*+*+*+หมาในอยากออก หมานอกอยากเข้า ตอนที่ 4 *+*+*+
13 นางมาร
ณ. ร้านหนังสือร้านโปรดของออน ระหว่างที่รอให้ฝนข้างนอกหยุดตกเพื่อจะได้ออกเดินทางต่อ
ตั้งใจมาร้านหนังสือ เพื่อมาหาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัข และหาข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิทยาการเลี้ยงเด็ก เพื่อจะได้นำไปต่อกร กับลูกโชกุล ที่ตอนนี้ แผลงฤทธิ์ ทำตัวมีปัญหาอย่างหนัก ส้มโชกุลไม่ต่างกับเด็ก 4-5 ขวบที่มีปัญหาเลย พักนี้โชกุล พังข้าวชอง กัดต้นไม้ ขวิดกระถางต้นไม้ อาละวาดไม่ยอมกินข้าว และอีกมากมายที่โชกุลได้สร้างวีรกกรมไว้
ต้องการให้ช่วยหาหนังสือเรื่องอะไรไหมครับ เสียงจากพนักงานขายถามออน คงเห็นออนก้มๆเงยๆ หาอะไรบางอย่างตามชั้นหนังสือ
ออนยิ้มพร้อมกับนึงถึงครั้งแรกที่ออนมาเป็นลูกค้า และได้ยินประโยคนี้ ..
บ่ายวันนั้น วันที่นัดเพื่อนไว้ที่ห้างสรรพสินเค้าแห่งหนึ่งละแวกลาดพร้าว เพื่อนโทรมาบอกว่ากำลังฝ่าการจราจรมาอยู่ให้ออนเดินเล่นไปก่อน เดินดูร้านโน้นร้านนี้เรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีจุดหมายว่าจะซื้ออะไร
เดินผ่านร้านหนังสือ ร้านหนึ่ง อยู่ชั้น 3 เยื้องๆ ร้านขายผ้า kikoya ไม่ห้างจากร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจินัก
เดินเข้าไปในร้าน ดูจากข้างหน้า ร้านนี้ไม่ได้ใหญ่ มากมาย หน้าร้านมีการวางหนังสือจัดอันดับไว้
ฉันเดินตรงไปยังมุมนิยาย มองหา หนังสือนิยาย ของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม เรื่อง กิ่งไผ่-ใบรัก ด้วย ว่าเคยเช่ามาอ่านแล้ว ติดใจ จึงอยากได้มาเป็นสมบัติในใจคิดว่าไม่เจอก็ไม่เป็นไร ว่างๆค่อยไปหาซื้อ แล้วฉันก็ได้ยินเสียง พนักงานในร้านบอกว่า
" ต้องการให้ช่วยหาหนังสือเรื่องอะไรไหมครับ " น้ำเสียงนั้น เต็มไปด้วย พลังของผู้มีใจในการบริการ
ฉันเงยหน้าจากการ ไล่ตัวอักษรบน สันบก มองหน้าคนพูด ฉันเห็นเค้ายิ้ม สีหน้าแสดงความต้องการที่จะช่วยลูกค้าสุดฤทธิ์ ด้วยความปากไว ฉันแกล้งพูดเล่นไปว่า
"บอกแล้วจะหาเจอหรอค่ะ " ฉันแกล้งย้อนกลับ นึกในใจว่าเรื่อง กิ่งไผ่ใบรัก นิยายเล่มเดียวจบ นายคนนี้จะรู้จักหรอ หรือไม่งั้นบอกไปก็คงไม่มีเพราะว่าฉันหาซื้อตามร้านหนังสือใหญ่ๆ หลายร้านแล้วยังไม่มีเลย
" บอกมาเถิดครับ จะช่วยหาให้ " พนักงานสวนกลับทันควัน
" เรื่อง กิ่งไผ่ ใบรัก ของ ปิยะพร ค่ะ มีไหม " ฉันบอกชื่อหนังสือที่ต้องการ
" รอสักครู่น่ะครับ " พนักงานหายไปสักพัก จนฉันนึกว่า เค้าคงจะลืมไปแล้ว
ฉันรอสักพักก็เห็นพนักงานคนนั้น ไปตามพนักงานหญิงมา เปิดตู้ ที่อยู่ใต้ชั้นโชว์หนังสือ
2 คนช่วยกันรือค้น หนังสือตั้งแล้วตั้งเล่า ถูกลำเลียงออกมาจากตู้ที่ ฉันคาดว่าคงเป็น Stock เก็บหนังสือ จนรอบกายของทั้งสอง มีหนังสือนิยายมากมายกองเต็มไปหมด ฉันเริ่มรู้สึกเกรงใจ
