ตอนที่ 2 ขอเปลี่ยนชื่อตัวเอกหน่อยนะครับ เพราะมีคนขอให้เปลี่ยน พุด เป็น พล นะครับ หวังว่าคุณคนในนี้ คงจะ โอเคนะครับ ^_^ เสียงฮือฮา ของคนที่อยู่ในห้องเรียนดังขึ้น หลังจากที่อาจารย์ผู้สอนเดินออกจากห้อง ทำให้ความคิดของผมที่ล่องลอยไป กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง และต่อจากนั้นเพียงชั่วครู่ เสียงออดพักเที่ยงก็ดังขึ้น ผู้คนต่างเข้าแถวรอคอยที่จะลงลิฟท์ไปยังชั้นข้างล่างอย่างหนาแน่น และดูทีท่าว่าจะแน่นมากกว่าตอนที่ผมจะขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ และก็เป็นที่แน่นอนคือ ผมต้องเดินลงกับเพื่อน ตามทางลงก็เต็มไปด้วยผู้คนอีกนั่นแหล่ะ แต่สำหรับพวกเฟรชชี่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ คงจะรู้สึกชุลมุนกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่ไม่น้อย และก็คงอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมตอนมาคนยังไม่เยอะขนาดนี้นี่นา แต่ทำไมตอนเลิกไงมันเยอะอย่างนี้ ถ้ามีน้องคนไหนเกิดมาถามผมอย่างนี้ ผมก็จะตอบว่า มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของคณะ เพราะอาจารย์ส่วนใหญ่จะชอบเช็คชื่อตอนจะเลิกเรียน นักศึกษาขี้เซาส่วนหนึ่งก็จะค่อยๆย่องเข้ามาในห้อง ด้วยเหตุผลนานับประการ รถติด ตื่นสาย ธุระทางบ้าน ฯลฯ ไม่ก็แอบเข้ามาตอนที่เบรกพักครึ่ง หรือก็ตอนที่อาจารย์ผู้สอนเผลอ และนี่ก็เป็นเรื่องปรกติของทุกๆที่ ที่เด็กๆบางคนอาจจะไม่เคยเห็น แต่คงไม่แปลกสำหรับพวกเรา และแล้วผมกับเพื่อนก็ฝ่าฟันกับฝูงชนลงมายังชั้น 1 ได้อย่างปลอดภัย ในบ่ายวันนั้นหลังจากอาหารกลางวัน เพื่อนๆของผมหลายคนต่างรีบแยกตัวออกไปเช่นกัน เพื่อที่จะไปรับเหล่าแม่คุณทั้งหลายของตัว เพราะไม่มีเรียนตอนคาบบ่าย ส่วนผมก็อยู่คนเดียวอีกตามเคย ผมเดินมานั่งตรงที่ที่นั่งเมื่อตอนเช้า กระเป๋าถูกวางลงบนโต๊ะ ความเงียบเหงาเข้ามาทักทายผม พร้อมกับสายลมอุ่นๆ ในเวลาบ่าย กระเป๋าตังค์ของผมถูกล้วงหยิบขึ้นมา กระเป๋าถูกเปิดออก ในนั้นมีภาพถ่ายสีใบเล็กๆ อยู่ตรงข้างๆบัตรประชาชน มันเป็นภาพที่ผมกับเธอถ่ายด้วยกันเมื่อกว่า 3 ปีก่อน ผมไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าผมจะอยากรู้สักเพียงไหนก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ผมไม่อาจจะลืมเธอไปได้ ไม่อาจที่จะทิ้งหรือทำลาย ในสิ่งที่เธอเคยมอบให้ ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่มีตัวตนหรือไม่ก็ตาม ผมยังคงเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากเธอ เก็บ เก็บ เก็บ และรักษาไว้อย่างดี และหยิบออกมาทำความสะอาดบ้างในบางครั้ง หลายต่อหลายคนต่อว่าผมว่า งมงายและยึดติดกับอดีต แต่ผมก็ตอบกลับไปเสมอว่าถึงแม้ว่าผมจะยึดติดกับอดีต แต่ตัวของผมก็ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอยู่เสมอ ผิดด้วยหรือที่ผมยังก้าวไปสู่วันพรุ่งนี้โดยที่มีอดีตอยู่ข้างๆกาย ผมเอามือลูบไปที่รูปใบนั้นอยู่สองสามทีแล้วจึงเก็บกระเป๋าตังค์ไปดังเดิม เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ปรากฎว่าเป็น ไอ้วุฒิเพื่อนสนิทอีกคนของผมเอง "ว่ายังไง" "เออ! พลหรอ นี่กูกลับมากรุงเทพแล้วนะ" "แล้วมึงไม่มีเรียนหรอ" "อ๋อ ที่มหาลัยกูเค้าหยุดวันสองวันน่ะ และมันติดกับเสาอาทิตย์พอดี กูเลยรีบกลับมา ว่าแต่ตอนนี้มึงอยู่ไหนเนี่ย" "มหาลัย" "ว่างใช่ไหม" "ก็...ใช่" "นั้นเจอกูที่เดิมนะ" "เดี๋ยวนี้เลยหรอ" ผมสงสัยว่าทำไมมันจึงอยากที่จะเจอผมจัง ปรกติมันไม่รีบร้อนอย่างนี้นี่น่า" "เออ รีบมานะ" "เออๆ" ผมวางสายไป แล้วจึงเก็บของแล้วรีบไป บนดาดฟ้าอาคารเรียนสมัยมัธยมของผม มีเก้าอี้ตั้งอยู่สองตัว ตัวหนึ่งถูกวางไว้เฉยๆ ในขณะที่อีกตัวมีชายคนนึงนั่งอยู่ ผมที่ยาวประบ่าของชายคนนั้นปลิวไปตามลมถึงแม้ว่ามันจะถูกรวบมัดไว้อย่างดีแล้วก็ตาม ใครก็ตามที่ได้เห็นไอ้เจ้าเพื่อนสนิทของผมคนนี้ คงคิดว่าต้องเป็นจำพวกรักร่วมเพศเป็นแน่ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆแล้วมันเป็นแค่ชายที่มีอารมณ์ศิลปินธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง "อย่าสงสัยไปเลย เรื่องของมันน่ะ" นี่คือคำที่ผมบอกเพื่อนๆคนอื่นๆ ที่มีคำถามว่า "ไอ้อารมณ์ศิลปินเนี่ยมันต้องไว้ผมยาวด้วยเหรอ" ผมค่อยเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่มันจงใจวางไว้ให้ผมโดยเฉพาะ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 4 โมงเย็นแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาที่แดดเริ่มจะตกบ้างแล้ว แต่ความร้อนที่ถูกสะสมมาตั้งแต่เมื่อกลางวัน ก็เป็นผลให้บนนี้ยังคงมีอุณหภูมิสูงอยู่บ้าง สายลมพัดพาลมเย็นๆมาเรื่อยๆ ทำให้ผมและวุฒิไม่รู้สึกร้อนมากจนเกินไป การสนทนาระหว่างเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่รู้เราคุยกันมากมายหลายต่อหลายเรื่อง เล่าเรื่องส่วนตัวบ้าง นินทาชาวบ้านบ้าง และแล้วก็มาจบที่เรื่อง "เฮ้ย พล" "ว่าไง" "มึงยังรักวา อยู่ใช่ไหม" ผมไม่ตอบ ได้แต่นิ่งเงียบไป "กูรู้ว่ามึงยังรักวาอยู่ มากซะด้วย แต่กูไม่รู้จริงๆว่ามึงรักแค่ไหนกันเชียว มึงถึงได้เป็นแบบนี้" ผมหันไปยิ้มให้ "แค่นี้มึงก็รู้เยอะกว่าคนอื่นแล้ว และมึงจะเอาอะไรอีก" ผมพยายามพูดปัดให้มันเลิกพูดถึงเรื่องนี้ซะที "เออๆ กูรู้ละ กุไม่ถามต่อก็ได้" "แล้ววาเป็นยังไงบ้าง" "นะ ทีกูมึงไม่อยากให้พูด แล้วมึงถามถึงทำไม" ผมนิ่งเงียบอีกครั้งในขณะที่มันส่ายหน้า "กูถามเพื่อนวามาแล้ว วาสบายดี มึงไม่ต้องห่วงหรอก" "อื้อ ขอบใจ" ได้รู้ว่าเธอสบายดีผมก็สบายใจ ผมถอนหายใจช้าๆ "เอ้อ กูมีของมาให้มึงด้วย" วุฒิพูดพร้อมกับที่เอามือกวานหยิบบางสิ่งในกระเป๋าออกมาแล้วยื่นให้กับผม มันเป็นรูปถ่ายของวา ตรงมุมภาพแสดงเวลาที่ผ่านมาไม่ถึงเดือน ผมจ้องดูรูปอย่างใจจดใจจ่อ ตาของเธอยังคงสดใสเป็นประกาย รอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้า คงทำให้ผู้พบเห็บรู้สึกดีไปกับเธอด้วยอย่างแน่นอน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะยังมีเหลือให้ผมอีกหรือเปล่า...