เธอ
รษฎา ปนาลี
อาทิตย์ลับฟ้าไปนานแล้ว แสงไฟที่ลาน สวป. ทำงานไม่ต่างกับอาทิตย์ ให้กับผู้คนในยามค่ำคืน ฉันยังคงนั่งที่ริมสระหน้ามหาวิทยาลัย ปล่อยตังเองให้ย้อนสู่ความทรงจำครั้งเก่า ทั้งสนานเริงรื่น เศร้า หรือแม้กระทั้งปวดเจ็บจนเกินจะเจ็บได้ในบางครั้ง ฉันนั่งยิ้มให้กับวันวานเก่าๆอย่างไม่แคร์สายตาคู่ข้างๆว่าจะมองฉันอย่างไร
ฝั่งตรงข้าม บางคนกำลังทยอยกลับและหลายคู่พึ่งมานั่งใหม่ รถบัสขนาดจุคนได้ 70 ที่นั่งแล่นเข้าสู่ลานพ่อขุนไม่ขาดระยะพร้อมๆกับเสียงบูมพ่อขุน
พ่อกูขุนศรี แม่กูนางเสือง ลูกหลานเต็มเมือง รามคำแหง เฮ้.. ดังกระหึ่มปลุกจิตวิญญาณของลูกพ่อขุนอีกครั้ง
เสียงกลองและเสียงเพลงที่รุ่นพี่เตรียมซ้อมไว้สำหรับน้องๆโดยเฉพาะ ยังคงดังกระหึ่มไม่ขาดระยะ ฉันเดินลัดใต้ตึกที่นานทีจะใช้สำหรับงานสำคัญของนักศึกษาที่สำเร็จปริญญา พบวงคุยงานขนาดเล็กของนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ชายผมยาววางย่ามคู่ชีพข้างกายแล้วลุกขึ้นโยกส่าย ตามจังหวะและลีลาของกลองอย่างสนุกสนาน ฉุดให้ฉันหยุดรับภาพนั้นสู่ความทรงจำก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดเห็นภาพของตัวเองเมื่อครั้งกระนั้น
มาทำอะไร เสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามฉันเบาๆ จากข้างหลัง
ก็คิดถึงนะซี ฉัน อยากจะตอบเธอไปอย่างนั้น
เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็ก แต่งตัวแปลกตาในชุดกางเกงขาก๊วยสีน้ำตาลเข้ม เสื้อแบบคนเหนือ ย่ามสีหมากสุก ผมของเธอหยักโศกดำยาวสลวย คิ้วโก่ง นัยน์ตากลมโตเป็นประกาย จมูกมีเค้าว่าจะโด่ง เรียวปากกระจับคู่งามยิ้มละไมในดวงหน้าที่ขาวเนียนตามธรรมชาติ
มาหาเพื่อน แต่ไม่พบหรอก กำลังจะกลับอยู่พอดี ฉันตอบเธอก่อนจะยิ้มตอบรอยยิ้มของเธอ
ไปออกค่ายกับเรามั้ย กำลังจะออกค่ายรับเพื่อนใหม่พอดี
ไม่ดีกว่า พอดีช่วงนั้นเรียนทุกวันเลย
การเรียนรู้ มันไม่มีแค่เพียงในตำราสี่เหลี่ยม บนโต๊ะสี่เหลี่ยมและภายในห้องสี่เหลี่ยมเพียงแค่นั้นสักหน่อย การเรียนรู้ไม่มีรูปทรงที่แน่นอนหรอก มันอยู่ที่หัวใจของเธอเองต่างหาก เราจะเป็นเพื่อนกันได้ไหม
เธอถามฉันด้วยตาที่ยิ้มและจริงใจ ฉันตอบตกลงกับเธอและแลกเบอร์โทรก่อนจะจากมา
ตึกกิจกรรมนักศึกษา ฉันเดินขึ้นไปด้วยความหวาดระแวง ราวกับว่ากำลังผจญภัยไปในดินแดนอีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความตื่นเต้น มีคนแต่งกายแปลกๆ ร้องเพลงแปลกหู แต่ละห้องดูรกและโทรม ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่งชะโงกหน้าเข้าไป พบเธอกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยดวงหน้าอันเครียดตึง ก่อนที่จะตัดข่าวนั้นแปะลงบนหน้ากระดาษและเก็บไว้ในแฟ้ม ฉันเดินเข้าไปหาเธอและฉันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในความ แปลก ของสังคมปัจจุบัน
พวกเรามีวงสำหรับการสนทนาที่ใช้เปิดใจกันสำหรับเพื่อน ซึ่งฉันไม่ค่อยจะชอบนัก เธอดื่มเข้าไปมากและพร่ำพูดถึงความทุกข์ยากของผู้คน และเอาเปรียบของชนชั้นนายทุน มีน้ำใสๆหยดลงที่ฝ่ามือเรียวเล็กของเธอ ซึ่งไม่แน่ใจนักว่าเป็นน้ำที่หกจากแก้วหรือน้ำจากดวงนัยน์ตาที่เรื่อแดงของเธอ
ค่ายแรกในชีวิตของฉันเริ่มต้นในค่ายชนบท เราไปออกค่ายกันที่ภาคเหนือเมื่อต้นฤดูหนาว คืนนั้นอากาศเย็นสะท้านถึงข้างใน พวกเราจับมือกันเโดยมีผ้าผูกตาไว้ เดินลัดเลาะริมน้ำเงา โดยมีรุ่นพี่นำทางพวกเราไป เธออยู่ที่ไหนหรือ? เขาจะพาเราไปที่ใด ฉันเฝ้ากังวลอยู่ในใจก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ที่โล่ง มีเพียงเสียงไฟปะทุทำลายความสงัด เมื่อเอาผ้าออกจึงเห็นเธอนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งโดยมีกองไฟลุกโชนอยู่ตรงกลางวง เทียนถูกจุดขึ้นพร้อมๆกับความรู้สึกที่พร่างพรูออกมาทีละดวง ทีละความรู้สึก จนถึงเธอ