" ถ้าหาไม่เจอก็ไม่เป็นไรน่ะค่ะ" ฉันพูดพร้อมส่งยิ้มให้
พนักงาน 2 คนบอกว่าเคยเห็นเหลืออยู่ 1 เล่ม เพียงแต่มันอยู่ด้านในสุด ทั้งสองยังคงลำเลียงหนังสือออกมากเพื่อจะได้หยิบหนังสือด้านในได้ จนกระทั้งหนังสือเกือบหมดตู้ ก็เจอหนังสือที่ฉันต้องการ จากนั้น
พนักงานหนุ่มคนเดิม บอกฉันว่า ชอบผลงานของ ปิยะพร ให้เดินมาดู ตรงนี้
มีผลงานของเธออยู่ 6 เรื่อง แล้วก็แนะนำให้ว่าเรื่องนี้ น่าอ่าน
วันนั้น ฉันเลยต้องควัก สตางค์ ซื้อ หนังสือเล่มนั้น มา พร้อมความประทับใจใน
ความกระตือรือร้นของพนักงานในการช่วยเหลือลูกค้า
หลังจากนั้นอีกหลายครั้งที่ออน ทดสอบคุณภาพของการบริการ ก็ปรากฎว่าทุกครั้ง ออนไม่เคยผิดหวัง
แต่วันนี้ต่างไปจากเดิม เมื่อออนได้ยินเสียงเดิม ออนหันไปบอกพนักงานว่า
ไม่เป็นไรค่ะ ยังไม่รู้จะหาเรื่องอะไรดี พร้อมส่งยิ้มให้ ในใจคิดว่า คงจะเปิดดูไปเรื่อยๆ เพราะว่าคงไม่มีหนังสือเรื่อง หมามีปัญหาออกมาขาย
ออนเดินไปมุมจิตวิทยา เปิดหนังสือพร้อมหาบางบทที่สามารถนำมาใช้กับน้องหมาได้
ออนไปเจอประโยคหนึ่ง ที่น่าสนใจ เค้าบอกว่า การที่เด็กทำตัวมีปัญหาก็เพราะว่าเค้าต้องการเรียกร้องความรัก ความสนใจจากพ่อแม่ คิดในใจว่าก็ถูกต้องเลย เหมือนที่หลายๆคนบอกว่า ให้ออนใส่ใจส้มโชกุลให้มากขึ้น
เรื่องบางเรื่อง ราวบางราว ดูเหมือนเราเองก็รู้อยู่แก่ใจดี อยู่ว่าควรทำอย่างไร คิดคิดดูก็เหมือนเรื่องการออกกำลัง ใครๆก็รู้ว่าเป็นสิ่งดีที่ทำให้ร่างกายเข็งแรง เราควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 6 ช.ม. เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงไม่มีโรคภัย และให้ฮอร์โมนแห่งความสุขออกมาหล่อเลี้ยง ให้สมองคลายเครียด ให้ไขมันสลายไปจากร่างกาย เราเกือบทุกคนรู้ดี แต่จะมีสักกี่คนที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอได้ตามทฤษฎี ประโยคที่ได้ยินเสมอจากคนรอบกายคือ ไม่มีเวลา สำหรับตัวเองแล้วฉันจะรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้เห็นใครใช้คำว่า ไม่มีเวลามาอ้าง เวลาที่เค้าไม่ได้ทำอะไร หรือว่าไม่ได้ใส่ใจในเรื่องใด เพราะความจริงแล้วเวลาของคนเรามี เท่ากัน 24 ช.ม. มันอยู่ที่ความใส่ใจต่างหาก หากคุณใส่ใจอยากทำ เวลามันจะมีเอง ไม่ต้องไปหาให้เหนื่อย
ออนกลับมาถึงบ้านแล้ว เจ้าโชกุลยังคงมาตะกุย ให้การต้อนรับเหมือนเคย ถ้าพูดได้มันคงจะบอกว่า ดีใจที่เจ้านายกลับมาแล้ว มาเล่นกับผมหน่อยครับ ผมเหงา หลังจากเข้าบ้านเก็บกระเป๋า เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้ว ออนก็ออกมานั่งเล่นที่ม้าหินตรงสนามหญ้า ข้างกายมีโชกุลนั่งทำตาโปน หูลีบไปทางด้านหลัง
โชกุลลูก พี่ออนมานั่งเล่นกับโชกุลน่ะลูก พูดพลางดึงตัวโชกุลมาชิดข้างลำตัว แล้วเอาแขนโอบรอบตัวมัน โชกุลมองหน้าออนอย่าง งง งง
เหงาไหมลูก โอ๋ โอ๋ พี่ออน ขอโทษน่ะที่ไม่ได้ดูแลลูกโชกุล ไม่ได้พาไปวิ่งเล่น ไม่ได้อยู่ให้ข้าวให้น้ำ บางครั้งการขอโทษหมาก็ทำให้เรารู้สึกดีได้อย่างประหลาด ออนมองหน้าโชกุลพร้อมทำหน้าสำนึกผิด นึกถึงวัน เวลาที่ผ่านที่ล่วงเลยไป วันจันทร์ ถึงวันศุกร์ เป็นวันทำงานออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงเช้า ตะลุยงานจนถึงเวลาเลิกงาน 5 โมงครึ่ง และก็เหมือนบริษัทเอกชนทั่วไปที่นายจ้างจะพึงใจหากเห็นลูกน้อง กลับค่ำๆ มาไวๆ ทำงานให้คุ้มเงินมากที่สุด
ลูกโชกุลรู้ไหมลูกวันจันทร์ ถึงศุกร์ หากพี่ออนก็อยากจะกลับเร็ว เลิกงานปั๊บ พี่ออนก็อยากจะเผ่นออกจากที่ทำงาน พี่ออนทำงานมาหลายปีเท่าที่จำได้มีเพียง 2 วันที่พี่ออนได้พยายามออกจากที่ทำงานตอน 5 โมงครึ่ง พี่ออนทำได้ แต่วันนั้น พี่ออนกลายเป็นตัวประหลาดในที่ทำงาน ใครๆ พากันทักว่า กลับแล้วหรอ แหม วันนี้ กลับเร็ว พี่ออนเหมือนเป็นนักโทษ ที่ทำความผิดหลบลี้ออกจากที่คุมขัง และ 2 วันนั้นเมื่อพี่ออนออกจากที่ทำงานได้ ก็ตรงไปยังรถขับออกไป เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมลูก โดยปรกติพี่ออนจะออกจากทื่ทำงานก็มึดค่ำ ทุ่ม สองทุ่ม พี่ออนคงจะลืมไปว่า การกลับบ้านเวลา 5 โมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่ประชาชนพร้อมใจกันเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านนั้นมันเป็นอย่างไร รถติดเป็นแพเริ่มตั้งแต่ประตูลานจอดรถ กว่าจะฝ่าแยกสะพานควาย ซึ่งคนขับต้องใช้ความอึดยิ่งกว่าควายนั้น ก็ราวๆ ครึ่งช.ม. ต่อจากนั้น ต้องมาฝ่าอีกหลายด่าน กว่าจะถึงบ้าน
โชกุลเชื่อไหมลูก พี่ออนใช้เวลาบนถนน 2 ช.ม. เชียวในการคลานกลับบ้าน
และในทางกลับกันถ้าพี่ออนอยู่ต่อที่ทำงานจนถึง ทุ่มกว่า ผู้คนบนท้องถนนจะโล่งจนไม่น่าเชื่อ พี่ออนจะใช้เวลาในการซิ่งเพียง 45 นาที โชกุลแปลกใจใช่ไหมลูก ว่าทำไมเวลามันถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้
จะพูดให้ง่ายๆ ก็คือ ช่วงเวลา 6 โมงเช้าจนถึง 8 โมงเช้า และช่วง 4 โมงเย็นจนถึง 6 โมงเย็น เค้าเรียกกันเวลาเวลาเร่งด่วน เป็นเวลาที่ทุกคนจะเอายานพนะ ออกมาขับขี่เพื่อพาตัวเองไปในที่ที่ต้องการ
เด็กนักเรียนเริ่มตั้งแต่ อนุบาล ก็ต้องมีพ่อแม่ขับไปส่งจนถึงหน้าประตูโรงเรียน ไม่ใยที่รถแถวนั้นจะติดกันเป็นแพ เพียงเพราะว่า พ่อเม่จะต้องเดินไปส่งลูกจนถึงมือครู โตมาจนกระทั่งวัยรุ่น ก็ต้องเดินทางไปโรงเรียน ไปหมาวิทยาลัย จนวัยทำงานที่ต้องเดินทางไปยังบริษัทที่ตัวเองได้เอาหยาดความคิดแลกกับเงินตรา ทำงานหรือทำธุรกิจการต่างๆ จนเย็น ได้เวลากลับบ้าน เหมือนน้ำในเชื่อนที่ทะลักออกมา พร้อมกัน ใครๆ ก็อยากเดินทางกลับบ้าน พักผ่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดในความคิดของออน รถจะติดมากถึงมากที่สุด ออนพูดกับโชกุลซึ่ง
ตั้งใจฟังออนพูดเป็นอย่างดี
ตี๊ด ตะ ระ ริด ติ๊ด ติ๊ด ตา ต้ำ ตะ ริด เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ออนผละจากโชกุล ไปรับโทรศัพท์
สวัสดีค่ะ ออนพูดค่ะ ยิ้มก่อนกดรับออนเห็นชื่อและเบอร์ที่ปรากฎอยู่แล้วว่าเค้าคือใคร
น้องออน ทำอะไรอยู่ เสียงส่งมาตามสาย ที่ต้นทางคนพูดนั้นเป็นชายหนุ่ม หน้าคมเข้ม รูปร่างกำยำ ออกจะล่ำที่กล้ามเนื้อพุง ผิวสองสี
พี่พล น้องออนกำลังคุยกับโชกุลอยู่ค่ะ เรื่องที่โชกุลเป็นหมามีปัญหา
แล้วพรุ้งนี้ออนจะว่างไหม ที่พี่ชวนไปงานแสดงสินค้าแถวเมืองทอง อีกสายไม่มีทีท่าว่าจะสนใจในเรื่องที่ออนกำลังพูด
โชกุล ดีใจใหญ่เลยที่วันนี้ออนอยู่เล่นกับมันล่ะพี่ ออนไม่เห็นว่าจะต้องตอบคำถามคนที่ไม่ให้ความสนใจกับเรื่องที่ออนพูด
มันเป็นแค่หมา น่ะ ออนจะไปคุยกับมันรู้เรื่องได้อย่างไร พี่พลนี่ที่ออนควรจะพูดให้รู้เรื่อง
พี่พล คะถึงมันจะเป็นหมา แต่มันก็ตั้งใจฟังที่ออนพูดมากกว่าคนบางคนน่ะค่ะ
ตู๊ด ตู๊ด ๆๆๆๆ..
ออนกดวางสายและกดปุ่มปิดมือถือ รุ้จักคนอย่างออนน้อยไป สำหรับคนไม่มีมารยาท ออนไม่อินังขังขอบที่จะต้องรักษามารยาท รู้ดีกว่าอีกฝ่ายจะต้องโกรธมากที่ออนทำลงไป หันมาคุยกับโชกุลต่อยังจะสนุกกว่า
โชกุลเห็นไหม ลูกพี่ออนพูดกับลูกมาตั้งนาน ก็ไม่เห็นโชกุลจะขัดคอ หรือไม่ตั้งใจฟัง
โชกุลเหมือนจะรู้ จึงเอาลิ้นมาเลียมือออน ใครว่าหมาคุยไม่รู้เรื่อง หมาพร้อมจะตั้งใจฟังและรับรู้อารมณ์ ของเจ้าของ หมาเป็นผู้ฟังที่ดี หมาไม่เคยเอาเราไปนินทา ไม่เคยเอาความลับของเราไปบอกต่อ ในขณะที่คนตรงข้ามกับหมาทุกอย่าง บางทีในหมู่หมาด้วยกันเวลามันด่าเพื่อนหมาที่ทำตัวไม่ดี มันคงด่าว่า ไอ้ปากคน คงจะเป็นคำด่าที่เจ็บแสบที่สุดใครจะรู้
อึ้ม นึกออกแล้ว พี่ออนจะสัญญากับโชกุลว่า ต่อไปนี้ ใน 1 อาทิตย์พี่ออนจะต้องหาเวลาพาโชกุล ออกไปวิ่งเล่นหน้าบ้าน อย่างน้อย 1 ช.ม. และทุกวันเวลาพี่ออนกลับจากที่ทำงานจะพาโชกุลเข้ามาเล่นในบ้านประมาณ 10 นาที ดีไหมลูก ออนบอกโชกุล ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่านอนหมอบ แต่ทำหูตั้งคอยฟังเสียงออน
ตกลงตามนี้น่ะ พี่ออนจะรักษาสัญญา มาจับมือกัน โชกุลเปลี่ยนเป็นท่านั่งออนจับมือมันข้างหนึ่ง แล้วเขย่า ตีนของมันขึ้นๆ ลงๆ ถือเป็นการเสร็จ สิ้นพิธีการให้คำมั่นกับหมา
ไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร ออนจะทำได้ไหม แล้วคนที่โดนออนชิงวางสายไปจะเป็นอย่างไร
ออนก็ไม่หวั่น ออนรู้แต่ว่าวันนี้ ออนได้ทำสิ่งดีๆ ได้มีความคิดที่จะหันมามองคนใกล้ตัวที่โดนทิ้งขว้าง
และพยายามปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น สัญญาที่ให้ไว้กับหมาจะเคร่งครัดปฎิบัติตาม ไม่อย่างนั้น ออนคงไม่มีหน้าไปสัญญากับหมนุษย์คนไหนอีก
ตอนต่อไป ตอนโชกุลพบเพื่อน มาดูกันว่าเมื่อโชกุลได้พบเพี่อนหมาพันธุ้เดียวกันครั้งแรก มันจะทำท่าอย่างไร