง แม่ตอบคำถามข้อสงสัยของลูกแม้ว่าไม่กระจ่างชัดนัก ตอบไปร้องให้ไปด้วยความปวดร้าวสำหรับหญิงที่ไม่เคยเป็นเช่นนี้จะไม่อาจเข้าใจว่าแม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอและลูกของเธอแค่ไหน แม่บอกกับลูกได้เพียงว่า ถึงเธอจะไม่มีพ่อเหมือนคนอื่นแต่เธอมีแม่และเธอเป็นลูกของแม่เสมอ ไม่มีใครจะพรากเธอจากแม่ไปได้ แต่ลูกยังต้องการมีพ่อเหมือนกับคนอื่นอยู่ดี เธอรอจนเป็นผู้ใหญ่ พ้นจากภาวะผู้เยาว์จวบจนมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ จากแรงกดดันของชีวิตและสภาพจริงของนางสาวแพรพิไล เธอได้รวบรวมพยานหลักฐานข้อมูลจนทราบแน่ชัดว่าพ่อของเธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน มีฐานะตำแหน่งอะไร ก่อนพ่อเสียชีวิตเธอไม่รู้ว่าแม่จะรู้หรือไม่ และเธอไม่รู้ว่าผู้ที่เธอเชื่อว่าเป็นพ่อนั้นสั่งเสียกับคนใกล้ชิดไว้ก่อนสิ้นลมหายใจว่าอย่างไร แพรพิไลรู้อย่างเดียวว่า พิชยา คือพ่อของเธอที่ไม่เจอหน้ากันไม่น้อยกว่า 15 ปี เธอต้องการความยุติธรรมให้แก่ชีวิต จึงยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลสั่งแสดงว่าเธอในฐานะผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของพิชยาผู้เป็นพ่อผู้บังเกิดเกล้า เธอจะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามชะตากรรมนับแต่นี้ไปไม่ได้อีกแล้ว ศาลประกาศนัดไต่สวนแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรของนายพิชยา แต่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเกิน 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ จึงขาดอายุความตามกฎหมาย มีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรของพิชยาผู้ตายในเบื้องต้น คงมีปัญหาแต่เพียงว่าศาลจะยกเอาอายุความมาเป็นมูลยกฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่าอายุความ 1 ปี เด็กบรรลุนิติภาวะจะต้องฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะนั้น คู่ความจะต้องยกขึ้นเป็นประเด็นศาลจึงวินิจฉัยให้ตามกฎหมาย คดีนี้ไม่ปรากฏว่าคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นเป็นประเด็นเพื่อให้ศาลวินิจฉัยแต่ประการใด ที่ศาลล่างทั้งสองยกเอาเรื่องอายุความขึ้นวินิจฉัยและยกคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ชอบ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรของพิชยา ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ (ป.พ.พ.มาตรา 1555) ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น พิพากษากลับว่า ผู้ร้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายพิชยาผู้ตาย มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย เทียบเคียงคำพิพากษาฏีกาที่ 3304/2528 รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช
27 สิงหาคม 2554 21:33 น. - comment id 126027
สมรสเป็นโมฆะหาได้ไม่ นิยาย หากมีแต่บทรักหรือบทเศร้าย่อมไม่ใช่นิยาย จินตนาการของผู้เขียนจึงวาดชีวิตของตัวละครเขียนด้วยอักษร ให้มีทั้งสุขและทุกข์จนกว่าจะถึงตอนจบไม่ต่างกับชีวิตจริง ใครจะคาดคิดว่าชีวิตรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เริ่มต้นด้วยความรักความสดชื่นและความหวังที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสามีภริยาทั่วไป ความใกล้ชิดและบรรยากาศรอบข้างเป็นใจให้ทั้งสองได้เสียกัน จนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ ฝ่ายชายสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ทั้งคู่จึงไปจดทะเบียนสมรส ครั้นเรียนจบกลับมาทำงานมีหน้ามีตามากขึ้น ชีวิตรักพลิกผัน ชายฟ้องหญิงว่าการจดทะเบียนครั้งนั้นเป็นโมฆะ เพราะหญิงไม่ทำตามสัญญาที่มีเงื่อนไขต่อกัน เด็กที่เกิดมาไม่ใช่ลูกของชาย อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของการฟ้องครั้งนี้ขอไม่กล่าวถึง แต่จะพูดถึงคำกล่าวอ้าง และข้ออ้างของหญิงที่เพื่อนๆ พูดถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง นายกฤตย์ข้าราชการหนุ่มกระทรวงเกษตรฯได้รับทุนไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย 2 ปีก่อนหน้านี้ เป็นที่รู้กันระหว่างเพื่อนฝูงว่าหนุ่มน้อยคนนี้มีคนรักชื่อนางสาวกัญชรสสาวสวยพนักงานเทศบาลเมือง จังหวัดขอนแก่น จากความรักกลายเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งของคนที่มีใจรักต่อกันจนหญิงตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน ทั้งคู่จึงไปจดทะเบียนสมรสที่เขตบางรัก กรุงเทพฯ ก่อนกฤตย์เดินทางไปเรียนต่อได้หนึ่งสัปดาห์ ภายหลังเรียนจนกลับมาเขาย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่กรุงเทพฯ และย้ายกลับมารับตำแหน่งใหม่ที่ขอนแก่นอีกครั้งหนึ่ง กฤตย์ฟ้องกัญชรสให้ศาลพิพากษาว่า การจดทะเบียนระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะ เด็กชายกล้าหาญมิใช่บุตรของเขา ให้จำหน่ายชื่อของเขาจากฐานะบิดาออกจากสูติบัตรและเอกสารการทะเบียนที่เกี่ยวข้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทย์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันมาหลายปี มีการพบปะไปเที่ยวไหนด้วยกันได้เสียกันเป็นครั้งคราวแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันจนกระทั่งเดินทางกลับเมืองไทย โจทก์อ้างว่าที่จดทะเบียนให้ครั้งนั้นไม่ได้สมัครใจทนเสียงอ้อนวอนจำเลยไม่ได้ เกรงว่าจะถูกไล่ออกจากราชการ บุตรในครรภ์ไม่ใช่บุตรของโจทก์เพราะไม่ได้พบปะกันถึง 2 ปีเต็ม เพื่อเห็นแก่จำเลยที่เคยรู้จักกันสนิทจึงตกปากรับคำ แต่มีเงื่อนไขไว้ว่า หากเขากลับมาทำงานตามปกติให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า ระหว่างนั้นห้ามไม่ให้จำเลยไปเที่ยวพูดกับใครอื่นที่เกี่ยวกับตัวเขายกเว้นที่ทำงาน ห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวและติดต่อกับบิดามารดาของเขา จำเลยรับปากเป็นมั่นเหมาะเขาสงสารจึงจดทะเบียนให้ ครั้นกลับมาจำเลยทำเฉยเสียดื้อๆ และทวงสิทธิของภริยาหนักขึ้น จนเขาทนไม่ได้ โจทก์อ้างตนเองและพยานอีกหลายปาก ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ล้วนเป็นญาติสนิทคนใกล้ชิดจะนัดแนะให้เบิกความอย่างไรได้ไม่ยาก และไม่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าหญิงที่เป็นข้าราชการจะพูดกับคนภายนอกเรื่องโจทก์ไม่ยอมจ่ายเงินค่าทำแท้ง แต่กลับมายอมจดทะเบียนสมรสให้ซึ่งขัดต่อเหตุผล ส่วนพี่สาวจำเลยได้ขับรถพาโจทก์จำเลยไปส่งที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ พร้อมมีภาพถ่ายเป็นหลักฐาน มีเพื่อนๆ พนักงานเทศบาลเบิกความถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภริยาระหว่างที่คนทั้งสองรักชอบกันอยู่เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนๆ โจทก์ย่อมรู้อยู่แก่ใจทั้งสองฝ่ายสมัครใจที่จะไปจดทะเบียนสมรสต่อพนักงานนายทะเบียนเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ โจทก์จะมาอ้างถึงเงื่อนไขที่จำเลยรับปากไว้มาเป็นเหตุให้การสมรสเป็นโมฆะซึ่งรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงเห็นว่าการสมรสสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่เป็นโมฆะ จำเลยตั้งครรภ์ภายหลังได้เสียกับโจทก์จนมีบุตรชายเกิดแต่จำเลยขณะเป็นภริยาโจทก์ เด็กชายกล้าหาญจึงเป็นบุตรโจทก์ด้วย พิพากษายืน
27 สิงหาคม 2554 21:40 น. - comment id 126031
แต่งได้ 9 วัน ฟ้องหย่า อะไรคือสาเหตุที่ต้องซ่อนเร้นจำบัง ผู้นั้นย่อมรู้อยู่แก่ใจ หญิงหนึ่งคือภริยาคนที่เขารักต่างสมัครใจอยู่กินฉันสามีภริยาจนมีลูกคนหนึ่งกับหญิงหนึ่งที่เขารักใหม่และแต่งงานจดทะเบียนสมรส อีก 5 วันต่อมาเห็นแก่ลูกเกิดมาแล้วต้องมีพ่อจึงได้จดทะเบียนสมรสกับแม่ของลูก รักร้าว ร้าวลึกย่อมเกิดขึ้นถึงขั้นฟ้องหย่า กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า "ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ หากการสมรสฝ่าฝืนต่อบทบัญญัตินี้ ย่อมเป็นโมฆะ" นายทิติพงษ์หลังจากจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ สอบเข้ารับราชการที่กระทรวงมหาดไทย และบรรจุให้รับราชการครั้งแรกที่จังหวัดปัตตานี นิยายรักเกิดขึ้นก่อนเรียนจบปีสุดท้าย นางสาววัลลภา เพื่อนนักศึกษาต่างมหาวิทยาลัยที่รักผูกพันจนอยู่ด้วยกันหลังจากทั้งสองคนเรียนจบได้ 2 ปี หลังจากนั้น เขาเดินทางไปรับตำแหน่ง ครั้งสุดท้ายย้ายไปอยู่ที่จังหวัดลำปาง กามเทพขี้เล่นลองใจว่าเขารักมั่นสัญญาไว้กับวัลลภาว่าขอเก็บเงินรอวันแต่งงานอีก 2 ปี ทิติพงษ์เจอหญิงหนึ่งในงานแต่งงานที่โรงแรม เธอสวยมีเสน่ห์บาดตาตรึงใจไม่อาจห้ามใจได้ สอบถามคนรู้จักมารู้ภายหลังว่าเธอทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่งในเมืองแผนกรับฝากเงิน เขาหาวิธีทำความรู้จักตีสนิทจนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่เข้าใจในรักและแต่งงานกันในที่สุด เธอผู้ชนะใจทิติพงษ์ภริยาคนใหม่จดทะเบียนภายหลังแต่งงานได้ 1 วันชื่อนางสาวธัญวลัย ความจริงถูกเปิดเผยด้วยผู้หวังดีประสงค์ร้ายหรือไม่แล้วแต่จะคิด ที่แน่นอนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทิติพงษ์สามีตกเป็นจำเลย และธัญวลัยภริยาเป็นโจทก์ว่า ก่อนที่สามีจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับเธอนั้น สามีอยู่กินกับวัลลภาจนมีลูกด้วยกัน 1 คน สามีปกปิดความจริงกับเธอมาตลอดเวลาที่รู้จักกัน จนหลังจากแต่งงานได้ 5 วัน เธอรู้ความจริงว่าสามีได้แอบไปจดทะเบียนสมรสซ้อนกับผู้หญิงดังกล่าว การกระทำของผู้เป็นสามีต่อภริยาเช่นนี้ถือว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่นผู้ที่เป็นภริยา เพราะได้มีการอุปการะยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา อันจะเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ เป็นการกระทำที่ไม่อาจให้อภัยได้ จึงฟ้องศาลให้พิพากษาหย่าขาดจากกัน และเรียกค่าทดแทนแก่โจทก์ให้สาสมกับความผิด ที่สุด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องฟังเป็นยุติดังกล่าวแล้ว โจทก์จะรู้เห็นยินยอมหรือเป็นใจให้สามีไปจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนนั้นเพราะเท่ากับว่าเป็นการจดทะเบียนสมรสซ้อน เพราะทั้งโจทก์และจำเลยต่างเพิ่งจะแต่งงานจดทะเบียนได้ 10 กว่าวันเท่านั้น การตัดสินใจของทั้งสองฝ่ายเพื่อการแต่งงานด้วยความเชื่อและหวังว่าจะได้อยู่กินกันฉันสามีภริยาอย่างปกติเหมือนคู่สามีภริยาอื่น มีเหตุผลอันใดที่จะยอมให้สามีกระทำเยี่ยงนั้น มีแต่จะสร้างปัญหายุ่งยากแก่ครอบครัว ที่จำเลยนำสืบว่าอย่าได้วิตกไม่ขอสัมพันธ์กับวัลลภาอีกนับแต่นี้ไป ที่ทำไปเพราะเห็นแก่ลูก เด็กที่เกิดนั้นต้องมีพ่อที่ชอบด้วยกฎหมายจะให้อยู่สภาพนั้นได้อย่างไร หากเป็นจริงตามที่อ้างไซร้เหตุใดไม่ขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ทำได้อยู่แล้ว ศาลเห็นว่า การไปจดทะเบียนสมรสซ้อนเพื่อเหตุผลของจำเลยตามที่อ้างไว้ เสี่ยงต่อการกระทำผิดทางอาญาฐานแจ้งความเท็จ จึงรับฟังไม่ได้ โจทก์เองที่อ้างว่าเป็นผู้มีชื่อเสียง ไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นว่ามีคนนับถืออย่างใด ต้องเสียชื่อเสียงอย่างไรนั้น เห็นว่า กฎหมายบัญญัติให้โจทก์ได้รับค่าทดแทนที่ศาลพิพากษาให้หย่าขาดกันแม้โจทก์ไม่นำสืบ ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ได้ เมื่อพิเคราะห์ดูพฤติการณ์แห่งคดีและหน้าที่การงานของโจทก์แล้ว จึงควรกำหนดเสียใหม่ให้เหมาะสม
4 กันยายน 2554 11:22 น. - comment id 126115
ถึงบุศรินทร์ มีคนเคยเขียนไว้ว่า อักษรมีชีวิต มันมีลมหายใจ มันสัมผัสได้ มันรับรู้ได้ สดับยินได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจภายใน มันเริงรื่นได้ มันแข็งแรงได้ อ่อนแอได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ดูแลมันอย่างไร เมื่อมันมาอยู่รวมกัน ในวรรคเดียวกันหน้าเดียวกัน มันคือชีวิตที่หลากหลาย และต้องคอยดูแลเห็นอกเห็นใจ ให้ช่องว่างกับมันอย่างพอเหมาะพอควร ไม่ชิดมากไปจนรู้สึกถึงความอึดอัด ไม่เคาะเว้นช่องว่างมันจนห่างเกินไปจนรู้สึกถึงการขาดหายตายจาก .............. ไม่ว่าจะเขียน จะพิมพ์ จะอ่าน อักษรทุกตัวจะเคลื่อนไหวได้อย่างมีชีวิตก็ต่อเมื่อเราใช้หัวใจขับเคลื่อน จริงมั๊ยคะ... ................
4 กันยายน 2554 11:37 น. - comment id 126116
ชีวิตข้าพเจ้าคงสั้นลงไปทุกวินาที ทุกนาทีชั่วโมง คงมีแต่เพียงอักษรที่ทิ้งเอาไว้เท่านั้นที่ยังคงมีอายุมากขึ้น มากขึ้น ขอบคุณสำหรับทุกตัวอักษร ที่หมุนเวียนเข้ามาพบเจอและจากลา ชีวิตมีคุณค่า ตัวอักษรก็เช่นเดียวกัน ใช้มันอย่างมีประโยชน์และสร้างสรรค์ เพราะเมื่อเราล้มหายตายจาก สิ่งที่คงเหลือไว้คือ ตัวหนังสือดีๆจำนวนหนึ่ง ด้วยมิตรภาพเช่นเคย http://swordbelt.wordpress.com .................................... ถึงบุศรินทร์ อีกครั้ง ไปเจอบทความที่อ่านแล้วรู้สึกเติมเต็มอารมณ์ว่างๆในหัวใจได้พอดี เลยนำมาฝากคุณบ้าง ใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักแต่คุ้นเคยนักกับตัวอักษร คงเหมือนตัวอักษรของคุณที่นานวันยิ่งคุ้นความรู้สึก
4 กันยายน 2554 01:43 น. - comment id 126117
อยากจะหลับตาสักชัวตื่น ปล่อยวันคืนกลืนใจไปในฝัน จะได้ไม่เต้นผ่าวร้าวถึงกัลป์ ปานนรก ฤสวรรค์ถล่มครืน เจ็บใจไปถึงยมโลก ยมทูตเศร้าโศกซานตานตื่น หลุดจากพันธนาการของวันคืน ไล่ข่มขืนสาวสวรรค์ชั้นพรหมแมน ในป่าหิมพานต์สะอ้านสะอาด โรคาพยาบาทก็ลามแคว้น สั่นสะทกสะเทือนสะท้านทั้งดินแดน ทั้งสามแสนผู้พิทักษ์ก็ล้มตาย โลกกลายเป็นดงพงพันธ์สัตว์ ที่ชัวร์ชัดว่าเสมือนสัตว์ทั้งหลาย มีสัญชาตญาณการทำลาย เพื่อเป้าอยู่รอดปลอดภัยตัว ไร้เขต ไร้ขอบ ไร้กรอบกัก อย่าได้ ถามทักความดีชั่ว สุนักขี่ราชสีห์ผีก็กลัว มันเห่าได้กังวาลทั่วทั้งป่าไพร โบราณขานไว้ไม่มีผิด เพียงลาภถึงเพียงนิดก็คิดได้ จะจ้าผีโม้แป้งตะแบงไป จะคิดการสิ่งใดก็สมจินต์ ฝนเลือดแดงทั่วทุ่งนรก ย้อนวก สกปรกมิรู้สิ้น กลิ่นเลือด มาถึงบาดาลดิน องค์อินทร์ รินน้ำตามหาประลัย เจ้าสมุทรอพยพไปไกลลาศ หลีกทางแด่มาหาราษฎร์ผู้ยิ่งใหญ่ โรยผงมหัศจรรย์อันวิไล ติดอก ติดใจ ทหัยเลือน อยากจะหลับตาสักชั่วตื่น เผื่อว่าฝันชื่นจะเป็นเพื่อน กลัวว่าหน้าหนวเมื่อมาเยือน สามโลกจะสะเทือนสะท้านภัย ย่างเข้าเดือนอ้ายโลกมนุษย์ สงครามมหาประยุทธสุดยิ่งใหญ่ ทั้งไพร่ เจ้า ด้าว เทวดา ซานตานใด ก็กระหายกำชัยในสงคราม ผู้พิทักษ์รักษาแต่ละโลก จะเศร้าโศกไปทั่วทั้งโลกสาม ยามนั้น ฉันหลับตากับฝันงาม จะเห็นความงดงามกับความจริง หัวเอย หัวใจเตลิดแล้ว เหมือนแก้ว ตกแตกแหลกทุกสิ่ง ไม่ต้อง มีใครขยี้ทิ้ง ทอดทิ้งฉันไว้อย่ามองมา ที่รัก จงหลบพักนที่ปลอดภัยหนา ฉันมิอาจทำได้ตามสัญญา เพราะฉันคงแตกแหลกก่อนเธอ หลับนะหลับตากันชั่วตื่น จะปลอบความเข็นขื่นเธอเสมอ ในอกฝันของฉันมันเพ้อเจ้อ มิอายากเจอความจริงทุกสิ่งอัน...... สาลิกา แวะมาเจรจาไว้เท่านั้น ว่าอักษรายังมีทุกวี่วัน ไม่เคยอันตธานหายนะสาย "ฝน" ปล. เขียนจบคงสลบอีกตามเคย ไม่ต้องห่วง ในฝันยังงดงาม
4 กันยายน 2554 11:51 น. - comment id 126118
ไหนๆก็ไหนๆแระ เอาเพลงมาฝาก ขอให้สุขสันต์ในวันหยุด เพลง พระจันทร์ยิ้ม - Chocolate Kit http://www.youtube.com/watch?v=h6JhXtooc0w
7 กันยายน 2554 20:39 น. - comment id 126282
เหนื่อยแล้ว รีบพีก รีบหลับ รีบตื่น ชีวิต อึกทึก ครึกครื้น นาที วงจร วงรอบกรรม ผลลับ ชี้ชัด เหตุแห่งการกระทำ ดีเลว ใช่ใคร อุปโลก ความงาม สวยทั้ง สุข เศร้าโศก ในความคิด เปล่าว่าง และแออัด ในความจริง วุ่นวาย และตีบตัน ถ้าโลกสวย เราจะเดินไปด้วยกันได้ เมื่อโลกเศร้า เราจะเดินไปพบกันที่แห่งใด เพื่อนเอ๋ย ที่นั่นไม่มีหรอกมิตรภาพที่เพรียกหา หากอดีตมีแต่การทำลายล้าง ฉันคิดถึงเธอ คิดถึง และคิดถึง
19 กันยายน 2554 21:51 น. - comment id 126483
คาร์ฟรีค่าาาาาาาา ชาวนาเขาเดือดร้อน รถคันแรกมาก่อน เกษตรกรรอก่อนนะ น้ำท่วมแสนสาหัส แต่ขอจัด จะจะ ย้ายข้าราชการก่อนนะ ตั้งสวะ คุมกากี ไอ้ปื้ด อยู่โรงนวด อวดอ้าง อย่างนั้นอย่างนี้ ด๊อก(เตอร์) ออฟลอร์ นะซี่ ย่ำยี ให้สมอารมณ์ค้าง เชื่องเอย เชื่องช้า รอบัญชา.....
