เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่ฉันอยู่ ม.4 ฉันเป็นเด็กที่หัวไม่ค่อยดีนัก แต่ค่อนข้างขยันและเอาใจใส่ในเรื่องของการเรียน เมื่อขึ้นมาอยู่ ม.ปลายนี้ ฉันจึงต้องเตรียมตัวหนักขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะต้องเข้ามหาวิทยาลัยในอีกไม่ช้านี้ และในตอนนั้นเองที่แม่ของฉันแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของท่านและลูกชาย ซึ่งโตกว่าฉัน 4 ปี กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย เมื่อแรกที่ฉันได้เจอ ฉันก็รู้สึกชอบผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที เรียกว่า Love at first sight นั่นแหละ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก หน้าตาคมเข้ม พอได้พูดคุยฉันก็รู้สึกว่าคนนี้แหละ ใช่เลย เขามักจะติวหนังสือให้ฉันตอนที่ใกล้สอบ และยิ่งเราใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองรักผู้ชายคนนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าเขามีแฟนแล้ว เป็นสาวสวย ดาวมหาวิทยาลัย แต่ไม่เป็นไร ขอได้อยู่ใกล้กันแค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว และเมื่อปีก่อนนี้เอง ที่ฉันต้องเจอเรื่องนี้ ตอนนั้นพ่อแม่ฉันและพ่อแม่เขาไปงานเลี้ยงกัน และฉันก็มาที่บ้านเขาตอนสามทุ่มเพื่อเอาหนังสือที่ขอยืมไปมาคืน ฉันกดกริ่งแต่ไม่มีใครออกมา จึงถือวิสาสะเดินเข้าไป แล้วฉันก็มาเจอเขานั่งทำหน้าเศร้าอยู่บนเตียงในห้อง ฉันเดินเข้าไปช้าๆ และถามว่า "เฮ้! เป็นอะไรไปเหรอ" เขาหันมามองฉัน แล้วดึงฉันนั่งลงข้างๆ "เธอเคยอกหักมั้ย" เขาถามเสียงเบาๆ ฉันส่ายหัวทันที อ้อ รู้แล้วว่าเป็นอะไร ฉันตบหลังเขาเบาๆ พลางพูดเป็นกำลังใจให้เขา "อย่าไปคิดมากเลยนะ ทำใจให้สบายๆ ดีกว่า คุณยังมีเพื่อนๆ และคนอื่นๆ อีกตั้งเยอะแยะไป" เมื่อเขาได้ฟังก็หันมาทางฉัน แล้วอยู่ๆ ก็เอ้อ มันเป็นเพียงการเริ่มต้นน่ะ ศีรษะของเขามาอยู่บนอกฉัน เขาโอบมือรอบเอวฉัน ตอนนั้นฉันรู้ว่าฉันขัดขืนไม่ได้ และยิ่งรู้ว่าเขาเศร้าฉันจึงกอดเพื่อปลอบใจ โดยไม่คิดว่าจะมีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ แต่เขาก็ แต่ฉันก็ไม่ได้กรีดร้องหรือขัดขืนออกมา หวังว่าคุณคงเข้าใจนะ ต่อให้เรารักเขามากแค่ไหน แต่เราไม่อยากทำให้เขาเสียความรู้สึกน่ะจริงๆ นะ ฉันตื่นขึ้นมาในตอนตี 3 แล้วรีบแต่งตัวกลับบ้านทันที รู้สึกดีที่ตอนนั้นพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้น ฉันคงเดือดร้อนแน่ๆ แต่ถึงยังไงฉันก็เดือดร้อนอยู่แล้ว เพราะ 2 เดือนหลังจากนั้น ฉันก็คลื่นไส้อาเจียนบ่อยๆ ฉันลูบท้องตัวเองและเดินทางไปโรงพยาบาล "ยินดีด้วยค่ะ คุณกำลังจะมีเด็ก" เมื่อฉันได้ฟังก็ไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ เพราะฉันคิดไว้อยู่แล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ได้บอกพ่อแม่ จนท้องได้ 4 เดือน พ่อแม่จึงสังเกตว่าท้องของฉันมันใหญ่ขึ้น ฉันจึงยอมบอก พ่อกับแม่ตกใจมาก และในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งรู้สึกว่าฉันผิด ฉันไปพบเขาและเล่าเรื่องให้ฟัง ตอนนั้นเกิดปัญหาวุ่นวายกันใหญ่ เพราะฉันยังเรียนไม่จบ และเขาก็ยังเรียนอยู่ ตอนนั้นแม่ฉันและแม่เขาบอกว่าจะให้ฉันเอาเด็กออก ฉันกับเขาถึงกับน้ำตาซึม ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันว่าว่ามันเท่ากับเป็นการฆ่าคนชัดๆ และเด็กคนนี้ก็คือลูกของฉันกับคนที่ฉันรัก ถึงใครจะว่ายังไง ฉันก็จะเลี้ยงลูกของฉันให้ดีที่สุด และในที่สุดทั้งครอบครัวฉันและครอบครัวเขาก็ตัดสินใจให้เราสองคนเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการหลังจากที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย และในเวลาต่อมา ฉันก็รู้สึกดีขึ้น ตอนนี้ฉันเลี้ยงลูกอายุ 8 เดือนที่ชื่อว่าน้องแฟง เขาคนนั้นตอนนี้เพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงาน เขารักฉันและลูกของเรามาก คอยดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ทั้งพ่อทั้งแม่ของเราสองคนก็เข้าอกเข้าใจเราดี พวกเขารักหลานคนนี้กันมาก มีบางครั้งที่ฉันรู้สึกแย่เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ แต่เขากลับบอกให้ฉันเข้มแข็งเสมอ และเตือนว่าอดีตนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างมัน เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ฉันเชื่ออย่างนั้น จริงๆ ไม่ใช่แค่อดีตที่มันผ่านพ้นไป แต่อนาคตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ฉันขอให้คุณจงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะนึกเสียดายกับอะไรบางสิ่งที่เสียไป
3 มีนาคม 2547 23:40 น. - comment id 71411
...ฉันเชื่ออย่างนั้น จริงๆ ไม่ใช่แค่อดีตที่มันผ่านพ้นไป แต่อนาคตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ฉันขอให้คุณจงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะนึกเสียดายกับอะไรบางสิ่งที่เสียไป
4 มีนาคม 2547 17:03 น. - comment id 71428
แสดงว่าตอนนี้คุณอยู่ในฐานะของคุณแม่ซิ และในฐานะที่คุณผ่านชีวิตมามากกว่า คุณคิดว่าเหตุการที่เกิดขึ้นเนี่ยจะมีซักกี่คนกันล่ะที่เค้าจะจบลงด้วยดีแบบคุณ
4 มีนาคม 2547 21:12 น. - comment id 71438
จบได้ลงตัวดีครับ
4 มีนาคม 2547 21:44 น. - comment id 71447
