หัวใจvsสมอง
วนัสนันท์
'ปราย พันแสง พี่สาวทางโลกอักษรของผู้เขียนเคยนำเสนอข้อความของ Francis Bacon ที่ว่า "It's impossible to love and be wise" ..เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความรัก ไปพร้อมๆ กับความฉลาด.. เอาไว้ใน "เกสรแห่งรัก" หนังสือชื่อสวย เนื้อหาละมุนละไมของสำนักพิมพ์มติชน ก็ยังนึกหน้าค่าตาเจ้าของวาทะนี้ไม่ออก แต่วินาทีแรกที่ได้อ่าน เห็นด้วยจนสุดหัวใจ วินาทีต่อมาถึงฉุกคิดว่า เออแฮะ...มีความรักไปฉลาดไปไม่ได้เชียวรึ ซึ่งถ้าจะลองมาคิดพิจารณากันให้ถี่ถ้วนแล้ว เราจะพบว่า ในโลกของนามธรรม ความรักมักถูกแทนด้วยเรื่องของหัวใจ และความฉลาดมักถูกแทนด้วยเรื่องของสมอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะความรักหรือความฉลาด ต่างก็มีที่มาจากส่วนสมองของคนเราทั้งนั้น ข้อแตกต่างน่าจะอยู่ที่ว่า ความฉลาดถูกกลั่นกรองมาจากสมองซีกเหตุผล แต่ความรักถูกกลั่นกรองมาจากสมองซีกที่เป็นอารมณ์ เพื่อความชัดเจนและง่ายต่อการจัดลำดับความคิดของผู้เขียน ซึ่งเป็นคนฟุ้งซ่านขั้นปานกลาง จึงจะขอใช้วิธีคิดพิจารณาข้อเท็จจริงด้วยคำถาม
1.ทำไมความรัก จึงต้องอยู่คนละฟากกับเหตุผล?
-ข้อนี้พี่ชายหัวใจสีชมพูของผู้เขียนเคยให้คำตอบเอาไว้ว่า ก็เพราะความรักมักทำให้คนไร้เหตุผล ไม่ว่าจะด้วยมนต์ขาวมนต์ดำประการใดก็เหอะ มนุษย์นิยมเหตุผลหลายๆ ประเภทจึงมักตั้งข้อจงเกลียดจงชังความรักเอาไว้ในมุมของจิตใจ ซึ่งแท้จริงแล้วคนกลุ่มนี้หวาดกลัวกับการควบคุมตัวเองไม่ได้ ความรักจึงถูกยกเป็นปรปักษ์กับเหตุผล บ่อเกิดของความฉลาดด้วยประการฉะนี้แล...
2.รักไปฉลาดไปได้หรือไม่?
-จากการรวบรวมข้อมูลมานานนับแรมปี ได้ข้อสรุปออกมาว่า ได้บ้าง...แต่ไม่ทั้งหมด แต่บางคนที่อินกับรสหวาน มัน ขม กับชีวิตขนาดหนัก อาจถึงขั้นไม่ได้เลย ซึ่งในข้อนี้อาจอ้างอิงได้ด้วยสำนวนน้ำเน่าดังต่อไปนี้
2.1 ความรักทำให้คนพิการ แยกอาการออกมาได้หลายประเภท อาทิเช่น ความรักทำให้คนตาบอด..ซึ่งอาการคงคล้ายๆ กับเบาหวานขึ้นตา ทุกอย่างพร่ามัว เห็นโจรเป็นเทพบุตร นางมารเป็นนางฟ้า ได้อย่างง่ายดาย ความรักทำให้คนหูหนวก...เกิดอาการฟังกระแสสังคม คนรอบตัวไม่ได้ศัพท์ ด้วยจิตกระหวัดคิดถึงใครคนนั้นอยู่ตลอดเวลา บางรายอาการหนัก อาจถึงขั้นฟังคำว่ากล่าวตักเตือน หรือคำวิจารณ์คนรักของตนเองไม่รู้เรื่อง เข้าหูซ้าย ทะลุออกไปทางหูขวา(ความรักอุดช่องทางเสียงขึ้นสมองไว้อยู่) ความรักทำให้คนร่างกายอ่อนแอ ขาดความมั่นใจกระทันหัน...อาการส่วนใหญ่จะเป็นในเชิงต้องการการดูแล ข้ามถนน...จูงมือหน่อยสิ จะกินข้าว..ป้อนๆๆ เป็นต้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นผลมาจากอาการความรักเข้าไปทำลายต่อมเหตุผล ซึ่งอ้างอิงข้อมูลได้จากข้อ 1
2.2 ความรักทำให้โลกเป็นสีชมพู ในข้อนี้บางท่านอาจจัดรวมเข้าไปอยู่ในข้อ 2.1 กลายเป็น ความรักทำให้ตาบอดสี แต่ผู้เขียนขอแยกออกมาตั้งเป็นอีกประเด็นเพื่อความชัดเจน ด้วยถ้าจะว่าตามความเป็นจริงแล้ว โลกของคนเราจะมีความสามารถคล้ายๆ กิ้งก่า เปลี่ยนสีไปตามสถานะการณ์แวดล้อมในแต่ละเวลา เวลาเศร้าอาจกลายเป็นสีเทาช้ำเลือดช้ำหนอง เวลาสดใสอาจกลายเป็นสีส้มสะท้อนแสง หรือบางคนอารมณ์ตั้งอยู่บนความจริงก็อาจเป็นไปได้ที่มีหลายสีปนๆ กันในคราวเดียว แต่ความรักมักมีคุณสมบัติเหมือนผ้าสีตก ซักแล้วลามปามไปครอบงำสีสันของผ้าตัวอื่น เมื่อมุมมองไร้ความหลากหลาย ต่อมฉลาดเลยชำรุดไปโดยปริยาย
2.3 ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ คำถามแบบกำปั้นทุบดิน(ของคนยังไม่เคยมีความรัก) จึงมีอยู่ว่า รู้ว่าทุกข์ แล้วจะรักทำไม... ในขณะที่คนเคยมีความรักจะยึดคติที่ว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น จากความแตกต่างนี้ จึงอาจอนุมานได้ว่า ความรักทำให้คนสติสัมปชัญญะเสียไปบางส่วน สูญเสียหลักการพิจารณาผลได้ผลเสีย จึงออกมาในแนว ทุกข์ไม่ว่าขอข้าได้รัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องฉลาดตามหลักเศรษฐศาสตร์การใช้ชีวิต
3. ทำอย่างไรจึงจะรักไปโง่ไปได้อย่างมีความสุข?
-แยกแนวทางออกได้ 3 วิธี ดังนี้
1.พยายามโง่ให้น้อยที่สุด แนวนี้เหมาะสำหรับพวกนิยมเหตุผลที่ริอาจมีความรัก คุณต้องพยายามสร้างความสมดุลระหว่างหัวใจกับสมอง นับ 1 ถึง 10 เข้าไว้เมื่อเริ่มเกิดอาการตาพร่ามัว หูไม่ได้ยินเสียง ตั้งสติ และระมัดระวังสัมปชัญญะของตัวเองมิให้ถูกความรักครอบงำ ประดุจเสือผู้หญิงระวังโรคเอดส์ คุณจะได้ไม่รู้สึกว่าสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป รักบ้าง โง่บ้าง มีเหตุผลบ้าง ก็น่าจะมีความสุขได้ตามอัตภาพ
2.ยอมรับเหตุการณ์และลื่นไหลไปตามจังหวะความรักอย่างระมัดระวัง วิธีนี้เหมาะกับพวกที่อยู่ตรงกลางระหว่างข้อ 1 กับข้อ 3 ซึ่งคนกลุ่มนี้มักมีส่วนผสมระหว่างสมองกับหัวใจในระดับกลมกล่อม (จะมีสัดส่วนของอะไรมากน้อยขึ้นอยู่กับมาตรฐานของแต่ละบุคคล) จึงไม่ค่อยใส่ใจจุดยืนของตัวเองมากนัก แต่ก็ยังพอมีสติสัมปชัญญะในการควบคุมแนวทางเป็นของตัวเอง การรักๆ โง่ๆ ไปตามจังหวะ จึงเหมาะสมที่สุด
3.Follow your heart ทำตามหัวใจไปเล้ย... ข้อนี้มันส์สุด และเหมาะสุดกับพวกโรแมนติกนิยม ซึ่งไม่เห็นเรื่องอาการโง่เพราะรักเป็นเรื่องเสียหาย และนิยมความหลากหลายในชีวิต วิธีนี้จะส่งผลให้ผู้ใช้เกิดอาการสุดๆ สุขสุดๆ ทุกข์สุดๆ ตามแต่ฟ้า ดิน จะบันดาลไป ตามสถิติแล้ว คนกลุ่มที่ใช้วิธีนี้จะมีสภาพหัวใจและสมองสะบักสะบอมที่สุด จากการตรากตรำความสุดๆ มาขนาดหนัก ตามสำนวน(ของใครไม่รู้) ที่ว่าไว้ว่า เรื่องมันส์ๆ มักอันตราย
*หมายเหตุ ผู้เขียนไม่รับรองผลสำเร็จของแนวทางข้างต้น เนื่องด้วยยังอยู่ในขั้นทดลองไปเรื่อยๆ อยู่เช่นกัน ซึ่งถ้าใครได้ผลเป็นทฤษฎีแล้ว ช่วยกรุณามาให้ความแน่นอน จะถือเป็นพระคุณมาก..
จากคำถามและคำตอบข้างต้น เราจึงสรุปอย่างไม่เป็นทางการได้ว่า คนเรามักมีหัวใจอยู่คนละส่วนกับสมอง แต่รักไปโง่ไป มีความสุขไปได้...ไม่ยากอะไร สำหรับคนที่มีแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง
ขอความรักจงใจดีกับผู้ที่อดทนอ่านจนจบทุกคน....ขอบคุณค่า