19 กันยายน 2554 22:01 น. - comment id 126484
19 กันยายน 2554 22:10 น. - comment id 126485
http://www.youtube.com/watch?v=IE9gYUZJNs4
19 กันยายน 2554 22:19 น. - comment id 126486
http://www.youtube.com/watch?v=rXjLgvy9fZ4&feature=related
20 กันยายน 2554 23:29 น. - comment id 126511
วันนี้เพลีย หลับตาสักพัก สงบศึกสักครู่ น้ำในใจไหวติง นิ่ง สงบ เงียบงาม อากาศ และอเวกาศ เป็นธรรมใกล้เคียงกัน ความรักทุกครั้งก็เช่นนั้น ต่างกันเพียงกายภาพ บรรยาย ขอสงบศึกสักครู่ยาม ห้ามอารมณ์ที่เริ่มเสียหาย ร้อยคำ ถนอมความคิด พริ้มพราย ได้ หรือไม่ได้ มิใช่ประเด็น กลับคืนสู่สภาวะ สถานะ และเห็นที่ควรเห็น เข้าใจ อย่างที่ควรเป็น เช่นนั้น จึ่งมีเช่นนี้นา ขอเดชะ ขอตั้งจิตอุทิศว่า บรรดาความดีที่มีมา เป็นกุศลรักษาไปทั่วกัลป์ ถึงญาติมิตสนิทแนบ และสัมพเวสีเหล่านั้น ปู่ตาย่ายายผู้ล่วงไปในนิรันดร์ กลับคืนสู่สวรรค์ชั้นดาวพรหม เดือนสิบ ขอตั้งจิตอุทิศผล บุญกุศลนี้แผ่ไปให้ไพศาล ถึงบิดามารดาครูอาจารย์ ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน คนเคยร่วมกิจการงานทั้งหลาย ขอมีส่วนได้กุศลผลของฉัน ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัน ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้เทรอญ.... วันนี้เพลีย ลูกเมีย ยังไม่มี ชีวิตยังปรีดา เปรมปรี ทำเลวทำดียังไม่มีอะไรมากมาย สายน้ำเริ่มสงบนิ่ง ไหวติงแค่จิต ความคิดทั้งหลาย มิอาจหลอมรวมกันไว้ในแก้วประกาย ของสายสำนึก ลึกกว่านี้ อินทร์ พรหม ยมเทพ ครุฑ พิสุทธิ์ พิสิทธิ์ พิเสษศรี ศรีบุญญาบารมี ฤทธี สีขาวสกาวเก็จกาย กายทิพย์ว่าบริสุทธิ์ ยังชำรุด ชำเราเสียหาย ถ้าจิต วิปริต ซ่านกำจาย มารร้าย ครอบงำกายงาม วันนี้เหนื่อย เรื่อยเปื่อย ก็เปล่า วันนี้เพลีย เสียกำกายก็เปล่า วันนี้ล้า เสียปัญญาก็เปล่า วันนี้ มีได้ในเสีย มีเสียในได้ เช่นนั้นแหละจิตเอ๋ย
21 กันยายน 2554 08:07 น. - comment id 126514
http://www.youtube.com/watch?v=f1ssrp3863U
12 ตุลาคม 2554 12:45 น. - comment id 126901
เหนื่อยนักก็หยุดวาง เวลาเราสั้นยาวไม่เท่ากัน เธอมุ่งมั่น-ฉันว่างเปล่า, เราไม่เหมือน เพราะเธอยุ่งทุกนาทีทั้งปีเดือน จึงดูฉันลอยเลื่อนเหมือนว่างงาน เธอไม่รู้บางวันฉันเหนื่อยล้า แต่มิกล้าคร่ำครวญชวนสงสาร เธอจึงมองเห็นฉันสุขสำราญ แท้เบิกบานปลอบใจให้ตัวเอง เธอทำงานหามรุ่งมุ่งสำเร็จ จนเหนื่อยเหน็ดฉันเข้าใจใช่ข่มเหง บ้านทั้งบ้านเงียบเหงาดูวังเวง ไร้เสียงเพลงไร้รอยยิ้มเอิบอิ่มใจ อยากจะบอกคนดีสุดที่รัก ถ้าเหนื่อยนักก็หยุดวางบ้างได้ไหม หยุดฟังเสียงหริ่งหรีดร้องก้องไพร เดินดูใบไม้หญ้าหน้าบ้านเรา จิรวรรณ แก้วพรหม ๒๕ มิ.ย. ๔๙
12 ตุลาคม 2554 15:49 น. - comment id 126904
คารวะคุณูปการ..คนโง่โง่ คนฉลาด คิดแต่กลัวเอาตัวรอด คุณจึงอยู่เยี่ยมยอดปลอดภัยผอง คุณซ่อนซุกสุขกระไรในกระดอง คุณเมียงมองจ้องกำไรไว้ทุกครา ยามภัยมาคุณซุกร่างแอบข้างหลัง หวาดระวังมิให้ออกมานอกหน้า สยบพร้อมยอมแพ้แก่ชะตา เพราะรู้ว่าจะมีคนดิ้นรนแทน เขาเป็น คนโง่โง่ ไร้แง่เงื่อน เขาเห็นทุกข์ของเพื่อนนับเรือนแสน เขามีใจรับรู้ไม่ดูแคลน เขายอมแอ่นอกรับกับพิษภัย คนฉลาด ฉลาดรู้ดูทางลม ถ้าเขาล้มก็เหยียบย่ำซ้ำเติมใส่ ถ้าเขาชนะก็ดี๋ด๋ามาร่วมใจ ร่วมประโยชน์ฉลองชัยไม่เคยอาย เขาโง่เง่าในสายตาคนฉลาด แต่องอาจในวิถีมีความหมาย เขารู้เท่ารู้ทันว่าอันตราย แต่เสี่ยงตายด้วยสำนึกระลึกรู้ บ้านเมืองไม่อับจนเพราะ คนโง่โง่ ที่กล้าขืนยืนโต้ออกต่อสู้ คนโง่โง่ ต้องเจ็บตัวเต็มประตู คนฉลาด จึงได้อยู่อย่างร่มเย็น! รัตนธาดา แก้วพรหม ๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ในสถานการณ์คับขันหรือเกิดปัญหาขึ้นในสังคม เรามักจะพบคนสองกลุ่มใหญ่ๆเสมอ กลุ่มหนึ่งโถมตัวอุทิศตนเข้ามารับผิดชอบแก้ไขปัญหา ขณะอีกกลุ่มหนึ่งนั่งดูอยู่ห่างๆเพื่อรอเวลารับผลประโยชน์
16 ตุลาคม 2554 12:11 น. - comment id 126934
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=V3lNS4vJiSI#!
17 ตุลาคม 2554 23:14 น. - comment id 126948
น้ำดี-น้ำร้าย @ น้ำท่วมที่ราบสูง ทั้งที่ลุ่มและที่ดอน โขดเขื่อนหลากนาคร ไม่เคยท่วมก็ท่วมถึง @ พิมาย พิมายา โคราชาสะพรั่นพรึง กระเพื่อมน้ำด่ำดาวดึงษ์ แลฝูงปลาไปกินดาว @ ฟ้าหลั่งลงอาบโลก อันลวกร้อนจะปริร้าว สะบัดร้อนสะบัดหนาว แลโลกธาตุ ก็หวาดไหว @ คือคนแหละพ่นพิษ พิปริตพิบัติภัย น้ำใจจึงท่วมใจ เมื่อน้ำตาต้องท่วมตา @ น้ำดีมีวันลด แลน้ำร้ายมีวันรา น้ำบ้าจากคนบ้า ยังบ่าท่วมประเทศไทย! .................................... เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พฤ.๒๑/๑๐/๕๓
17 ตุลาคม 2554 23:19 น. - comment id 126949
http://www.youtube.com/watch?v=Ye1LA1jkd0Q กำลังใจ บรรเลงขลุ่ย By ThePC
18 ตุลาคม 2554 15:59 น. - comment id 126952
"กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย" ประโยคนี้ผมได้ยินเพื่อนพูดหลายครั้งในภาวระความเครียดที่ลุกลามที่มีข่าวว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพ ขณะที่ความตื่นตระหนกกับมวลน้ำมหาศาลที่กำลังบ่าไหลลงมาเพื่อออกอ่าวไทย พื้นที่ที่น้ำผ่าน แม้จะระดมกำลังพลอย่างไรสุดท้ายคำรับประกันทั้งปวงก็ถูกพังทลายด้วยมวลน้ำมหาศาล ความหวังลมๆที่ให้ชาวบ้านแบกรับความเดือดร้อนจากน้ำ การสร้างคันกั้นน้ำให้ไหลบ่าไปในเรือกสวนไร่นา แม้กระทั้งบ้านพักอาศัยของประชาชนตาดำๆ โดยเขียนวิมานให้เพ้อฝันว่า จะรักษาแหล่งเศรษฐกิจของจังหวัด ของชาติ เพื่อจะได้กลับมาฟื้นฟูหลังน้ำลด "พังทลายแล้ว" ทั้งแหล่งเศรษฐกิจ ทั้งประดานิคมแห่งแล้วแห่งเล่าที่มวลน้ำทะยานเข้าจู่โจมตอกหน้ามนุษย์เนรคุณผู้หาญกล้าท้าทายธรรมชาติ "นวนคร" คือความจริงล่าสุดที่ประจานคำโกหกไปวันๆของบุคคลที่อาสามารับใช้บ้านเมือง เมื่อความล้มเหลวลูกแล้วลูกเล่าเข้าโจมตี คนทำงานที่ตรากตรำคงนึกน้อยอกน้อยใจไม่น้อยที่เมื่อพ่ายศึก ไม่สำนึกในเลือดเนื้อไพร่พลที่เสียไปแต่มีบางพวกฉกฉวยโอกาสโจมตีตามสไตล์ไทยแลนด์แดนสมาย มีข่าวทำนองว่า บางจังหวัดอยู่รอดได้ ทั้งที่รอบข้างเสียหายหนัก เริ่มมีคำถาม แถมเป็นคำถามที่เหมือนคาใจ เป็นคำถามที่เราทั้งหลายคงเข้าใจได้ว่ามุ่งไปที่ สุพรรณบุรี ใช่หรือไม่ ถ้าสุพรรณบุรีน้ำท่วม ประเทศไทยคงรอดหรือเสียหายน้อยกว่านี้ซินะ เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดพลาดเรื่องการบริหารจัดการน้ำ แต่เกิดจากความเห็นแก่ตัวของชาวสุพรรณเช่นนั้นหรือไม่ คำถามตอนนี้คือจะโทษใครหรืออะไรดีง่ายกว่าจะเห็นใครแอ่นอกรับผิดชอบ....
20 ตุลาคม 2554 11:42 น. - comment id 126996
http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/576/29576/images/FLL_a0412e30137f4a9.jpg
20 ตุลาคม 2554 11:51 น. - comment id 126997
http://www.oknation.net/blog/user_icon/572/32572?131908504
21 ตุลาคม 2554 14:00 น. - comment id 127048
http://phuphuphuphuphu.com/2011/10/19/1284
21 ตุลาคม 2554 14:20 น. - comment id 127050
http://phuphuphuphuphu.com/2011/08/01/907
21 ตุลาคม 2554 14:28 น. - comment id 127051
http://phuphuphuphuphu.com/2011/07/16/648
21 ตุลาคม 2554 14:38 น. - comment id 127053
http://phuphuphuphuphu.com/2011/08/10/971
23 ตุลาคม 2554 12:53 น. - comment id 127101
หากจิตเรามีเหตุผลบนพื้นฐาน เปรียบดังควาญคอยบังคับกับหัตถี จิตมนุษย์ประดุจหนึ่งซึ่งหัสดี ย่อมจะมีดื้อดันนั้นธรรมดา ที่หลงถูกหลงผิดจิตไม่เที่ยง ย่อมเอนเอียงสารพันเหตุปัญหา แต่หากมีเหตุผลค้นปัญญา พิจารณาถี่ถ้วนล้วนเที่ยงตรง ขอเอาควาญเปรียบประหนึ่งซึ่งเหตุผล คอยฝึกฝนบังคับจิตมิคิดหลง รู้จักต่อลดปั่นขั้นปลดปลง เด็กก็คงมาตรฐานการอบรม สอนเหตุผลข้อเดียวกวดเกลียวแน่น สิ่งอื่นแสนดีตามงดงามสม ยังเป็นฐานต่อยอดอื่นที่ชื่นชม เร่งระดมเรื่องใดไม่ยากเย็น คุณธรรมหลายข้อเข้าต่อยอด หายมืดบอดตาสว่างมองทางเห็น เรื่องไม้เรียวทิ้งไปไม่จำเป็น เร่งประเด็นสำคัญสู่สันดาน รับผิดชอบหน้าที่ที่ปฏิบัติ เทียบบรรทัดเที่ยงตรงคงมาตรฐาน ฝึกนิสัยใจสมัครรักทำงาน ตัวเกียจคร้านปลดวางขว้างลอยไกล ในหน้าที่นักเรียนเพียรศึกษา รีบเร่งหาแหล่งเรียนรู้ผู้ขานไข แหล่งเรียนรู้เหลือคณาใต้ฟ้าไทย มีที่ใจบากปั่นหมั่นพากเพียร สร้างนิสัยใฝ่รู้อยู่เนืองนิตย์ ชั่วชีวิตอย่าพลาดขาดอ่านเขียน เสริมการอ่านติดนิสัยในวัยเรียน ประหนึ่งเทียนเธอมีชี้นำทาง เมื่ออ่านมากรอบรู้เปรียบผู้ปราชญ์ ชาญฉลาดรู้หลีกเป็นปีกหาง สิ่งใดเพิ่มใดลดปลดละวาง มองโลกกว้างผิดพลาดอาจไม่มี ฟังสำคัญใช่สองรองการอ่าน ต้องพบพานเช้าเย็นมิเว้นหนี ในห้องเรียนฟังครูผู้พาที เข้าใจดีต้องมีหลักเป็นนักฟัง หลักสำคัญหนึ่งหนาสมาธิ จิตสติปล่อยว่างต้องวางตั้ง ใจสงบห้ามคิดจิตภวังค์ ถึงกระทั่งสงบกายให้คู่กัน สองเนตรมองสบตาหน้าผู้พูด พหูสูตยึดหลักประจักษ์มั่น พระอานนท์ตัวอย่างอ้างสำคัญ บรรลุโสดาบันจากการฟัง ทั้งสติทั้งกายให้สงบ จึงประสบสำเร็จเสร็จสมหวัง จงยึดมั่นขันติไว้จีรัง เป็นพลังยิ่งใหญ่ในตัวเรา ฟังเรื่องยากดูง่ายได้รู้เรื่อง เพิ่มประเทืองปัญญาพาหายเขลา ข้อมูลใหม่ใส่เพิ่มดังเสริมเชาว์ ยามจะเอาออกใช้ได้ทันกาล ความคิดอ่านลื่นไหลไม่ติดขัด ช่างคมชัดเฉียบขาดมาตรฐาน อุดมด้วยความคิดวิจารณญาณ คิดวิจารณ์งานวิจัยให้แน่นอน ในสังคมยอมรับนับมีค่า ภูมิปัญญาใดเทียบเปรียบครูสอน เก่งศาสตร์ศิลป์เทียบค่าวิทยากร เป็นทุนรอนความรู้คู่สังคม อันความรู้คู่คุณธรรมแสนล้ำเลิศ สิ่งประเสริฐใดเทียบเปรียบได้สม ขาดคุณธรรมทุกสิ่งจะดิ่งจม ค่านิยมต้อยต่ำมาซ้ำเติม โอ้ลูกศิษย์ที่รักจักขอฝาก ใช้เรื่องยากคุณธรรมนำสร้างเสริม จงตั้งจิตคิดตั้งใจไม่เหิมเกริม นั้นก็เริ่มคุณธรรมนึกทำดี คนให้ทานจานเจือคิดเผื่อแผ่ โอ้เที่ยงแท้เห็นแก่ตัวจะกลัวหนี เรื่องจะงกโลภหลงคงไม่มี เอื้ออารีดวงฤทัยใฝ่ธรรมทาน จะฉ้อโกงโรงศาลพาลให้วุ่น คนใจบุญไร้พิษขั้นคิดผลาญ อิจฉาริษยาจิตสามานย์ ไม่แผ่วพานแต่นิดจิตเหนือธรรม
30 ตุลาคม 2554 14:41 น. - comment id 127141
ท่วมให้จบ (เจ็บแต่จบ parody) http://www.youtube.com/watch?v=db-UV4GRCZc
7 พฤศจิกายน 2554 16:24 น. - comment id 127288
ความเชื่อและความจริง: จากคนน้ำท่วมถึงคนที่ยังไม่ท่วม โดย นิ้วกลม ความเชื่อ: "น้ำไม่ท่วมหรอก อยู่มา 60 ปียังไม่เคยท่วมเลยสักครั้ง" ความจริง: ดูสนามบินดอนเมืองสิครับ ใครจะไปเคยคิดว่าน้ำจะท่วม แค่จะจินตนาการยังนึกไม่ออกเลย แต่วันนี้น้ำปริ่มถึงท้องเครื่องบินแล้ว และตอนนี้หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ ก็มีสิ่งที่คนไม่เคยคิดว่าจะเห็นเกิดขึ้นมากมาย เราอาจไม่สามารถคาดการณ์ "อนาคต" โดยใช้ "อดีต" ได้ ความเชื่อ: "ท่วมไม่เยอะหรอก เดี๋ยวมันก็ลง" ความจริง: จากที่เห็นมา แยกเกษตร วันแรกน้ำแห้ง วันที่สองน้ำเอ่อ วันที่สามเอว วันที่สี่น้ำยังเท่าเอวโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ถ้ามันลงเร็วก็ดีใจด้วยครับ แต่การคิดเผื่อว่ามันจะท่วมนานกว่านั้นก็น่าจะทำให้เราเตรียมตัวรับมือปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาได้ดีขึ้น ความเชื่อ: "หมู่บ้านเราสูบน้ำออกได้" ความจริง: การสูบน้ำออกจากหมู่บ้านอาจพอทำได้ในวันแรกๆ แต่ถ้าน้ำนอกหมู่บ้านเอ่อขึ้นสูงและมาเยอะมาก เครื่องสูบน้ำในหมู่บ้านอาจสู้ไม่ไหว อาจต้องคิดเผื่อไว้ด้วยครับ ความเชื่อ: "บ้านเราสูบน้ำออกได้ ดูสิข้างในยังแห้งอยู่เลย" ความจริง: หากน้ำในบริเวณนั้นไม่ท่วมมากก็อาจจะรอดครับ แต่ถ้าน้ำนอกบ้านท่วมหนัก น้ำจะเริ่มผุดจากท่อในบ้าน และเอ่อล้นบ้าน การสูบน้ำด้วยเครื่องอาจทำให้น้ำในบ้านแห้งได้ แต่ถ้าน้ำขึ้นเยอะอาจต้องระวังอันตรายจากไฟฟ้าที่ใช้กับเครื่องสูบน้ำด้วย เพราะถ้าบ้านแห้งแต่เจ้าของบ้านถูกไฟดูดก็อาจไม่คุ้มกัน และถ้าน้ำสูงขนาดต้องตัดไฟชั้นหนึ่งนั่นแปลว่าระดับน้ำในบ้านก็จะค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องคิดแผนเตรียมไว้ด้วยครับ ความเชื่อ: "ถ้าน้ำมา 30-50 ซ.