ผมไม่รู้ เธอดูไม่เปลี่ยนไปเลย จะเปลี่ยนตรงที่เธอตัดผมสั้นลงกว่าเมื่อก่อนค่อนข้างเยอะทีเดียว มันทำให้เธอดูเป็นสาวเปรี้ยวขึ้นเยอะ แต่ก็ยังคงความน่ารักเหมือนเมื่อวันวานดังเดิม "ขอบใจมึงมากนะ" ผมหันไปขอบคุณมัน "ไม่เป็นไรๆ กูรู้ว่ามึงอยากได้ ถึงจะไม่ได้เจอ ได้รู้ว่าเค้าสบายดี และได้เห็นรูปบ้าง ก็คงโอเคใช่ไหม" ผมไม่ตอบได้แต่ยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ต่างฝ่ายต่างนั่งมองออกไปยังทิวทัศน์ตรงหน้า จนกระทั้งฟ้าเริ่มมืด ก็ถึงเวลาที่เราต้องแยกกันกลับ "กูถามจริงๆเถอะ วาเค้าไม่อยากเจอมึง หรือว่ามึงไม่กล้าไปเจอกันแน่" มันยิงคำถามที่ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นชุดสุดท้ายก่อนที่มันจะกลับ ผมได้แต่ส่ายหน้าแล้วยิ้มเล็กๆ มันไม่ถามอะไรต่อได้แต่บ่น "ช่างมึง ตามสบาย มีอะไรก็โทรไปละกัน" "ขอบใจมากนะ" ผมโบกมือลา ในคืนนั้น รูปของวาถูกติดไว้บนบอร์ดติดรูปที่อยู่ตรงฟากหนึ่งของห้องตรงข้ามกับเตียงของผม ผมจะทำยังไง ถึงจะหลุดพ้นจากเรื่องราวเรื่องนี้ กับความรู้สึกที่เหมือนกับการถูกมัด ผมควรจะทำยังไง ไม่ต้องเจอกันอีกต่อไปอย่างนี้ดีแล้วหรือ หรือกลับไปพบหน้ากับเธออีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ในฐานะเดิมอีกแล้ว หรือควรจะค้นหาใครคนใหม่ ผมควรจะทำยังไง คำตอบนี้อาจจะอยู่ที่ผม หรือเธอก็เป็นได้ ตราบใดที่ยังค้นหามันไม่เจอ ชีวิตของผมก็คงที่จะอยู่ในรูปแบบนี้อยู่ต่อไป แน่นอนทุกอย่าง ทุกทางล้วนเป็นการยอมรับความจริง แต่ความจริงทางไหนล่ะ จะทำให้ผมเจ็บปวดกับเรื่องราวเรื่องนี้น้อยที่สุด และทางไหนล่ะที่ดีที่สุดกับผมจริงๆ ตอนนี้ผมยังไม่รู้ แต่สักวันก็คงจะรู้ จนกว่าจะถึงวันนั้น ผมจะอดทนรอและค้นหาต่อไป แต่สิ่งหนึ่งจะไม่เปลี่ยนไป คือ ผมยังรักวาเสมอ ไม่ว่าสุดท้ายจะจบลงด้วยทางไหน ผมก็จะยอมรับมันอย่างแน่นอน หลังจากที่เดินทางทั้งวัน ความง่วง และความเหนื่อยล้าก็เริ่มก่อตัวขึ้น ผมล้มตัวลงนอนล้มตัวลงนอน และเตรียมตัวเตรียมใจไปเผชิญกับฝันร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผมอีกในคืนนี้... คืนที่ผมต้องฝันถึงเธอ... ...เธอที่จากไป... ...จากชีวิตของผม จบแล้วครับ (ผี้เสื้อตะกายดาว - ครับเป็นเรื่องสั้นๆ ชิมลางครับ ถ้าโครงเรื่องประมาณนี้ดี จะได้แก้ไขแล้วเขียนใหม่ให้เป็นเรื่องยาวครับ ยังไงก็ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยนะครับ ขอบคุณมากครับ)
28 พฤษภาคม 2547 14:33 น. - comment id 74425
อ่านแล้วซึ้งดีนะ มองเห็นภาพเลย มองเห็นความเศร้า ลึก ๆ ของพระเอกเลยหล่ะ
28 พฤษภาคม 2547 20:46 น. - comment id 74436
อยากรู้พื้นเพเดิมของพระ-นาง ว่าทำไมถึงเลิกกันจะได้อารามณ์กว่านี้ และละเอียดด้วย โครงเรื่องดีน่าอ่านน่าติดตามดีมากค่ะ
1 มิถุนายน 2547 20:00 น. - comment id 74485
เหอๆๆๆๆ หวาดดดดดดดดดดดดดดดดดี