กลางเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕ ฉันได้กลับไปเมืองไทย กลับไปหาพ่อ ไปหาน้องอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้กลับเมืองไทยเลยเป็นเวลานานหลายปี....แต่ครั้งนี้ ฉันตั้งใจไปหาพ่อ ไปพูดไปคุย และไปพักอยู่ที่มวกเหล็กกับท่าน ทันทีที่ฉันก้าวขาพ้นออกมาจากสนามบินดอนเมือง ฉันก็นั่งรถตู้เพื่อเดินทางต่อ พอมาถึงหน้าตลาดมวกเหล็ก ฉันก็พบว่าพ่อมารอรับฉันอยู่ที่นั่นแล้ว... พ่อดูเหมือนท่านจะดีใจมากที่ฉันไปหา เราสองคนพ่อลูก คุยกันหลายเรื่องตลอดทางที่กลับบ้าน จนกระทั่งถึงบ้าน เรายังคงพูดคุยกันต่อไปถึงเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของทั้งตัวพ่อและตัวฉันเอง หลายปีเหลือเกินที่ฉันไม่เคยรู้สึกมีความสุขที่ได้พูดได้คุยกับพ่อเท่ากับวันนี้เลย เพราะเมื่อก่อนสมัยที่ฉันยังเด็ก ฉันกับพ่อมักจะมีเรื่องทะเลาะกันเป็นประจำ อต่ในวันนี้ทั้งฉันและพ่อดูเหมือนเราจะคุยกันอย่างสนุกสนาน เรื่องราวต่างๆถูกนำมาพูดนำมาคุยอย่างเพลิดเพลิน ฉันดีใจที่ได้มานั่งเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องราวความเป็นไปในชีวิตของฉันเองที่ประสบพบเจอมาเล่าให้พ่อฟัง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพ่อก็ตั้งอกตั้งใจฟังฉันเล่าเรื่องราวต่างๆอย่างไม่รู้เบื่อ ฉันอยู่ที่มวกเหล็กกับพ่อ๔คืน คินสุดท้ายที่ฉันได้นั่งทานอาหารกับท่าน จู่ๆพ่อก็พูดขึ้นมาว่า .."วันนี้ เป็น วันเกิดของลูกนี่ พ่อจำได้" ฉันได้ยินแล้วให้รู้สึกปลาบปลื้มใจจนน้ำตาแทบจะไหล เพราะมันนานมากแล้ว ตั้งแต่แม่ตายจากฉันไป และพ่อก็มีครอบครัวใหม่ ฉันก็ไม่เคยให้ความสำคัญ ไม่เคยจัดงานวันเกิดให้ตัวเองอีกเลย... พ่อยังพูดกับฉันอีกประโยคว่า"ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกลูก ที่จะจำวันเกิดของลูกตัวเองไม่ได้" คำพูดของพ่อประโยคนี้ทำให้น้ำตาฉันซึมเลยทีเดียว... แล้วพ่อก็เล่าเรื่องในตอนที่ฉันเกิดให้ฉันฟังอีกครั้ง(ความจริงพ่อเคยเล่าให้ฉันฟังหลายครั้งแล้วล่ะ เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็กๆอยู่)แต่ไม่ว่าพ่อจะเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังอีกสักกี่สิบกี่ร้อยครั้งฉันก็ไม่มีวันเบื่อเลย พ่อเล่าว่า ตอนที่ฉันเกิดมา ตัวเล็กนิดเดียวผิวหนังเหี่ยวย่นเหมือนลูกลิงเลย พอแม่คลอดฉันออกมาแล้ว ฉันก็ยังต้องเข้าไปอยู่ในตู้อบของโรงพยาบาลนานถึง๓เดือนเต็ม แล้วพ่อกับแม่มารับตัวฉันออกจากโรงพยาบาล กลับมาอยู่บ้าน