ม. ก็น่าจะอยู่ได้" ความจริง: น้ำระดับนั้นอาจไม่สูงมากนักเมื่อมองจากตัวเลข แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยน เมื่อรถวิ่งไม่ได้ รถเมล์ก็จะไม่มี รถสองแถว วินมอเตอร์ไซค์จะหายไปหมด ในซอยลึกจะออกยากมาก การเดินในน้ำนั้นเมื่อยกว่าที่เราคิดไว้ ถ้าลึกมากเด็กๆ และคนแก่อาจเดินไม่ไหว ถ้าบ้านอยู่ในซอยลึกไกลๆ จะลำบากมาก ไม่ต้องนับว่าการออกมาแต่ละครั้งจะขนของเข้าบ้านได้น้อยมาก เพราะมีแค่สองมือที่ถือไหว หรืออย่างมากก็หนึ่งกะละมังลอยน้ำ ไม่นับน้ำดื่มที่จะซื้อเข้าบ้านซึ่งหนักเกินกว่าจะถือได้เยอะ ออกมาแต่ละครั้งจึงเหนื่อยและใช้เวลานานมาก มิเพียงเท่านั้น อีกสองวันของหมดก็ต้องออกมาอีก ความเชื่อ: "ยังไม่ต้องอพยพหรอก รอมันขึ้นถึงระดับที่ไม่ไหวค่อยอพยพ" ความจริง: ถ้ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มีลูกเล็ก ไม่มีพ่อแม่แก่ชรา ไม่มีหมาแมวหลายตัว ก็น่าจะพอไหวครับ แต่ถ้ามีคนและสัตว์ที่เรารักและห่วงใยที่ดูแลตัวเองไม่ได้ เราอาจต้องเตรียมที่ทางไว้สักหน่อย บ้านญาติมิตรที่ไหนที่พอจะฝากได้ก็น่าจะรีบย้ายออก เพราะถ้าน้ำท่วมถึงระดับที่รถวิ่งไม่ได้ การขนย้ายคนแก่ เด็ก และสัตว์จะทำได้ยากมาก แม้จะมีเจ้าหน้าที่กู้ภัย ทหาร ตำรวจ ฯลฯ มาช่วยเคลื่อนย้ายก็จริง แต่ผู้ประสบภัยมีเยอะมาก จนเจ้าหน้าที่เท่าไหร่ก็ไม่พอ เท่าที่ถามเจ้าหน้าที่กู้ภัยมา เขาบอกว่า "ถึงเอวก็ควรอพยพคนแก่ เด็ก และสัตว์แล้วครับ" สำหรับตัวท่านเองที่ยังพอฝ่าน้ำระดับเอวระดับอกออกมาไหว ให้เตรียมเอกสารและของมีค่าเฉพาะที่สำคัญไว้เพียงหนึ่งกระเป๋าเท่านั้น เพราะมากกว่านั้นอาจจะถือไม่ไหวและขนย้ายไม่สะดวก ความเชื่อ: "เราอยู่ได้ ก็แค่ซื้อของยากหน่อยเท่านั้นเอง" ความจริง: ในบางพื้นที่ เซเว่นฯ และห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านทั้งหลายค่อยๆ ทยอย "ของหมด" กันไปทีละแห่ง การออกมาซื้อของกินของใช้จะลำบากขึ้น และไกลขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลายที่ยืนยันตรงกันว่า "ไม่มีคนมาส่งของแล้ว" หากบ้านไหนตุนของไว้เยอะพอก็อาจจะอึดไหว แต่หากบ้านไหนมีของไม่พออาจต้องคิดแผนสองไว้ด้วยก็ดี ว่าถ้าน้ำท่วมอีกเป็นเดือนจะอยู่อย่างไร จะได้เตรียมตัวขั้นต่อไปได้ หรืออย่างน้อยก็เฉลี่ยข้าวของในบ้านในแต่ละวันโดยการกินและใช้ให้ประหยัดขึ้นได้บ้าง ความเชื่อ: "ก็แค่น้ำท่วมจะไปกังวลอะไรมากมาย" ความจริง: ก็จริงครับ มันก็แค่น้ำที่ไหลมาอยู่บนถนน แต่สิ่งที่มาพร้อมน้ำก็คือกลิ่นที่เหม็นเน่า และกองทัพยุงระดับที่จะกินเลือดกินเนื้อ (สิ่งจำเป็นอีกอย่างคือยาทากันยุง) นอกจากตะขาบ งู จระเข้ แล้ว สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างคือ อย่าเดินเข้าใกล้เสาไฟฟ้า และระวังบ้านในซอยเดียวกับท่านที่เขายังไม่ตัดไฟชั้นหนึ่ง ช่วยกันบอกให้ตัดไฟน่าจะปลอดภัยสำหรับทุกฝ่าย และเมื่อออกไปลุยน้ำมาก็รีบขัดถูร่างกายทำลายเชื้อโรคโดยไว หากป่วยตอนนี้จะยิ่งลำบากครับ ความเชื่อ: "ท่วมไม่นานหรอก อีกสามสี่วันก็ยุบ" ความจริง: อันนี้เป็นความเชื่อล้วนๆ ความจริงน้ำจะท่วมนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ ถ้าโชคดีมันอาจจะยุบจริง (ผมก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น) แต่ถ้าเราดูภาพถ่ายดาวเทียมก็จะเห็นว่ามวลน้ำมันมหึมามหาศาลจริงๆ และถ้าดูจากพื้นที่ที่เขาโดนไปก่อนเรา ไม่ว่าจะเป็นอุทัยธานี ลพบุรี อยุธยา ก็ยังท่วมอยู่เป็นเดือนๆ หรือกระทั่งรังสิต ดอนเมือง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลงแบบปึบปับ ทุกคนก็อยากให้น้ำลงไวๆ กันทั้งนั้น แต่ในความหวังเราก็ต้องดูความจริงด้วย การตัดสินใจและวางแผนชีวิตจาก "ความเชื่อ" กับการตัดสินใจและวางแผนจาก "ความจริง" นั้นให้ผลต่างกัน หากจะตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อไป ย้ายไปอยู่บ้านญาติ อพยพไปอยู่ศูนย์อพยพ หรือไม่อย่างไร เราน่าจะตัดสินใจจาก "ความจริง" มากกว่า "ความเชื่อ" ครับ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่โดนน้ำท่วมไปแล้ว และขอเอาใจช่วยคนที่ยังไม่ท่วมให้บ้านแห้งจะได้มีเรี่ยวแรงช่วยเหลือคนอื่นต่อไป บ้านผมท่วมแล้ว และน้ำก็ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่เขียนมาทั้งหมดมาจากความหวังดีล้วนๆ ครับ เพราะเชื่อว่าในวิกฤตแบบนี้ สิ่งที่แต่ละคนพอจะทำได้คือการแชร์ข้อมูลที่มีประโยชน์ให้กัน เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ ^ ^ =================================
8 พฤศจิกายน 2554 14:39 น. - comment id 127318
"ผู้มาเยือน" คนแปลกหน้า แต่เริ่มคุ้น ชินตาหน้าเขาเหมือน บางใครนั้นที่เกือบจะลบเลือน เขามาเตือนมาทักสวัสดี มาเป็นคนแปลกหน้า "ท่าทางแปลก" และผิแผกแตกต่างอย่างคนที่ จะสมานน้ำใจให้ไมตรี ในท่าทียากสนิทสกิดใจ คนแปลกหน้าทักทายคนขายของ เราก็ต้องรับรองเอาใจใส่ วันแรกซื้อไฟแช็คแพ็คคู่ไป กลับมาใหม่ซื้อโน่นนั่นวันหลายที ระหว่างคนค้าขายกับคนซื้อ เหมือนปรึกษาหารือ "ข่าวลือนี่" เขาว่าน้ำจะท่วมไทยทั้งธานี คนแปลกหน้าบอกพี่จงอุ่นใจ คนขายถามยามนี้มีด้วยหรือ จะยึดถือข่าวไหนมั่นใจได้ น้ำหลากทุ่งมุ่งไหลไปอ่าวไทย พัดทุกอย่างหายไปในพริบตา นี่ร้านรวงช่วงนี้ไม่มีแล้ว ปิดกั้นกันกำแพงแก้วกันถ้วนหน้า ประมาณการกันตามจินตนา คงไม่เชื่อน้ำยาป้าปูเรา คนซื้อของขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิด แล้วเอยความถามนิด "คิดเขลาเขลา" พี่ครับพี่ที่น้ำท่วมอ่วมไทยเรา รู้ไหมเล่า สมประสงค์ใครบงการ คนขายของมีสองอย่างเป็นทางเลือก คือใส่เกือกเสือกฟังเรื่องชาวบ้าน หรือไม่ต้องสนใจไปทำงาน ทำเป็นคนเกียจคร้านทิ้งร้านรวง ไม่ต้องตอบว่าเลือกหนทางไหน เงินสี่ร้อยให้ไปไม่มีหวง ไปเถิดพี่ซื้อเหล้ายาประดาปวง ............... คนแปลกหน้าสองคนนั่งก๋งเหล้า พอเริ่มเมา
14 พฤศจิกายน 2554 12:57 น. - comment id 127419
^ ^ ^ เมื่อไหร่จะต่อให้จบ วิธีติดสติ๊กเกอร์วอล...สุดยอดเลย tree wall sticker fitting demo http://www.youtube.com/watch?v=i67VqXVJEgI&feature=related ======================= Wall Decals Installation http://www.youtube.com/watch?v=ucllsVjbhK4&feature=related ======================= Dali Wall Decals - Tall Tree with Leaves Blowing in the Wind Installation http://www.youtube.com/watch?v=4780n37OUcY&feature=related ======================= สวยมากเลยเนาะ
20 พฤศจิกายน 2554 16:03 น. - comment id 127467
ไทยโชคดีมีภาษาของเราใช้ จึงควรได้ตระหนักรู้รักษา คือกระแสพระราชดำรัสก่อศรัทธา ที่ตรึงตรากลางใจไทยทุกดวง ไทยโชคดีมีพระองค์ทรงเป็นหลัก ให้รู้รัก ความเป็นไทย อันใหญ่หลวง ให้รู้ค่าภาษาไทยวิไลปวง ให้รู้ห่วงหวงแหนแผ่นดินไทย วางพระองค์ให้เห็นเป็นต้นแบบ สนิทแนบวัฒนธรรมนำสมัย มรดกบรรพชนแต่ต้นไกล สนิทในพระจริยาประจักษ์จาร เป็นต้นแบบทรงงานทั้งอ่านเขียน แนบเนียนในภาษาทรงสื่อสาร งามงดในพระราชนิพนธ์ทุกผลงาน พระราชดำรัสพระราชทานเบิกบานใจ คือพระปรีชาญาณด้านภาษา อันทรงค่าทรงคุณกรุ่นสมัย เป็นน้ำทิพย์ชะโลมทั่วหัวใจไทย เป็นธงชัยแห่งมหาประชาชน ไทยโชคดีมีพระองค์ทรงเป็นหลัก ให้รู้รักภาษาไทยไม่สับสน จึ่งน้อมเกล้าฯ กราบเบื้องบาทยุคล โสตถิผล ถวายองค์ พระทรงชัย เหล่าปวงข้าฯ พสกศรีกวีน้อย จักตามรอยพระบาทมั่นมิหวั่นไหว จักรู้รักษ์คุณค่าภาษาไทย จักรวมใจพากเพียรเพื่อเรียนรู้ จักฝึกฝนให้แหลมหลักเชิงอักษร แก้วกาพย์กลอนกวีไทยวิไลหรู วัฒนธรรมนำชาติจักเชิดชู ให้คงคู่เคียงถิ่นแผ่นดินทอง ถวายสัตย์ปฏิญาณสาบานตน ด้วยสำนึกลึกล้นใจชนผอง ในกระแสพระราชดำรัสที่ตรัสตรอง ขอสนองตามเหตุเจตจำนง ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ซึ่งหอมกรุ่นเหนือเกล้าฯ เฝ้าประสงค์ ด้วยจงรักภักดีที่ดำรง ขอพระองค์ทรงพระเจริญ เทอญฯ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า คณะครูอาจารย์และนักเรียนในโครงการกวีน้อยเมืองนคร (นายบุญเสริม แก้วพรหม ร้อยกรองถวาย)
20 พฤศจิกายน 2554 16:20 น. - comment id 127476
"ลำนำ..ชีวิต" รัตนธาดา แก้วพรหม ๑. ชีวิตไม่ได้ราบกุหลาบโรย ต้องโอดโอยปวดช้ำจากหนามไหน่ แต่เท้าที่จะย่างก้าวได้ยาวไกล คือเท้าที่กล้าให้หนามไหน่แทง ๒. ทุกคนมีหนึ่งสมองและสองมือ ให้ยึดถือให้ตั้งต้นให้ขวนขวาย ถ้ากล้าคิด กล้าทำ กล้าท้าทาย ก็กล้าถึงจุดหมายปลายทาง ๓. สมองที่น่ารัก-รู้จักคิด รู้พิชิตรู้สร้างสรรค์สู้ปัญหา มือมีแรงแกว่งกวัดตามศรัทธา มือมีค่าก็ตรง-ลงมือทำ ๔. วันหนึ่งหนึ่งเราคิดได้ตั้งหลายเรื่อง สมองเฟื่องฟุ้งฝันอันสดใส สารพัดสารพันบันดาลใจ แต่-จะมีประโยชน์ใด-ถ้าไม่ทำ ๕. เพราะว่า ทำไม่คิด จึงผิดพลาด เพราะอืดอาด คิดไม่ทำ จึงย่ำแย่ สองอย่างนี้อย่าพึงหมายชายตาแล อยากดีแท้แม้น้อยนิด คิดแล้วทำ ๖. เรามีงานมากมายท้าทายอยู่ ให้ต่อสู้ให้ฝึกฝนให้ค้นหา งานทุกงานจะเสร็จสมเจตนา เมื่อเรากล้าเอา ใจ ลงไปทำ ๗. ควรภูมิใจในวันนี้ที่งานหนัก เธอจะได้รู้จักเป็นนักสู้ ได้พิสูจน์ค่าของคนให้ตนดู เพื่อจะอยู่อย่างคนที่มีราคา เมื่อเธอผ่านงานหนักได้ในวันนี้ งานจะชี้และเป็นขวัญถึงวันหน้า ได้ทดสอบได้ฝึกหัดเต็มอัตรา ได้รู้ว่า-หนักแค่ไหนไม่กลัวแล้ว ๘. จงเมื่อเจออุปสรรค-รู้จักถอย เพื่อย้อนรอยหาแง่ทางแก้ไข มิใช่ถอยแล้วจะหมายไร้ทางไป แต่ถอยเพื่อตั้งต้นใหม่ให้มั่นคง ๙. อุปสรรคขวากขวางที่กางกั้น คือเขื่อนขั้นบันไดให้ก้าวข้าม ถ้าเธอไม่สู้กล้าพยายาม ก็อย่าถามถึงโลกสวย-ให้ป่วยการ! ๑๐. ธรรมดาชีวิตนี้มีปัญหา เพื่อทายท้าให้ต่อสู้รู้แก้ไข เพื่อทดสอบความกล้าแกร่งแห่งหัวใจ ว่า-มีใครไหวหวั่นหรือมั่นคง ๑๑. ถ้าชีวิตไม่เคยผ่านอุปสรรค แล้วเธอจักภูมิใจอะไรหรือ เพียงนั่งนั่งนอนนอนหย่อนตาปรือ เธอก็คือปัญญาอ่อนที่อ่อนแอ ควรยินดี-เมื่อวันนี้มีอุปสรรค ให้เธอได้แน่นหนักรู้จักแก้ โอกาสดีที่จะได้ให้โลกแล ว่าเธอนั้นหนึ่งแน่-ไม่แพ้ใคร ๑๒. ชีวิตคนพลาดได้ตั้งหลายครั้ง และก็หวังกันได้ตั้งหลายหน จะสมหวังหรือผิดหวังอย่ากังวล ชีวิตคนไม่ได้สั้นเพียงวันเดียว ๑๓. ถ้าชีวิตไม่มีที่เป็นทุกข์ เราจะรู้ฤาว่าสุขเป็นไฉน ปล่อยชีวิตทุกข์เสียบ้างช่างปะไร เพื่อความสุขครั้งใหม่จักได้มา ๑๔. รู้ว่าเครียดก็คลี่คลายให้หายเครียด จะยัดเยียดให้ทุกข์ทึ้งไปถึงไหน ชีวิตนี้ถึงจริงจังกันอย่างไร ก็ไม่ได้ถูกถ้วนเพียงส่วนเดียว ๑๕. โชคยังดีที่เราทุกข์เท่านี้ คนอื่นมีทุกข์มากมายตั้งหลายเท่า คนอื่นทุกข์เขายังสู้รู้แบ่งเบา ถ้าตัวเราทุกข์แล้วท้อ-ก็น่าอาย ๑๖. เธออาจทุกข์กว่าใครในวันนี้ แต่อาจมีสุขกว่าใครในวันหน้า เพราะโลกและชีวิตอนิจจา เธอจะรู้คุณค่า-ถ้าอดทน ๑๗. คนไม่สู้มีแต่จะแพ้พ่าย ท้อแต่ต้นถึงปลายคอยหน่ายหนี ไม่กล้ายืนหยัดสู้กู้ชีวี แท้จะมีหวังใดให้ตัวเอง คนที่สู้มุ่งมั่นไม่หวั่นไหว แท้แล้วใครไหนกล้ามาข่มเหง ไม่ทดถอยถึงใจตัวก็กลัวเกรง ท้อยิ่งเร่งใจกล้าเข้าท้าทาย ๑๘. ถ้าเธอมองโลกแต่ในแง่ร้าย เธอจะหาดีที่หมายได้ที่ไหน เธอต้องยอมลดระดับปรับหัวใจ หาดีได้เมื่อมองแต่ในแง่ดี ๑๙. จะจริงจังอะไรในชีวิต ย่อมมีถูกมีผิดเป็นทางผ่าน ชีวิตมี ชั่ว-ดี เป็นบริวาร คนไม่พานสองอย่างนี้ไม่มีแล้ว ๒๐. ร้องไห้เถิด-ถ้าร้องไห้แล้วคลายทุกข์ ร้องไห้เถิด-ร้องแล้วปลุกให้ลุกสู้ ร้องไห้เถิด-ร้องระบายให้โลกดู ร้องไห้เถิด-เพื่อเรียนรู้ความร้าวรึง ร้องไห้เถิด-ให้น้ำตาบ่าหลั่ง ร้องไห้เถิด-เพื่อคลายคลั่งที่ขังขึง ร้องไห้เถิด-ร้องให้หนำใจรำพึง ร้องให้ถึงที่สุด-แล้วหยุดร้อง! ๒๑. อย่าคิดแค่อยากได้ใคร่อยากเป็น แต่มองหาให้เห็นที่เป็นอยู่ ว่าสิ่งใดเป็นได้ใคร่ครวญดู และสิ่งใดไม่รู้-อย่าสู่เป็น ๒๒. สุขและทุกข์นั้นมีอยู่ที่ใจ ตาเห็นใบไม้ไหวเพราะใจหวั่น ใจบังเกิดสุขและทุกข์เพราะผูกพัน ด้วยยึดมั่นถือมั่นเป็นสัญญา ถ้ายึดมั่นอยู่กับสุขก็ทุกข์บ่อย รู้จักปล่อยรู้จักวางปรารถนา รู้จักปลงรู้จักปลดลดอัตตา ก็เหมือนว่าเปลื้องทุกข์ที่ผูกพัน ๒๓. เมื่อใจไม่หดหู่อยู่กับทุกข์ ก็จะปลุกเร้าใจให้เข้มแข็ง ก็จะเปล่งประกายให้มีแรง ก็จะแกร่งก็จะกล้าจะฝ่าฟัน เมื่อแกร่งกล้าฝ่าฟันกล้าฝันถึง คือนับหนึ่งสู่จุดหมายใกล้ความฝัน คือนับสองนับสามนับตามวัน จึงสุขนั้นอยู่ไปไม่ไกลแล้ว ๒๔. เพราะเอาแต่จดจ้องคอย มองหา รู้แต่ว่าจะเรียกร้องจึง มองหาย ยิ่งไขว่คว้ายิ่งเปล่าเปลี่ยวยิ่งเดียวดาย ยิ่งขวนขวายยิ่งลำบากยิ่งยากเย็น เพราะรู้จักทีถ้อยคอย มองให้ ด้วยน้ำใสใจจริงจึง มองเห็น รู้จักให้จึงอิ่มสุขทุกประเด็น และก็เป็นผู้รับสุขทุกประการ ๒๕. ความ ดีงามผุดผ่องเป็นทองแท้ รัก ที่เอื้อเพื่อแผ่แก่เพื่อนผอง ความ พันผูกถูกถ้วนที่ควรปอง รู้ จักมองเพื่อใจเผื่อไมตรี ยิ่ง คิดเอื้อเผื่ออุ่นยิ่งอิ่มอาบ ให้ ซับซาบอุ่นไอไม่ถอยหนี ยิ่ง ฝากต้นไม่คิดถอน-ตอนสิ้นปี เพิ่ม ดอกผลมากมีทวีคูณ รัตนธาดา แก้วพรหม สำนักกวีน้อยเมืองนคร
23 พฤศจิกายน 2554 10:08 น. - comment id 127500
ตายไปแล้วกวี ไม่มี นรกสวรรค์ ฤๅ เทวดาลงทัณฑ์ ปิดกั้น กันโชคชะตากรรม เทวดา นฤมิตร ซาตาน ความคิด และความฝัน เนิ่นช้า ไปแล้วในนิรันดร์ ความอัศจรรย์ พร่าเลือน เดือนดับ ลับไปในความมืด ยืดยาว ก้าว-ถอย ลอยเลื่อน มิทันไร ผ่านไปมิถึงเดือน ดาวที่เกลื่อนจะลับ ดับลง อักษร สุนทร สะท้อนภาพ หทัย ไยหยาบ - ผิดหลง ถ้อยคำ ลำนำใดยืนยง ปลิดปลง ลอยเคว้ง เพลงความตาย ดนตรี ปีศาจ ประสาทโสท ใดนิโรจน์ ไหม้หมางจางหาย หัวเราะ เยาะเย้าเขาไว้ กลับกลาย หัวเราะเยาะเย้ยตัว กวีตาย ในหญิง-ในชาย ในเมียผัว ในมืด ในความหม่นมัว ในยิ้มหัว ในสวรรค์ ชั้นนรก ในนั้น มีอัปสรฟ้อนเล็บ หนาวเหน็บ เจ็บในใจ สกปรก สะเทือน สะท้อนสะท้านสะทก กระดก กระเดือกกลืน ฝืนอารมณ์ ....
