กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

แชมป์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
เมื่อเอ่ยชื่อ จา บุง เฟ ใครต่อใครแถบนั้นย่อมรู้จัก
เขาไม่ใช่ดาราเกาหลีที่เล่นละครหลังข่าวทางช่องทีวีเสรี ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเรียกน้ำตาจากคนรุ่นใหม่ได้มากพอสมควร ในยุค I-Generation
เขาไม่ใช่นักฟุตบอลทีมชาติ ซึ่งเมื่อไม่นานนี้ทีมชาติของเขาคว้าอันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด
เขาคือ คนขายหมู!!!
ไม่แปลกใจว่าทำไมว่าบรรทัดก่อนหน้านี้ ถึงมีเครื่องหมายตกใจถึง 3 ดอก
เพราะบรรทัดต่อๆไป คุณก็จะทราบเอง
จา บุง เฟ  ขายหมูด้วยความสุจริต ไม่คดโกง ไม่โก่งราคา ไม่มีใส่สารเร่งเนื้อแดง หรือแม้กระทั่งมีความคิดแอบขายยาเสพติดที่หลังร้าน
เขาเป็นคนขายหมูที่มีอุดมการณ์ มีวิสัยทัศน์ ซึ่งเห็นได้จากป้ายหน้าร้านของเขา(แปลเป็นไทยว่า)
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ทรมานใจถ้าโกงประชาชี
บางคนเริ่มสับสนว่า จา บุง เฟ จะเล่นการเมือง หรือ ขายหมู!!
บางคนเลยเทิดไปถึงขั้นให้เขาตั้งพรรคการเมืองท้องถิ่น!!
ถึงกระนั้นนาย จา บุง เฟ ก็ยังยึดอาชีพขายหมู กระทั่งร่างนี้ม้วยมลาย
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ทำอะไรให้คนรุ่นหลานได้จดจำ ในยามที่เขายังมีลมหายใจ
ในช่วงยุดทองสมัยนั้น การทำมาค้าขายอะไรก็ดี เพราะไทยเราเกิดการค้าขายเสรีกับชาวต่างชาติ
เช่นกัน จา บุง เฟ เริ่มมีหมูเป็นของตัวเอง จากหลายตัว กลายเป็นคอก ไม่นานก็มีฟาร์มขนาดเล็กที่พอเลี้ยงดูครอบครัวเล็กๆของตัวเองได้
เมื่องานมากขึ้นทำให้เขาต้องจ้างคนงานเพิ่ม ซึ่งคนงานคนแรกและคนเดียวของเขาคือ 
แท็ปเด็กเลี้ยงแกะบ้านป้าแมรี่ที่ถูกเนรเทศมานั่นเอง!!
ที่สำคัญตอนนี้แท็ปเลิกโกหกและเป็นเด็กขยันขันแข็ง จึงเป็นที่ชื่นชอบของ จา บุง เฟ
แต่ด้วยความขยันมากเกินคนปรกติ ก็เลยเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน!
แท็ปทำไฟไหม้ฟาร์มหมู!!! ซึ่งในเวลานั้น จา บุง เฟ และครอบครัวไม่อยู่บ้าน
เด็กเลี้ยงแกะที่ไม่มีใครเชื่อและขี้ขลาดตาขาวในอดีต กลับรวบรวมความกล้า วิ่งไปช่วยลูกหมูที่ถูกไฟคลอกก่อน เพราะเป็นขนาดที่คนตัวเล็กอย่างแท็ปพอจะช่วยได้ เขาตัดสินใจใช้มือเปล่าอุ้มลูกหมูออกมาจากไฟมรณะ แต่ทว่า
ทันใดที่มือของเขาจะถูกตัวลูกหมู อารามตกใจ เขากลับตกอยู่ภวังค์ เมื่อกลิ่นหอมจากลูกหมูผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปในจมูกแบบไม่ตั้งใจ จนทำให้น้ำลายสอออกมาอย่างไม่รู้ตัว 
แท็ปตั้งสติอีกครั้ง เพราะไม่อยากให้ภาพในอดีตอันเสเพลของเขามาทำลายปัจจุบันและอนาคต เขาขากน้ำลายไปยังมือทั้งสองข้างเพื่อให้ทนความร้อน แล้วรีบฉุดหมูตัวเดิมขึ้นมา แต่ก็ต้องผละออกมาเนื่องจากความร้อน ขนาดทำให้หนังหมูลอกออกมาติดที่นิ้วของเขา 
สติเริ่มเลือนลาง อารมตกใจอีกครั้ง กลิ่มหอมของหนังหมูเย้ายวนยิ่งนัก เด็กน้อยค่อยๆยกนิ้วที่มีหนังหมูติดมันอยู่มาลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อย
ในที่สุดแท็ปไม่ยี่หระต่ออะไรทั้งสิ้น เขานั่งกินหมูตัวนั้นไร้สติ โดยที่ไม่สนสภาพสิ่งรอบข้าง
ไฟที่ไหม้บางส่วนของฟาร์มค่อยๆมอดลง พร้อมกับการกลับมาของ จา บุง เฟ
ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลง ชาวเกาหลีไล่แท็ปออกทันที แต่แท็ปกลับไม่ฟังเสียงรอบข้าง แต่ยังนั่งยอบตัวลงที่เดิม ใกล้กับร่างไร้วิญาณของหมูน้อย
