ไม่เคยคิดว่าจะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ หลุดพ้นจากทิฐิมานะที่มี แต่เหมือนกับเราเคยสร้างสมบุญมาบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีอะไรชักนำให้มาเจอสิ่งที่เราคิดว่า ไม่จำเป็นไม่สำคัญ เราเคยคิดเสมอว่า การทำบุญ แค่ตักบาตร ทำทาน ก็คงได้บุญ จริง ๆ แล้วไม่ใช่หรอกนะคะ การทำบุญหากสักแต่ทำ ทำตามกระแสสังคม ทำเพื่อมีหน้า มีตา มีชื่อเสียงในสังคม นั่นเหมือนเราทำบาป บาปเพราะอยากได้บุญ มันไม่หักล้างกันได้ เคยอ่านหนังสือเจอเกี่ยวกับเรื่องการนับคะแนนของการทำบาปทำบุญ เช่น ถ้าฆ่านก 1 ตัว เราจะติดลบเท่าไหร่ ให้เงินคนหนึ่งบาทเราจะได้บุญเท่าไหร่ นั่นเป็นเหมือนอุบายให้เราทำบุญ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำเผยแพร่เพื่อให้คนทำบุญค่ะ การทำบุญหากเราทำด้วยใจจริง ๆ มันสุขมาก เรามี 1 บาท เราทำบุญ 1 บาท ไม่ฝืนใจ เต็มใจที่จะทำบุญ ไม่คำนึงถึงว่าเงินที่เราทำบุญเค้าจะเอาไปใช้ตรงจุดประสงค์หรือเปล่า เราจะมีสุข สุขก็คือได้บุญ เพราะหากเราเกิดห่วง หรือกังวลตรงนี้ก็เหมือนกับเราไม่สบายใจแล้ว นั่นก็หมายถึงว่า เราไม่ได้บุญ นี่ก็นอกเรื่องมากอะ เข้าเรื่องดีกว่านะคะ เช้าวันหนึ่ง แม่เรียกให้ไปใส่บาตร ก็อิดออดอยู่นั่น ยังไม่แต่งตัวบ้าง ยังไม่อาบน้ำบ้าง สารพัดที่จะอ้าง เพราะไม่มีใจจะไปใส่บาตร คนเราหากมีเรื่องขุ่นมัวในใจ ให้อย่างไรก็ไม่มีจิตใจจะทำอะไร จริงป่าวคะ สุดท้ายวันนั้นก็ไม่ได้ใส่บาตรเหมือนวันก่อน ๆ ที่ผ่านมา แต่.ห้าโมงตรง(ห้าโมงเช้านะคะ) ก็มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน แม่ก็จัดการต้อนรับอย่างดี มาทราบที่หลังว่าแม่นิมนต์ท่านมาฉันท์เพลที่บ้าน เพื่อให้ท่านเทศน์ให้ฟัง เราเองตอนนั้นก็ออกนอกห้องมาเพื่อทำธุระชั้นล่าง แม่ก้อเลยจับนั่ง บอกว่าให้เรารอแป๊บหนึ่ง เพราะสิ่งที่เราอยากได้มันวางอยู่ด้านหลังพระท่าน ให้ท่านฉันเพลเสร็จก่อน ค่อยเข้าไปเอา เราก็นั่งลง ฟังท่านเทศน์ ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยอะ เข้าหูซ้าย ทะลุหัวขวา ออกปากบ้าง (ก็มันออกมากับการหาวของเราน่ะ) เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ในใจคิดรำคาญ เมื่อไหร่ ท่านจะเสร็จเสียที คือตัวต่อต้านมันเยอะค่ะ (ทิฐิมานะ) กว่าท่านจะเทศน์เสร็จก็กินเวลาตั้งเกือบชั่วโมง ท่านค่อยได้ฉันท์เพล ก่อนกลับท่านหันมามองเรา เหมือนกับทราบว่าเราต้องการอะไร ท่านบอกว่าโยมยังอยากจะได้อยู่รึ เข้าไปเอาน๊ะ อาตมา กลับก่อน เนี่ยก็มานั่งเสียนาน เข้าไปหยิบแล้วก็ขึ้นข้างบนเถอะ คงเห็นเรานั่งกระสับกระส่าย ไร้จิตไร้ใจกระมัง ไม่ได้คิดอะไรมากตอนนั้น หยิบของเสร็จก็เข้าห้อง ตอนที่นั่งเขียนหนังสือ มันแว็บเข้ามา เอรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเข้าไปหยิบของ ทีนี้เสียงเว้ด ๆ ก็ดังก้องบ้าน แม่จ๋าาาาาาาาาาาาาาา แม่อยู่ไหน แม่จ๋าาาาาาาาาาา คุณแม่เจ้าคะ ไปไหนก็ไม่รู้ เลยไม่ได้คำตอบ เพราะในใจกะจะถามแม่ว่า แม่บอกท่านหรอว่าหนูจะเข้าไปเอาของ วันรุ่งขึ้นท่านก็มาอีกเหมือนเดิมค่ะ ที่นี้เราสนใจ ถามแม่ไม่ได้ ถามพระนี่แหละ ดูรึจะตอบเราอย่างไร เหมือนเดิม ท่านก้อเทศน์ไปตามเรื่องเราก็ยังไม่มีโอกาสจะถามเพราะญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านนั่งกันเต็มบ้าน ท่านฉันท์เพลเสร็จก่อนจะกลับท่านบอกเราเลยว่า สิ่งที่จะถาม ไม่ต้องถาม หากอยากจะทราบคำตอบจะมาตอบวันพรุ่งนี้ ยังคงเหลือกิจที่บ้านหลังนี้อีก 1 วัน เออแนะท่านทราบอีกแฮะว่าเราจะถาม พระรูปนี้ยังไง ๆ ยังหวา วันที่สาม แม่มาหาที่ห้องแต่เช้าบอกว่า วันนี้เป็นวันสุดท้าย แม่อยากให้เราตั้งใจฟังซักหน่อย ลูกคงไม่ทราบ ที่แม่นิมนต์ท่านมาที่บ้านเราไม่ใช่เพื่อแม่ เพื่อญาติพี่น้อง หรือเพื่อนบ้าน แต่แม่ทำเพื่อเราน๊ะ พรุ่งนี้ท่านจะธุดงค์แล้ว ตั้งใจฟังหน่อยน๊ะลูก เราก็รับปาก เพราะไหน ๆ ก้อแค่วันเดียว วันนี้ค่อนข้างสนใจเอาใจใส่ เพราะความที่ยังมีเรื่องคั่งค้างในใจอยากจะถามท่าน อยากจะทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราต้องการหยิบของข้างหลังท่าน อยากจะทราบว่า ท่านทราบได้อย่างไรว่าเราจะถามท่านเรื่องวันก่อน ๆ คำที่ท่านเทศน์วันนี้ไม่ทะลุหูขวาอีกแล้ว เข้าหูซ้ายผ่านกระบวนการกลั่นกรอง ผ่านเข้าใปในความคิด ไม่ทะลุปากเพราะไม่ได้หาวเหมือนวันก่อน ๆ เราแค่สุขนิด ๆ ที่ได้ยินได้ฟัง ท่านบอกว่า อดีต เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง อย่าไปคิดถึง จงอยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เราได้แต่ถามตัวเราว่า เราเป็นแบบที่ท่านพูดหรือเปล่า คำถามที่ต้องการจะถามเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ไม่ได้ถามในสิ่งที่อยากรู้ ไม่ได้ถามในสิ่งที่ข้องใจ แต่ถามท่านว่า ท่านมาจากไหน และจะไปที่ใด ท่านตอบว่า หากโยมพอมีเวลาว่าง ไปที่วัดป่าช้า ไปหาหลวงพ่อ......น๊ะ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเอง ตอนนั้นคิดในใจว่า ทำไมท่านพูดนุ่มนัก ทำไมท่านเดินเบานัก ทำไมท่านถึงได้สำรวมกิริยาอาการได้ดีนัก คำพูดท่านแม้จะเหน่อ ๆ พูดทำนองอีสานเหนือ เรายังพอฟังเข้าใจ อืมม..ทุกสิ่งที่ค้างในใจ เราจะลองไป อยากไป ความอยากมันวิ่งพล่านเต็มสมองอะที่นี้ ผ่านมาอีกช่วงหนึ่งแล้วนะคะ นี่เป็นเพียงสาเหตุที่ทำให้เราหันหน้าเข้าหาพระธรรม และตอนต่อไปเราจะเล่าถึงเรื่องที่เราไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าช้าให้ฟัง เป็นความรู้สึกจริง ๆ สัมผัสจริง ๆ ที่เกิดขึ้นตอนนั้น แม้จะนานก็ยังจำได้ ไม่ลืม ทุกวันนี้ก็ปฏิบัติบ้างแต่ห่าง ๆ สิ่งแวดล้อมมันค่อย ๆ กลืนเราน่ะ
23 เมษายน 2547 10:56 น. - comment id 73477
ผมชอมมาก ผมจะตามอ่าน ผมก็มีพระอาจารย์ในวัดป่าช้าคล้ายกันด้วย ที่อ.กุสุมาลย์จ.สกลนคร ผมได้บวชที่นั่น เพราะฟังท่าน เพียงเดือนเดียวก็ถือว่ามีบุญ
23 เมษายน 2547 11:02 น. - comment id 73478
... ชอบมากครับ รออ่านต่อครับ ...
23 เมษายน 2547 20:02 น. - comment id 73490
เพราะค่ะพี่มัด มะก่อนแอมก็เข้าวัดบ่อยๆเวลาแต่เดี๋ยวนี้เรียนจนไม่ค่อยมีเวลาเลยค่ะ จะตามอ่านเรื่องของพี่นะคะ ^-^
24 เมษายน 2547 00:20 น. - comment id 73497
ได้รู้ซึ้งถงธรรมแล้วนะ เขีบนได้ดีอธิบายเรียงเรียงได้ดีนะครับ มัท อานแล้วรู้สึกดี
24 เมษายน 2547 09:18 น. - comment id 73511
สมัยผมเป็นเด็กของ ฟรี ที่ผมไม่ชอบ คือ ฉีดยา และ ฟังเทศน์ ก็คิดตามประสาเด็กครับ ช่วงนี้คงบุญมีแต่กรรมมาบังตาไว้ ตอนต่อไปคิดว่าเมฆหมอกมึดสลัวคงจางหายไป ก็อยากรู้เหมือนกันครับ การปฏิบัติธรรมทำอย่างไรบ้าง รู้ไว้อาจนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เป็นได้ครับ
24 เมษายน 2547 14:47 น. - comment id 73542
น่าอ่านมากค่ะ คุณมัทนี้ มิใช่จะเขียนกลอนหวานกลอนรักเท่านั้นนะคะ ใจช่างมีดี
24 เมษายน 2547 22:46 น. - comment id 73581
ชอบค่ะ จะติดตามนะคะ