25 พฤศจิกายน 2554 22:05 น. - comment id 127507
ตายไปแล้วกวี ไม่มี นรกสวรรค์ ฤๅ เทวดาลงทัณฑ์ ปิดกั้น กันโชคชะตากรรม อินทร์ พรหม ยม-เทพ นฤมิตร ซาตาน ความคิด และความฝัน เนิ่นช้า ไปแล้วในนิรันดร์ ความอัศจรรย์ พร่าเลือน เดือนดับ ลับไปในความมืด ยืดยาว ก้าว-ถอย ลอยเลื่อน มิทันไร ผ่านไปมิถึงเดือน ดาวที่เกลื่อนจะลับ ดับลง อักษร สุนทร สะท้อนภาพ หทัย ไยหยาบ - ผิดหลง ถ้อยคำ ลำนำใดยืนยง ปลิดปลง ลอยเคว้ง เพลงความตาย ดนตรี ปีศาจ ประสาทโสท ใดนิโรจน์ ไหม้หมางจางหาย หัวเราะ เยาะเย้าเขาไว้ กลับกลาย หัวเราะเยาะเย้ยตัว กวีตาย ในหญิง-ในชาย ในเมียผัว ในมืด ในความหม่นมัว ในยิ้มหัว ในสวรรค์ ชั้นนรก ในนั้น มีอัปสรฟ้อนเล็บ หนาวเหน็บ เจ็บในใจ สกปรก สะเทือน สะท้อน สะท้านสะทก กระดก กระเดือกกลืน ฝืนอารมณ์ ภาพฝัน พลันหาย แดดสายแล้ว แมลงวันปีกแก้ว เจี้ยวข่ม อึงอื้อ อยู่ในอาจม ชื่นชม ขนมเน่าเบาปัญญา เดียรฉาน อ่านธรรมนำบัณฑิต วิปริต ยึดติดในมิจฉา กิ้งกือ สาปแช่งเทวดา เห็นผีห่า ว่านางฟ้า จากชั้นสรวง คำภีร์ คำสอน คำศาสตร์ มนุษย์ชาติจับใส่เอาไหถ่วง ปูปลา เต่าเหี้ย ประดาปวง ลับ-ลวง ดิ้นด่าว ร้าวรน คนสัตว์ ชัดแล้วไม่แตกต่าง คางคก อึ่งอ่าง พองขน ขึ้นวอ ขึ้นเวร เวียนวน ควายทน ควายเทียม มันก็ควาย
25 พฤศจิกายน 2554 22:26 น. - comment id 127508
ตายไปแล้วกวี ไม่มี นรกสวรรค์ ฤๅ เทวดาลงทัณฑ์ ปิดกั้น กันโชคชะตากรรม อินทร์ พรหม ยม-เทพ นฤมิตร ซาตาน ความคิด และความฝัน เนิ่นช้า ไปแล้วในนิรันดร์ ความอัศจรรย์ พร่าเลือน เดือนดับ ลับไปในความมืด ยืดยาว ก้าว-ถอย ลอยเลื่อน มิทันไร ผ่านไปมิถึงเดือน ดาวที่เกลื่อนจะลับ ดับลง อักษร สุนทร สะท้อนภาพ หทัย ไยหยาบ - ผิดหลง ถ้อยคำ ลำนำใดยืนยง ปลิดปลง ลอยเคว้ง เพลงความตาย ดนตรี ปีศาจ ประสาทโสท ใดนิโรจน์ ไหม้หมางจางหาย หัวเราะ เยาะเย้าเขาไว้ กลับกลาย หัวเราะเยาะเย้ยตัว กวีตาย ในหญิง-ในชาย ในเมียผัว ในมืด ในความหม่นมัว ในยิ้มหัว ในสวรรค์ ชั้นนรก ในนั้น มีอัปสรฟ้อนเล็บ หนาวเหน็บ เจ็บในใจ สกปรก สะเทือน สะท้อน สะท้านสะทก กระดก กระเดือกกลืน ฝืนอารมณ์ ภาพฝัน พลันหาย แดดสายแล้ว แมลงวันปีกแก้ว เจี้ยวข่ม อึงอื้อ อยู่ในอาจม ชื่นชม ขนมเน่าเบาปัญญา เดียรฉาน อ่านธรรมนำบัณฑิต วิปริต ยึดติดในมิจฉา กิ้งกือ สาปแช่งเทวดา เห็นผีห่า ว่านางฟ้า จากชั้นสรวง คำภีร์ คำสอน คำศาสตร์ มนุษย์ชาติจับใส่เอาไหถ่วง ปูปลา เต่าเหี้ย ประดาปวง ลับ-ลวง ดิ้นด่าว ร้าวรน คนสัตว์ ชัดแล้วไม่แตกต่าง คางคก อึ่งอ่าง พองขน ขึ้นวอ ขึ้นเวร เวียนวน ควายทน ควายเทียม มันก็ควาย สายน้ำ ไหลแล้วไม่หวนกลับ ไปกับ ความสุขที่หล่นหาย เมืองนี้ หนอช่างอันตราย เบี่ยงบ่าย หน่ายแท้ยอมแพ้ใจ ปราถนาสิ่งใดหนอที่รัก ฉันจัก ทำให้ถ้าทำได้ ก่อนที่ ฉันจะ มิมีอะไร แม้แต่หัวใจที่ไหวติง ฉันพบบัณฑิต ขี้ครอก ปัญญาชน กระจอก สะดิดดิ้ง คนแก่เฒ่า เพราะเกิดนานเป็นอาจินต์ เหลือบริ้น กินขี้ บี้บาปบุญ เธอจะไป อยู่ไหนหนอเพื่อนรัก เถอะนอน หนุนตัก พักสักอุ่น พรุ่งนี้ แน่แล้วโลกทารุณ ปล่อยใจที่ว้าวุ่น ให้ฉันนะ เช้าแล้วตื่นมารับแดดเช้า กับน้ำตาดวงดาว ผู้เสียสละ สิ้นเสรี และมี พันธะ ชะตากรรม ชนะ ความต้องการ ฉันจะรับ ฉันจะรัก ฉันจะอยู่ กับทุกข์ความชั่วครู่ ชั่วขาน มิรู้ว่าจะกี่ ชั่วนาน จักบนบาน ศาลเตี้ย เหี้ยอะไร
25 พฤศจิกายน 2554 22:55 น. - comment id 127509
ตายไปแล้วกวี ไม่มี นรกสวรรค์ ฤๅ เทวดาลงทัณฑ์ ปิดกั้น กันโชคชะตากรรม อินทร์ พรหม ยม-เทพ นฤมิตร ซาตาน ความคิด และความฝัน เนิ่นช้า ไปแล้วในนิรันดร์ ความอัศจรรย์ พร่าเลือน เดือนดับ ลับไปในความมืด ยืดยาว ก้าว-ถอย ลอยเลื่อน มิทันไร ผ่านไปมิถึงเดือน ดาวที่เกลื่อนจะลับ ดับลง อักษร สุนทร สะท้อนภาพ หทัย ไยหยาบ - ผิดหลง ถ้อยคำ ลำนำใดยืนยง ปลิดปลง ลอยเคว้ง เพลงความตาย ดนตรี ปีศาจ ประสาทโสท ใดนิโรจน์ ไหม้หมางจางหาย หัวเราะ เยาะเย้าเขาไว้ กลับกลาย หัวเราะเยาะเย้ยตัว กวีตาย ในหญิง-ในชาย ในเมียผัว ในมืด ในความหม่นมัว ในยิ้มหัว ในสวรรค์ ชั้นนรก ในนั้น มีอัปสรฟ้อนเล็บ หนาวเหน็บ เจ็บในใจ สกปรก สะเทือน สะท้อน สะท้านสะทก กระดก กระเดือกกลืน ฝืนอารมณ์ ภาพฝัน พลันหาย แดดสายแล้ว แมลงวันปีกแก้ว เจี้ยวข่ม อึงอื้อ อยู่ในอาจม ชื่นชม ขนมเน่าเบาปัญญา เดียรฉาน อ่านธรรมนำบัณฑิต วิปริต ยึดติดในมิจฉา กิ้งกือ สาปแช่งเทวดา เห็นผีห่า ว่านางฟ้า จากชั้นสรวง คำภีร์ คำสอน คำศาสตร์ มนุษย์ชาติจับใส่เอาไหถ่วง ปูปลา เต่าเหี้ย ประดาปวง ลับ-ลวง ดิ้นด่าว ร้าวรน คนสัตว์ ชัดแล้วไม่แตกต่าง คางคก อึ่งอ่าง พองขน ขึ้นวอ ขึ้นเวร เวียนวน ควายทน ควายเทียม มันก็ควาย สายน้ำ ไหลแล้วไม่หวนกลับ ไปกับ ความสุขที่หล่นหาย เมืองนี้ หนอช่างอันตราย เบี่ยงบ่าย หน่ายแท้ยอมแพ้ใจ ปราถนาสิ่งใดหนอที่รัก ฉันจัก ทำให้ถ้าทำได้ ก่อนที่ ฉันจะ มิมีอะไร แม้แต่หัวใจที่ไหวติง ฉันพบบัณฑิต ขี้ครอก ปัญญาชน กระจอก สะดิดดิ้ง คนแก่เฒ่า เพราะเกิดนานเป็นอาจินต์ เหลือบริ้น กินขี้ บี้บาปบุญ เธอจะไป อยู่ไหนหนอเพื่อนรัก เถอะนอน หนุนตัก พักสักอุ่น พรุ่งนี้ แน่แล้วโลกทารุณ ปล่อยใจที่ว้าวุ่น ให้ฉันนะ เช้าแล้วตื่นมารับแดดเช้า กับน้ำตาดวงดาว ผู้เสียสละ สิ้นเสรี และมี พันธะ ชะตากรรม ชนะ ความต้องการ ฉันจะรับ ฉันจะรัก ฉันจะอยู่ กับทุกข์ความชั่วครู่ ชั่วขาน มิรู้ว่าจะกี่ ชั่วนาน จักบนบาน ศาลเตี้ย เหี้ยอะไร กวีตายเมื่อครู่ แต่นกรู้ แสกแสกจนเข้าไส้ คนนี้ก็ละม้าย คนนั้นก็ละไม แต่จัญไร ได้ไม่ได้ต่างกัน ตายไปแล้วกวี ไม่มี นรกสวรรค์ นางฟ้า กับซาตานนั้น กำลัง เมามัน มันนะมึง อินทร์ พรหม ยม-เทพ นฤมิตร ไร้ที่ สถิงสถิตย์ให้คิดขึ้ง จะถม ที่ว่างดาวดึง ร่ายมนต์ตรึง ดึงภูตเปรตกิเลศชั่ว เดือนดับ ลับไปในความมืด พรหมจรรย์ ถูกขึงพืดและยิ้มหัว ข่มขืน ความกล้าในความกลัว มอมมัว ด้วยอบาย อุบายเดิม อักษร สุนทร สะท้อนภาพ เนิบนาม ราบเรื่อย มิริเริ่ม กากี กุลี ช่างหยดเยิ้ม สเปิมร์ม สปีชี่ อมีบ้า มดปลวก แลหลือบริ้น เปิดสำนักหากินทุกถิ่นท่า สูตรเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา เอาอนาคตข้างหน้า มาคำนวณ กวีตาย ไร้ภาค ไร้กายไปทุกส่วน ลืมที ลืมท่า ลืมกระบวน ใดในนั้น ล้วนล้วน ไม่เคยมี
1 ธันวาคม 2554 09:42 น. - comment id 127560
http://www.youtube.com/watch?v=N7YnUCa6Uy0&feature=related "สุขสันต์วันเกิดค่ะ"
1 ธันวาคม 2554 09:48 น. - comment id 127561
จะหลับตาภาวนา ด้วยคำขอธรรมดา ใครคนนั้นบนท้องฟ้า ช่วยบันดาลพรลงมา ขอให้เธอ เจอแต่ความโชคดี ให้เธอนั้นสบายกาย บวกกับความสบายใจ ตื่นขึ้นมามีเวลา ให้ตัวเองหัวเราะได้ อยากให้เธอ เจอแต่ความโชคดี *เพราะว่าความสุขของฉัน มันเกิดจากที่เธอนั้น มีความสุขอยู่ทุกที ** เลยต้องขอให้วันนี้ฝนไม่ค่อยตก ขอให้วันนี้ฟ้าอากาสดี ขอให้ช่วงเวลาที่เธอเดินผ่านฉันวันนี้ เธอกำลังยิ้มอยู่ ขอให้วันนี้เธอมีความสุข ขอแค่วันนี้ฉันได้เฝ้าดู ก็เพราะช่วงเวลาที่เธอยิ้ม เธออาจยังไม่เคยรู้ ว่ามันดีซักแค่ใหน กับหัวใจของฉัน ให้วันนี้ได้เจอเธอ ให้พรุ่งนี้ยังพบเธอ อีกกี่วันก็ได้เจอ เธอคนนี้อยู่เสมอ เพราะว่าเธอ เธอคือความโชคดี ซ้ำ *,**,**
6 ธันวาคม 2554 23:08 น. - comment id 127645
จะเขียนอะไร ระหว่างใจ ระหว่างบรรทัด สุนทร อักษร กระจายกระจัด มัธยัด อยู่ใน ถ้อยคำ ที่พรั่งพรู ครั้งหนึ่ง คิดถึง ครั้งซึ่งฉันเคยรู้ ในเลือนลางอยู่หว่างกลางพธู เม็ดน้ำค้างเช้าตรู่ ระเหยหาย ไม่มีใครคนที่เคยคุ้นหน้า ในแววตาไม่พบมิตรสหาย บางโลก จึงได้แต่เดียวดาย ไร้ซึ่ง ความหมายที่เคยมี อยู่กัน ที่ไหนหนอที่รัก พบแล้วหรืออาณาจักรวิเศษศรี ดินแดน วิไลเลิศประเสริฐดี ฝุ่นธุลีเป็นเพชรสะเก็ดทอง เธอยัง ร้องไห้ได้ไหมหนอ และมีไหมทุกข์ท้อ และหม่นหมอง ยังจำความปิติปลื้มที่ลิ้มลอง จำทำนอง เพลงขอทานอาหารเย็น โลกเธอคงสดใสไร้เดียงสา ลืมแล้วทุกความขื่นคาผู้ทุกข์เข็ญ ลิ้นคงไม่รู้รสทั้งหมดเป็น แค่ประเด็นปลีกแปลกแตกแยกไป หัวใจหนอแตกยับดับเสียแล้ว มิเหลือแววแก้วอนันต์เคยฝันใฝ่ ไม่หลงเยื่อจึ่งได้ไม่เหลือไย นิจจาใจ ไยหยาบผิดบาปแล้ว จะขีดเขียนอะไรใส่กระดาษ ให้สะอาดไร้หม่นหมองใจผ่องแผ้ว หมึกประจดให้หมดยังหมดแวว ว่าประจงประจารแล้วไม่เลื่อนลอย เดือนดับไปไหนหนอในความมืด ดาวยิ่งชืดจืดกว่าแสงแห่งหิ่งห้อย เอ็งคนป่า ข้าคนเมือง เขาคนดอย ก็ไม่เท่า เธอเหงาหงอยเพียงลำพัง นี่อักษรกลอนสารที่จารจับ รอยประทับกับประสานทุกหวานหวัง ยังสัตย์ซื่อสื่อถึง เธอพึงฟัง อย่ามัวนั่งหมองหม่นนะคนดี มีจดหมายลายมือสื่อสารส่ง ประจัดจงประเจนถ้อยร้อยสร้อยศรี กี่ร้อยพับฉบับแนบแถบไมตรี กี่วลีล้านล้นจากคนไกล ฉันหยุดเขียนอักษรสุนทรสาร นับประมาณเนิ่นนานเกินกาลได้ โกหก จริต ความคิดตัวเองไป ว่ามิเหลืออะไรให้จดจำ นี่ฉันเขียนอะไรใจไม่รู้ พรุ่งก็ตรู่ เช้าสาย แล้วบ่ายค่ำ เราอาจลืมสิ่งที่เรานั้นเคยทำ และอาจร่ำไห้กับสิ่งที่ทิ้งไป ฉันจึงเขียนกลอนกานต์ละมานจิต ปล่อยความคิดทั้งมวลให้ร่วนใหล เหมือนทรายหยาบในตะแกรงโดนแรงไกว จิตจักได้ใจละเอียดละเมียดมาน หญิงสาว เธอพิสุทธิ์ดุจดาวขาวสะอ้าน กระชับจับมือฉัน อย่าสะท้าน พระัจันทร์ด้านมืดดับระยับรอ จะเขียนอะไร ระหว่างใด หว่างใดหนอ หว่างของความคิดรำพึงถึงมิพอ ฉันก็ขอเขียนบ้างอย่างนี้นะ แด่อิสรภาพของข้า / แทนคุณแทนไท
8 ธันวาคม 2554 22:21 น. - comment id 127709
นานแสนนานนับดั่งกัปกัลป์ ฝันทั้งตื่นตื่นทั้งฝันรำพันผ่าน ดั่งตายดับลับชีวิตจิตวิญญาณ เหลือแต่ห้วงทรมานธารน้ำตา ธารน้ำตาไหลมาจากตาเธอ ยิ่งเอ่อท่วมใจละเมอยิ่งเพ้อหา ยิ่งอ้างว้างกว้างไกลยิ่งไขว่คว้า ถึงฝั่งฝันฝั่งฟ้าแต่!คว้าเงา ธารน้ำตาไหลมาจากตาน้ำ ผ่านรู้สึกลึกล้ำของความเศร้า ผ่านร่องรางอดีตกาลผ่านค่ำเช้า ผ่านเลือดเนื้อของเราที่ร้าวริน ห้วงมหาทรมานธารน้ำใด ช่างกว้างใหญ่รินไหลไม่สุดสิ้น ฉันหรือเธอเธอหรือฉันในแดนดิน จึงต้นธารสะท้านถวิลท่วมดินดาว...!!!