พ่อบอกว่าฉันเป็นลูกสาวคนแรกของครอบครัว เป็นลูกคนโตของบ้าน และยังเป็นลูกที่พ่อกับแม่เหนื่อยยากในการเลี้ยงดูมากที่สุดอีกด้วย เหตุเพราะฉันป่วยบ่อย สุขภาพไม่ค่อยดีนั่นเอง สุขภาพของฉันตอนเป็นเด็กทารกอยู่นั้นป่วยบ่อย ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเด็กๆคนอื่น บางวันพ่อต้องอุ้มฉันวางไว้บนตักของพ่อ เพราะฉันมีไข้สูง พ่อต้องคอยเช็ดตัวให้ตลอดคืน จนบางครั้งพ่อก็เผลอนั่งหลับสัปหงกไปพร้อมๆกับฉันซึ่งนอนหลับอย่างสบายมีความสุขอยู่บนตักของพ่อ บางวันที่ฉันร้องไห้งอแง พ่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเพื่อให้ฉันหยุดร้องไห้ หันซ้ายหันขวา พ่อก็ถอดสายสร้อยพระที่ห้อยคอพ่ออยู่ เอามาแกว่งในน้ำทำเป็นน้ำมนต์ให้ฉันดื่มและยังพรมไปตามตัวฉันอีกด้วย..ฉันฟังๆพ่อเล่ามาถึงตอนนี้ฉันก็อดขำไม่ได้ แต่พ่อบอกฉันว่าในตอนนั้นนะพ่อไม่คิดหัวเราะขำไปกับฉันด้วยเลย เพราะพ่อมัวแต่กลัวว่าลูกของพ่อคนนี้จะเป็นอะไรไป พ่อก็ห่วงสาระพัดจนทำอะไรไม่ถูกจึงได้นึกถึงพระที่ห้อยคออยู่ กังวลว่าลูกสาวของพ่อคนนี้จะมีชีวิตอยุ่รอดจนถึงพรุ่งนี้เช้าไหม? พ่อนึกกลัวอยู่ว่าจะเลี้ยงลูกคนนี้รอดไหม? พ่อเล่าเรื่องราวของฉันตอนยังเล็กอยู่ไปได้สักพัก พ่อก็หยุดเล่า แล้วหันหน้ามามองฉัน พ่อพูดกับฉันว่า.."ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าพ่อจะสามารถเลี้ยงลูกมาได้จนตัวโตขนาดนี้แล้ว" ฉันได้ทีก็แซวพ่อกลับไปว่า "ก็เพราะพ่อเลี้ยงฉันด้วยน้ำมนต์ในตอนนั้น ฉันจึงได้อยู่รอดและเติบโตมาได้จนถึงวันนี้"แล้วเราสองคนพ่อลูกต่างก็หัวเราะให้กันอย่างมีความสุข มาคิดๆดูฉันไม่ได้หัวเราะพร้อมๆกับพ่ออย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วหนอ? และแล้วก็ถึงวันที่ฉันจะต้องเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯเพื่อจัดการทำธุระต่ออีกสองวัน ก่อนที่จะเดินทางกลับต่างประเทศ พ่อบอกฉันว่าพ่ออาจจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯเหมือนกัน อยากนัดพบฉันอีกครั้งที่กรุงเทพฯก่อนที่ฉันจะเดินทางไกล... วันที่ฉันนัดเจอกับพ่อ สถานที่นัดพบก็คือห้างเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ตรงสี่แยกราชประสงค์ ฉันนั่งรอพ่ออยุ่ตรงหน้าร้านจิมทอมสัน สักพักหนึ่งพ่อก็เดินมาพร้อมๆกับน้องสาวของฉัน ทันทีที่พ่อเห็นฉันและเดินเข้ามาใกล้ พ่อก็ยื่นของสิ่งหนึ่งมาใส่มือฉันไว้ พร้อมกับพูดว่า"เก็บไว้คุ้มครองตัวนะลูก พ่อให้" ฉันมองดูสิ่งที่พ่อให้ก็พบว่าเป็นพระสมเด็จองค์ที่พ่อเคยห้อยคออยู่เป็นประจำ และเห็นจนชินตาตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เพราะทุกครั้งเวลาที่พ่ออุ้มฉันไปไหนๆด้วยเมื่อยังเล็ก พระเครื่ององค์นี้เป็นเสมือนของเล่นให้ฉันได้จับๆลูบคลำอยู่เสมอมา... ฉันนึกแปลกใจ จึงหันไปถามพ่อว่า"พ่อให้ฉันทำไมจ๊ะ? ทำไมพ่อไม่เก็บไว้ห้อยคอเหมือนปกติที่เคยทำมา?" พ่อก็ตอบฉันกลับมาว่า"เอาไปเถอะลูก พ่อให้ พ่อน่ะไม่อยากได้อะไรแล้ว ตอนนี้แค่ได้เห็นว่าลูกเติบโต มีชีวิตที่ดี มีครอบครัวที่มีความสุข พ่อเองก็พลอยมีความสุขไปกับลูกด้วย จำได้ไหมลูกเรื่องที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง ก็พระองค์นี้ไงล่ะลูก ที่พ่อเอาไปจุ่มน้ำ ทำน้ำมนต์ให้ลูกตอนที่ลูกยังเป็นเด็กตัวเล็กๆอยู่ เอาไปเก็บรักษาไว้ให้ดีนะลูกนะ...." ฉันกราบขอบพระคุณพ่อที่หน้าอกของท่านพร้อมๆกับรับเอาความซาบซึ้งอย่างเปี่ยมล้นมาเก็บไว้ในหัวใจ ฉันบอกพ่อว่า"พระของพ่อองค์นี้อุ่นดีจัง" น้องที่ยืนอยู่ข้างๆพ่อเลยบอกว่า "จะไม่ให้พระองค์นี้อุ่นได้อย่างไรล่ะพี่ ก็พ่อเราน่ะกำพระองค์นี้ไว้ในมือตลอดเวลาเลย ตั้งแต่ตอนขึ้นรถไฟฟ้ามาจากสะพานควายโน่น จนกระทั่งเดินมาถึงที่นี่ แล้วพ่อยังพูดกับจิ๊บด้วยนะพี่ พ่อบอกว่า พระองค์นี้ พ่อตั้งใจจะนำมาให้กับพี่นะ.." ทันทีที่ฉันฟังน้องพูดจนจบประโยค น้ำตาฉันก็ไหลออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ฉันรู้แล้ว ฉันซึ้งใจแล้วว่าพ่อรักฉัน ฉันเองก็รักพ่อเช่นกัน เมื่อก่อนนี้ฉันมักจะสงสัยและถามคำถามกับตัวเองเสมอว่าพ่อรักฉันบ้างไหม? ทำไมพ่อต้องแต่งงานใหม่ มีครอบครัวใหม่? แต่ในวันนี้ฉันรู้แล้ว ว่าพ่อรักฉันและความรักของพ่อในตอนนี้นั้นก็ไม่ต่างไปจากเมื่อวันวานหรือวันไหนๆที่เคยผ่านมาเลย... ขณะที่ฉันกำลังนั่งพิมพ์เรื่องนี้ไปพร้อมๆกับที่ฉันมองพระของพ่อที่ห้อยคอคู่กับกระดูกฟันของแม่ สองสิ่งนี้จะคอยเตือนใจฉันเสมอว่า ไม่มีรักของใครจะยิ่งใหญ่ไปกว่ารักของพ่อกับแม่อีกแล้ว.....
21 กุมภาพันธ์ 2547 15:27 น. - comment id 71128
เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่น่าชื่นชมในความรักค่ะ
22 กุมภาพันธ์ 2547 07:54 น. - comment id 71141
ขอขอบพระคุณคุณน้ำสีฟ้ามากค่ะ
22 กุมภาพันธ์ 2547 08:25 น. - comment id 71142
ซึ้งมากค่ะ
1 มีนาคม 2547 20:21 น. - comment id 71345
ขอบคุณมากนะคะคุณทิกิ สำหรับกำลังใจ โอกาสต่อไปหวังว่าคงจะได้เขียนอีกค่ะ ตอนนี้พยายามพัฒนาฝีมือให้ใช้คำสละสลวยมากขึ้น เพื่ออรรถรสในการอ่านค่ะ