ตั้งแต่เย็นเมื่อวาน จนป่านนี้ 4.00 น. ฝนตก ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บางขณะก็ปรอย ๆ บางขณะก็ตกหนัก ตอนหัวค่ำราว ๆ ทุ่มกว่า เราลงไปข้างล่าง แล้วเดินทอดน่องไปตามริมรั้วเรื่อย ๆ ปีนี้มีสัตว์ตัวจ้อยส่องแสงให้ดูด้วยค่ะ เจ้าหิ่งห้อยส่องแสงวูบวาบ บินอยู่ขวักไขว่ ปีนี้น้ำคงท่วม คุณตาเคยเล่าเรื่องหิ่งห้อยให้ฟัง ท่านบอกว่า ปีไหนฝนตกชุกน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ มักจะมีหิ่งห้อยบินให้เราเห็นเสมอ ใคร่ขอคัดลอกเนื้อหาเกี่ยวกับหิ่งห้อยมาให้ทราบดังนี้ *สิ่งมีชีวิตหลายชนิด มีแสงออกมาจากตัวของมันเอง ตัวอย่างที่รู้จักกันดี ได้แก่ แมลงที่เรียกว่าหิ่งห้อย ในเวลาค่ำและมืดสนิท เราอาจเห็นแสงจากหิ่งห้อยเพียงตัวเดียว ได้ไกลถึงหลายเมตร ที่สวยงามมากก็คือ แสงที่มาจากฝูงหิ่งห้อย ที่เกาะอยู่ บนต้นไม้ริมน้ำ เช่น ต้นลำพู มีนิยายเล่ากันว่า พระยาหิ่งห้อยหลงรักลูกสาวพระยาลำพู จึงยกพวกมาเป็นขบวน ประดับไฟสวยงาม เพื่อมาขอเจ้าสาว แต่ ความจริงแล้ว หิ่งห้อยทั้งตัวผู้และตัวเมียจะเปล่งแสงได้ หิ่งห้อยมักชอบเกาะต้นไม้ริมน้ำ เพราะมันจะวางไข่ตามที่ชื้นแฉะ และตัวอ่อนของมันเป็นหนอน ที่อาศัยในดินในเลน จับส ัตว์เล็ก ๆ กินเป็นอาหาร เมื่อหนอนโตเต็มที่ ก็จะกลายเป็นดักแด้ ต่อมาดักแด้ฟักเป็นแมลงปีกแข็ง บางครั้ง จะมีแสงที่ปรากฏในที่มืด และมักจะทำให้คนหวาดกลัว เช่นแสงวูบวาบตามพื้นดิน ที่สกปรกชื้นแฉะ ซึ่งคนไทยเ ชื่อกันว่าเป็นผีกระสือที่ออกหากินสิ่งสกปรก ในเวลาค่ำ ความจริงแล้วแสงที่เห็น เป็นแสงที่เปล่งออกมา จากจุลินทรีย์บางชนิด ซึ่งเรืองแสงได้ จุลินทรีย์เหล่านี้ เจริญอยู่ในที่สกปรก ตามซากของสิ่งมีชีวิตแต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เนื่องจากจุลินทรีย์มีขนาดเล็ก จึงทำให้เข้าใจว่า ซากของสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งสกปรกเหล่านั้นเรืองแสงได้ นอกจากเรื่องหิ่งห้อย และจุลินทรีย์ ที่พบบนบกเสมอแล้วในทะเลก็มีสัตว์หลายชนิด ที่เรืองแสงสีต่าง ๆ กัน สัตว์เหล่านี้มีหลาย ขนาด ตั้งแต่สัตว์ที่มีขนาดเล็ก จนไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขึ้นมาจนถึงสัตว์ขนาดใหญ่ เช่นปลา (*สารานุกรมสำหรับเยาวชนไทย เล่มที่ 4) หิ่งห้อยเป็นสัตว์ที่มีเสน่ห์ น่ารัก เราเคยจับตัวหิ่งห้อย มาวางไว้แล้วมองดูเวลาที่มันเรืองแสง ปิดไฟให้มืด ช่วงตัวของมันจะมีแสง ส่องประกายวูบวาบ มองแล้วเหมือนกับแสงจันทร์ หากสามารถจับแสงจันทร์มารวมไว้เป็นก้อนเล็ก ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวหิ่งห้อยส่องแสง แสงนวลอ่อน ๆ มองแล้วสบายตา เดินดูรอบ ๆ บ้านซักพักเราก็กลับเข้าบ้าน นั่งเล่นเน็ตได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เข้านอน อากาศวันนี้เรานอนได้โดยไม่ต้องเปิดแอร์ นอนฟังเสียงฝนได้ซักพักเราก็หลับ เปิดหน้าต่างแง้มไว้หน่อยหนึ่งพอให้อากาศผ่านเข้าออก ก็เป็นอีกวันที่เราได้หลับเต็มอิ่ม เป็นชีวิตของคนโสดที่ไม่เคยออกนอกบ้านไปเที่ยวไหน ๆ ในเวลาวิกาล ตกค่ำก็นอนเช้าขึ้นมาก็เตรียมตัวสำหรับต่อสู้กับงาน เป็นอย่างนี้เรื่อยมา และคงเป็นแบบนี้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะสิ้น บางครั้งที่เหงา ๆ ก็หาอะไรทำให้คลายเหงา อ่านหนังสือบ้าง หาต้นไม้ที่ชอบมาปลูกบ้าง ฟังเพลงบ้าง ทำอาหารทานเองบ้าง สิ่งเหล่านี้วนเวียนในชีวิตประจำวันของเราเสมอ การไปวัดก็เป็นอีกทางหนึ่งที่เรานำมาเป็นบรรทัดฐานของชีวิตเรา จิตใจคนเราควรได้รับการทำความสะอาด วันหนึ่ง ๆ เรารับเรื่องต่าง ๆ เข้ามาเก็บไว้มากมาย จนบางครั้งเราเครียดโดยที่ตัวเราเองหาสาเหตุไม่ได้ การทำความสะอาดจิตใจก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องใส่ใจ การปฏิบัติธรรมเป็นแนวทางหนึ่ง ที่เราใช้ทำความสะอาดจิตใจ การเดินจงกลม การทำสมาธิ จะช่วยชำระล้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้หมดไปแม้จะได้เป็นบางส่วนก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หากเราจิตใจดี ความคิดของเราจะดีไปด้วย ในขณะเดียวกันถ้าความคิดเราดี มองโลกในแง่บวก นั่นก็เป็นผลมาจากจิตใจที่ดีของเรา เคยรับปากไว้ว่าจะเล่าเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมให้ทราบ วันนี้พอมีเวลาจึ่งใคร่นำเสนอการเจริญสติ เป็นวิธีที่เราสามารถนำไปปฏิบัติได้เลย ตรงนี้ได้ตัดตอนมาจากหนังสือของหลวงพ่อที่เราเคยได้สัมผัสมาเล่าสู่กันฟัง วิธีเจริญสติโดยการเคลื่อนไหว 1.การนั่ง วีธีเจริญสติในอิริยาบทนั่ง การนั่งเราจะนั่งพับเพียบ นั่งเหยียดขา นั่งขัดสมาธิ นั่งเก้าอี้ห้อยเท้าก็ได้ ให้เราเลือกนั่งในท่าที่เราถนัดเสร็จแล้ว เริ่มด้วย @เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง >>> คว่ำไว้ @พลิกมือขวาตะแคงขึ้น >>> ทำช้า ๆ ให้รู้สึก @ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว >>>ให้รู้สึก มันหยุดก็ให้รู้สึก @เอามือขวามาสะดือ >>>ให้รู้สึก @ยกมือซ้ายตะแคงขึ้น >>>ให้รู้สึก @ยกมือซ้ายขึ้นครึ่งตัว >>> ให้มีความรู้สึก @ยกมือซ้ายมาที่สะดือ >>>ให้รู้สึก @เอามือซ้ายมาที่สะดือ >>> ให้รู้สึก @เลื่อนมือขวามาที่หน้าอก >>>ให้รู้สึก @เอามือขวาออกตรงข้าง >>> ให้รู้สึก @ลดมือขวาลงที่ขาขวา ตะแคงไว้ >>> ให้รู้สึก @คว่ำมือขวาลงที่ขาขวา >>> ให้รู้สึก @เลื่อนมือซ้ายขึ้นที่หน้าอก >>> ให้มีความรู้สึก @เอามือซ้ายออกมาตรงข้าง >>> ให้มีความรู้สึก @ลดมือซ้ายลงมาที่ขาซ้าย ตะแคงไว้ >>> ให้มีความรู้สึก @คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย >>> ให้รู้สึก @ทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดชงัก เป็นวิธีเจริญกรรมฐาน กรรมคือการกระทำ ฐานคือที่ตั้ง กรรมฐานคือที่ตั้งของการกระทำหรือที่ตั้งของจิตของใจ ใคร่ขออธิบายของการทำความรู้สึกตรงนี้ไว้ดังนี้ ไหวขึ้นมาก็รู้สึก มันกะพริบตาก็ให้รู้สึกว่ากะพริบตา มันหายใจก็ให้รู้สึกว่าเราหายใจ กลืนน้ำลายก็ให้รู้สึกว่าเรากลืนน้ำลาย ให้รู้ว่ามันเคลื่อนไหวจะโดยวิธีใดก็ให้มันรู้สึก วันแรกเราจะรู้สึกน้อย ๆ ก่อน ไม่ใช่ว่ามันจะรู้สึกขึ้นมาพรึบเดียวเลย ต่อไปความชำนาญก็จะเกิด ความเร็วของสติ ความเร็วของสมาธิ ความเร็วของปัญญามันจึงจะพร้อมกัน (หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ. พลิกโลกเหนือความคิด. กลุ่มปฏิบัติเทียนสว่างธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 5 ; 2529) คราวหน้าจะมาต่อวิธีการเจริญสติในอิริยาบทยืน แล้วตามด้วยการเดิน นะคะ
9 มิถุนายน 2547 10:30 น. - comment id 74614
... น้องมัดหมี่ เปรียบดั่ง ดอกบัวขาว สอาดแวววาว งามระยับ จับแสงใส ชีวิตน้อง มีแต่ให้ ทุกคนไป เจริญวัย ไม่เคยทำ ใครช้ำตรม .....
9 มิถุนายน 2547 12:16 น. - comment id 74618
อนุโมทนาบุญ คุณ น้องมัดหมี่คะ
10 มิถุนายน 2547 22:29 น. - comment id 74645
พูดถึงหิ่งห้อย ที่บ้านพี่หาทำพันธ์ยากมาก แต่ที่ประเทศลาว ตอนค่ำบินกันมาเป็นกลุ่ม ประมาณกลุ่มละ ๑๐ ตัว กระจัดกระจาย กันไป สวยงามมากครับ ช่วงนี้ไปโพลสกลอนมีปัญหาถูกดูด เลยมีเวลาว่างแวะมาดูหิ่งห้อย การนั่งสมาธิส่วนมากก็นั่งธรรมดาไม่มีหลักอะไร ลองอ่านดูแล้ววิธีการคิดว่าคงทำได้ไม่ค่อยยาก จะพยายามลองดู ถ้าจิตใจเรามีสมาธิ คงช่วยให้สมองของเราคิดอะไรได้ทะลุปรุโปร่งเป็นแน่
19 มิถุนายน 2547 22:23 น. - comment id 74775
ชีวิตคนเราเหมือนดอกบัวเพราะฉะนั้นคนรเเลอกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะทำสิ่งดีๆหั้ยกับคนที่เรารักได้