8 ธันวาคม 2554 22:23 น. - comment id 127710
ไอ้หัวแรกหัวควายหมายความว่า จะคอยท่าให้เขาจูงตามใจเขา จะไปซ้ายไปขวาก็จูงเอา ไร้สมองจะค้านเขาต้องเข้าใจ ไอ้หัวสองหัวเสือเชื่อเถอะว่า ทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้ามันแดกได้ อิฐหินปูน บัตรประชาชน ตึกสภาไทย ไอ้ห่านี่แดกได้ไม่อายคน หัวที่สามหัวหมาหน้าตาเซ่อ เป็นหมาบ้าสมองเบลอเผลอสับสน สักแต่เห่าไปวันวันจนเกินทน แต่ว่าผลงานไม่มีที่ดีเลย หัวที่สี่คือหัวเหี้ยเหี้ยสุดๆ เรื่องระยำต่ำสุดๆทำได้เฉย ขายแผ่นดินถิ่นแดนไทยยังทำเลย ไอ้เหี้ยเอ๊ยต่อนี้ไปอย่าได้มา หัวสุดท้ายหัวที่ห้าหน้าตลก หัวไอ้ลิงซกม๊กโชว์กล้วยหรา เป็นเหมือนพวกนักโกงเมืองในสภา ชอบให้กล้วยกันนั้นหนาน่าเศร้าใจ John Pitakkul
12 ธันวาคม 2554 01:19 น. - comment id 127849
ใครใครก็ว่า กวีตาย ล้มลงจมหายในยุคสมัย โดยมิเคยมีคนไว้อาลัย กวีจึงปราชัยไปเงียบงัน ใครใครก็ว่า กวีตายแล้ว ไม่เหลือเชื้อแนวกวีขวัญ ศพก็หาไม่เห็นเป็นสำคัญ จึงร่ำลือกันว่าตายแท้ ตายอยู่กลางป่าอันรกชัฎ ด้วยความอัตคัดย่ำแย่ ป่าแห่งยุคสมัยอันปรวนแปร กวีล้มลงแผ่เพราะหมดทาง ใครใครก็ว่า กวีตาย เมื่อไร้ความหมายไปทุกอย่าง ยุคสมัยไม่เห็นค่าจึงละวาง โดยการทิ้งขว้างกวี ใครใครก็ว่า กวีตาย ถึงความวอดวายไม่อาจหนี หาศพไม่เห็นเป็นการดี ไม่ต้องมีพิธีศพรบกวนคน ใครใครก็ว่า กวีตาย ได้ยินมากมายในทุกหน คล้ายคล้ายว่าเห็นเป็นมงคล เมื่อกวีไปพ้นจากแผ่นดิน ใครใครก็ว่า กวีตาย ยังดอกยังไม่หายไปหมดสิ้น ข้าก็กวีหนึ่งจงพึงยิน ยังไม่สิ้นเสียงกวี-มีพึมพำฯ โกศล อนุสิม ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑
12 ธันวาคม 2554 01:22 น. - comment id 127850
ข้าทาสของเธอ ๑ ข้าคือ ข้าทาส ของเธอ คิด ถึง ๒ ยานพาหนะมนุษย์มี มหัศจรรย์ยิ่งกว่าสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ ข้ามพื้นข้ามภพข้ามชีวิต ความคิดถึง ๓ ข้า โดยสาร ยาน คิด ถึง คิดไม่ถึง ถึงเธอ ๔ ความรู้ เรียกร้อง ขอพบ ความรู้สึก ๕ นักการเมือง ชิงรักหักสวาท ซื้อใจ ประชาชน ๖ ผู้คลั่งกระหาย สู้รบ หรืออาจได้ยิน เสียงสวดจากหัวใจส่วนลึก ผู้ภาวนาวอนขอ สันติสุข ๗ ประชาชนเป็นใหญ่ อาจเป็นชื่อเรียกหนึ่ง ของสิ่งที่เรียก พรรคพวกกูเป็นใหญ่ ๘ ข้อคิดเห็น มักท่วมท้น จนบดบัง ข้อเท็จจริง ๙ ข้าไม่ เหลือง เขาให้เป็น แดง ข้าไม่ แดง เขาให้เป็น เหลือง ข้า รักทุกสีในโลก เขาให้เป็น คนไม่รักชาติ ๑๐ ความจริง แม้มิอาจกล่าวมันได้ครบถ้วน ข้าก็เพียรเลี่ยงกล่าว ความเท็จ ฯลฯ สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ โดยไพวรินทร์
12 ธันวาคม 2554 01:34 น. - comment id 127851
๑๑ กระดูกสันหลังของชาติ อาจร่ำไห้ ภายใต้เสียงขับขาน สรรเสริญชาวนา ๑๒ ผี ประท้วง คน งานล้นมือ นักการเมืองโกงเงิน โม่แป้ง ๑๓ ประชาชน ชิงรักหักสวาท ช่วงชิง นักการเมือง ๑๔ ความเท็จ พูดทุกวันด้วยความช่ำชอง ขี้กับทอง ชักสับสนตัวเอง ๑๕ มุมหนึ่งครวญคราง รักใคร่ มุมหนึ่งคร่ำครวญ รักสลาย ๑๖ อดีต เดิมชื่อ ปัจจุบัน ปัจจุบัน เดิมชื่อ อนาคต ๑๗ น้ำค้างพันปี โดยสารกาลเวลา ถามสารทุกข์สุกดิบ น้ำค้างเช้านี้ ๑๘ สันติภาพ คือสิ่งที่ หลงเหลือจาก สงคราม ๑๙ กฎหมาย มาตราใด ข้าไม่กลัว กลัวแต่ หิริ โอตตัปปะ ข้าสบายดีใน เสรีภาพ ๒๐ ยังอิสรเสรี อยู่ตัวคนเดียวรึ? มีเมียแล้ว! ติดคุกละสิ! เปล่า,คุกคืออิสรภาพชนิดหนึ่ง! ฯลฯ สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ๒๕๕๔
12 ธันวาคม 2554 09:06 น. - comment id 127852
สายใย: การทำงาน ผ่านแดดแรงและสายลมฤดูกาล กว่าที่จะโลดทะยานสู่ยอดผา สูงสุดจากสามัญก็ผ่านมา ด้วยการเติบกล้าและแตกกอ จึงแกร่งจึงกร้านทุกช่วงก้าว เชื่อว่ามีเส้นทางยาวที่ทอดต่อ ยามทุกข์จึงไม่เคยจะทดท้อ สงบรอตะวันรุ่งของพรุ่งนี้ ประสาผู้มีกระบี่อยู่ที่ใจ ชัดเจนในทุกกระบวนท่ากระบี่ หลายครั้งยั้งมือไว้ไมตรี หลายครั้งก็มีแต่เมตตา ซื่อตรงทั้งต่อหน้าและลับหลัง จึงหลายครั้งต้องเป็นคนหัวชนฝา ด้วยเคารพในกฎกติกา จึงไม่ยอมให้ใครมาละเมิดมัน ภาพอาจดูปากร้ายและใจร้อน เนื้อแท้ซ่อนสุนทรีย์เป็นสีสัน บางภาพอาจดูดิบและดุดัน แท้ใจอันอ่อนโยนอยู่ภายใน คนที่รักก็มาก ชังก็มี ธรรมชาติเป็นฉะนี้ นิรันดร์สมัย แต่ไม่แค้นและไม่คิดอาฆาตใคร ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ในชีวิต โดย ปิยะพันธ์ จำปาสุต จากหนังสือ "เงาสะท้อน" .....................................
14 ธันวาคม 2554 19:02 น. - comment id 127915
"รากเก่า" ที่บ้านเกิด - เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ http://www.youtube.com/watch?v=O8WjLtXhHtI
21 มีนาคม 2555 16:37 น. - comment id 128362
มืดจริงหนอ เสียงหัวร่อต่อกระซิก นอนเล่น ตีนกระดิก ระริกระรี้ มิมีละอาย หายหัวไปไหนหมด คำปดคำโป้ โอ้เลยหาย ความฝัน ซีด กระจางกระจาย วอดวาย ในจริงจนคุ้นชิน ขยะแขยงสยดสยอง หนอนเน่า น้ำหนอง ของหมิน หาเหล้าสักจอกหลอกจินต์ ให้อินเข้าอก ที่ฟกเฟือน ความหวังอยู่ในถังอันสกปรก ซ่อนเศษ สวะนรกอันลอยเลื่อน อย่าว่าจะหวังผ่านไปสักเดือน หลบความดิบเถื่อนไปวันวัน เหวยว๊ะ เย้ยเยาะหัวเราะร่วน สะท้านถ้วนทุกส่วน ป่วนปั่น ดุจทารกถูกพรากพรมจรรย์ ต่างเพียง เลือดนั้นหั่นจากทรวง อึงอื้อ โน่น นั่น แน่หรือ อย่าห่วง ปากหวาน วารเปรี้ยวประดาปวง มึงลวง มึงหลอก ดอกเอ้ย รอหน่อยหนอ แล้วก็รอหน่อยหนออย่างเงียบเฉย ชาวนา บ้าบอดอย่างเคย สวรรค์เลยลวงขยี้บี้ระยำ หน้าหล่อ หน้าสวย รวยล้นโครต จะนิโรจไปไยให้ใครขำ หินห่วงหู มีมือก็ลองคลำ ลองบี้บีบ ขยำ กำลังดี โอ้ อ้าาาาาาาา เทวดาสังวาส นารีพิฆาต บัดสี แม่มดร้ายโดนเผาเป็นเถ้าธุลี กลายเป็นสัมพเวสี ล้นเมือง มืดจริงหนอ กำมะลอมีแต่คำคุยเฟื่อง ที่ผ่านมาทุกอย่างล้วนเปล่าเปลือง เป็นเรื่อง เทคนิค เทคติกเลว
5 มีนาคม 2555 10:22 น. - comment id 128570
วันเวลากำลังจะล่วงผ่าน ทิพย์วิมาน สถานสถิตย์วิปริต บัดสี ทศกัณฐ์ เป็นเทวา อัปรีย์ เรื้อนกาลี ครองถิ่นกินนคร หนอนเน่า เห่าหอน ร้อนอำนาจ นิติธรรมเรียราด ปัญญาอ่อน ภูต เปรต กิเลศหนาสุมฟ้าฟอน นรกไม่เห็นมาก่อนว่าจะมี มีสวรรค์อยู่ที่นั่น ชั้นความอยาก ลืมฐานราก ดีธรรม คำศาสตร์ศรี มือถือสาก แต่ปากคาบคำภีร์ รู้มิเท่าเศษธุลีความดีเลว นิยาม "ดี" คือความอยาก กำหนัดหนัก กินรวบมั่วทั่วพรรคลงปลักเหว ขุดนิยายมาลด แจกแลกเซล เชิญเถิดเร็วอนาคตกำลังมา วิชาการวิชาเกิน เชิญเถิดพวก ตามสะดวก ให้สบาย สหายข้า โน่นยังมีทหารกล้าประราชา นั่นอีกนับเหลือประมาประชาชน เอ็งแดงเถือก ข้าเปลือกเหลืองเรื่องตลก ยังเจือความสกปรกไม่ตกหล่น อะไรหนอดลให้ใจวกวน จิตจึงได้มิดหม่น เหลือทนอาย คิดถึงวันเวลาที่ล่วงผ่าน นานเหลือนานเกินกว่าจะลบหาย จะอินทรี หรือว่าปีศาจร้าย รูปทิพย์ก็ดูละม้ายคล้ายคล้ายกัน เถิดอินทร์พรหมยมเทพเสพสังวาส ให้พิล้ำพิลาสนิวาสสวรรค์ ยมทูตผีห่าซาตานมัน เชิญเถิดถวัลย์เถลิงลาภให้ซาบทรวง
19 มีนาคม 2555 16:43 น. - comment id 128628
ความลับของความรัก "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" ประโยคนี้เราคงได้คุ้นชินและหลายคนคงได้ซาบซึ้งด้วยตัวเองไปแล้ว แม้บางคนยังอาจใขว่คว้าแสวงหา บุพเพ่ หรือคนที่ใช่ คนที่รอ เพื่อจะได้ซาบซึ้งในรสรักนั้นบ้าง ตามประสาคนยังไม่เคยลิ้มรส คำเล่าลือถึงความสุขและความหอมหวานของความรัก มักกระตุ้นความอยากให้คนมิเคยได้พบพานอยากเดินทางเข้าไปค้นหายิ่งนัก ตรงกันข้ามกัน เรื่องราวเลวร้ายเกี่ยวกับความรัก มีให้เห็นทั้งรอบตัวและรอบข้างทุกเมื่อเชื่อวัน นี่ยังไม่นับรวมข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์หรือสื่อทีวีที่เก็บมาเล่า ขุดมาขยายกันอย่างสนุกเรตติ้ง เมื่อพูดถึงความรัก หากใครมาถามเราเราจะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะตระหนักนึก ถามตัวเองว่ารักที่เรามีเป็นด้านสว่างหรือด้านมืดกันแน่หนอ นี่ยังไม่รวมคนที่ยังไม่เคยมีคงได้แต่จินตนาการถึงความงดงามมากกว่าความมิดมน เพราะคงไม่มีมนุษย์ตนใดในโลกใบนี้ที่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองรอคอยและอาจได้พบพิศในทางที่ไม่งดงาม ความฝันย่อมงดงาม แต่ความจริงอาจเหมือนหรือต่างไปก็ได้ ใครจะไปรู้....... แต่ถึงอย่างไร ความรักก็ยังคงเป็นความลับ ที่ชายหญิงทุกคนหวังได้เป็นโคลัมบัสผู้ค้นพบ แต่... ความรักแต่ละรักช่างมีรายละเอียดและจุดสงบ (จบ) ที่แตกต่างกันหลายแสนหล้านกรีให้ได้พูดถึงไม่รู้จบ แค่เรื่องเพศ ความรักแบบผู้หญิง อาจแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรักแบบผู้ชาย และยังไม่นับความรักแบบชายชาย หญิงหญิง ซึ่งผู้อยู่ในจุดศูนย์เหวี่ยงเท่านั้นที่จะรู้ว่าปรารถนาอะไร แต่กลับกัน บางทีความไม่ได้ต้องการความเหมือนแต่กลับต้องการความแตกต่างเพื่อเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน บางคู่จึงมีบางประการที่ผู้พบเห็นอาจชวนสงสัยว่าเป็นแฟนกันได้ไงว๊ะ....... นิยามของความรัก ไม่ลองถามเถอะ กี่ใครต่อกี่ใครยากที่จะบอกนิยามได้เหมือนหรือใกล้เคียงกัน นอกจากนิยามตลาด รักคือการให้ การเสียสละ อาจทำนองนี้อาจพบได้ตามเวทีนางงามมากกว่าฝาผนังในห้องน้ำสาธรณะที่บอกส่วนลึกและจิตวิญญาณดิบเถื่อนตามสัญชาตญาณอย่างคาดไม่ถึง บางคน น่าจะนับเป็นเพศชายมากกว่าที่ขับเคลื่อนความรักไปพร้อมๆกับความใคร่ และสุดท้ายเหลือแต่ความใคร่ไม่พบส่วนของความรักที่เป็นความลับให้ยังคงค้นหาไม่พบกันต่อไป ไม่ว่ารักแบบไหนย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่างด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ในโลกไร้พรหมแดน โลกที่วิวัฒน์วัฒนธรรมการคิดความเป็นอยู่ แบบแผน และจารีตขึ้นมาใหม่ ยิ่งค้นพบด้านมืดและด้านสว่างของความรักได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะเพศเท่านั้นที่แบ่งวัดความแตกต่างของรัก แต่วัย และสภาพแวดล้อม รวมถึงประสบการณ์ ก็ทำให้พฤติกรรมแห่งรักในแต่ละรักผิแผกแตกต่างกันไป ความรักในวัยเรียน หรือรักแรกในวัยเยาว์ เป็นความรักที่เต็มไปด้วยความฝันและความสดชื่น อาจด้วยเพราะชีวิตมิมีอะไรให้คิดไปกว่า กิน อยู่ เรียก และก็สนุกกับความลับของความรักที่ได้ค้นพบ แม้ว่า เด็กหลายคนโดนค่านิยมด้านมืดทำลายความสว่างของความรัก เช่นเรื่องเล่าหรือเทพนิยายของวันแห่งความรัก และภาระการพิสูจน์คุณค่าในวันสำคัญด้วยพรมจรรย์ โชคอาจแค่ได้ลิ้มชิม โชคร้ายอาจเสียอนาคตมีอีกหนึ่งชีวิตตามมานี่คือด้านมืดโดยแท้ อย่างว่าหละ วัยที่เปลี่ยนไปจากเด็กเป็นหนุ่มสาว (ตามความเข้าใจ) ย่อมอยากเรียนรู้และใคร่พบอะไรต่อมิอะไรที่เป็นคำเล่าลือที่เป็นด้านสว่าง สุข สดชื่น และงดงาม ยอมตาบอดหูหนวกถึงด้านมืดที่มีให้พบให้เห็นอยู่ดาษดื่น
2 เมษายน 2555 16:23 น. - comment id 128645
เคลียร์ไม่เคลียร์ ตั้งเรื่อง.. โดย.. Tachom Petchanankul คมช. ตั้วเฮียก็เคลียร์แล้ว แดงปลายแถวตั้วเฮียก็เคลียร์เสร็จ โจรกระจอกตั้วเฮียก็เคลียร์เช็ด สื่อหัวเห็ดตั้วเฮียก็เคลียร์มา พอย่ามใจตั้วเฮียจะเคลียร์ศาล หวังกลับบ้านอย่างเท่ไม่เบ้หน้า ที่อยากให้ต้วเฮียเคลียร์สักครา ท่านพญายทราชอย่าพลาดเคลียร์ เติมเรื่อง โดย.. Dittiya Kaewsatien ดันน้องสาวสุดที่รักมาหนักข้อ ให้โดนทอโดนด่าจนหน้าเสีย แต่ผลงานคงไม่ทันใจเฮีย เริ่มทิ้งเบี้ยเลิกเข็นมาเล่นเอง ถึงขื่อแปจะไม่มีใครเป่า ถึงคนเขลาจะยกย่องมองเฮียเจ๋ง ถึงเฮียเป็นหัวหน้ากลุ่มคุมนักเลง แต่จงเกรง เจ้ากรรม เขาทำจริง แทรกเรื่อง โดย แทนคุณแทนไท เร่งจะเคลียร์ใส่เกียร์พวกเหี้ยห่า ใครหนอช่างบอดบ้านั่งหน้านิ่ง ไหนหละพวกอำมาตย์อนาถจริง ไยมาทิ้งสิ่งที่อ้างว่าอย่างเลว หรือว่าไพร่เมื่อได้ใส่สร้อยอำมาตย์ บารมี อุบาทว์ก็อาจหาย มิแยแสพี่น้องที่ต้องตาย หน้าไม่อายยกมาได้ ให้ปรองดอง โถตั้วเฮียไม่เคลียร์ เดี๋ยวเสียหมา สิบห้าล้านเสียงกว่าคงหน้าหมอง ทั้งหลายคือความจริงสิ่งที่ปอง ยุติธรรม อยู่ไหนต้องรีบบอกมา ตามเรื่อง โดย ลุงบุญเสริม มึงจะเคลียร์กับใคร กูไม่ว่า มึงจะหลอกพวกรากหญ้า กูไม่สน มึงจะใช้เงินหัก สักกี่คน มึงจะปล้นกี่สภา ก็ว่าไป มึงจะใช้กี่เล่ห์กลมนต์คาถา มึงจะหลอกพวกรากหญ้าหรือหน้าไหน มึงจะหว่านหมากเบี้ยเคลียร์กับใคร แต่กับกู.. ยังไงยังไง... ก็ไม่เคลียร์ (ลงชื่อ) พยายมราช (โว้ย)
4 พฤษภาคม 2555 12:31 น. - comment id 129104
เสื้อยืด เสื้อยืด รูป มหาตมะ คานธี รูปดี คำดี มีความหมาย ผู้สวม อาจเร่ง ก่อการร้าย ทำลาย อหิงสา สันติชน เสื้อยืด รูป เช เกวารา รูปเท่ คุ้นหน้า ไปทุกหน ผู้สวม อาจสู้ เพียงเพื่อตน ... คนยาก คนจน มิสนใจ เสื้อยืด รูป ออง ซาน ซูจี หนึ่งสตรี นักต่อสู้ ร่วมสมัย ผู้สวม อาจเรียกร้อง ประชาธิปไตย ด้วยวิธี จัญไร เผด็จการ เสื้อยืด รูป จิตร ภูมิศักดิ์ ดาวพราย พร่างรัก อันกล้าหาญ ผู้สวม อาจหลงใหล ในตำนาน ขณะชีวิต จิตวิญญาณ ดิบด้านชา เสื้อยืด รูป พุทธทาส ภิกขุ ผู้บรรลุ พุทธธรรม นำศึกษา ผู้สวม อาจอวดอ้าง สติปัญญา แต่เป็นทาส ผีบ้า ฆ่าพระพุทธ เสื้อยืด หลากสี หลายรูปเสื้อ สีเลือด สีเนื้อ สีบริสุทธิ์ อกเสื้อ ประดับประดา รูปมนุษย์ ใต้เสื้อ ประดังประดุจ ภูตผีใด เสื้อยืด ยืดอก ยกระยะ ความเชื่อ สัจจะ ระยะไหน ต่างเสื้อ ต่างกะ ระยะใจ ใครเห็น รูปใคร ในเสื้อนั้น! คำ คำนับคำ จันทร์ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ ตีพิมพ์ เนชั่นสุดสัปดาห์
4 พฤษภาคม 2555 13:03 น. - comment id 129106
ความลับของความรัก "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" ประโยคนี้เราคงได้คุ้นชินและหลายคนคงได้ซาบซึ้งด้วยตัวเองไปแล้ว แม้บางคนยังอาจใขว่คว้าแสวงหา บุพเพ หรือคนที่ใช่ คนที่รอ เพื่อจะได้ซาบซึ้งในรสรักนั้นบ้าง ตามประสาคนยังไม่เคยลิ้มรส คำเล่าลือถึงความสุขและความหอมหวานของความรัก มักกระตุ้นความอยาก ให้คนมิเคยได้พบพานอยากเดินทางเข้าไปค้นหายิ่งขึ้น ตรงกันข้ามกัน เรื่องราวเลวร้ายเกี่ยวกับความรัก มีให้เห็นทั้งรอบตัวและรอบข้างทุกเมื่อเชื่อวัน นี่ยังไม่นับรวมข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์สีหัวซีด หรือสื่อทีวีที่เก็บมาเล่า ขุดมาขยายกันอย่างสนุกเรตติ้ง เมื่อพูดถึงความรัก หากใครมาถามเรา เรายากจะปฏิเสธได้ว่าเรามิเคยตระหนักนึก ถามตัวเองว่า รักที่เรามีเป็นด้านสว่างหรือด้านมืดกันแน่หนอ นี่ยังไม่รวมคนที่ยังไม่เคยมีรัก คงได้แต่จินตนาการถึงความงดงามมากกว่านึกคิดถึงความมิดมน เพราะคงไม่มีมนุษย์ตนใดในโลกใบนี้ที่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองรอคอยและอาจได้พบพิศในทางที่ไม่งดงาม ความฝันย่อมงดงาม แต่ความจริงอาจเหมือนหรือต่างไปก็ได้ ใครจะไปรู้....... แต่ถึงอย่างไร ความรักก็ยังคงเป็นความลับ ที่ชายหญิงทุกคนหวังได้เป็นโคลัมบัสผู้ค้นพบ แต่... ความรักแต่ละรักช่างมีรายละเอียดและจุดสงบ (จบ) ที่แตกต่างกันหลายแสนล้านกรณีให้ได้พูดถึงกันไม่รู้จบ แค่เรื่องเพศ ความรักแบบผู้หญิง อาจแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรักแบบผู้ชาย และยังไม่นับความรักแบบชายชาย หญิงหญิง ซึ่งผู้อยู่ในจุดศูนย์เหวี่ยงเท่านั้นที่จะรู้ว่าปรารถนาอะไร แต่กลับกัน บางทีความรักไม่ได้ต้องการความเหมือน แต่กลับต้องการความแตกต่างเพื่อเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน บางคู่จึงมีบางประการที่ผู้พบเห็นอาจชวนสงสัยว่ารักได้อย่างไร....... นิยามของความรัก ไม่เชื่อลองถามเถอะ กี่ใครต่อกี่ใคร ยากที่จะบอกนิยามได้เหมือนหรือละม้ายใกล้เคียงกัน นอกจากนิยามตลาด "รักคือการให้ การเสียสละ" ทำนองนี้อาจพบได้ตามเวทีนางงามมากกว่าฝาผนังในห้องน้ำสาธารณะที่บอกส่วนลึกและจิตวิญญาณดิบเถื่อนตามสัญชาตญาณอย่างคาดไม่ถึง บางคน น่าจะนับเป็นเพศชายมากกว่าที่ขับเคลื่อนความรักไปพร้อมๆกับความใคร่ และสุดท้ายเหลือแต่ความใคร่ไม่พบส่วนของความรักที่เป็นความลับให้ยังคงค้นหาไม่พบกันต่อไป เช่น บางหญิงสาวคิดถึงแต่ความรักในนิยาย จนละลืมจิตใต้สำนึกที่จะทำให้ดำรงเผ่าพันธ์ ไม่ว่ารักแบบไหนย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่างด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ในโลกไร้พรหมแดน โลกที่วิวัฒน์วัฒนธรรมการคิดความเป็นอยู่ แบบแผน และจารีตขึ้นมาใหม่ ยิ่งค้นพบด้านมืดและด้านสว่างของความรักได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะเพศเท่านั้นที่แบ่งวัดความแตกต่างของรัก แต่วัย และสภาพแวดล้อม รวมถึงประสบการณ์ ก็ทำให้พฤติกรรมแห่งรักในแต่ละรักผิแผกแตกต่างกันไป ความรักในวัยเรียน หรือรักแรกในวัยเยาว์ เป็นความรักที่เต็มไปด้วยความฝันและความสดชื่น อาจด้วยเพราะชีวิตมิมีอะไรให้คิดไปกว่า กิน อยู่ และก็สนุกกับความลับของความรักที่ได้ค้นพบ แม้ว่า เด็กหลายคนโดนค่านิยมด้านมืดทำลายความสว่างของความรัก เช่นเรื่องเล่าหรือเทพนิยายของวันแห่งความรัก และภาระการพิสูจน์คุณค่าในวันสำคัญด้วยพรมจรรย์ โชคดีอาจแค่ได้ลิ้มชิม โชคร้ายอาจเสียอนาคตมีอีกหนึ่งชีวิตตามมานี่คือด้านมืดโดยแท้ อย่างว่าหละ วัยที่เปลี่ยนไปจากเด็กเป็นหนุ่มสาว (ตามความเข้าใจ) ย่อมอยากเรียนรู้และใคร่พบอะไรต่อมิอะไรที่เป็นคำเล่าลือที่เป็นด้านสว่าง สุข สดชื่น และงดงาม ยอมตาบอดหูหนวกถึงด้านมืดที่มีให้พบให้เห็นอยู่ดาษดื่น เช้าหนึ่งผมตื่นขึ้นมา พบความรักแรกของบิดามารดาผู้ให้เลือดเนื้อ ได้เรียนรู้ความรักจากการพบเห็นว่าความรักของสามีหนุ่มภรรยาสาวเป็นเช่นไร ผ่านไปมิทันไร ก็เริ่มเรียนรู่ความรักแรกแบบเด็กๆที่ใครๆ ว่า แต่เป็นความจดจำที่คิดถึงแล้วใจยังสั่นไม่หาย เมื่อล่วงสู่วัยหนุ่ม ความรักนอกห้องเรียนได้สอนและบอกเล่าความลับที่เร้นหลบอยู่ในหลายรูป หลายแบบ หลายรส ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้รักแบบสามีวัยกลางคนกับภายยาวัยสี่สิบล่วงไปพร้อมๆกัน วันนี้ แม้ความรัก จะวิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย บางครั้งมาเร็วดุจสายลมที่พัดมาจากมหาสมุทรในหน้าร้อน บางทีก็พริ้มพรมเหมือนรับลมอยู่บนหอคอยของประภาคารที่ไหนสักที่ บางรัก แค่ใช้เราเป็นทางผ่าน บางรักหยุดทักทาย บางรักได้เสวนากัน บางรักได้ดื่มกันกัน บางรักถึงขนาดได้ร่วมกันสร้างสรรปั้นฝัน บางรักกระทำต่อเรา และมีไม่น้อย ที่เรากระทำต่อรัก เราจึงเป็นได้ทั้งผู้ได้ลิ้มชิมรสหวานขม สนุก รื่นรมณ์ และระทมไปพร้อมๆกัน "ที่รักของฉัน" พบกันร้อยครั้ง มิเท่าทักทายกันหนึ่งหน....... ทักทายกันร้อยหน มิเท่าเสวนากันหนึ่งครั้ง.... เสวนากันร้อยหน ไม่เท่าลิ้มชิมกันหนึ่งครั้ง......... ลิ้มชิมกันหนึ่งครั้ง มิเท่าหลับนอนกันหนึ่งหน.... หลับนอนกันร้อยหน มิเท่าใช้ชีวิตด้วยกันเพียงกนึ่งนาที.... ฉันเห็นด้วยในบางอารมณ์ และค้านในบางที ขณะเดียวกัน อยากปฏิเสธสิ่งที่เห็นด้วย และกอดรับสิ่งที่คิดค้านบ้างเหมือนกัน หรือนี่.... คือความลับของความรัก ที่ฉันจะยังตามหากันต่อไป "ที่รัก" ฉันชอบความนี้จัง
29 พฤษภาคม 2555 09:05 น. - comment id 129418
ชัยชนะของคนไทยที่ทุ่งมะขามหย่อง โดย วสิษฐ เดชกุญชร (สำหรับ "มติชน" ฉบับวันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕) ผมคงไม่ต่างกับท่านผู้อ่านและคนไทยอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ใจจดใจจ่อตั้งตาคอยดูข่าวการเสด็จพระราชดำเนินทุ่งมะขามหย่อง อำเภอเมือง พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ที่เพิ่งจะผ่านไปนี้ คงจะทราบหรือรู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร และเสด็จฯ ไปประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงรับการรักษาพยาบาล ตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ ต่อมาแม้พระอาการจะดีขึ้นตามลำดับ จนทรงสามารถเสด็จ ฯ ออกจากที่ประทับได้บ้าง แต่ก็ จำกัดอยู่เฉพาะภายในบริเวณโรงพยาบาล หรือในพระราชพิธีสำคัญ เช่นในวันบรมราชาภิเษก และ วันเฉลิมพระชนมพรรษา ทั้งยังทรงพระดำเนิน (เดิน) ไม่ได้ ต้องประทับรถเข็นด้วย สัญญาณที่แสดงว่าพระอาการดีขึ้นมากนั้นปรากฏเมื่อเดือนพฤษภาคมนี้ เมื่อพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ ฯ ไปทอดพระเนตรวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และเสด็จ ฯ พิพิธภัณฑ์สถานสมเด็จพระศรีนครินทรา ฯ บรมราชชนนี ที่วังสระปทุม และพอมีข่าวว่าจะเสด็จฯ ได้ไกลจนถึงพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี คนไทยทั้งประเทศและนอก ประเทศทั่วโลกก็พากันตั้งตาคอย แล้วก็คุ้มกับที่คอยจริง ๆ เพราะตลอดเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจถ่ายทอดภาพการเสด็จ ฯ ให้ได้ชมอย่างชัดเจน ยิ่งกว่าได้เฝ้า ฯ ใกล้ชิดพระยุคล บาทนั้น เราได้เห็นด้วยความปีติโสมนัสสุดบรรยายว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ เป็นครั้งแรกในเวลาแรมปีที่ได้เห็นทรงเครื่องแบบปกติสีเขียวของนายทหารบก ทรง ประดับสายยงยศสีแดงของกองบัญชาการสงครามพิเศษ และพระมาลา (หมวก) เบเรต์สีแดงสอดไว้ ที่ใต้อินทรธนูด้านซ้าย ขณะที่ประทับทอดพระเนตรการแสดงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจัดถวายนั้น พระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรอย่างตั้งพระทัย ทรงถ่ายภาพด้วยพระองค์เองเป็นครั้งคราว สีพระพักตร์ส่อความพอพระราชหฤทัย การแสดงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจัดถวายนั้น พอเหมาะกับเวลาและโอกาส ไม่ยืดยาด ไม่ตึงตังจนเกินไป สอดคล้องกับหลัก พอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัว ที่ผมเห็นว่าเป็นความโดดเด่นที่สุดในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ คือสีหน้าท่าทางของ ประชาชนที่คอยเฝ้า ฯ รับเสด็จ ฯ ทั้งใกล้และไกล ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ถ่ายทอดให้เห็น สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และท่าทางที่บอกความสุขโสมนัสอิ่มเอิบที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต หลายคนขณะที่ยิ้มแย้มมีน้ำตาแห่งความสุขอาบหน้า ผมดูไปร้องไห้ไปด้วยครับ หลังจากที่ประทับทอดพระเนตรการแสดงแล้ว เวลาประมาณ ๑๙.๓๐ นาฬิกา ทั้งสามพระ องค์เสด็จ ฯ ไปยังพระตำหนักสิริยาลัย เพื่อทรงพักผ่อนและเสวยพระกระยาหารค่ำ แต่ประชาชนยังไม่ยอมกลับ แม้ฝนจะตกลงมาอย่างหนัก ปักหลักคอยเฝ้า ฯ อยู่ภายนอก จนถึงเวลาหลัง ๒๓ นาฬิกา อันเป็นเวลาเสด็จ ฯ กลับ ตลอดเวลาร่วมสามปีของการทรงพระประชวร ขณะที่ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น สถานการณ์บ้านเมืองเป็นไปอย่างผันผวน เกิดความแตกแยกขึ้นในประเทศ จนกระทั่งฝ่ายต่าง ๆ ร้องหาความ ปรองดอง มิหนำซ้ำหลายจังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ยังประสบมหาอุทกภัยที่ทำความเสียหายอย่างหนักและรุนแรงให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทางด้านการเมืองนั้นเล่า ก็ดูเหมือนว่าผู้ที่เคยทำความเสียหายกำลังกำชัยชนะ และอาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ที่ยังไม่มีใครรู้หรือแน่ใจว่า จะเป็นคุณหรือโทษแก่บ้านเมืองอย่างใดเพียงใด แต่ในการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมทุ่งมะขามหย่อง เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นั้น เราได้เห็นการรวมใจรวมตัวและรวมกำลังอีกครั้งหนึ่งของคนไทย ที่แสดงความรักและความสามัคคี อันเนื่องมาจากความจงรักภักดีโดยแท้ในพระมหากษัตริย์ เป็นการรวมกำลังและแสดงความจงรักภักดีที่มีผู้พยายามทำลาย หรือนึกว่าทำลายได้สำเร็จ ถ้าหากว่าเป็นการสงคราม การเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมทุ่งมะขามหย่องในวันศุกร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการเคลื่อนทัพของประชาชน ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นธงชัย ที่กำลังจะนำความอุ่นใจและความมั่นใจกลับมาสู่ประชาชนและประเทศอีกวาระหนึ่ง.