ชีวิตเล็กๆที่เกิดขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวไม่นานก็ตายจากไปอย่างโดดเดี่ยวเช่นกัน ฉันมาที่นี่เพื่อหวังว่าจะทำประโยชน์ให้ใครได้บ้าง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้คนบนโลกนี้ได้อบอุ่น ก่อนที่จะจากไปและเพื่อฝากความทรงจำให้ใครได้อบอุ่นเมื่อระลึกถึงฉัน เสียงของเธอกังวานใสและอ่อนโยน เสียงเพลงค่อยดังขึ้นๆพลิ้วแผ่ว จากรอบวง ความหนาวเย็นเมื่อครู่กลับอบอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่ากองไฟหรือพลังมิตรภาพที่ทำให้อบอุ่น
ฝากดอกไม้นานาพรรณ ฝากความฝันอันสูงค่า ฝากรอยยิ้มและน้ำตาที่หลั่งมาจากหัวใจคืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนฟ้า จากรักจากศรัทธาของเรา
เธอเป็นคนอ่อนไหวที่แสนอ่อนโยนในคราวเดียวกัน เธอมักเหม่อมองเด็กๆตัวเล็กแกรน ซ่อนความสดใส ในคราบมอมแมมและรอยกร้านของกาลเวลาได้กัดกร่อนความไร้เดียงดาให้หม่นลงทุกที และมักให้เศษสตางค์ กับเด็กที่มาเร่ขายดอกบัวน้อยจากสิบนิ้วที่ประนมเป็นพุ่มเล็กๆ ขายสินค้าที่เรียกว่าความเมตตาธรรม ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำไปเป็นการส่งเสริมให้มีการขายมากขึ้นก็ตาม หลายครั้งเหลือเกินที่ฉันเห็นเธอแอบเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอย่างไม่มีคำอธิบาย ในบางครั้งเธอกลับหม่นเศร้าไม่ยอมพูดจา ฉันก็รู้ว่าเธอกำลังเจ็บปวดเหลือเกิน เธอมักเงียบและให้กาลเวลารักษาตัวเธอเอง บางครั้งเธอหายไปเป็นอาทิตย์ เพื่อไปสอนหนังสือเด็กในชุมนุมและเด็กที่มาชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิข้างทำเนียบ
ในที่สุดวันเวลาก็พรากพวกเราให้เดินบนเส้นทางฝันที่ต่างกันนานๆ ครั้งที่พวกเราจะนัดพบกันสักครา ต่างคนต่างมีเรื่องราวจากทิศทางและก้าวย่างที่ต่างกันมาเล่าสู่กันฟังที่ร้านกาแฟเล็กๆในซอยราคำแหง 53 จนดึกจึงได้แยกย้าย วันเวลาเก่าๆถูกรื้อฟื้นราวกับว่าเพิ่มเกิดเมื่อวานบางคราวที่พวกเรานั่งร้องไห้ด้วยกันและหลายครั้งที่พวกเราหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ จะสุขใจสักแค่ไหนกันเชียวเมื่อพวกเราพร้อมที่ร้องไห้เพื่อเพื่อนคนใดสักคน เธอเลือกเส้นทางของนักพัฒนาปลีกวิถีเมืองสู่วิถีชุมชนที่ใสซื่อด้วยน้ำใจ อุทิศชีวิตเพื่อช่วยชาวบ้านต่อต้านการทำโรงโม่หินอยู่ที่ต่างจังหวัด นานๆจะมีโน้ตที่ฝากถ้อยความสั้นๆไว้ให้ห่วงหาและแทนความห่วงใยที่มีให้กัน
ขึ้นมาหาแต่ไม่เจอ ไม่มีอะไรหรอก ไม่เจอกันนาน คิดถึงเท่านั้นเอง ฉันเองก็รู้สึกไม่ได้ต่างไปจากเธอ ฉันอยากกับเธออย่างนั้น
วันหนึ่ง ฉันได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวของเธอ
เพื่อนโทรมาแน่ะ พี่ที่สำนักงานบอกอย่างนั้น ฉันรับโทรศัพท์โดยไม่มีคำพูดใดๆนอกจากความรู้สึกมากมายที่สับสน
งานศพของเธอ ถูกจัดขึ้นอย่างง่ายๆที่บ้านของเธอเอง มีคนไปงานทั้งญาติและทั้งคนรู้จัก คมกระสุนปลิดวิญญาณของเธอเป็นการจ้างวานของเจ้าของโรงโม่ที่เธอกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้าน นี่หรือผลตอบแทนที่เธอควรได้รับ
ฉันค่อยผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะเดินจากวงนักศึกษากลุ่มนั้นมา เสียงเพลงรับน้องค่อยๆแผ่วลงทุกที ๆ เธอยังคงอยู่อย่างน้อยก็ในความทรงจำของฉัน