 จา บุง เฟ เดินเข้าไปต่อว่า แท็ปไม่สนใจคำด่าทอเหล่านั้น แต่กลับยื่นหมูให้ชิ้นหนึ่งโดยที่ตัวเองไม่หันไปมองเจ้านาย 
คนขายหมูนำเนื้อชิ้นนั้นไปชิม แล้วออกอาการเหมือนแท็ปในตอนแรก คือไม่สนใจต่อสิ่งรอบข้างว่าจะเกิดอะไรขึ้น และทั้งสองก็ร่วมวงกินหมูตัวนั้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวและอย่างบ้าคลั่ง
แม่จ๋า..ลูกของคนขายหมูพูดขึ้น  แม่แน่เหรอใจว่าคนนั้นพ่อหนู สองแม่ลูกยืนหน้านิ่งต่อภาพเบื้องหน้า
 จา ปุง เฟ เพิ่งรู้ตัว ที่แท้อาหารเลิศรสอยู่ใกล้ๆมือเอื้อมนี่เอง นั่นคือหมูที่ถูกไฟคลอกพร้อมๆกับการเผาฟาร์มตัวเอง
หลังจากวันนั้นที่บ้านของคนขายหมู่ จึงเกิดไฟไหม้บ่อยครั้ง บางวันสามครั้ง บางวันก็มากกว่านั้น
ชาวบ้านเริ่มแปลกใจ คนขายหมูที่มีวิชั่นคนนั้นเปลี่ยนไป งานการไม่ค่อยทำ แถมยังไฟไหม้บ้านบ่อยอีกต่างหาก ทุกคนเริ่มเอ๊ะใจ
แม้กระทั่งคนในบ้านก็เริ่มสับสน  ลูกจ๋า แม่ก็ชักไม่แน่ใจ... 
และแล้วความลับก็ไม่มีในโลก ในเมื่อชาวบ้านบางนั้น จับได้ว่า จา ปุง เฟ และแท็ป นั้นเผาฟาร์มหมูตัวเอง โดยบุกไปในคืนที่มืดมิด แต่บ้านคนขายหมูกลับสว่างจากไฟไหม้
และกำลังนั่งดูหมูของตัวเองถูกไฟเผาอย่างสบายอกสบายใจ!!!
เริ่มมีเสียงประณามการกระทำของคนทั้งสอง บางคนถึงขนาดทำตัวป้ายผ้า อย่ารังแกสัตว์ที่ไม่มีทางสู้ ในนาทีนั้น ทุกคนต่อต้านการกระทำที่ทารุณสัตว์
แต่ไม่นานทุกเสียงก่อนหน้านี้ก็เงียบสงัด เมื่อนายแท็ป แจกจ่ายเนื้อหมูถูกไฟคลอกแก่ชาวบ้านทุกคน
ทันใดที่ลิ้นได้รับรสอร่อย ชาวบ้านเหมือนต้องมนต์ ทุกคนคล้ายต้องมนต์สะกด แล้วไปร่วมวงกับ จา ปุง เฟ และแท็ปในทันใด 
แม่จ๋า เด็กน้อยพูดเสียงอ่อยๆ  หนูว่าเขาไม่ใช่พ่อหนูแน่ พลางเอามือปาดน้ำลาย
หลังจากวันนั้นไม่นาน หมู่บ้านนี้มักเกิดไฟไหม้เป็นประจำ จนไม่มีใครกล้าผ่านมาแวะพัก 
แต่เนื่องจาก นาย  จา ปุง เฟ เริ่มเล็งเห็นถึงความไม่คุ้มทุน จึงหาวิธีการทำหมูไฟคลอกให้ลดต้นทุนขึ้นเรื่อยๆ จากยุคแรกคือการกินไปเผาไปที่บ้านคนใดคนนึง จนไปถึงการนำหมูหั่นเป็นชิ้นๆแล้วไปย่างบนตระแกรงเหล็ก
การกินหมูไฟคลอกเป็นวัฒนธรรมสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่ยังยึดถือการกินเป็นกลุ่มและคณะในบางเวลา
บางคนหัวหมอถึงขนาดนำไปลงทุนทำร้านหมูไฟคลอก แล้วคิดเงินเป็นรายหัวสำหรับคนที่แวะเข้ามาชิม ไม่นานนักธุรกิจนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศไทย
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนกล่าวขานถึง นาย จา ปุง เฟ ซึ่งเป็นต้นตำหรับ ดังนั้นตามป้ายร้านขายหมูไฟคลอกจึงเขียนไว้ว่า หมูไฟคลอกเกาหลีปุงเฟ แต่เพื่อความเป็นสากลสมัยจึงเรียกว่า หมูย่างเกาหลีปุฟเฟ่ห์ 
ตั้งแต่นั้นมา...
ปล.ส่วนนายแท็ปหันเหอาชีพมาเป็นคนทำหมูไฟคลอก โดยคิดราคาหมูที่ถูกไฟคลอกตามขนาด โดยชาวบ้านจะรู้ว่าเป็นค่าแท็ป ซึ่งในปัจจุบันมีคนพูดเพี้ยนมาเป็น ค่าทิป ในปัจจุบัน
จบแล้วครับผม				
comments powered by Disqus
  • t-qoozaa

    30 มีนาคม 2547 21:28 น. - comment id 72311

    ขายหมูเหรอ เป็นอาชีพที่ดีนะ
  • กัลปพฤกษ์

    1 เมษายน 2547 18:47 น. - comment id 72391

    พึ่งรู้ที่มาและที่ไป ให้รู้ตำนาน และข้อคิดดีครับ
    
  • tiki

    1 กุมภาพันธ์ 2548 19:50 น. - comment id 82477

    แวะมาอ่านย้อนหลังเขียนดีค่ะ เคยอ่านเป็น
    กลอน ในหนังสือ เรียนโรงเรียนเด็กฝรั่ง
    แต่ลืมไปแล้วว่าสำนวนอย่างไร
    

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน