ความรู้สึกระหว่างที่ขับรถช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมาน เจ็บปวดราวกับว่ามีใครสักคนกำลังปีบหัวใจผมให้แหลกคามือเขาเสียให้ได้ ใจผมไปถึงมือหมอตั้งแต่วูบแรกที่อักษรล้มลง อยากวอนขอใครสักคนบนฟ้าให้ช่วยเปิดเส้นทางจาราจรให้โล่งไร้ผู้คนเสียจริงทั้งที่ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ รถราที่อัดแน่นอยู่เต็มถนนทำเอาผมอึดอัดมากขึ้นจนร้องไห้ออกมาเพราะกลัวสิ่งที่ผมยังไม่รู้แน่ว่ามันคืออะไรจะมาพรากอักษรไปจากผม ทุกนาทีที่เดินผ่านราวกับวันเวลาผ่านไปนานหลายเดือนหลายปี มันช่างเป็นวันเวลาแห่งความโหดร้ายที่สามารถฆ่าคนทั้งเป็นได้เสียจริง ทำไมผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพยายามปิดบังผมให้เร็วกว่านี้นะ ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมจะทำอะไรเพื่อใครล่ะ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกระตุกสติของผมให้ตื่นจากอาการสับสนเจือกลิ่นน้ำตาที่ไหลนองอยู่สองข้างแก้มด้วยความเสียใจ คุณยายโทรมานั่นเองผมพยายามควบคุมสติและเอื้อมมือสั่นราวกับคนป่วยไปรับโทรศัพท์อย่างช้าๆ อักษรเป็นลมเหรอลูก คุณยาย! ฮือ! เมื่อได้ยินเสียงคุณหญิงพิมลความอึดอัดที่ผมพยายามเก็บกดไว้เพื่อให้มีความเข้มแข็งพอที่จะดูแลอักษรได้ก็ทะลักล้นออกมา อักษร! อักษร! เป็นอะไรทำไมไม่มีใครบอกผมเลย! อะไรลูก อักษรก็เป็นลมอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ ตกใจอะไรกันนักหนา ฮือ! ผมสูดหายใจเข้าลึกก่อนถามคุณหญิงออกไปอย่างชัดถ่อยชัดคำ ช่วงนี้อักษรเป็นลมบ่อยใช่ไหมคุณยาย คุณยายก็รู้สึกเหมือนผมไหมว่าอักษรไม่ค่อยจะร่าเริงสักเท่าไร เหมือนเขามีเรื่องอะไรไม่สบายใจและกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียวใช่ไหม และที่สำคัญช่วงนี้เขาพูดกับผมเหมือนกับว่าเขาจะอยู่กับผมได้อีกไม่นาน ไม่ใช่ลูก! ทำไม! ไม่จริงหรอกลูก จารึกอย่าพูดอะไรเหลวไหลสิ! คุณยายตอบย้อนผมมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หนูอยู่ที่ไหนลูก เดี๋ยวยายจะไปหาอรัณย์แล้วจะไปหาที่โรงพยาบาลนะ คุณยายถามให้ได้นะครับ คุณยายต้องรู้ให้ได้นะครับว่าอักษรเป็นอะไรกันแน่ ใจเย็นๆ ก่อนนะลูก เดี๋ยวยายก็พากันร้องไห้ทั้งบ้านหรอก อักษรอาจจะไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอย่างที่จารึกคิดก็ได้ แค่นี้ก่อนนะ ผมส่งตัวคนรักของผมถึงมือหมอได้ไม่นานคุณหญิงพิมล คุณแม่แก้วตา คุณน้าหวานใจ อรัณย์ก็มาถึงด้วยสีหน้าตื่นเต้นคละเคล้ากับสีหน้าที่ทำให้ผมรู้สึกใจหาย ตกลงว่าไงหมออรัณย์! หมออรัณย์ยังคงก้มหน้านิ่ง หมอตอบสิหมอ! ตอบผมมาเดี๋ยวนี้ว่าอักษรเป็นอะไร! เธอเป็นอะไร! เธอเป็นอะไรกันแน่! ผมเขย่าร่างคุณหมออรัณย์จนแทบจะพาตัวเองล้มไปพร้อมเขา จารึกลูก! จารึก! จารึกฟังเขาก่อนนะ! คุณยายห้ามผมด้วยน้ำตาที่เอ่อนองทั้งสองแก้ม คุณยายไม่โกรธที่เขาปิดเรื่องแบบนี้กับเราไว้หรือครับ อักษรเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนี้เองครับ คำตอบของหมออรัณย์สะกิดอารมณ์โกรธของผมให้กระพือโหมมากยิ่งขึ้นจนผมยั้งตัวเองไม่อยู่ ไอ้หมอนี่! ทำผิดพลาดเองแล้วยังจะโทษคนอื่นอีกเหรอ! ผมขว้างหมัดไปที่แก้มของคุณหมอดังตุบจนคุณหมอเซล้มลงไป จารึก! คุณแม่ของอักษรวิ่งถลาเข้ามากอดผมไว้จากด้านหลังก่อนที่ผมจะเข้าไปซ้ำคุณหมออีกครั้งทำให้ผมได้สติขึ้นมาวูบหนึ่ง เป็นโอกาสให้คุณหมอได้มีโอกาสเอาคืนจนผมเป็นฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นบ้าง รู้ไว้ด้วยว่าที่เขาไม่ยอมบอกอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองตั้งแต่แรกก็เพราะนายนั่นแหละ ร่างของหมออรัณย์หอบจนตัวโยน มือสั่นๆ ของเขาพยายามดันกรอบแว่นเข้าที่ด้วยสีหน้าโมโหจัด ไม่ใช่หมัดของหมออรัณย์ที่ทำให้ผมตกตะลึงจนแทบจะบ้าหรอก แต่เป็นคำพูดของเขาต่างหากที่ทำให้ผมมองเห็นภาพทั้งหมด ผมเข้าใจเรื่องตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงตอนนี้เลยทีเดียว ผมทำให้เธอไม่อยากอยู่ในโลกนี้เหรอ ไม่มีใครสักคนพูดอะไรออกมาก ตอนนี้ทุกคนคงจะโมโหผมมากจนอยากจะบีบคอผมให้ตายไป เธอเป็นมานานหรือยังหมอ คุณหมออรัณย์เม้มปากอย่างคนที่กำลังพยายามเก็บอารมณ์โกรธ คงนานแล้ว น่าจะก่อนที่เธอจะรู้จักนาย เพียงแต่เธอไม่เคยบอกใคร เรื่องบางเรื่องถ้าเราไม่ตรวจละเอียดหมอก็ไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้นถ้าคนไข้ไม่บอกอาการผิดปกติเฉพาะจุดเราก็จะไม่ตรวจ โดยเฉพาะยายษรที่อ่อนแออยู่แล้วด้วยดังนั้นการที่เขามีอาการอ่อนแอจึงไม่ใช่เรื่องผิดสังเกต เป็นก่อนรู้จักผม!? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอักษรไม่อยากอยู่ตั้งแต่แรกแล้วน่ะสิ ไม่น่าจะใช่ เพราะษรดูร่าเริงและมีความสุขดี บางทีเธอเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเองด้วยเหมือนกัน ยายรู้ว่าอักษรไม่ได้ร่าเริงจริงๆ หรอก ษรพยายามทำทุกอย่างให้พวกเราเลิกเป็นห่วงแก เมื่อช่วงที่แกได้รู้จักจาแกดูร่างเริงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราทุกคนอยากรู้จักคนที่ทำให้อักษรยิ้มได้แบบนี้ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อักษรก็เปลี่ยนไปเป็นคนเก่า หมออรัณย์รู้เรื่องนี้นานหรือยัง ก่อนหน้านี้ไม่นานนักหรอก เพราะผม! ผมทำให้เธอไม่อยากอยู่บนโลกนี้! อย่าโทษตัวเองสิจา เธอทำให้อักษรเปลี่ยนมาเป็นคนร่าเริงนะ เธอทำให้อักษรมีความสุข ผู้เป็นแม่ของอักษรรีบปลอบใจผมที่บอบช้ำเพราะน้ำมือตัวเอง แต่ผมก็ทำได้ไม่ดีพอ ผมเห็นแก่ตัวอักษรถึงได้เป็นอย่างนี้ ผมเงียบไปพักหนึ่งก่อนนึกอะไรออก หมอ! เธอจะหายไหม เธอเป็นโรคอะไรหมอ คือ หมอตอบผมมาสิ! หายไหม! หมออรัณย์ยังคงก้มหน้ามองพื้นอย่างสิ้นหวัง อย่าทำอย่างนี้สิ! บอกผมมา! ผมทรมานจะตายอยู่แล้วนะ! รอถามหมอข้างในเองแล้วกัน รู้ตอนไหนก็เหมือนกัน เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วนะ ยังจะปิดกันไปถึงไหน จนกว่านายจะรู้จากปากอักษรได้ก็ยิ่งดี เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดอ้าพร้อมสายตาของพวกเราที่เลื่อนไปจับจ้องที่หมอผู้ตรวจ เป็นไงบ้างคะ เป็นไงบ้างครับ พวกเราเอ่ยปากถามหมอที่เพิ่งออกมาจากห้องหน้าตาตื่นแทบจะพร้อมกัน ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วครับ แต่.. แต่อะไร! คือหมอเกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี หลานจะตายเหรอหมอ ทำไมล่ะไม่มีอะไรช่วยหลานฉันได้แล้วหรือ ช่วยได้ไหม คือว่า..มันเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้วครับ ถ้าเรารู้ไวกว่านี้ก็อาจจะมีทางอยู่บ้าง ทั้งคุณยายและคุณแม่ของอักษรเป็นลมล้มลงไปทันที ดีที่ผมกับอรัณย์วิ่งเข้าไปรับไว้ทัน หลังจากนั้น 1 วันเต็มๆ อักษรก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมามองหน้าหรือยิ้มให้ผมอีกเลย ผมแทบจะทิ้งการเรียนมาดูแลอักษร เพราะอยากเป็นคนแรกที่เธอเห็นเมื่อตอนลืมตาตื่น เธอจะได้ยิ้มเพราะความดีใจที่รู้ว่าผมไม่เคยหายไปไหน แต่ความรับผิดชอบต่องานที่ผมยังสะสางไม่เสร็จสิ้นทำให้ผมมีโอกาสกลับมาดูแลเธอได้ในตอนเย็น ในขณะที่ผมกำลังนั่งทำใจก่อนขึ้นไปพบอักษรได้อย่างเข้มแข็งดังเดิม ร่างสูงโปร่งที่ผมจำได้แม่นยำหลังจากวันที่ผมหักหลังอักษรก็เดินออกจากลิฟท์มาพอดี มาทำไมอีก! ถ้าใครจะทำให้คนที่ผมรัก. ผมพูดด้วยน้ำตาที่แทบร่วงลงจากตา เป็นอะไรไปมากกว่านี้อีกละก็.. ลลนามองหน้าผมด้วยแววตาสมเพชแล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสงสาร พอเถอะ ฉันก็แค่มาเยี่ยมและมาขอโทษเธอเท่านั้นแหละ น้ำตาเริ่มซึมออกมาเพราะความที่ผมคิดอะไรได้แต่ละเรื่องก็ล้วนแล้วแต่เจ็บปวด มันไม่ใช่เลย ผมโทษคนนู้นคนนี้ว่าทำร้ายเธอ แต่ที่จริงแล้วคนที่ทำให้เธอเจ็บขนาดนี้กลับเป็นผม ทุกอย่างเป็นเพราะผม ทำไมผมถึงได้เป็นคนอ่อนแอร้องไห้ง่ายดายเสียจนไม่น่าเลื่อมใสอย่างนี้ เมื่อครู่เธอตื่นแล้วนะ เราคุยอะไรกันเยอะมากจนทำให้ฉันอยากเกิดเป็นคุณ ความรักของเธออยู่ในโลกแคบๆ แต่บริสุทธิ์และสวยงาม ทุกลมหายใจของเธออยู่เพราะความรักที่มีต่อคุณ คุณรู้ไหมฉันเคยคิดว่าการที่ใครคนหนึ่งจะมีความหมายสำหรับใครอีกคนถึงขนาดควบคุมทุกลมหายใจของอีกคนได้นั้นมันไม่มีจริงหรอก จนกระทั่งฉันได้ฟังเธอพูด แต่เธอจะไม่อยู่แล้ว คิดดูให้ดีนะคุณจารึกว่าคุณควรจะทำตัวอย่างไร ระหว่างร้องไห้ฟูมฟายให้เธอเศร้าใจไปกับคุณทุกวันหรือคุณควรจะทำให้เธอมีความสุขก่อนจากคุณไป แล้วทำให้เธอรู้ว่าคุณจะมีความสุขเช่นกันถ้าไม่มีเธอ นี่คือสิ่งที่เธอต้องการจะให้กับคุณและคือเหตุผลที่เธออยากอยู่กับคุณ ผมไม่รอให้อะไรๆ มันผ่านไปโดยที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว ผมรีบยิ้มให้เพื่อนคนใหม่ของผมอย่างจริงใจและขึ้นไปหาอักษรทันที อักษร! เธอหันมาทางผมราวกับได้ยินเสียงเรียกพร้อมส่งยิ้มที่ทำให้ผมสุขใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกันมาต้อนรับผม ไปไหนกันหมดแล้ว กลับบ้านไปทำงานกัน ไปเอากับข้าวมาให้ด้วย ดีขึ้นแล้วนี่ ยิ้มหวานได้แล้ว เรียนเป็นไงบ้างยากหรือเปล่า วันนี้เหนื่อยกว่าเมื่อวานไหม ไม่เลย ผมไม่เหนื่อยเลย ผมเรียนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่จะได้นำทุกอย่างมารักษาษร ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ เราไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็แค่โรคภูมิแพ้ธรรมดา พวกเราตกลงกันว่าจะบอกกับอักษรว่า ผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่รู้เรื่องเธอ ก็ผมอยากดูแลภรรยาของตัวเองนี่นา เผื่อวันหน้าผมจะสามารถรักษาโรคนี้ได้จนคุณแข็งแรงและไม่เป็นอะไรเลยไง อักษรอยู่รอผมก่อนนะรอให้ผมเรียนจบและเป็นหมอมารักษาคุณนะ เธอนิ่งไปพักก่อนเริ่มขยับมืออีกครั้ง พูดอะไรอย่างนั้น เราก็ยังอยู่ตรงนี้ยังไม่ไปไหนสักหน่อย ผมเลื่อนมือมาบีบกระชับมือของเธอไว้ให้แน่นก่อนกลั้นใจพูดต่อไป ก็ผมกลัวว่าใครจะมารักษาอักษรให้หายป่วย ก่อนที่ผมจะได้รักษาคุณด้วยตัวผมเองไง แต่ในที่สุดมันก็เกินกลั้น น้ำตาที่ผมฝืนไว้ค่อยๆ ซึมออกมา ผมซบหน้าลงไปที่มือเธออย่างหมดแรง เธอจึงลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบใจผมด้วยความรู้สึกห่วงใย ดูสิครับมาถึงขนาดนี้แล้วแทนที่ผมจะเข้มแข็งเพื่อทำให้เธอรู้ว่าผมมีความสุขดีและไม่รู้เรื่องอะไร ผมก็ยังทำได้ไม่แนบเนียนจนอักษรต้องเป็นฝ่ายมาปลอบใจผมแทน ผมซบหน้านิ่งอยู่กับมือเธอนานจนสงบจิตใจลงมากและมีโอกาสคิดอะไรภายใต้มือบอบบางและอ่อนโยนของเธอที่กำลังปลอบใจผมอยู่ เราแต่งงานกันนะอักษรเดี๋ยวผมจะไปบอกหม้าให้หม้ามาขอษรให้ผมนะ ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นล่ะ เรายังไม่ตายสักหน่อย ทำไมเธอต้องพูดอย่างนี้โดยที่เธอยังยิ้มระรื่นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย ก็แค่รักษร ก็เลยอยากแต่งงานด้วยไม่มีอะไรหรอก แต่เรายังไม่อยากแต่งนี่นา เผื่อวันหนึ่งจาเปลี่ยนใจหรือเราอยู่.. ผมรีบคว้ามือเธอไว้ก่อนที่เธอจะพูดอะไรที่ทำร้ายตัวเธอเองมากไปกว่านี้ ผมอยากแต่งจริงๆ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงผมก็ยินดีจะมีความสุขกับเรื่องเหล่านั้นขอแค่ษรมีความสุขกับผมก็พอ ได้ไหม!? ผมพยายามสื่อทุกความรู้สึกของตัวเองผ่านแววตาเจ็บปวดที่ต้องซ่อนมันไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่งได้แล้วเหรอ จารึกยังเรียนอยู่เลยนะ แต่งได้สิ แต่งได้แล้วผมอายุ 22 แล้วนะ ทำไมจะแต่งงานไม่ได้ หรือถ้าแต่งไม่ได้จริงๆ เราก็ยังไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้ แต่เราต้องแต่งกันนะ แต่งกันเถอะนะ ผมแกล้งทำหน้าเป็นอ้อนวอนขอเธอแต่งงาน หยอกล้อเธอจนเธอยิ้มและหัวเราะออกมาให้ผมรู้สึกชื้นใจและรับรู้ถึงความสดใสที่ยังมีอยู่ในตัวเธอ ว่าไงตกลงไหม แต่งงานกับผมนะ เรามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกจา คือ เธอส่ายหน้าเล็กน้อย ท่าทางเธอคงกำลังจะคุยกับความคิดที่แตกออกเป็นสองฝ่ายของตัวเอง เราคงอยู่ได้. ผมรีบคว้ามือบอบบางเธอไว้ก่อนที่เธอจะบอกคำพูดโหดร้ายที่จะทำร้ายเราทั้งสองคน น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ผมแอบน้อยใจที่เธอไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญขนาดนี้ผมรู้ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่อยากให้เธอพูดออกมา อาจจะเป็นเพราะผมกลัวเธอจะแหลกสลายไปเพราะคำพูดแบบนี้ของเธอ ผมจึงจำใจต้องเลี่ยงโดยบอกเธอว่า หรือว่าอักษรไม่รักผมแล้ว ไม่อยากให้ผมมีความสุขแล้วหรือไง รู้ไหมว่าผมจะมีความสุขที่สุดถ้าผมได้แต่งงานกับคุณนะ เธอส่ายหน้าที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำใสๆ ไหลลงจากตาอยู่นองสองแก้ม ผมจึงกอดเธอที่กำลังสะอื้นจนตัวโยนไว้ในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกที่อยากเธอรู้ว่าผมมั่นคงขนาดไหนจนเธอสงบลง จะไม่เสียใจแน่นะที่แต่งงานกับเราน่ะ ผมกำลังจะยืนยันหากแต่เธอจับหน้าผมไว้ก่อน สัญญาก่อนว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจาก็จะมีความสุขต่อไปนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้นึกถึงใจตัวเองเป็นอันดับแรกอย่าคิดถึงแต่เรานะ ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดถ้าวันหนึ่งจะไม่มีเรา เราสองคนปล่อยให้น้ำตาซึมออกมาพร้อมกันอย่างเงียบๆ ในขณะที่เธอกำลังเอ่ยคำพูดที่ราวกับคำสั่งเสียแต่เต็มไปด้วยความห่วงใยซึ่งเธอมิได้ห่วงตัวเองเลย ในที่สุดผมจึงยกปลายนิ้วมือขึ้นแตะมือเธอที่กำลังพูดเป็นระวิงอยู่นั้นและชิงเธอพูด ผมจะสัญญาว่าจะมีความสุขต่อไปไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม และจะรักอักษรตลอดไปด้วยนะ อย่ารักเราตลอดไปเลย อย่าห้ามผมเลย เพราะการรักษรเป็นความสุขของผมนะ เป็นความสุขที่สุดในชีวิตเลยด้วย ผมเลื่อนมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอย่างแผ่วเบาก่อนถามเธอีกครั้งว่า ว่าไงครับ ตกลงแต่งงานกับผมนะ เธอสบตามองผมทั้งน้ำตาก่อนหัวเราะคิกคักออกมาอย่างอายๆ แล้วจึงแกล้งโยนคำตอบไปให้คุณยาย แล้วแต่คุณยายแล้วกันค่ะ ถ้าคุณยายไม่ว่าอะไรเราก็จะยอมแต่งงาน ทำไม ผมโบกมือเปลี่ยนคำพูด แน่ใจนะ! พูดแล้วไม่คืนคำนะ! เธอพยักหน้ายืนยันคำพูดอย่างหนักแน่น ความสุขของจาคือความสุขทั้งหมดของเรา ผมลุกขึ้นกอดเธอด้วยอารมณ์ที่ยากเกินอธิบายเพราะหลากหลายความรู้สึกที่มีต่อเธอมันเยอะเสียจนผมหาคำนิยามให้ไม่ได้ มือของเธอยังคงลูบหัวผมไม่เลิกลาทำให้ผมอุ่นใจ แต่มันคงจะอุ่นใจแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน เวลาทั้งหมดนอกเหนือจากที่ผมเรียนหรือทำงานกิจกรรมต่างๆ ผมจะยกให้เธอเกือบหมดตัวเลยทีเดียวและจะพาปะป๊าและมะหม้ามาเยี่ยมเธอบ้างในวัน แน่นอนว่าปะป๊ากับมะหม้าของผมต้องแสดงละครร่วมไปกับผมเพื่อความสบายใจของพวกเราทั้งหมด ผมอยากให้เวลาของเธอที่เหลืออยู่เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายที่สุดตั้งแต่เธอเกิดมา อยากให้อักษรรู้ว่าเธอจะไม่เสียใจเลยถ้าสักวันหนึ่งเธอจะต้องจากโลกนี้ไป เพราะพวกเราทุกคนจะยังรักเธออย่างนี้ตลอดไปและเธอจะไม่ผิดหวังกับความสุขที่เธอพยายามมอบให้ทุกคนตลอดมา วันที่ผมเดินเข้าไปบอกท่านว่าผมจะแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งทั้งๆ ที่ผมยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกภูมิใจที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ และท่านทั้งสองก็ยังส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพร้อมพูดให้กำลังใจผมด้วยความเข้าใจ กับใครหรือจา ปะป๊าถามด้วยน้ำเสียงเรียบขรึมอย่างผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว กับอักษรครับ แน่ใจแล้วหรือลูก มะหม้าของผมรีบถามสวนมาราวกับรู้คำตอบ แต่น้ำเสียงของท่านนั้นบอกว่าท่านให้ความเมตตากับอักษรมาก อักษรกำลังจะ จาจะยอมแต่งงานกับคนที่จะอยู่กับจาได้อีกไม่นานแน่เหรอลูก ครับ ผมอยากทำให้ผู้หญิงที่ผมรักมีความสุขด้วยมือผมเองก่อนที่เธอจะจากผมไป อย่างน้อยผมก็อยากให้เธอรู้ว่าผมไม่เคยเสียใจเลยที่รักเธอ จารู้ไหมลูกว่าทำไมหม้าถึงยอมให้เราคบกับคนพิการ ผมนั่งคิดอยู่นานจนกระทั่งมะหม้าผมต้องพูดเอง ลูกเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ชีวิตดูมีความหมายขึ้นทุกวัน มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เสียจนบางทีหม้าก็ตกใจ แต่ป๊ากับหม้าก็อยากให้จาคิดให้ดีก่อนนะ ทั้งชีวิตเลยนะลูก ลูกอาจจะเจอใครได้อีกหลายคน แต่ผมก็แน่ใจว่าวันนี้ผมอยากทำให้คนที่ผมรักมีความสุข ผมอยากให้เธออยู่ต่อไปกับผมในวันรุ่งขึ้นของทุกเช้าแต่ในเมื่อไม่มีใครห้ามความตายได้ ผมก็อยากมีความสุขไปพร้อมกับเธอในขณะที่เธอยังมีลมหายใจอยู่เคียงข้างผม ให้ผมแต่งงานกับเธอเถอะนะป๊า หม้า ท่านทั้งสองหันมองหน้ากันอย่างคิดไม่ตกก่อนหันมายิ้มให้ เอาแหวนของหม้าไปให้เขานะ ไว้เมื่อไรที่ลูกปิดเทอมเราจะจัดงานแต่งงานกัน งานแต่งงานของผมกับอักษรถูกจัดขึ้นอย่างเป็นกันเองที่บ้านของอักษรตามความต้องการของเธอและผมที่จำต้องตามใจเธอ และไม่มีมากจดทะเบียนสมรสเพราะคำขอร้องของอักษรอีกเช่นกัน ผมรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เธอคงไม่อยากผูกมัดผมไว้กับเธอที่กำลังจะจากผมไปน่ะ ดังนั้นเราสองคนจึงเถียงกันเรื่องนี้เป็นเวลานานจนกระทั่งผมยอมแพ้ต่อความดื้อแพ่งของเธอ งานวันนั้นมีเพียงญาติสนิทของฝ่ายผมและฝ่ายเธอกับเพื่อนสนิทอีก 7-8 คนที่รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่นเพราะเราทุกคนพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อให้เธอสบายใจ ชุดแต่งงานของเราเรียบแต่มันก็ทำให้เธอดูน่ารักกว่าทุกวันได้อย่างไม่อยากเย็น ชุดกระโปรงวันพีชเปิดไหล่สีขาวที่ชายกระโปรงบานออกกำลังดีคลุมเข่าเธอลงมาไม่มากเมื่อจับคู่กันกับมงกุฎดอกไม้ที่ถูกวางไว้เหนือเส้นผมที่ปกติปล่อยยาวแต่วันนี้ถูกเกล้าขึ้นมาไว้เรียบร้อยทำเอาเพื่อนๆ ผมมองตาค้างไปนานจมผมเริ่มหวงเธอขึ้นมา ส่วนผมก็แต่งงานตัวธรรมดาเสียจนเพื่อนแซวว่า ตกลงเจ้าบ่าวไม่มาใช่ไหมทำไมไม่เห็นมีใครเหมือนเจ้าบ่าวสักคน ข้าจะได้เสียบแทนเพราะเจ้าสาวไม่เห็นเหมาะกับใครเลย ก็แหมถึงแม้ปกติผมจะแต่งตัวเก่งอยู่บ้างตามนิสัยเพลย์บอยเก่า แต่วันนี้ผมเขินจนไม่อยากเด่นขึ้นมากลางงานที่มีแต่คนสนิทของเราสองคนน่ะสิครับ ผมจึงใส่แค่สูทสีขาวล้วนเปิดให้เห็นแผงอกและไม่ยอมผูกเนคไทให้ดูเป็นทางการมากกว่านี้บวกกับมงกุฎที่ทำขึ้นมาคู่กันกับของอักษรนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความร้อนที่ระอุบริเวณหน้าผมตลอดงาน เมื่อเราสองคนถูกส่งตัวเข้าหอจนกระทั่งเหลือเราอยู่ในห้องกันเพียงสองคน อักษรนั่งหันหลังให้ผมอยู่อีกฝั่งของเตียงด้วยอาการประหม่าและปราศจากท่าทีมีความทุกข์อยู่สักนิดเลย อาจจะเป็นเพราะเธอรู้ว่าเราทุกคนมีความสุขเพราะเธอก็ได้ ผมนั่งมองเธอจากด้านหลังอยู่นานเพราะไม่คาดคิดว่าจะมีวันนี้ถึงแม้ว่ามันก็อาจจะอยู่กับผมได้อีกไม่นาน ผมค่อยเขยิบตัวเข้าไปกอดอักษรจากด้านหลังก้มลงหอมแก้มเธอเบาๆ แต่เธอก็ยังสะดุ้งและผงะหน้าหนีผมอยู่ดี เธอร้องไห้อีกแล้วแต่ผมรู้ว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความสุขใจผมจึงจับไหล่เธอให้หันมาหาผม มือหนาของผมซับน้ำตาที่กำลังส่องเแสงเป็นประกายเพราะแสงไฟกับแสงจันทร์ที่ส่องกระทบ ตอนนี้มันไม่มีคำพูดใดที่จะสามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างใจของเราสองคนอีกแล้วความรู้สึกที่มีพรั่งพรูออกมาเป็นการกระทำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุขที่เราอยากมอบให้กันและกัน เธอหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขภายใต้อ้อมอกแข็งแรงของผมตลอดทั้งคืน เช้าแห่งความสดใสหลังแต่งงาน ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่อักษรยกมาถึงเตียง ทั้งที่ผมควรจะเป็นฝ่ายตื่นมาดูแลเธอแต่ก็ยังตื่นไม่ทันเธออยู่ดี อันที่จริงผมนอนไม่หลับมาตลอดคืนเพราะอยากมองเธอนอนอยู่ข้างกายผมอย่างนี้นานๆ แต่ท้ายที่สุดก็เผลอหลับไปก่อนเช้าได้ไม่นานจนกลายเป็นว่าอักษรต่างหากที่เป็นฝ่ายลุกขึ้นมาเอาใจผมแทน ช่างเป็นความสุขที่แสนเจ็บปวด ความสุขที่เรารู้ว่ามันจะอยู่ในมือเราอีกไม่นาน ความสุขที่ไม่ว่าจะพยายามยื้อไว้สุดกำลังที่มีก็รั้งเอาไว้ไม่ได้ แต่ถึงจะเจ็บปวดอย่างไรผมก็ยินดีรับมันไว้เพื่อให้คนที่ผมรักได้รับรู้ว่าผมมีความสุขดี เราสองคนอยู่กันด้วยความสุขแบบที่คนปกติทั่วไปเขามักหาเจอกันหลังแต่งงานได้อีกปีกว่า ก่อนหน้าเธอจะจากไป 2 เดือนเราตัดสินใจพาเธอเข้ารับการผ่าตัดท่ามกลางความเสี่ยง 80% คือเสียชีวิต แต่ 20% คือรอดชีวิต หลังจากผ่าตัดอักษรก็สามารถมีลมหายใจต่อได้อีก 2 เดือนท่ามกลางความประหลาดใจของหมอที่ให้การรักษาเธอ คุณเชื่อไหมครับแม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายที่เธอจากจะผมไปเธอก็ยังคงไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอกลับพยายามยกมือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นพูดกับผมด้วยพลังที่เธอเหลืออยู่ ง่วงจังเลยจารึก เราอยากนอนจังเลย ไม่เอาไม่ให้หลับ อย่าหลับนะ ผมร้องไห้ออกมาราวกับรู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้สื่อสารกันแบบนี้ ร้องไห้ทำไมกัน เป็นพ่อคนแล้วนะต้องเข้มแข็งไว้สิไม่อย่างนั้นจะเลี้ยงลูกให้เข้มแข็งได้เหรอ เราอยากให้จาดูแลปกป้องลูกนะ เธอเลื่อนมือมาลูบหัวเด็กหญิง เพียงรัก ประดิษฐ์นพรัตน์ ลูกสาวของเราสองคนทั้งน้ำตา อย่าหลับเลยนะ ห้ามหลับนะไหนบอกว่าจะรอผมเรียนจบก่อนไงล่ะ นี่ไงจะจบแล้วอีกไม่กี่เดือนเอง ก็แค่หลับเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ตื่นมามองหน้าจากับลูกเหมือนเดิมแล้ว กลัวอะไรกันนักหนา กลัวมากเลย กลัวที่สุด จำที่ให้สัญญากับเราก่อนแต่งงานได้ไหม อย่าลืมนะ! ห้ามลืมนะ! ไม่เคยลืมเลยสักวันเดียว ถ้าจำได้ก็อย่าร้องไห้สิ บอกแล้วว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่น แล้วอีกไม่นานจาก็จะมารักษาเราให้หายจากโรคภูมิแพ้ไง ผมสะอื้นออกมาเพราะกลั้นธารน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว บางทีอักษรอาจจะรู้ว่าผมรู้เรื่องโรคร้ายของเธอมานานแล้วและที่กำลังทำทุกอย่างอยู่นี่ก็เพื่อให้เธอสบายใจก่อนจากผมไป ตอนนี้เราสองคนมีลูกด้วยกันแล้ว ความสุขของจาต้องส่งผ่านไปให้ลูกเยอะๆ นะ พวกเราจะมีความสุขร่วมกันนะ ผมพยักหน้ารับและรวบมือทั้งสองข้างของอักษรมาไว้ที่หน้าอก เราสองคนนั่งสบตากันได้ไม่นานเธอก็เริ่มพูดขึ้นอีก จะนอนแล้วง่วงเหลือเกิน ไม่ไหวแล้วอยากหลับมากเลย จากวันที่เธอจากผมไปอย่างเงียบสงบ นี่ก็ผ่านมา 8 ปีแล้ว ผมยังไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย นอกจากวันที่ผมไปหาเธอที่สถูปเพราะอดคิดถึงวันเวลาทั้งหมดที่เรามีร่วมกันไม่ได้ เธอสอนให้ผมเข้าใจอะไรหลายอย่างที่หาไม่ได้ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย นั่นคือความรักความห่วงใย หลายคนคิดว่าผมฝืนหัวเราะ ฝืนยิ้ม แต่พวกเขาคิดผิดผมไม่เคยฝืนยิ้มฝืนหัวเราะเลยสักครั้งเดียว ทุกอย่างที่ผมทำคือความสุขของพวกเรา ถ้านรก-สวรรค์มีจริง อักษรอาจจะกำลังยิ้มหรือมีความสุขอยู่ก็เป็นได้ถ้าหากเธอรู้ว่าผมเลี้ยงลูกด้วยความรักในส่วนของเธอด้วย และผมก็ยังสามารถยิ้มหรือหัวเราะได้อย่างมีความสุข ความปรารถนาดีจากเธอ ความห่วงใยของเธอ ความรักที่ยังคงอบอวนทั่วทุกมุมบ้านทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่ผมและเธอมอบให้กันโดยปราศจากคำพูดมาตลอดนั่นคือ เราอยากให้อีกคนยิ้มและหัวเราะได้อย่างมีความสุขนั่นเอง สำหรับเราสองคนการกระทำสื่อสารกันได้ดีมากกว่าคำพูดหลายเท่า เพราะหัวใจโกหกใครไม่เป็น ทุกวันนี้ผมตัดสินใจที่จะสานต่อจุดมุ่งหมายของการเป็นหมอต่อไป เพราะผมเข้าใจแล้วว่าอาชีพนี้มีความสำคัญต่อคนเรามากขนาดตัดสินความสุขของคนสิ้นหวังได้ด้วยมือของผมคนเดียว อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังนะครับผมไม่เคยเห็นความสำคัญของอาชีพนี้นอกจากคิดถึงเรื่องรายได้และหน้าตาของตัวเองที่จะได้รับจากสังคมจนกระทั่งได้เจออักษร ความรักที่มีต่อเธอเปลี่ยนจุดหมายปลายทางของผมเกี่ยวกับอาชีพนี้ว่าให้นึกถึงเรื่องการดูแลรักษาเธอด้วยสองมือของผมเองนอกจากคิดถึงตัวเอง แต่แล้วการสูญเสียอักษรไปก็ทำให้ผมรู้ว่าการช่วยชีวิตใครคนหนึ่งให้สามารถมีชีวิตอยู่เคียงข้างกับคนที่เขารักต่อไปได้นั้นมันมีค่ามากมายและยิ่งใหญ่สำหรับใครต่อใครอีกหลายคนขนาดไหน ทีนี้ก็รู้กันแล้วนะครับว่าผมอยากเป็นหมอเพราะอะไร เพราะรักเธอ นายแพทย์ ด.ร. จารึก ประดิษฐ์นพรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอักษร แสนซน
24 กุมภาพันธ์ 2547 17:21 น. - comment id 71181
จินตนาการหน้าตานางเอกไม่ได้เลย
26 กุมภาพันธ์ 2547 16:46 น. - comment id 71217
ทำไมถึงบอกว่าจินตนาการหน้าตานางเอกไม่ได้เลยล่ะ อันนี้สงสัยจริงๆ ขอคำแนะนำด้วยได้เปล่าว่า ที่เราเขียนไม่ดีน่ะมันตรงไหนเหรอที่ไม่ดี จะได้นำไปปรับปรุงไง นะถ้าไม่ดีตรงไหนบอกหน่อยได้เปล่า
26 กุมภาพันธ์ 2547 19:03 น. - comment id 71222
ซึ้งมากคะ น้ำตาซึมเลย ตั้งใจเขียนเรื่องต่อไปนะคะ
26 กุมภาพันธ์ 2547 22:56 น. - comment id 71228
อึ้งมาก ซึ้งจริงๆ ไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้หลงเหลืออยู่อีก นี่แหละที่เค้าเรียกกันว่า รักแท้ คุณค่าของรักแท้มันเป็นอย่างนี้เอง รู้แล้วล่ะว่าทำไมคนเราถึงมีรัก ความรู้สึกดีๆที่มอบให้กันทำไมต้องแปรเปลี่ยนเป็นความรัก อย่ากบอกว่าซึ้ง มมาก อินจัด น้ำตาไหลเลยนะ
29 กุมภาพันธ์ 2547 00:34 น. - comment id 71288
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นจากคุณ \'ตอนเช้า\' และคุณ \'มีน\' มากเลยนะคะ อ่านแล้วยิ้มแป้นแก้มปริแทบแตกเลย ดีใจจังเลยที่มีคนชมว่าเราแต่งได้ซึ่งมากเพราะปกติคนอ่านมักจะบอกว่าเราแต่งบทตลกคาเฟ่มากกว่า ดีใจมากด้วยที่มีคุณตอนเช้าอ่านแล้วน้ำตาซึมส่วนคุณมีนก็น้ำตาไหลเลย (ไม่ใช่สะใจที่ทำให้คนอื่นร้องไห้นะจ้ะ แบบว่าดีใจที่ตัวเองสามารถควบคุมความรู้สึกคนอื่นได้โดยผ่านตัวหนังสือน่ะ คุ้นไหมว่าใครที่มีความรู้สึกเดียวกับเรา) เราเองตอนแต่งเรื่องนี้ก็มีอารมณ์เศร้าซึมทั้งอาทิตย์เลย คุณมีนก็ชมเราซะเขินจนบิดตัวแต่หัวฟาดกำแพงเลย ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ มีกำลังใจขึ้นมาแล้วล่ะค่ะแสนซนเอ้ย! TANOI_ZA จะพยายามผลิตผลงานออกมาอีกนะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ TANOI_ZA (แสนซน)
29 กุมภาพันธ์ 2547 00:52 น. - comment id 71289
เราคิดว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เหมาะมากสำหรับเรื่องนี้นะ (ถ้าจะให้ดีฟังตอนอ่านด้วยก็ดี) ทำไมต้องเธอ.... (พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ชุดตู้เพลงสามัญประจำบ้าน) ก็มันไม่อยากรู้ ก็มันไม่อยากรัก ไม่มีเวลา ที่จะคิดที่จะสนใจ แต่พอได้เจอะเธอ ก็ดูชีวิตมัน ผิดเพี้ยนไป ฉันกลายเป็นคนอ่อนแอ ไม่ชอบเลย..*เมื่อไหร่ ที่อยู่ใกล้เธอ ฉันรู้สึกราวกับเคลิ้มไป ไม่เป็นตัวเอง ไม่เหมือนเคย แต่พอ เธอห่างหายไป คิดจะลืม ยังไม่ได้เลย ทำไมต้องเป็น (เธอ) ไม่เข้าใจ นี่ตัวฉันเองหรือ เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ หมดความเข้มแข็งและเหตุผลไปอย่างง่ายดาย อาจเป็นเพราะเธอนั้น ที่เดินมาหา เข้ามาค้นใจ แล้วฉันก็เลยเปลี่ยนไปเพราะรักเธอ...ชีวิตต้องมาเปลี่ยนไปเพราะรักเธอ เป็นไงคะคิดเหมือนที่เราคิดกันหรือเปล่า เพลงนี้ใช่เลย บังเอิญได้ฟังนะเนี่ย เราชอบเอาเพลงเก่าๆ มาเปิดฟังอยู่แล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ก็บังเอิญเอาคอนเสริตพี่เบิร์ดมาดูอีกรอบก็เจอเพลงนี้เข้าจนในที่สุดก็หยิบเอาเพลงมาเปิดฟัง และก็รู้สึกว่าเพลงนี้เป็นความรู้สึกของทั้งอักษรและจารึกเลยนะเนี่ย (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความรู้สึกของจารึกมากกว่านะ) ขอบคุณที่อ่านนะคะ
16 มิถุนายน 2549 02:22 น. - comment id 91224
you make me cry เขียนได้ดีมากคะ