11 มิถุนายน 2555 20:09 น. - comment id 129584
@สยามอย่าสิ้นชาติ อย่าประมาททักษิณ@โดย อังคาร กัลยาณพงศ์ @ ทักษิณจักเสื่อมสิ้น เกียรติยศ อัปยศ เป็นแค่คนคดขบถ ซื่อบื้อ โลภโกงเก่งปรากฎ โกงชาติ ขายเอกราชรั้นดื้อ จ่ายซื้อสยามสวรรค์ ฯ @ สุนัขรับใช้เร่งให้ ปรองดอง ดังฤๅ เลือดต่ำนิรโทษหมอง ชั่วช้า การเมืองหม่ำเมืองคะนอง น้ำเน่า สภาฯ เอย เลือดต่ำก่อกรรมกล้า ครู่หน้าเวรสนอง ฯ @ สภา ฯ ชุมนุมต่ำช้า อนารยะ ฮะฮา ทาสถ่อยสถุลเศษสวะ ชั่วร้าย ประชุมเรื่องกักขฬะ น้ำเน่า ปรองดอง ทำเพื่อทักษิณได้ ล่วงพ้นผิดมหันต์ ฯ @ นักการเมืองชั่วช้า กินเมือง โกงชาติโกรธเคืองแค้น ยิ่งล้น ปรวงราษฎร์ร่ำหมดเปลือง ชีวิต วิญญาณ แม้วมุ่งผลาญชาติปล้น หม่ำสิ้นสยามสวรรค์ ฯ @ สยามชาติอย่าประมาททักษิณ ปล้นชาติกินแผ่นดินล่มสลาย ประชาชนอยู่ก็เสมือนตาย เสียดายเอกราชอิสระเสรี ฯ @ ปวงราษฎร์จะเป็นทาสทักษิณ สูญสิ้นชาติ ศาสน์ประเสริฐศรี ระบอบกษัตริย์ รัฐธรรมนูญไม่มี เสมอผีแม่โป้งแล้งเงินทอง ฯ @ พ.ร.บ.ปรองดองสุนัขรับใช้ เจ้านายแม้วพ้นผิดทั้งผอง อยู่เหนือกฎหมายงกปกครอง หมายปรองแต่ประธานดาวดึงส์ ฯ @ หลุดพ้นพิษอสรพิษบริสุทธ์ เหนือชาติมนุษย์สุดวิเศษซึ้ง เจ็ดโคตรบารมีลืออื้ออึง โลกตะลึงกราบขวัญอัญชลี ฯ @ เร็วด่วนพี่น้องร่วมชาติสยาม น้ำใจงามเลิศประเสริฐศรี ร่วมกู้ชาติเอกราชสักที มีอิสระเสรีสติปัญญาญา ฯ @ โอม กราบพระศรีรัตนตรัย บุญญฤทธิ์ยิ่งใหญ่วิเศษวิศาล คุ้มครองปกป้องพี่น้องนาน เกษมศานติ์อยู่คู่ฟ้าดินเอย ฯ อังคาร กัลยาณพงศ์ วันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง @ผีโม่แป้ง สวรรค์ยอดหญ้า ๒@โดย อังคาร กัลยาณพงศ์ @ "บัง ปรองดอง" ร่ายไร้ ศาสนา โมฆะแล มีแต่คลื่นตัณหา กิเลสร้าย โลภเงินล่อสมองหมา หัวเน่า คาวนา บังคลั่งเงินแม้วไซร์ งั่งไหว้อวิชชา ฯ @ เป้าลวงแม้วล่อให้ ปรองดอง ดิบนา ดองฆ่าสัตว์ไร้สมอง มืดคล้ำ แม้วแค้นงั่งบังผยอง ปฏิวัติ เวรเอย เวรบ่วงรัดแม้วซ้ำ ซ่าซ้อนตัณหา ฯ @ แม้วมอมบังงั่งให้ ปรองดอง เงินฮา บังคลั่งบอดญาณผยอง เลิศล้ำ เล่ห์ควายร่ายปลักหนอง นอนแช่ ปลิงแฮ งามแง่งมโข่งซ้ำ ป่วยไข้อวิชชา ฯ @ บังบอดหนวกใบ้งั่ง บังใจ ตนหนา โลภหม่ำหลงกิเลสใน ป่าช้า กรรมโง่โม่เวรไป ปรภพ พบต่ำกรรมย่ำหน้า ตราบฟ้าอวสาน ฯ @ แม้วมล้างสยามอย่าไหม้ พิษหมา บ้านา บังงั่งไร้ศาสนา ร่วมด้วย เงินจ่ายแจ่มผีผวา งมงั่ง หิวแฮ โซ่โม่แป้งแรงม้วย มุดหน้าหนีหาย ฯ อังคาร กัลยาณพงศ์ วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง @อนุสสติ นักการเมือง@โดย อังคาร กัลยาณพงศ์ @ กราบพุทธเจ้าสว่างแจ้ง ทุกข์โศก โลกสาม ตัดกิเลสตัณหาโลก หมดแล้ว ตรัสรู้สู่มุติวิโมกข์ โลกุตระ ชนะนิรพานผ่องแผ้ว พร่างแพร้วบารมี ฯ @ แม้วอยู่ค้ำฟ้าไม่ มรณา ดังฤๅ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ผวา บ่ได้ เหนือกฎแห่งชีวา อธรรมฆ่า ตนนา วิจัยเปล่าวิจารณ์ตนไซร์ ป่วยไข้อวิชชา ฯ @ ไซรัส มหาราชเจ้า เปอร์เซีย วิเศษแล เหลือแต่ดินกลบเสีย ซึ่งหน้า ป่าช้าเหนื่อยอ่อนเพลีย กิเลสต่ำ มนุษย์นา ชีพเช่นน้ำค้างฟ้า ยอดหญ้าระเหยหาย ฯ @ อเล็กซานเดอร์ เก่งกล้า กาละสลาย ดังฤๅ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หาย ลับฟ้า แม้วหมายอยู่ไม่ตาย ปรโลก ตอบแล มนุษย์เพ่งไตรลักษณ์ อย่าแล้งวิจัยวิจารณ์ ฯ @ ฮันนิบาล ทหารเก่งกล้า สมองเพชร อาฟริกานุสยังเผด็จ ศึกสิ้น วิเศษแสนแต่จบเสร็จ ซากเน่า สูญนา สัจจหลักไตรลักษณ์ดิ้น ไม่ได้โลกเหวย ฯ @ เจ็งกีสข่าน เก่งกล้า มัจจุราช รอฤๅ หายลิ่วประวัติศาสตร์ เปล่าสิ้น แม้วจักอยู่หรือวินาศ หัวเน่า อนาถนา นึกน่าระลึกชีพดิ้น ดิ่งปลื้มปริศนา ฯ @ จักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ ทะเลหลวง เล็กแล บวมเน่าเนื้อเหม็นปวง ป่าช้า อำนาจท่านสุดหวง หายเปล่า เงาโง่อโหหายหน้า ซ่อนฟ้าสุสานศิลป์ ฯ @ บุเรงนอง ผยองเก่งกล้า มหาราช เหลือแต่ตอปราสาท ป่าช้า ไอสวรรย์อย่างวิมานมาศ หมาเยี่ยว ย่ำนา อัฏฐิถ่านเจ้าหล้า ลิ่วฟ้าเสมอฝัน ฯ @ นโปเลียน เมินถ่านไหม้ มอสโคว์ ควรฤๅ ถ่านไม่เอากองโต โง่รั้น เจ็ดแสนป่าช้ายโส เหม็นเบื่อ ศพนา เศษฝรั่งฟ้างั่งปั้น ป่นม้วยด้วยผยอง ฯ @ นโปเลียน โลกเลี่ยนแล้ว ฝรั่งเศส แพ้รัสเซียทหารเปรต ร่ำไห้ ตายอนาถเน่าทุเรศเหตุ วิเศษยิ่ง ใหญ่แล ชะแง้ฝรั่งฝังไว้ อกไหม้ตายโหง ฯ @ แสวงโลง ปอเต็กตึ้ง ตะลึงงัน ฝันแฮ จีนเปล่าโลงกำนัล ฝรั่งเกลี้ยง ป่าวแร้งซ่ากาฝัน ฝังซาก เน่านา แร้งอิ่มกากินเลี้ยง ล่อพะโล้โก้หรู ฯ @ ฮิตเลอร์ ละเมอกว่าฟ้า จักรวาฬ วิเศษฤๅ หิวเห่ออารยันสราญ ทั่วหล้า ฮิตเล่อร์เซ่ออวสาน สูญเปล่า งั่งแฮ แม้วอยู่อย่างเชิดหน้า เก่งกล้าอย่าหมาย ฯ @ จอมพลป.คลั่งไคล้ นโปเลียน เลียนฤๅ สฤษดิ์เลี่ยนปฏิวัติเนียน อ่อนน้อม สวนสนามกิ้งกือเวียน กะลาครอบ วนแล สยามย่อยยับหลังค้อม หว่านข้าวหลังคน ฯ @ แม้วจักอยู่คู่ฟ้า อกาลิโก ดังฤๅ แล้งเสน่ห์ธรรมพุทโธ โง่รั้น พุทธธรรมหยิ่งผยองยโส ไม่ใส่ ใจเลย เหลวเปล่าชีพครู่สั้น ค่าสิ้นวิเศษสลาย ฯ @ แม้วหมดสมัยใส่ไคล้ ปรอดดอง ดังฤๅ แม้วร่อยหรอเงินทอง หมดเกลี้ยง จรจัดหยิ่งยโสผยอง ยิ่งใหญ่ ฮะฮา โลงซ่อนหนอนกินเลี้ยง งั่งแล้งแผ่นดิน @ ชุดดำเมียร่ำไห้ หาผัว พบฤๅ เสียงสั่งโหวยโหวยระรัว ร่ายไม้ ป่าช้าค่ำมืดสลัว ผีตื่น โลภแล โกงเก่งกลางนรกไซร์ หมกไหม้อเวจี ฯ @ ผีเอยผีร่ำร้อง ปรองดอง ดังฤๅ ดองร่างผีจองหอง แพทย์ห้าม จ่ายงามช่วยจับจอง ปรโลก ลุกเอย ญาติยั่นเงินครั่นคร้าม ภูติคล้ำอึมครึม ฯ อังคาร กัลยาณพงศ์ วันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง
3 กรกฎาคม 2555 15:39 น. - comment id 129673
เมื่อคืนนั้นฉันฝันเสียไปไกลลิบ โลกระยิบงามงดสีสดใส ผีเสื้อสวยบินว่อนฟ้อนปีกไกว ดอกไม้ไหวเต็มลานหน้าบ้านเรา ไม่เห็นตึกระฟ้าเคยอ่าโอ่ ไร้ดิสโก้อาคาซ่าเท็คบาร์เล้า เหล้า กัญชา ยาอีไม่มีเงา ยามเปลี่ยวเปล่าใช้ธรรมขับประดับใจ คนแก่งแย่งแข่งขันทำความดี โลกเสรีสีสวยมิป่วยไข้ ประชาธิปไตยและความตาย กลายเป็นฝันเลวร้ายอย่าหมายมา สายลมพลิ้วปลิวแผ่วแว่วเสียงทิพย์ พญาโศกกระซิบซึ้งจึงผวา ไยเย็นเยือกไปถึงซึ่งอุรา พอลืมตาได้ซบทราบช่างหยาบคาย ตื่นเร็วเข้าเหลือเราแค่นี้แล้ว นังนกแก้วไปแล้วเร็วชิบหาย เสียงบางใครกลบฝันอันพริ้มพราย ขณะที่ปีศาจร้ายนั้นไหลมา
30 กรกฎาคม 2555 10:09 น. - comment id 129994
ในคำ ขณะเธอเขียนบทกวี ความรู้สึกมากมีได้เคลื่อนไหว ฉันพิศคำเธอซ้ำลำนำใด ใจจึงได้สัมผัสคำรัดรึง คำใด จะกล่าวได้ดั่งใจที่นึกถึง อารมณ์ใดจะระบัดระบายตรึง ให้สมความคิดคะนึงถึงบางคำ ขณะที่เธอเขียนบทกวี ฉันพบเห็น ทุกวลีอันหวานฉ่ำ ในนั้นฉันเห็นรอยความทรงจำ ที่ชัดในหทัยย้ำ คำคุ้นเคย คำใด จะระบัดระบายได้เท่าใจเอ๋ย รู้เพียงมี ก็มีเท่าที่เคย แม้มิอาจเอื้อนเอ่ย เป็นถ้อยคำ ในคำก็ล่องลอย / งานงามนัก
30 กรกฎาคม 2555 10:10 น. - comment id 129995
ทำไมคน ยังโค่นป่าต่อไป ทำไมใคร ไม่ห้ามปรามสักที ทำไมกัน ทุกวันจึงเป็นอย่างนี้ ทำไงดี ชาวบ้านเป็นแพะรับบาป เสียงสนั่นป่าลั่นครืนครืน ล้มทั้งยืนนั้นคือต้นไม้ เสียงสนั่นป่าลั่นต่อไป ป่ายิ่งตายแต่ใครยิ่งโต ทำไมคน ยังโค่นป่าต่อไป ทำไมใคร ไม่ห้ามปรามสักที ทำไมกัน ทุกวันจึงเป็นอย่างนี้ ทำไงดี ชาวบ้านเป็นแพะรับบาป แล้วเจ้าเขื่อน เจ้ากรรมเจ้าเวร ใครปะเคน เข้าใส่ป่าเขา ไม้ก็หมดแม่น้ำก็เน่า ความโง่เขลาของใครกันแน่ พอเสียทีเถิดพอเสียที พอเสียทีเถิดพอเสียที พอเสียทีเถิดพอเสียที พอเสียทีพอเสียทีเถิด ดนตรี..15..Bars 13...14...15 รู้เต็มอกว่าโลกมันร้อน ยังมัวนอนติดแอร์ติดแอร์ เกาไม่ถูกที่คันไม่แก้ นอนติดแอร์กินกระแสไฟ ฝนไม่ตก เพราะโลกมันแล้ง ลมพัดแรง เพราะเขามันโล้น ไม้มันหมด เพราะน้ำมือคน ผลิตผลอุตสาหกรรม พอเสียทีเถิดพอเสียที พอเสียทีเถิดพอเสียที พอเสียทีเถิดพอเสียที พอเสียทีพอเสียทีเถิด
31 กรกฎาคม 2555 10:36 น. - comment id 129999
เล่ห์ลวงในผ้าสี วันที่ฝุ่นตระหลบเราพบว่า... เราเป็นคนแปลกหน้าในผ้าสี ถูกกำกับประทับตราต่างท่าที ... ด้วยความเชื่อในวิถีที่ต่างกัน เมื่อเชื่อต่างจึงแยกพรรคแบ่งฝักฝ่าย ความหลากหลายมองอย่างเชิงสร้างสรรค์ เป็นความงามทีทายท้ากล้าประชัน เพื่อรอวันความลงตัวทั่วกระบวน เรื่องถูก-ผิด...อาจไร้ไม้บรรทัด เป็นมาตรวัดว่าใครไหนถูกถ้วน แต่ความชั่ว-ความดีที่คู่ควร นั้นแล้วล้วนมีไม้ที่ใช้วัด ไม้คำสอนของปู่ย่าตายาย ที่มั่นหมายให้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เคารพในกติกาสารพัด คือบรรทัดคือเหตุผลของคนดี ยิ่งฝุ่นยิ่งตระหลบยิ่งพบว่า มีเล่ห์ลวงมายาในผ้าสี ทำหินแตกแยกแผ่นดินสิ้นปรานี ทุกถิ่นที่จะเลือดนองจะหมองมัว จึงมิใช่เรื่องผิดแผกเพียงแยกสี แต่เป็นเรื่องบ่งชี้ถึงดี-ชั่ว มิใช่ต่างความเห็นเป็นส่วนตัว แต่พันพัวถึงการ...เสียบ้านเมือง! สำนักกวีน้อยเมืองนคร ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ สถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังบานปลายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มองเผินๆเหมือนว่าเป็นเรื่องของ "ความคิดต่างสี" แต่เมื่อมองให้ลึกลงไปแล้ว...กลับมิใช่เลย เพราะมันเป็นเรื่องการต่อสู้ของความดีกับความชั่ว
15 สิงหาคม 2555 15:46 น. - comment id 130086
ขอให้มีความสุขพิสุทธ์สะอาด ที่หมายมาดให้สมอารมณ์หวัง ความดีงามสวยงาม ประเดประดัง มนต์เทวาพรหมพรั่งหลั่งคำพร ต่อนี้ไปในสากลพ้นประเทศ "ขอตั้งเจตนารม์ห่มอักษร" มาเป็นคำย้ำเป็นถ้อยร้อยสุนทร ให้ "โคลอน" สุขสวัสดิ์ร้อยรัดงาม ฉันเขียนกลอนซ่อนสารไม่หวานซึ้ง แต่เป็นความรู้สึกซึ่งมิพักถาม เกิดแต่เบื้องลึกในเนื้อใจนาม ของนิยามตามความคิด ประสารัก รักเป็นเรื่องเบื้องแรกการแบกรับ ช่วยขานขับขับของที่ข้องหนัก มิตรภาพฉันก็ เรียกว่ารัก มันกว้างเกินอาณาจักรของหญิงชาย นี่วันคล้ายแต่ใช่ว่าวันเกิด เป็นอุบายไว้เปิดหัวใจไว้ ให้รำลึกถึงอะไรอีกมาย และเรามีวันนี้ได้เพราะมีใคร........ เขียนเดี่ยวนี้ / ด้วยระลึกถึง / แทนคุณแทนไท แทนคุณแทนไท 05 มี.ค. 55 - 11:17 IP 122.154.16.246
26 สิงหาคม 2555 17:34 น. - comment id 130162
สุดอาลัย ! "อังคาร กัลยาณพงศ์" ศิลปินแห่งชาติ เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 86 ปี จากโรคเบาหวานเรื้อรัง โดยจะมีพิธีอาบน้ำศพ 17.00 น. เย็นวันนี้ วัดตรีทศเทพ วันนี้ (25 ส.ค.) มีรายงานว่า อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ ด้านกวีนิพนธ์ วัย 86 ปี เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบ เมื่อเวลา 01.30 น.หลังจากป่วยเป็นเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวานเรื้อรัง โดยจะมีพิธีอาบน้ำศพเย็นวันนี้ เวลา 17.00 น. วัดตรีทศเทพ และจะมีการสวดพระอภิธรรมศพเป็นเวลา 7 วัน ทั้งนี้ อังคาร กัลยาณพงศ์ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของกำนันเข็ม และนางขุ้ม กัลยาณพงศ์ ในวัยเด็กร่างกายเคยเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวไม่ได้ มีหมอมารักษาด้วยสมุนไพรจนหาย เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดใหญ่และโรงเรียนวัดจันทาราม เรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนพระพุทธเจ้าหลวงอุปถัมภ์และโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ศึกษาจากโรงเรียนเพาะช่าง มหาวิทยาลัยศิลปากร แล้วไปเรียนที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรมมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นศิษย์ของศิลปินใหญ่อย่างเช่น ศ. ศิลป พีระศรี. อ, เฟื้อ หริพิทักษ์,จึงได้ติดตามและร่วมมือกับอาจารย์ในด้านศิลปกรรม โบราณคดี และประวัติศาสตร์ ความเป็นกวีนั้นเป็นพรสวรรค์ที่อังคารเชื่อมั่นและฝึกฝนมาตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม เมื่อออกจากมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้ว ได้ร่อนเร่เรียนรู้และสร้างสรรค์การวาดภาพและเขียนบทกวี ได้มีโอกาสคุ้นเคยกับศิลปินและกวีร่วมยุคสมัยหลายคน มีผลงานบทกวีปรากฏในหนังสือ "อนุสรณ์น้องใหม่" มหาวิทยาลัยศิลปากร กระทั่งได้พบกับสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้ก่อตั้งกและเป็นบรรณาธิการคนแรกของ "สังคมศาสตร์ปริทัศน์" บทกวีของอังคาร กัลยาณพงศ์ จึงได้พิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง มีผลงานที่จัดพิมพ์สร้างความตื่นตัวตื่นใจให้กับวรรณกรรมไทยมาเนิ่นนาน เช่น กวีนิพนธ์ (2507), ลำนำภูกระดึง (2512), สวนแก้ว (2515), บางกอกแก้วกำสรวลหรือนิราศนครศรีธรรมราช (2512) อันเป็นเล่ม ในปี 2532 ได้รับคัดเลือกให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ด้านกวีนิพนธ์ ซึ่งเป็นกวีร่วมสมัยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น จินตกวี ผู้ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในด้านวรรณศิลป์และทัศนศิลป์ อังคาร กัลยาณพงศ์ ได้สมรสกับคุณอุ่นเรือน มีบุตรชาย 1 คน บุตรสาว 2 คน คือ ภูหลวง อ้อมแก้ว และวิสาขา กัลยาณพงศ์ โดยสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมและงานประพันธ์ทั้งร้องกรองและร้อยแก้วเป็นอาชีพ อังคาร กัลยาณพงศ์ ถือศิลปินที่ได้รับการยอมรับทั้งในฐานะจิตรกรและกวี เป็นศิลปินที่ได้รับการยกย่องเรื่องการรักษาความเป็นไทยทั้งในด้านความคิดและรูปแบบ อีกทั้งยังเป็นกวีที่มีความคิดเป็นอิสระ ไม่ถูกร้อยรัดด้วยรูปแบบที่ตายตัว จึงนับเป็นกวีผู้บุกเบิกกวีนิพนธ์ยุคใหม่ นอกจากนี้ยังเป็นศิลปินที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปินนักต่อสู้เพื่อความถูกต้อง กวีไม่ใช่หมานี่นะ ที่ใครขุนนิดเดียวก็จะยอมเขา บทกวีมันเป็นอิสระในตัวเอง รู้ผิดถูกชั่วดีตามพระพุทธเจ้าตรัสสอน เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า รับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์ คือรักเพื่อนมนุษย์ และยินดีจะนำกำลังสติปัญญาไปเผยแพร่ แม้แต่ต้นหญ้ายังให้คุณกับเพื่อนมนุษย์ ข้าวน่ะเป็นหญ้าชนิดหนึ่งนะ อย่าคิดว่ามนุษย์ไม่กินหญ้า และทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นหญ้า ข้าวก็ยังทำให้มนุษย์อิ่มหนำและมีชีวิตอยู่ได้ ศิลปินก็แบบนั้นแหละ เป็นข้าวให้มนุษย์กิน เป็นออกซิเจน เป็นอากาศให้มนุษย์หายใจ เป็นน้ำให้ดื่ม ถ้าศิลปินเป็นฝนได้ก็จะเป็น เป็นพระอาทิตย์ได้ก็จะเป็น ผมคิดว่าเป็นอุดมคติของทุกคน ไม่ใช่แค่ศิลปิน บทกวีมีพลังที่จะเปลี่ยนสังคม ทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนมาเยอะแล้ว แต่เราไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงสังคมเพียงลำพัง เพราะความเป็นไปของมนุษย์มันเหมือนคลื่นในมหาสมุทร เราแข็งแรงเท่าไหร่ เราก็เอาบ่าเข้ารับ กระแสคลื่นจะมาสาดบ่าเราเปื่อยจนกระทั่งเห็นกระดูกเราขาวโพลนก็ยังไม่สิ้นกระแสคลื่นในทะเล ดังนั้นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็ต้องช่วยกันหลายทาง ตั้งแต่พระศาสดา และใครต่อใคร ศิลปินก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง พลังของบทกวีก็เหมือนแสงอาทิตย์ หรือถ้าเปรียบเป็นเมฆ มนุษย์ก็ต้องได้รับฝน ถ้าเป็นดอกไม้ก็ต้องหอมอบอวล ถ้าเป็นน้ำหวานก็ต้องเป็นน้ำหวานจากผึ้งที่มอบความหวานหอมให้ชีวิต ผมถึงเป็นกวี รับผิดชอบต่อจากเจ้าฟ้ากุ้ง (เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรฯ) ผมหายใจเป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน อังคารเคยให้สัมภาษณ์กับ ASTVผู้จัดการเมื่อกลางปี 2555 นอกจากนี้ ในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชาเพื่อประชาธิปไตย ทั้งในช่วงการชุมนุม 193 วันในปี 2551 และการชุมนุม 158 วัน ในปี 2554 อังคาร กัลยณพงศ์ ยังได้เคยขึ้นเวทีอ่านบทกวีและขับเสภาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ร่วมชุมนุมอยู่หลายครั้ง บทกวีชุดล่าสุดของ"อังคาร กัลยาณพงศ์" ทหารหาญเห่ากู้ เอกราช เสียเอกราชระยะสั้นโศกซึ้งอนันตกาล อู่ตะเภา เผาชาติ เอกราช แม้วทำทุกอย่างมล้างชาติ เมตตา กรุณา ช่วยกู้โลกมนุษย์ มวยผีในปรโลก นิทานปูชวนเปี้ยวเที่ยวตลาดอวิชชา ทักษิณเลียรากหญ้าเห่ช้าเสื้อแดง ทักษิณดูหมิ่นป่าช้าลืมโลง มรณานุสสติ นักการเมือง