ขอบคุณสำหรับคำชม แต่เฮ้ เรื่องนี้ เรา \"คิด\" เองนะ ไม่ใช่เอามาจากเรื่องจริง เราอายุ 14 เองนะ คิดค่ะ คิดคิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ -_- เฮ้อ
4 มีนาคม 2547 21:46 น. - comment id 71448
และกรุณาอ่านข้างบนด้วยค่ะ จริงๆ ชีวิตของคนที่เป็นอย่างนี้! เขาก็ไม่ได้ดีไปทุกคนหรอก แต่อย่างที่บอกว่า \"ทำวันนี้ให้ดีที่สุด\" อย่าไปนึกถึงอดีตที่ผ่านไป เริ่มในสิ่งใหม่ๆ ดีกว่า คนที่มีหัวคิดได้ก็คงคิดกันได้นะ แต่คนที่คิดไม่ได้ เราก็บอกแล้ว หวังว่าคงเข้าใจนะคะ
10 มีนาคม 2547 21:13 น. - comment id 71600
มิน มินแต่งไรอ่ะ ขอเราอ่านก่อนนะ แต่ว่าขี้เกียจอ่ะ เราอ่านเสร็จแระจามา แสดงความคิดเห็นให้นะจ๊ะ
10 มีนาคม 2547 22:38 น. - comment id 71602
เออ รู้มั้ย เราแต่งทีแรกไม่คิดอะไรนะ แต่นึกเสียดายจริงๆ โดนเข้าใจผิดเสียนี่ แต่ไม่เป็นไรนะคะ คนที่เข้าใจเราผิดน่ะ ขอโทษด้วยที่เราว่าไปแรง เพราะกำลังช็อกอยู่น่ะ ขอโทษจริงๆๆๆๆ ค่ะ
12 มีนาคม 2547 21:29 น. - comment id 71686
เข้าใจไรผิดเหรอมิน เล่าซิ เออ เราอ่านแล้วนะ มันก็ดีอ่ะ แต่ว่าถ้ามันเป็นเรื่องจริง ตอนจบมันคงไม่ดีเท่านี้หรอก (มั้ง) แต่ว่าก็ดีอ่ะนะ หนุกดี *-*
12 มีนาคม 2547 21:38 น. - comment id 71689
ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแม่คนอะเด้ะ...แหะๆ นี่ฟังนะ เอ้อ...อ่านนะ ใครก็ว่ากันอย่างงี้ใช่ม๊า ที่พวกคุณและทิพย์มองทั้งหลายน่ะ มันเป็นโดยทั่วไปตะหากเล่า คนทั่วไปที่ไม่มีจิตสำนึกก็มักจะมีเรื่องราวที่ไม่ดี ดังนั้นที่เราพิมพ์เรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะ แบบ...เหมือนกับว่าสั่งสอนตักเตือนอะไรงี้มั้ง คือทำให้คนเขาคิดได้ว่า อะไรที่มันผ่านไปก็ให้ผ่านไป คิดถึงแต่อนาคต สิ่งดีๆๆ กว่า เข้าใจนะ อู๊ย พิมพ์จนคอมค้าง ไปละ!
12 มีนาคม 2547 21:40 น. - comment id 71690
เออ ทิพย์ทำไมเมื่อวานไม่ไปกิจกรรมหมอภาษาที่โรงเรียนน่ะ! เด็ก ม.1 ชมว่าเค้าน่ารักอ้ะ ดีจายยยยยยยย
12 มีนาคม 2547 22:34 น. - comment id 71705
มิน ยังอยู่ป่าวอ่ะ
12 มีนาคม 2547 22:37 น. - comment id 71706
แหว่ะๆๆ .... ก็คงว่าเค้าไม่ได้ไปอ่ะมั้งง มินก็เลยน่ารัก ...อิอิ อีกอย่างนึก เด๊ะคนนั้นคงสายตาไม่ค่อยดีมั้ง แบบว่า สวย ระยะ 100 เมตร หน่ะ แหะๆๆ
12 มีนาคม 2547 23:10 น. - comment id 71714
เออ ใช่เลยทิพย์ เด็กตาต่ำมาก ไม่นึกว่ามินจะไปหมอภาษานะเนี่ย หนุกป่าว ทำไรมั่งอ่ะ
14 มีนาคม 2547 22:22 น. - comment id 71770
หนุกกะผีอะเด้ะ แต่พวกเอ็งสองตัว เอ๊ย สองคนนี่ ตาไม่ถึงมากกว่ามั้ง ฮ่าฮ่า เออ...-\"- เค้าว่าเราไปเล่นที่บอร์ดโรงเรียนดีกว่านะ รบกวนคนเค้าอ่านเรื่องกันแฮะ -_-