3 กันยายน 2555 14:32 น. - comment id 130229
รู้สิบพูดสี่เหลือไว้หก เผืเขาดเผื่อตกเผื่อหล่นหาย รู้สี่พูดสิบน่าละลาย จะหญิงชายถ้าปากชั่วน่ากลัวจริง พูดน้อย คิหนัก ตระหนักปาก ปัญหามากยากแก้ไขในทุกสิ่ง .... ตันนนนนนนนนนน
3 กันยายน 2555 15:29 น. - comment id 130232
ผมตั้งใจจะรวมกลุ่มวรรณกรรมขึ้นมาอีกสักครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใคร่แน่ใจนักว่า คำของพี่หลอง "วรภ วรภา" ที่วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่ว่า เข้าใจว่า ๑. นักเขียนรุ่นใหม่มีที่ทางสำแดงงานเยอะแยะ มีที่ปล่อยของมาก จึงไม่โหยหาพื้นที่ เมื่อก่อน กลุ่ม คือพื้นที่หนึ่ง ๒. นักเขียนรุ่นใหม่ไม่ต้องพึ่งพากลุ่ม ประมาณว่าเชื่อมั่นในตัวเองสูง เชื่อฝีมือว่าเริ่ดแล้ว ๓. ไม่มีกระแสการรวมกลุ่มเกิดขึ้น จึงไม่มีใครคิดรวมกลุ่ม ๔. สังคมปัจจุบันมีความเป็นปัจเจกสูง และการจะคงให้กลุ่มคงอยู่ น่าจะอยู่ที่ ๑ อุดมการณ์สอดคล้องกัน ๒. หัวใจที่ให้กัน ๓. มีกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ๔. อาจจะถึงกับเป็นที่พึ่งพิงของสมาชิกได้ ผมคิดใคร่ครวญ กับโครงการที่คิดวาดไว้คนเดียวเงียบๆ อาจกระซิบให้บางคนฟังได้บ้าง แต่ไม่มากนัก.... ในวันที่เรื่อเปื่อย / แทนคุณแทนไท
26 กันยายน 2555 16:32 น. - comment id 130472
ก็รู้ดีแก่ใจไม่ใช่หรือ อะไรคือสิ่งที่ที่ควรมั่น อะไรมีค่าคุณอเนกอนันต์ อะไรไร้ค่าอันให้หันเมิน จะดีชั่วรู้ทั่วทั้งใจอยู่
25 มีนาคม 2556 15:45 น. - comment id 130910
พี่บกพร่อง โดยสุจริต น้องทุจริตคิดชั่ว พวกพ้อง โกงกันเนียนัว ประชาชนยิ้มหัวชอบใจ ตัณหาและความยากไร้ ประชาธิปไตยตาเข นารี ขี่ม้าขาเก จบเห่ ประเทศไทย เข้าเมืองตาเหล่ตาบอด
7 ธันวาคม 2555 15:17 น. - comment id 131299
กอเอ่ยกอแก้ว กอแก้วก่อกรรม กอเอยก่อกรรม ระยำประเทศไทย
21 มกราคม 2556 14:20 น. - comment id 131471
สงสาร ชีวิตที่ล้มตาย สารสาร ถูกทำร้าย ประเทศไทย สงสาร อำมาตย์ สงสารไพร่ สงสารใคร ! ไทยรักทุย สงสาร ประชาธิปไตยวิบัติ สงสาร สารพัดสัตว์ ขากถุยยยย สงสาร ไข่เอียด สาวนุ้ย สงสารกุ๊ย ยกระดับขับบีเอ็ม สงสารสี สารพัดเขาจัดแบ่ง สงสารเธอ ขันแข่งแต่งตัวเล่น สงสารเขา เขลาขลาด สงสาร เวลาที่สูญเปล่า
21 มกราคม 2556 15:03 น. - comment id 131472
ชั่งใจไรไม่รู้ เขาบอกหนูรู้แค่ชั่ง ชั่งไข่ สุดเกลียดชั่ง เรื่องอื่นชั่ง ประเทศไทย ชั่งใจ ใครจะซื้อ ใจซื่อบื่อลื้อซื้อไหม รถ บ้าน อานตะไท หนี้ก้อนใหม่วิไลเหลือ ชั่งใจ อะไรนาย ดีจะตายใครจะเชื่อ หนอนเน่าในกองเกลือ
29 มกราคม 2556 11:35 น. - comment id 131510
สงสาร ชีวิตที่ล้มตาย สารสาร ถูกทำร้าย ประเทศไทย สงสาร อำมาตย์ สงสารไพร่ สงสารใคร ! ไทยรักทุย สงสาร ประชาธิปไตยวิบัติ สงสาร สารพัดสัตว์ ขากถุยยยย สงสาร ไข่เอียด สาวนุ้ย สงสารกุ๊ย ยกระดับขับบีเอ็ม สงสารสี สารพัดเขาจัดแบ่ง สงสารเธอ ขันแข่งแต่งตัวเล่น สงสารเขา เขลาขวดอวดพิเรน สงสารคนปนอยู่ปนเช่นขอทาน สงสาร ความดีถูกใส่ร้าย สารสารชาย สงสาร เวลาที่สูญเปล่า
30 มกราคม 2556 16:51 น. - comment id 131513
เคยได้ยิน..ใช่ไหม มิตรมิ่ง "..ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว.." ใครจะติฉินนินทา..ให้ว่าไป อย่าใส่ใจในถ้อยคำให้รำคาญ ถ้าเราวุ่น เราวิ่งตามสิ่งยั่ว เขาจะพากันยิ้มหัว..สนุกสนาน เพราะเป็นไปอย่างเขาปองคิดต้องการ คืออยากเห็นเราพล่าน..ทุรนทุราย ตั้งสติ..หยุดและนิ่ง..ซิมิ่งมิตร หยุดความคิดโต้ตอบต่อขยาย ต่อความยาวสาวความยืดเป็นนิยาย ก็บานปลายไม่รู้จบไม่รู้จาง เมื่อไม่นิ่ง..เหมือนเคลื่อนไหวในที่แจ้ง เขารู้แหล่งว่าเราไปที่ไหนบ้าง เขารู้ใจรู้จุดอ่อนต้อนถูกทาง เราตกเป็นเบี้ยล่างทุกทางไป เมื่อไม่นิ่ง...ใจเราจะยิ่งแย่ ยิ่งเปิดแผลเจ็บช้ำ ซ้ำ ซ้ำใหม่ ยิ่งเขายั่ว..เราต้องประคองใจ อย่าหวั่นไหวตกเป็นเหยื่อยิ่งน่าอาย ตั้งสติ..หยุดและนิ่ง..ซิมิ่งมิตร แต่งความคิดเสียใหม่ยังไม่สาย เราไม่รู้ไม่ชี้..ไม่วุ่นไม่วาย จนสุดท้าย..เขาแพ้ใจแพ้ภัยตัว!..ฯ สำนักกวีน้อยเมืองนคร ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖
1 กุมภาพันธ์ 2556 10:36 น. - comment id 131553
ไม่มีใครไหนชำนะตลอดกาล วันหนึ่งผ่าน-อีกวันพับเกินกลับฝืน เหนือฟ้ายังมีฟ้าจะมาคืน จะมากลืนจะมากลายทำลายฟ้า ..จึงชนะอย่าระเริงเหลิงอำนาจ ถึงวันพลาดอัปยศก็หมดท่า ..จึงแพ้พ่ายอย่าทดท้อต่อชะตา วันชนะอยู่ข้างหน้า-ถ้าไม่ท้อ ฯ
6 กุมภาพันธ์ 2556 14:05 น. - comment id 131603
การป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 บัญญัติว่า "ผู้ใดต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด" หลักเกณฑ์ของการ ป้องกันตัว โดยชอบ ด้วยกฎหมาย 1. มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย นั่นคือ - ภยันตรายที่เกิดขึ้นนั้นผู้กระทำไม่มีอำนาจตามกฎหมายจะทำได้ หากผู้ก่อภัยนั้นมีอำนาจทำได้โดยชอบ ท่านก็ไม่มีสิทธิจะป้องกัน เช่น พ่อมีสิทธิว่ากล่าว/ลงโทษลูก ไม่ถือเป็นภยันตรายตามข้อ 1. - แม้จะมีภยันตรายแล้วก็ตาม แต่ผู้ที่อ้างป้องกันได้ จะต้องไม่มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตรายดังกล่าวขึ้นด้วย เช่น ไม่เป็นผู้ก่อภัยขึ้นในตอนแรก ไม่เป็นผู้ที่สมัครใจเข้าวิวาทกัน ไม่เป็นผู้ที่ยินยอมให้ผู้อื่นกระทำต่อตนโดยสมัครใจ และ ไม่เป้นผู้ที่ไปยั่วให้คนอื่นเข้าโกรธก่อน 2. ภยันตรายนั้น ใกล้จะถึง แม้ท่านจะมีภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้น ตามข้อ ๑ แล้วก็ตาม ก็อย่าเพิ่งนอนใจว่าท่านจะมีสิทธิป้องกันได้ กล่าวคือท่านจะมีสิทธิ ป้องกันตัว ได้ต่อเมื่อภยันตรายนั้น เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง คือภัยที่เกิดขึ้นกระชั้นชิดถึงขนาดที่ไม่มีหนทางอื่นที่จะขจัดปัดเป่าภัยนั้นได้ นอกจากการป้องกันตัวเอง 3. ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน ให้พ้นจากภยันตรายนั้น 4. การกระทำ ป้องกันตัว ตามสมควรแก่เหตุ ก็คือ แม้กฎหมายจะให้สิทธิแก่ประชา ชนผู้ประสบอันตรายป้องกันตนเองได้ แต่ก็ไม่ได้ให้เสียจนหาขอบเขตไม่ได้ จนกลายเป็นการป้อง กันผสมกับความโกรธแค้น บันดาลโทสะ หรือสะใจ เช่น เมื่อมีผู้ร้ายถือมีดจะทำร้ายท่าน ท่านได้ตอบโต้จนผู้ร้ายไม่สามารถจะถือมีด หรือไม่สามารถจะแทงท่านได้อีกแล้ว ถือว่าภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว ถ้าท่านซ้ำเติมอีก จะถือว่าเกินกว่าเหตุ อาจมีบางท่านสงสัยว่า กรณีท่านใช้เครื่องทุ่นแรง ท่านจะสามารถใช้มันได้ขนาดไหน เพียงไรนั้น มีทฤษฎีที่สำคัญ 2 ทฤษฎีคือ 1. ทฤษฎีส่วนสัด คือต้องพิจารณาว่าอันตรายที่จะพึงเกิดขึ้นหากจะไม่ป้องกันจะได้ส่วนสัดกับอันตรายที่ผู้กระทำได้กระทำเนื่องจากการป้องกันนั้นหรือไม่ เช่น มีคนมาตบหน้าท่าน ท่านจะใช้มีดแทงเขาตายไม่ได้ เพราะความเจ็บเนื่องจากถูกตบหน้า เมื่อมาเทียบกับความตายแล้ว ไม่มีส่วนสัดกัน ดังนั้น การเอามีดแทงเขาตายนี้ เป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ ผู้กระทำไม่มีอำนาจกระทำได้ 2. ทฤษฎีวิถีทางน้อยที่สุด ตามทฤษฎีนี้ถือว่าถ้าผู้กระทำได้ใช้วิธีทางน้อยที่สุดที่จะทำให้เกิดอันตราย ก็ถือว่าผู้กระทำได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุแล้ว เช่น ก.เป็นง่อยไปไหนไม่ได้ ข.จึงเขกศีรษะก.เล่น โดยเห็นว่าก.ไม่มีทางกระทำตอบแทนได้เลย นายก.ห้ามปรามเท่าใดข.ก็ไม่เชื่อฟัง ถ้าการที่ก.จะป้องกันมิให้ข.เขกศีรษะมีวิธีเดียวคือใช้มีดแทงข. ต้องถือว่าการที่ก.ใช้มีดแทงนี้เป็นการกระทำไปพอสมควรแก่เหตุ เพราะเป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จะป้องกันได้
6 กุมภาพันธ์ 2556 14:07 น. - comment id 131604
การกระทำด้วยความจำเป็น บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ว่า ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็น (1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ (2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระทำนั้น ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ตัวอย่าง แดงขู่ว่าจะยิงดำ หากดำไม่ตีหัวขาว ดำกลัวตายจึงตีหัวขาว กรณีนี้ถือว่าดำกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างการขาวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่เป็นการกระทำไปด้วยความจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 67(1) และการกระทำนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ ดำจึงได้รับยกเว้นโทษ การที่กฎหมายบัญญัติยกเว้นโทษให้สำหรับการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามประมวลกฎหมายอาญมาตรา 67 นั้นถือเป็นรัฐศาสโนบาย (public policy) ว่าผู้ที่เลือกกระทำความผิดที่มีโทษเบา เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีการกระทำความผิดที่มีโทษหนักกว่าเกิดขึ้น เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม กล่าวคือ กรณีตามตัวอย่าง ถือว่าดำได้หลีกเลี่ยงมิให้มีการกระทำความผิดฐานฆ่าคนตาย ซึ่งเป็นการกระทำที่มีโทษหนัก โดยการเลือกกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายซึ่งมีโทษเบา เพราะหากดำไม่ตีหัวขาว ดำก็จะถูกฆ่าตาย สังคมก็จะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากการฆาตรกรรม ความมั่งคงปลอดภัยในชุมชนก็จะสั่นคลอนมากกว่าความผิดฐานทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ การลงโทษผู้กระทำความผิดภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวก็ไม่มีผลเป็นการแก้แค้นทดแทน ดัดนิสัยและตัดผู้กระทำซึ่งมีจิตใจชั่วร้ายออกจากสังคมแต่อย่างใด เพราะผู้กระทำความผิดด้วยความจำเป็นมิใช่โจรผู้ร้ายผู้มีจิตใจชั่วร้าย การลงโทษเขาเพื่อแก้แค้น ทดแทน ดัดนิสัย และการตัดเขาออกจากสังคมเพื่อให้สังคมปลอดภัยก็ย่อมไม่มีประโยชน์อันใด
6 กุมภาพันธ์ 2556 14:15 น. - comment id 131605
การกระทำเพื่อป้องกันที่มนุษย์ทุกคนสามารถกระทำได้โดยไม่มีความผิด ซึ่งเราเรียกกันว่า"การป้องกันโดยชอบด้วยกฏหมาย" ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 68 ได้บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดจำต้องกระทำ การใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจาก การประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฏหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วย กฏหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด" อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า 1. ต้องมีภัยอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายที่ละเมิดต่อกฏหมาย 2. และเป็นภัยอันตรายที่ใกล้จะถึงตัว โดยภัยนั้นยังมีอยู่ไม่สิ้นสุดไป 3. ผู้ป้องกันจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือผู้อื่นให้พ้นภัย 4. และการกระทำป้องกันนั้นต้องพอสมควรแก่เหตุ จึงทำให้ผู้ป้องกัน ไม่มีความผิด ยกตัวอย่าง เช่น กรณีเป็นภัยอันตรายซึ่งเกิดจาการประทุษร้ายที่ละเมิดต่อกฏหมาย >> เราเป็นเจ้าของบ้าน มีสิทธิป้องกันไม่ให้ใครเข้ามารุกรานทำร้าย แม้ว่าจะมีทางหนีได้ แต่ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าของบ้านต้องหนีผู้ทำผิด กฏหมาย ถ้าผู้ร้ายถืออาวุธจะเข้ามาทำร้ายเราถึงบ้าน เราสามารถกระทำ ป้องกันชีวิตเราพอสมควรแก่เหตุได้ กรณีต้องเป็นภัยอันตรายที่ใกล้จะถึงตัว โดยภัยนั้ยังมีอยู่ ไม่สิ้นสุดไป >> เราเป็นหญิง ถูกชายลากเข้าไปป่าข้างทางเพื่อข่มขืนและขู่ว่าจะฆ่า เราจึงใช้มีดแทงหนึ่งทีแล้ววิ่งหนีออกมา ฝ่ายผู้ร้ายจะพยายามแย่งมีดจากเรา ทำให้เราแทงผู้ร้ายอีกหลายครั้งจนเป็นหตุถึงตาย เช่นนี้ถือว่าภัยยังไม่หมดไป เมื่อเป็นหญิงอยู่ในภาวะเช่นนั้น จะเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ กรณีผู้ป้องกันจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือผู้อื่นให้พ้นภัย >> มีคนบุกรุกเข้ามาฉุดคร่าลูกสาวของเราถึงในบ้าน และกำลังพาออกจาก บ้านไป การที่เรายิงผู้ร้ายนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของลูกสาวให้ พ้นจากภัยอันตรายดังกล่าว โดยเราไม่มีทางเลือกอื่นที่จะป้องกันได้ การยิง ผู้ร้ายจึงเป็นการป้องกันที่ชอบด้วยกฏหมาย กรณีเป็นการกระทำป้องกันที่พอสมควรแก่เหตุ >> หากภัยที่มีมาอาจทำให้ถึงตาย ก็สามารถตอบโต้ถึงตายได้ โดยไม่ต้อง คำนึงว่าจะใช้อาวุธหรือวิธีการอย่างไร แต่ถ้าภัยที่มีมาถึงเราเป็นเหตุไม่ร้ายแรง การที่เราป้องกันถึงขนาดทำให้ผู้ร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บสาหัส ย่อมเป็นการ กระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ เป็นความผิดที่ต้องรับโทษ เพียงแต่ศาลอาจ ลงโทษน้อยกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ เหตุที่อ้างป้องกันโดยชอบด้วยกฏหมายไม่ได้ 1. ถ้าภัยอันตรายที่เราอ้างว่าใกล้จะถึงตัวได้ผ่านพ้นไปแล้ว เราจะอ้างป้องกัน ไม่ได้ เช่น เราเห็นคนกำลังปีนรั้วเข้าบ้าน เราจึงร้องเอะอะขึ้น คนนั้นจึงรีบปีน หนีไป แต่เรายังใช้ปืนยิงเขาถึงตาย อย่างนี้จะอ้างว่ายิงเขาตายเป็นการกระทำ เพื่อป้องกันไม่ได้ 2. เราเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อนหรือเป็นผู้ที่ท้าทายผู้อื่นก่อน เช่น เราเป็นฝ่ายก่อเหตุ ด่าเขาก่อน เมื่อเขาจะเข้ามาทำร้าย เราจึงทำร้ายเขานั้น จะอ้างว่าป้องกันตัวไม่ได้ 3. เราเป็นผู้สมัครใจเข้าต่อสู้ วิวาทกัน ที่ไม่ใช่การโต้เถียงกัน แต่ทั้งคู่กระทำโดย ใช้กำลังเข้าชกต่อยหรือตบตีกัน ย่อมถือว่าสมัครใจทะเลาะวิวาท อ้างเหตุป้องกัน ตัวไม่ได้ ตัวอย่างการป้องกันที่เกินสมควรแก่เหตุ เช่น เด็กเข้ามาลักทรัพย์สินในบ้าน เราโดยไม่มีอาวุธ ขณะเด็กโผล่ขึ้นมาจากที่ซ่อนตัวใต้แคร่อันเป็นที่จำกัด เราอาจ ใช้วิธีอื่นในการสกัดจับเด็กหรือเรียกคนอื่นมาช่วยกันจับ แต่เราถึงขั้นใช้อาวุธปืนยิง จนเด็กเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส ย่อมเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
6 กุมภาพันธ์ 2556 15:57 น. - comment id 131606
-เมื่อข้าพเจ้าเขียน- ข้าพเจ้าเสียมวลมิตรไปมากมาย...... สูญเสีย เหล่าสหายเคยคุ้นหน้า... เคยทักทายกันเป็นธรรมดา... ก็เก็บทีสงวนท่าในไมตรี ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในอุดมคติ... ทุกดำริห์ชี้ชัดใช่บัดสี... เขียนถึงความชั่วร้ายอย่าหมายมี... เขียนถึง มวลความดีที่อยากเห็น ข้าพเจ้า รักเธอเสมอมิตร... ทุกสิ่งคิดอาจผิดใจ ใช่ใคร่เด่น ... บอกเล่า เรื่องราวที่โลกเป็น... และคิดเช่น นั้นนี้มาเนิ่นนาน ข้าพเจ้า อยากเขียนถึงซึ่งโลกสวย... ขอจงช่วย ขานรับไปขับขาน... เมื่อโลกฉันไร้ซึ่งจินตนาการ... เพราะฉันถูกซานตานระรานใจ ข้าพเจ้า ถามใจข้าพเจ้า... ว่าข้าจะแสนเศร้าสักแค่ไหน... ระหว่างการปล่อยวางทุกอย่างไป... และกรรมนั้นได้เคลื่อนไหวไปตามกาล หรือจะทำอวดเท่เหมือนเขาว่า... ตะโกนบ้าเหมือนหมาที่เฝ้าบ้าน... เห็นความเลวเหวห่า ด่าประจาน... แลกกับโลกแสนหวานที่เคยมี... ข้าพเจ้า อาจเสียเธอมหามิตร... แต่ทุกความนึกคิดหนึ่งนิดนี้... เกิดจากแรงปรารถนาบรรดาดี... เสียไมตรีไปบ้างทำอย่างไร
22 กุมภาพันธ์ 2556 10:30 น. - comment id 131706
เป็นอะไรหนอ หัวร่อ หัวเร่อ เหมือนเฟอบี้ ผิดชอบ ชั่วช้า ประดามี พวกกาลี ระยำ ทำไม่เห็น